Group Blog
 
All blogs
 

handbags

เริ่มเปลี่ยนจากการสะพายเป้ใส่หนังสือ มาเป็นกระเป๋าถือตอนเรียนปี 2
แล้วก็ซื้อมาเรื่อยๆ
แต่เป็นคนเก็บของไม่ดี
บางใบก็เสียหายอย่างน่าเสียดาย
บางใบก็หายไป คาดว่าจะอยู่ตามกล่อง ตามลังต่างๆในห้องเก็บของ
เพราะมีอันต้องย้ายห้อง ย้ายบ้านเป็นระยะๆ


เริ่มจากไปเรียนต่อ............ห้องก็ถูกเก็บซะเรียบร้อย กลับมาแต่ละที หาของแทบไม่เคยเจอ
พอเรียนจบกลับมา............ก็ย้ายห้องนอน ยึดห้องพี่ที่แต่งงานออกไป
พอถึงเวลาตัวเองแต่งงาน....ก็ย้ายบ้านไปอยู่เรือนหอ
พอมีลูก.......................... ก็พากันย้ายครอบครัวกลับมาพึ่งพ่อแม่ (ให้ช่วยเลี้ยงหลาน)
พอซื้อคอนโด.................. ก็ย้ายของบางส่วนไปคอนโด
พอทำออฟฟิสแล้วทำห้องนอนใหม่ด้วย..... ก็ย้ายของมาห้องนอนใหม่
พอซื้อบ้าน........................ก็ย้ายของบางส่วนไปบ้านอีก

สรุปแล้ว ย้ายไป ย้ายมา ย้ายมา ย้ายไป
จนของบางชิ้น ไม่เอาออกจากลังเลย ขี้เกียจจัดแล้ว

ไม่นานมานี่ พ่อรื้อของในห้องเก็บของ แล้วให้วัดสวนแก้วมารับของบริจาคไป
ก็พบว่า กระเป๋า LV และ ของบางส่วนถูกบริจาคไปด้วย ฮือ ฮือ
เป็นความไม่ใส่ใจของตัวเอง โทษใครไม่ได้เลย
ก็เลยตัดสินใจรื้อกล่องทั้งหมดออกมา สำรวจดูว่ามีอะไร อยู่ที่ไหนบ้าง
เพื่อจะได้จัดการทำความสะอาดแล้ว จัดเก็บให้เรียบร้อย
คงค่อยๆทำไป เพราะกล่องอะไรต่อมิอะไรเยอะแยะไปหมด




จริงๆแล้วพักหลังๆนี่ไม่ค่อยเสียเงินซื้อกระเป๋าแพงๆใช้สักเท่าไหร่
ยิ่งพอทำการฝีมือ เย็บผ้า ทำควิลท์ ก็จะเย็บกระเป๋าผ้าใช้เองเลย
(ชอบมากๆ ทำเสร็จปุ๊บก็ใช้เลย พอเบื่อก็ทำใหม่ ถูกใจที่สุด)

กระเป๋าแบรนด์เนมยุคแรกที่ซื้อคือช่วงอยู่จุฬาฯ
ใบแรกซื้อตอน ปี 2527 - ตอนอยู่ปี 2 (โอว...25 ปีก่อน.. พอนับจำนวนปี แล้วรู้สึกตัวเอง แก่งั่กเลย)
คือ กระเป๋าสะพายของ Charles Joudon สีน้ำตาล เป็นใบเล็กๆมนๆ สายยาวๆ
แล้วก็มี Gucci หนังสีเทา ทรงสี่เหลี่ยมจตุรัส สายยาว
Gucci ผ้าสีดำ หนังสีน้ำตาล ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า อันนี้สายไม่ยาว
Christian Dior สีครีม
จำได้ว่าราคากระเป๋าอยู่ราวๆ 3-5 พันบาท ซึ่งตอนนั้นก็นับว่าแพงมาก
ปัจจุบันราคากระเป๋าพุ่งไปเป็นหลักหมื่นปลายๆ - หลักแสน เลย

