[Fallout : New Vegas] เล่นพลาดจนเทพ? (ไม่มีความผิดพลาดที่เสียเปล่า!)


Fallout : New Vegas เป็นหนึ่งในซีรีส์ที่ต่อจาก Fallout 3 ซึ่งออกจำหน่ายในปี 2010 และใช้ engine เดียวกันกับ Fallout 3 แต่เหมือนตัวเกมจะมีขนาดเล็กกว่านะ

บอกได้อย่างเต็มปากว่าการเล่น New Vegas ในช่วงแรกช่างหืดขึ้นคอ จนแทบอยากจะหลั่งน้ำตา ไม่ใช่เพราะเกมมันยาก แต่เนื่องจากมันเป็น open world จึงสามารถไปทำภารกิจไหนก่อนก็ได้... แล้วตอนนั้นเองที่ผมได้ทำพลาด...



ใน Fallout : New Vegas ผมเลือกเล่นเป็นตัวผู้หญิงโดยตั้งชื่อว่า Laura Cooper ถ้าถามว่าชื่อมาจากไหน ก็มาจากตัวละครในซีรีส์ Twin Peaks ทั้งคู่ Laura = Laura Palmer ส่วน Cooper = Agent Dale Cooper ไม่ได้จิ้นอะไรคู่นี้หรอกครับ แค่ทั้งสองคนเหมือนเป็นเอกลักษณ์เด่นของซีรีส์ Twin Peaks เท่านั้นเอง


(ตอนแรกกะใช้ทรงนี้แหละนะ)


(สุดท้ายของเป็นทรงนี้ดีกั่ว)

หลังจากเริ่มเกมและทำภารกิจแรกเสร็จสิ้นลง จนได้ค่า “ความชอบ” จากพวกชาวเมือง Goodsprings แล้ว ผมก็ตัดสินใจจะทำภารกิจจาก DLC ชื่อ Old World Blues มันคือโลกไซไฟแบบยุค 70-80 ซึ่งมีนักวิทยาศาสตร์ผู้บ้าคลั่งและวิทยาศาสตร์ประหลาดๆ อย่างเช่น การผ่าตัดเอาสมองมาใส่ขวดโหลเพื่อทดลอง หรือทดลองเอาชิ้นส่วนเทียมเข้ามาใส่ในร่างกายของตัวเรา หรือแม้แต่ตัวพวกด็อกเตอร์ทั้งหลายก็อยู่ในรูปแบบของสมองในตัวหุ่นที่ลอยไปลอยมา และมีจอสามจอแทนตาสองข้างกับปาก

ลอร่า คูเปอร์ของผมมาปรากฏบนโลกนี้ด้วยความมั่นใจค่อนข้างมาก เพราะผมอัพให้เธอมี “ความทนทาน (Endurance)” ชนิดเต็ม max เท่ากับโคตรอึด แถมยังอัพส่วนของอาวุธพลังงานอย่างพวกปืนเลเซอร์หรือพลาสม่าค่อนข้างสูง พูดง่ายๆคือใช้สู้กับพวกที่อยู่โลกภายนอกตามปกติได้สบาย


(โอ้ว ผมรัก "ตูด" ตัวละครผม!)


(ยิงเจาะกะบาลศัตรูที่เป็นคนได้สบาย โดยเฉพาะปืนเลเซอร์)


(และนี่คือจุดเริ่มต้นของนรก การเข้าสู่ DLC Old World Blues ตั้งแต่ยังละอ่อน)


(เซ็กซี่ซะไม่มี!! จริงๆคือโดนผ่าตัดจนกลายเป็นไรเดอร์ เอ๊ย มนุษย์ดัดแปลงแล้ว...)


(พวก Mad Scientist ที่ผ่าตัดตัวเอง...)


แต่พอเริ่มเจอศัตรูชุดแรกๆเท่านั้นแหละ ความมั่นใจผมเริ่มหดลง!

พวกศัตรูก็เหมือนกับลอร่า คูเปอร์ของผม มันถูกดัดแปลงร่างกายให้แข็งแกร่งขึ้นเหมือนกัน! ดังนั้นด้วยความคึกคะนอง ผมจึงใส่ชุดบางๆสุดเซ็กซี่ไปสู้กับพวกมัน (ซึ่งถ้าเป็นตัวละครโลกภายนอกตามปกติ จะสู้ได้สบายมาก) ปรากฏว่าสู้ได้หืดขึ้นคอมาก! แถมพอเข้าไปฟัดแบบตัวต่อตัวยังตายหยั่งเขียดอีก!