ไม่รวมพวกอภิมหากะเป๋าหลักล้านนะ


ยุคที่ 2 ก็จะเป็นตอนทำงานใหม่ๆ + ตอนไปเรียนต่อที่อเมริกาก่อนแต่งงาน (หมายถึงมากกว่า 14-15 ปี ขึ้นไป) และ ตอนแต่งงานปีแรกๆ
ช่วงนี้จะเป็นช่วงบ้าดีเดือดเข้าขั้นไร้สติ ทั้งกระเป๋า รองเท้า
รองเท้าเฟอร์รากาโม่รุ่นส้นเตี้ยมีโบว์ติดข้างหน้ามีครบทุกสี
เป็นรองเท้าที่ใส่สบายที่สุดเท่าที่เคยใส่มา
รองเท้าของ Cole Hann, Bass, Timberland, Tod's, Walter Steiger, Escada
CJ, NW, Kenneth Cole, Keds ฯลฯ มีหมด
บางคู่ซื้อมา ไม่เคยใส่เลยก็มี
ส่วนใหญ่ซื้อที่อเมริกา
ยิ่งถ้าเป็นช่วงเซลส์ที ก็ซื้ออย่างไม่ลืมหูลืมตาเลย
บ้าจริงๆ

ยุคที่ 3 คือยุคปัจจุบัน เป็นช่วงที่สติดีที่สุด...
นานๆถึงจะซื้อสักใบ 2 ใบ
รองเท้าก็ใช้ของ Nine West เป็นส่วนใหญ่
ไม่ก้อซื้อตามห้าง ราคาไม่แพง คู่ละ 3-4 ร้อยก็ใส่ได้สบายๆ
ยิ่งตอนนี้เอาของเก่ามาปัดฝุ่น ก็เชื่อว่าจะใช้ได้ไปอีกนานโดยไม่ต้องซื้อใหม่
พอเพียงค่ะ...พอเพียง....

กระเป๋ารุ่นแรก ยังหาไม่เจอ (บางใบไม่น่าจะอยู่แล้วด้วยซ้ำ)
แต่รุ่น 2-3 ทะยอยรื้อออกมาทำความสะอาดอยู่ ตามนี้




กระเป๋า coach เมื่อก่อนเป็นหนังเรียบๆนุ่มน่าใช้มาก
2 ใบนี้ซื้อเมื่อปี 1990 สภาพยังดีมากๆ ทั้งๆที่ไม่ได้เก็บดีนัก




มีหมายเลขประจำกระเป๋าทุกใบ




Gucci 2 ใบขวา ซื้อที่ Gucci shop / Copley Place, Boston
ใบสีน้ำตาลแดง เท่ากับได้ฟรีเลย เพราะ ได้ Graduate assistantship จากมหาลัย เป็นเงิน 4,000 เหรียญ
เลยเอามาซื้อกระเป๋าใบนึง


ใบซ้าย ซื้อที่ฮ่องกง เมื่อสัก 5-6 ปีที่แล้ว




LV monogram
Keep all ใบใหญ่สุดด้านหลังสามีซื้อให้เมื่อ 12 ปีก่อน
ใบขวาเป็นใบล่าสุดที่ซื้อตอนไปฝรั่งเศสปีที่แล้ว
เป็นการซื้อหลังจากหยุดซื้อไปหลายปีมาก
LV ทุกใบซื้อจาก shop ที่ชองเอลิเซ่
ยกเว้นใบซ้ายสุด ซื้อที่ shop ในเมืองไทย ที่เพนนินซูล่า




รุ่น Epi
ใบสีส้ม แม่ซื้อให้ ตอนเรียนจบ แล้วไปเที่ยวยุโรปกะแม่
ใบสีเหลืองข้างหลังสามีซื้อให้ พร้อม Keep all ใบใหญ่
ใบสีน้ำเงินและเหลืองข้างหน้า ซื้อที่ Shop ที่ รร. โอเรียนเต็ล
ช่วงที่ซื้อเยอะๆเป็นเพราะทำงานแล้วไม่มีเวลาใช้เงินสักเท่าไหร่
ทำงานหนักมากๆ รายได้ดี พอมีเวลาช้อป ก็จะกระหน่ำ
(หายเหนื่อยเลย..อิ อิ)




เมื่อก่อนใช้ใบนี้บ่อยมากๆ
เดี๋ยวนี้ชอบแบบกระเป๋าถือมากกว่าแบบสะพาย




กระเป๋า Ralph Lauren สามีซื้อจากสิงคโปร์ ให้เป็นของขวัญวันเกิด (10 กว่าปีอีกแล้ว)