(มั่นใจมาก เลยใส่ชุดนี้ลุย)


(โชว์ความเซ็กซี่แบบไม่ยั้ง)


(สุดท้ายตายหยั่งเขียดเลยค่า!!)


ปัญหาคือ DLC : Old World Blues ก็เหมือนกับ DLC ยานอวกาศมนุษย์ต่างดาวของ Fallout 3 คือพอเข้าไปในพื้นที่นั้นแล้วจะออกไม่ได้จนกว่าจะเคลียร์เกมได้! ฮ่วย! ไม่อยากจะเริ่มเล่นใหม่แล้วด้วยสิ อีกทั้งยังเสียดาย อุตส่าห์ได้อาวุธเจ๋งๆมาไว้ในมือแล้ว จะให้ไปเริ่ม save ก่อนหน้าจะเข้า DLC มันก็เสียดายจริงๆ เลยฝืนเล่นต่อไป

น้ำตาแทบเล็ดครับ!

ศัตรูมนุษย์ดัดแปลง (ไอ้พวกช็อกเกอร์!) อึด + โจมตีแรง, ศัตรูที่เป็นหุ่นก็อึด + โจมตีแรงเช่นกัน โดยเฉพาะไอ้หุ่นแมงป่องนั่น

ผมลองเสิร์ชในเนท ปรากฏว่าในเนทแนะนำให้เล่น DLC นี้ตอนเลเวล 15! แต่ว่าผมเพิ่งแค่ 5 หรือ 6 เท่านั้นเอง!!

อยากจะเล่นให้จบเพื่อจะเก็บอาวุธพวกนี้เอาไว้เล่นในเควสหลักของเกม ดังนั้นจึงฝืนเล่นให้จบทั้งน้ำตา

อะไรที่ทำผมยังทนเล่น DLC ทั้งที่หืดขึ้นคอได้ต่อไปน่ะหรือครับ?

ในความผิดพลาดมันยังมี “ความหวัง” อยู่น่ะสิ

เพราะเลเวลผมขึ้นอย่างรวดเร็วเนื่องจากศัตรูโหดน่ะสิ! 


(ไอ้พวกช็อกเกอร์มันอึดนรก!)


(มนุษย์สปอร์นี่มีอยู่ในตัวเกมหลัก แต่ใน DLC นี่ ผมเพิ่งเลเวลไม่ถึง 10 อ้วกแทบแตก ตายเป็นว่าเล่น!)


(ไอ้หุ่นนี่ก็อึดใช่เล่น โจมตีแรงใช้ได้ สำหรับคนเลเวลต่ำ)


(หุ่นแมงป่องพวกนี้ เจอตัวเดียวยังพอไหว แต่โผล่มาทีหลายตัวนี่ เล่นเอาอ้วก!)


(แต่ลอร่า คูเปอร์ก็ยังสู้กับมันแม้ตัวต่อตัวเพื่อประหยัดกระสุนก็ยอม)


(สู้ไม่ถอยแม้น้ำตาจะแทบไหล!)


(มันย่อมจะต้องมีความหวังเสมอ!)


พอจบ DLC นี้แล้ว นอกจากผมจะได้อาวุธเจ๋งมาครอบครองและใช้ในเควสหลัก ยังเทพมากจนแม้จะใส่ชุดนอนเซ็กซี่ตะลุยดงศัตรูก็ไม่มีปัญหา ยิงทีสองทีก็หัวกระจุย! ผมไม่ต้องห่วงเรื่องค่าป้องกันของชุดอีกต่อไป จะห่วงก็แค่ค่าความเสียหายของอาวุธเท่านั้นแหละ 

ในเกม Fallout ถ้าอาวุธเริ่มเสียหาย อานุภาพการโจมตีก็จะน้อยลงตามลำดับ ดังนั้นถ้าจะให้สู้ศัตรูโดยไม่ต้องสนใจความแข็งแกร่งของชุด ก็ต้องหวังพึ่งความแรงของอาวุธอย่างเดียวเท่านั้นแหละ!

ผลจากการผิดพลาด ตอนนี้ได้ทำให้ลอร่า คูเปอร์ของผมคือ “เทพธิดาแห่งแดนเถื่อน” เดินตะลุยใครหน้าไหนก็ได้โดยแทบไม่ต้องกลัวอะไร ถ้าเจอศัตรูรุม ก็แค่เปลี่ยนเป็นชุดเกราะที่มีค่าป้องกันสูงๆ และเปลี่ยนมาใช้เป็นอาวุธดีๆ เท่านี้ก็เรียบร้อยแล้ว!

นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเล่นเกมผิดพลาด แต่มันดันกลายเป็นข้อดีได้ถึงขนาดนี้เลยทีเดียว!! 

...
...

ปล. แต่ถ้าเจอระเบิด ก็บาดเจ็บจนขาเป๋มือห้อยเหมือนกันนะ เหอๆ...


(ได้อาวุธเจ๋งๆมาจาก DLC นี่แหละ ต่อยทีไฟลุกไหม้ วู้ว!)


(ใส่ชุดเซ็กซี่บางๆตะลุยแดนเถื่อนได้สบาย!)


(กรูคือเทพที่ไม่เกรงกลัวอะไรทั้งสิ้น! ยกเว้นระเบิดเท่านั้นแหละ)


(เซ็กซี่ซะไม่มี ลาร่า คูเปอร์ของฉัน!!)


(ฉันคือเทพ! ยกเว้นตอนโดนระเบิด...)



Create Date : 20 กุมภาพันธ์ 2558
Last Update : 20 กุมภาพันธ์ 2558 17:22:49 น.
Counter : 9994 Pageviews.

0 comment
[I love this shit] Spec Ops : The Line – อารมณ์หนังออสการ์บนวีดีโอเกม?


ถ้าพูดถึงเกม Overlooked (ถูกมองข้าม) หรือ Underrated (ไม่ดัง) หรือ “เกมเนื้อเรื่องดี” มักจะต้องมี Spec Ops : The Line (ออกจำหน่ายปี 2012) ติดอยู่ในหลายๆ ลิสต์เสมอ

เกมได้รับคำวิจารณ์แง่บวกจากนักวิจารณ์ 

คนเล่นที่ได้เล่นเกมนี้ส่วนใหญ่ก็จะชอบกัน 

แต่กลับขายไม่ดี!! 

Spec Ops : The Line เป็นเกมยิงบุคคลที่ 3 ของทีมผลิต Yager Development ซึ่งเป็นบริษัทเกมอินดี้ และจัดจำหน่ายโดย 2K Games ผู้จัดจำหน่ายให้เกมดังๆอย่าง Max Payne, Bioshock, Grand Theft Auto

จุดเด่นคือ มันเป็นเกมที่ไม่ใช่แค่ยิงๆศัตรูเพื่อไปให้จบเรื่องอย่างเดียว แต่มันเป็นแนวจิตวิทยาที่สภาพจิตใจสัมพันธ์กับศีลธรรมของตัวละครด้วย!



(+) เนื้อเรื่องน่าสนใจจนทำให้ต้องเล่นต่อเนื่องจนจบ
(+) โมเดลตัวละครปั้นได้ดี ตัวละครเรายิ่งเล่นก็ยิ่งเละขึ้นเรื่อยๆ
(+) ภาพศิลปะในเกมน่าสนใจ
(+) เสียงพากย์ทำได้ดี บทพูดก็น่าสนใจ โดยเฉพาะเมื่อเกิดความขัดแย้งด้านศีลธรรมระหว่างกลุ่มตัวละคร
(+) คาแร็กเตอร์ทั้งสามคนในทีมมีพัฒนาการขณะเนื้อเรื่องดำเนินไป
(+) สามารถออกคำสั่งให้ลูกทีมจัดการเป้าหมายที่เราต้องการ บางครั้งก็สั่งให้จัดการแบบเงียบๆได้ด้วย
(+) ฉากดูไบจมทะเลทรายทั้งหดหู่และงดงามในเวลาเดียวกัน
(+) การสู้รบดูรุนแรงร้อนระอุ สามารถทำลายกำแพงได้บางจุด หรือยิงให้กระจกแตกจนทรายถล่มใส่ศัตรูก็ได้
(+) ระบบการควบคุมโดยรวมลื่นไหลดี