Prada
ใบสีส้มซื้อที่บาเซิล ตอนไปสวิสกะครอบครัวปีที่แล้ว
สีดำ 2 ใบซื้อที่ Shop ของ Prada ในฮ่องกง
มีใบใหญ่ซื้อจากมิลานเมื่อ 6-7 ปีก่อน แต่หาไม่เจอ
คาดว่าคงซุกอยู่ที่ไหนสักที่ในบ้าน เดี๋ยวค่อยๆหาไป คงเจอเอง




Bally ซื้อที่ห้างญี่ปุ่น Mitzukoshi ปารีส ตรงใกล้โอเปร่าการ์นิเย่ ตอนซัมเมอร์เซลส์




ตัดสินใจซื้อเพราะตรงที่เปิดปิดนี่แหละ สวยดี




กระเป๋าจุกจิก ซื้อมาจากอิตาลี (ตอนไปงานของบริษัทที่เมืองคานส์ เลยแว่บไปมิลาน 2 วัน ช้อปอย่างเดียว)




กระเป๋าใบล่าสุดที่ซื้อ เป็นของ Coach ที่ Shop ในบอสตันปีที่แล้ว




หลังจากทอดทิ้งตามยถากรรมมานาน
กระเป๋าบางใบก็แฟ่บ บางใบก็ฝุ่นเกาะ บางใบก็เปื้อนๆ หมองๆ บางใบก็มีกลิ่นอับๆ ฯลฯ
เลยเอาแยกกอง จัดการดูแล ใบที่เปื้อนๆก็เอาครีมมาเช็ดทำความสะอาด
ใบที่แฟ่บๆไม่ค่อยได้รูปทรงก็เอามาจัดทรงใหม่ แล้วเตรียมเย็บหมอนใบเล็กๆเพื่อใส่ไว้ในกระเป๋า เป็นการรักษาทรงกระเป๋า

มีลาเวนเดอร์อบแห้งอยู่ถุงนึง ซื้อมาจากฟาร์มลาเวนเดอร์ที่นิวซีแลนด์



เอามาขยี้ๆนิดหน่อย ให้กลิ่นออก



แล้วเอาไปใส่ในไส้หมอนที่เย็บ ใส่รวมกับใยโพลี กลายเป็นหมอนกลิ่นลาเวนเดอร์









ทีนี้กระเป๋าทุกใบจะมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ชื่นใจแล้ว

แก้ปัญหาเรื่องรอยเปื้อน..... แล้ว
ทำความสะอาด.................แล้ว
แก้ไขรักษารูปทรงกระเป๋า...แล้ว
แก้ไขเรื่องกลิ่นอับ.............แล้ว

ทีนี้ก็จัดเก็บ...........
.........................
กระเป๋าบางใบก็มีถุงของเขาเองอยู่แล้ว
ไม่ต้องทำอะไร นอกจากเอามาใส่ ผูกให้เรียบร้อย
(ขนาดเขามีให้มายังไม่ค่อยจะยอมใช้เลย)




ใบที่ไม่มีถุง (ซึ่งคือ ทำหายไปนั่นเอง) ก็เย็บถุงใหม่ใส่ให้ แบบง่ายๆอย่างนี้




พยายามจะใช้ผ้าลายเดียวกันสำหรับแต่ละยี่ห้อ จะได้หยิบง่ายๆ




ผ้าห่มเก่าของหลาน ซึ่งไม่ได้ใช้งานแล้ว ก็เอามาเย็บเป็นถุงห่อกระเป๋าได้เป็นอย่างดีเลย ผ้านุ่มเชียว




เป็นเพราะห้องงานฝีมือ/จตุจักรแท้ๆ
ทำให้มีแรงบันดาลใจในงานเย็บผ้าขึ้นมาอีก
จริงๆก็ชอบการเย็บปักถักร้อยมาตั้งแต่เด็กๆแล้ว
แต่ร้างราไปเมื่อทำงาน และ มีอะไรต่อมิอะไรให้ทำมากขึ้น
กลับมาเริ่มทำอีกทีไม่นานนี่เอง

สมาชิกล่าสุด พย 2007 จากบอสตัน








 

Create Date : 16 กันยายน 2550    
Last Update : 2 ธันวาคม 2550 21:08:19 น.
Counter : 1310 Pageviews.  


parachute
Location :
Tauranga New Zealand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 20 คน [?]




Friends' blogs
[Add parachute's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.