(-) A.I. ศัตรูไม่แย่แต่ก็ไม่ฉลาดมาก วิ่งเป็นเส้นทางเดิมๆอยู่บ่อยครั้ง บางทีศัตรูวิ่งมาโจมตีเราคนเดียว ทั้งที่เพื่อนเราอยู่ใกล้ๆ
(-) A.I. เพื่อนเราบางครั้งก็ไม่ค่อยฉลาด แถมบางครั้งยังโผล่มาบังทางกระสุนเราอีก
(-) ภารกิจไม่ค่อยหลากหลาย ศัตรูวิ่งดาหน้ามาให้เรายิงอย่างเดียว
(-) มีระบบให้จัดการศัตรูแบบ Stealth ก็จริง แต่สักพักก็ต้องยิงกันนัวอยู่ดี
(-) ระบบสู้ด้วยมือเปล่าเวลาประชิดตัวไม่ดีไม่เลว หลายครั้งไม่ได้เป็นประโยชน์มาก
(-) ความแตกต่างด้านประสิทธิภาพระหว่างปืนเล็กกับปืนใหญ่ บางจุดก็ไม่ค่อยเห็นผลมาก


สงครามแห่งศีลธรรมบนผืนทะเลทราย

ตัวเนื้อเรื่องของ Spec Ops : The Line ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเรื่องสั้นคลาสสิคของโจเซฟ คอนราดเรื่อง Heart of Darknesss และเรื่องสั้นเรื่องนี้ก็เคยถูกดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ระดับออสการ์อย่าง Apocalypse Now ของแฟรนซิส ฟอร์ด คอปเปล่าด้วย!




ฉะนั้น ใครเคยอ่านนิยาย Heart of Darkness หรือดูหนัง Apocalypse Now แล้ว ก็คงจะพอเดาๆเนื้อหาของ Spec Ops : The Line ออก

เรื่องราวเกิดขึ้นหลังจากที่ดูไบเกิดวิกฤติพายุทะเลทรายลูกใหญ่ถล่มจนเมืองเละ ไม่สามารถใช้อาศัยอยู่ได้อีกต่อไป เราเล่นเป็นมาร์ติน วอล์กเกอร์ หัวหน้าทีมเล็กของเดลต้าฟอร์ซ ต้องนำลูกทีมอีกสองคนคืออัลฟานโซ อดัมส์กับจอห์น ลูโก้ออกค้นหาผู้รอดชีวิตของกองร้อยที่ 33 ซึ่งนำโดยจอห์น คอนราด รวมถึงค้นหาความจริงว่ามันเกิดอะไรขึ้น ณ ที่แห่งนั้นด้วย




แต่ภารกิจกลับไม่ใช่เรื่องง่าย พวกวอล์กเกอร์ต้องเผชิญหน้ากับกลุ่มติดอาวุธซึ่งเป็นผู้รอดชีวิต และไปๆมาๆก็ต้องสู้กับทหารอเมริกาด้วยกันเอง แถมยังมีเรื่อง CIA เข้ามาเกี่ยวข้องอีก ระหว่างนั้นวอล์กเกอร์กับลูกทีมก็ต้องผ่านการตัดสินใจยากๆอันนำมาซึ่งความหมิ่นเหม่ของศีลธรรมด้วย

...ราวกับว่ากำลังเดินเข้าสู่ใจกลางของความมืดมิด (Heart of Darkness) ที่แสงสว่างอันแรงจ้าของดวงตะวันก็ปิดซ่อนไว้ไม่ได้!!






เนื้อเรื่องคือหัวใจของเกมอย่างแท้จริง

มันมีสิ่งที่เรียกว่า “ศิลปะในการเล่าเรื่อง” ซึ่งที่ผ่านๆมา เกมหลายเกมก็มีการเล่าเรื่องที่น่าสนใจจนเรียกว่ามี “ศิลปะในการเล่าเรื่อง” ได้ค่อนข้างเต็มปาก ไม่ว่าจะเป็นเกมชุด Silent Hill, Bioshock, Mass Effect, Final Fantasy บางภาค ฯลฯ

Spec Ops : The Line ไม่ได้มีความสมบูรณ์เหมือนกับหนังออสการ์ ตรงกันข้าม ผมรู้สึกว่ามันยังมี "ช่องโหว่" เยอะ แต่มันเจิดจรัสมากพอจนแม้แต่เว็บไซต์อย่าง IGN จะต้องเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล “Best PC Story” ประจำปี 2012 ให้เลย

มันก็น่าจะเป็นอย่างนั้น 


ผมไม่เคยอ่าน Heart of Darkness แต่ได้ดู Apocalypse Now บวกกับอ่านข้อมูลเสริมของตัวนิยาย ผู้เขียนบทคือวอลท์ วิลเลียมส์สามารถดึงหัวใจของตัวนิยายออกมาใช้กับตัวเกมได้ค่อนข้างดี ตัวละครต้องเดินอยู่บนทางที่เจอความขัดแย้งว่า “อะไรถูก-อะไรผิด” “อะไรดี-อะไรชั่ว” บางครั้งการกระทำของตัวละครที่ผู้เล่นมองว่าเป็นการเอาตัวรอด (เพื่อให้จบเกม) กลับกลายเป็นการทำร้ายผู้บริสุทธิ์โดยไม่ได้ตั้งใจ!! 





ในระหว่างดำเนินเกม จะมีอยู่หลายจุดให้ผู้เล่นตัดสินใจเลือกว่าจะจัดการอย่างไรกับสถานการณ์ เช่น จะช่วยเจ้าหน้าที่ CIA เพื่อเข้าถึงข้อมูลของคอนราด หรือว่าจะช่วยเหลือชาวบ้านผู้บริสุทธิ์สามคน
บางครั้งเราต้องเลือกระหว่างจะยิงชาวบ้านที่กำลังโกรธแค้นปาหินใส่เรา หรือจะแค่ข่มขู่เพื่อขับไล่



แม้กระทั่งหลังเครดิตตอนจบเกมก็ยังมีจุดให้เราตัดสินใจเลือกเป็นการทิ้งท้าย

หลายๆจุดให้อารมณ์ไม่ต่างกับเกมสยองขวัญ อารมณ์เดียวกับตอนที่ตัวละครของมาลอน แบรนโดใน Apocalypse Now พูดทิ้งท้ายว่า “The horror, the horror...” นั่นแหละ



ตกลงแล้วมันอะไรอย่างไรกันแน่?

เนื้อเรื่องของ Spec Ops : The Line ค่อนข้างจะคลุมเครือ มันมีความชัดเจนอยู่ในระดับหนึ่ง แต่จนแล้วจนรอดคนทำเกมก็มีหลายจุดที่ปล่อยให้ผู้เล่นต้องมาตีความกันเอาเอง

จึงเกิดเป็นการตั้งทฤษฎีหรือตั้งคำถามขึ้นมาในเว็บบอร์ดต่างๆ มีการตีความที่ค่อนข้างหลากหลาย และตัวผู้เขียนบทก็เหมือนจะบอกให้ “ผู้เล่นเป็นคนตัดสินใจเองว่ามันเกิดอะไรขึ้น”

ถ้าถามความรู้สึกผม มันมีหลายๆจุดที่ค่อนข้างจะเดาได้อยู่ อย่างที่บอกว่าผมเคยดู Apocalypse Now มาก่อนแล้ว และเกมที่เล่นกับภาพหลอนหรือสภาวะจิตใจที่สัมพันธ์กับสถานการณ์ปัจจุบัน ก็เป็นสิ่งที่ผมเคยเห็นมาบ่อยๆทั้งจากหนัง เกม การ์ตูน หรือนิยาย (ผมเคยวิเคราะห์ Silent Hill ภายในบล็อกนี่แหละ จริงไหมครับ?)




อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เกมจบลง ผมรู้สึกเหมือนยังติดพันอยู่กับเนื้อเรื่องของมัน และอยากจะหวนกลับไปคิดถึงมันอีกครั้งอยู่เหมือนกัน

ตรงนี้ต้องยกความดีให้กับคนเขียนบทโดยแท้ เพราะเขาได้เขียนบทของคาแร็กเตอร์ให้เรามีความรู้สึกสนใจ เข้าถึงได้ง่าย จนมีอารมณ์ร่วมไปกับเหตุการณ์ต่างๆได้เป็นอย่างดี พอจบเกมก็กลายเป็นว่า “เกมจบแต่คนไม่จบ”


ฉากสวย โมเดลตัวละครดี งานศิลปะเก๋

ฉากดูไบที่โดนพายุทรายท่วมนั้น ช่างสวยงามยิ่งนัก หดหู่ไปหน่อยแต่ก็สวยงาม 



บางจุดเราก็ต้องขึ้นไปสูงมาจนเห็นทิวทัศน์ด้านล่างแบบสุดลูกหูลูกตาและเต็มไปด้วยหมอก จนหลายๆครั้งก็อดยืนชมวิวไม่ได้





โมเดลตัวละครก็ปั้นได้ดี มีการเปลี่ยนแปลงระหว่างเนื้อเรื่องในเกมดำเนินไป ยิ่งสู้ก็ยิ่งเละขึ้นเรื่อยๆ มีบาดแผลบนใบหน้าและตามลำตัวมากขึ้นเรื่อยๆ ช่วยเสริมสร้างบรรยากาศการต่อสู้อันดุเดือด และรับกับสภาวะจิตใจของตัวละครที่ชักจะมืดมนมากขึ้นเรื่อยๆได้เป็นอย่างดี






ที่ชอบสุดๆคือ ภาพศิลปะบนฝาผนังของเกมนี้ มันเก๋ดีนะ






ระบบเกม : มันก็ Call of Duty เวอร์ชั่นบุคคลที่ 3 นี่แหละนะ

จุดเด่นของเกมมันไปอยู่ที่เนื้อเรื่องเสียส่วนใหญ่ ด้านระบบเกมเลยค่อนข้างจะด้อยไปนิด

ถ้าให้ผมสรุปง่ายๆ มันก็คือ Gear of War หรือ Mass Effect ผสมกับ Call of Duty ดีๆนี่เอง ระบบการควบคุมเหมือน Mass Effect, มีหลบขณะยิง มีวิ่งเข้าไปต่อยศัตรูให้ล้มลง แล้วก็กระทืบซ้ำหรืออะไรก็ว่ากันไป, มีปืนให้เปลี่ยนครั้งละสองกระบอก, กดขว้างระเบิดได้ 3 แบบ (ระเบิดธรรมดา, ระเบิดแบบติดตัวศัตรู, ระเบิดสตั้นท์), ทำลายเสาหรือกำแพงบางจุดที่ศัตรูหลบอยู่ได้, หรือจะยิงกระจกให้ทรายถล่มใส่หรือมันร่วงลงมาตายเองก็ได้



เรามีลูกทีมสองคนคือลูโก้กับอดัมส์ สามารถสั่งลูกทีมเราให้โจมตีเป้าหมายที่ระบุไว้ได้ด้วยการกดเมาส์กลางค้างไว้แล้วเลือกเป้าหมาย ช่วยลดภาระให้เราระดับหนึ่ง เพียงแต่ลูกทีมเราบาดเจ็บได้ ต้องรีบวิ่งเข้าไปรักษามันก่อนจะตาย (ถ้าลูกทีมตายก็เกมโอเวอร์)





บางครั้งเราก็สั่งให้ลูกทีมเราฆ่าศัตรูแบบเงียบๆ ซึ่งก็เข้าท่าดี

แต่ปัญหามันอยู่ตรงที่ บางครั้งลูกทีมเราก็เข้ามาบังทางเรา ทำให้แทนที่จะยิงศัตรูกลับไปโดนตัวลูกทีมแทน บางครั้งสั่งให้มันโจมตีศัตรู แต่ยิงยังไงก็ไม่ค่อยโดน เราก็ต้องจัดการเองอยู่ดี และถึงเราจะสั่งให้มันฆ่าแบบเงียบๆได้ แต่พอถึงจุดหนึ่งก็ต้องยิงกันโกลาหลเหมือนเดิม

A.I. ของศัตรูไม่ได้แย่ก็ไม่ได้ฉลาดเท่าไหร่ บางตัวยืนอยู่กับที่ บางตัววิ่งเข้ามาเส้นทางเดิมๆ มีอยู่ฉากสองฉากที่ผมต้องตายบ่อยครั้ง แล้วศัตรูบางตัวมันก็วิ่งเข้ามาเป็นเส้นทางเหมือนเดิมทุกครั้งเลย

แต่ทำไมผมถึงตายได้หลายครั้ง? 

คำตอบคือ มันเหมือนกับ Call of Duty ครับ เป็น Shooting Gallery ทำนองว่าศัตรูวิ่งมาให้เรายิงเล่นเป็นตับ สนามรบเต็มไปด้วยความโกลาหล กระสุนกับระเบิดปลิวว่อน เราไม่มีการเก็บยารักษา ไม่มีหลอดเลือดให้เราดู ทุกครั้งที่บาดเจ็บ หน้าจอจะเปรอะเลือดและโทนสีจะกลายเป็นขาวดำเรื่อยๆเหมือน Call of Duty ถ้าหลบสักระยะจะหายเป็นปกติ เพียงแต่... บางครั้งโกลาหลมากๆ ต่อให้ศัตรูวิ่งมาทิศทางเดิมๆ ผมก็ยังตายง่ายอยู่ดี...



แล้ว A.I. ยังมีอะไรประหลาดๆ ศัตรูบางตัววิ่งถือมีดเข้ามาโจมตีเราระยะประชิดตัว ปัญหาคือ บางครั้งเราอยู่ใกล้กับลูกทีมเรา แต่แทนที่มันจะวิ่งโจมตีลูกทีมเราซึ่งอยู่ใกล้ตัวมันที่สุด กลับวิ่งอ้อมเข้ามาโจมตีเราแบบดื้อๆ แถมลูกทีมเราก็ยังไม่จัดการอะไรให้เราเลยด้วย แปลกจริง...

นอกจากนี้ยังมีจุดแปลกๆอีกอย่าง บางฉากมีกระจกกั้นระหว่างเรากับศัตรู แต่ศัตรูยิงใส่เราได้ตรงๆโดยกระจกไม่แตก (ทะลุเลยว่างั้น) ขณะที่เราต้องยิงมันผ่านกระจกจนแตกกระจาย แปลกจริงๆ!!

Spec Ops : The Line ค่อนข้างจะสั้นเหมือน Call of Duty ด้วย คือผมเล่นแค่ 7 ชั่วโมงจบ แต่เห็นว่าบางคนใช้เวลาแค่ 5 ชั่วโมงเท่านั้น... 

พูดถึงปืนในเกมนี้ ผมไม่ค่อยเห็นความแตกต่างระหว่างการใช้ปืนกลกับปืนสั้น ประสิทธิภาพการยิงค่อนข้างจะใกล้เคียงกันพอสมควร จะเห็นผลก็แค่บางฉาก คือปืนสั้นยิงไกลๆไม่ค่อยได้ เพราะฉะนั้นหลายๆครั้งผมเลยไม่สนใจจะเก็บปืนสั้นและใช้ปืนยาวเกือบตลอดเกม ยกเว้นก็แต่บางจุดเกมมันบังคับให้ใช้ หรือแค่อยากลองใช้เล่นๆขำๆเพราะมันดูเท่เท่านั้นแหละ


สรุป
Spec Ops : The Line เป็นเกมสั้นๆแต่ดี การเขียนบทก็ใช้ได้ ประเด็นเกี่ยวกับสภาพจิตใจกับศีลธรรมก็น่าสนใจ ระบบเกมอาจไม่ได้ดีอะไรมาก แต่โดยรวมผมชอบมันนะ รู้สึกเหมือนอยากเล่นมันอีกรอบเลย!!







Create Date : 07 กุมภาพันธ์ 2558
Last Update : 8 กุมภาพันธ์ 2558 0:18:42 น.
Counter : 6087 Pageviews.

1 comment
[I love this shit] Life is Strange : ปริศนาวังวนแห่งสาวอนาล็อก!
ตรียมใจคุณให้พร้อม พลังยูริกำลังจะเบ่งบาน..... 

ผมตัดสินใจซื้อเกม Life is Strange Episode 1 : Chrysalis แบบราคาเต็มบน Steam คือ 159 บาท 

แล้วมันก็คุ้มมาก! คุ้มตังค์สำหรับคนชอบเล่นเกม Adventure ที่มีเนื้อเรื่องดีๆน่าสนใจ!
เคยดูซีรีส์อเมริกาอย่าง Twin Peaks หรือเรื่องอะไรก็ตามที่เนื้อหาเกิดขึ้นในเมืองเล็กๆไหมครับ? เคยเล่นเกมอย่างพวก Heavy Rain หรืออะไรทำนองนี้ไหมครับ?! 

Life is Strange เป็นเกมสไตล์ Adventure ที่จัดจำหน่ายโดย Square Enix และพัฒนาโดย Dontnod Entertainment ซึ่งมีผลงานอย่าง Remember Me (และดูเหมือนจะไม่ค่อยมีคนประทับใจเกมนั้นสักเท่าไหร่) มีกำหนดทั้งหมด 5 Episodes และเพิ่งจะปล่อยออกมาแค่ Episode 1 เท่านั้น



(+) เนื้อเรื่องน่าสนใจพอจะทำให้ติดตามตอนต่อๆไป อารมณ์แบบซีรีส์อย่าง Twin Peaks
(+) ภาพสวยใช้ได้สำหรับเกมราคาไม่แพง
(+) บทดี เสียงพากย์เยี่ยม มุมกล้องและการตัดต่อเวิร์ก
(+) การควบคุมเข้าใจง่าย ทำความเข้าใจแปบเดียวก็ง่ายแล้ว
(+) ปริศนาสร้างสรรค์ใช้ได้ ทำให้เล่นสนุก

(-) สั้นไปหน่อย 3 ชั่วโมงจบ (เล่นแบบอ้อยอิ่งแล้ว)
(-) ปริศนาง่ายไปนิด ไม่ค่อยจะท้าทายเท่าไหร่
(-) ยังมีบั๊กเยอะ (แต่ทีมพัฒนาเกมก็ปล่อย patch แก้ออกมาค่อนข้างเร็ว แม้จะยังไม่สมบูรณ์ก็ตาม)


ปริศนาวังวนแห่งสาวอนาล็อก


Life is Strange เป็นเรื่องของแม็กซ์ คอลฟีลด์ แม่โอตาคุสาวผู้หลงใหลในกล้องแบบอนาล็อกหรือกล้องรุ่นเก่าๆ เธอกลับมาที่เมืองอาร์คาเดียเบย์ในรัฐโอเรกอนอีกครั้งหลังจากที่ออกไปอยู่ที่อื่นห้าปี 



ในวันหนึ่งขณะอยู่ในชั้นเรียน เธอฝันร้ายถึงคืนที่มีพายุคะนองและได้พบกับพายุลูกใหญ่ก่อนจะตื่นขึ้น 





หลังจากนั้นเธอได้พบกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเมื่อเห็นสาวผมน้ำเงินถูกเด็กนักเรียนชายคนหนึ่งฆ่าตาย ตอนนั้นเองที่แม็กซ์พบว่าตัวเองมีความสามารถในการ Rewind Time หรือก็คือย้อนเวลากลับหลังได้นั่นเอง!




แม็กซ์ต้องพบกับตัวละครต่างๆ รวมถึงปริศนาสำคัญเกี่ยวกับการหายตัวไปของเด็กสาวชื่อราเชล เรื่องทั้งหมดนี้จะลงเอยอย่างไรกันแน่?




เกมสั้นๆ ปริศนาง่ายๆ การควบคุมไม่ยุ่งยาก

Life is Strange เป็นเกม Adventure ที่มีมุมมองแบบบุคคลที่สาม เราควบคุมตัวละครได้เหมือนเกมแอ็กชั่นทั่วไป เพียงแต่เวลาที่จะสำรวจสิ่งของ ตัวเกมจะไฮไลท์สิ่งที่เราสำรวจได้ และจะมีวงกลมพร้อมคำสั่งให้เราเลือกว่าจะให้ทำอะไร จะดูเฉยๆหรือจะหยิบขึ้นมา โดยการกดลากเมาส์ไปยังทิศของคำสั่งนั่นแล้วปล่อยเมาส์ 

ง่ายๆ ไม่มีอะไรซับซ้อน





และในบางจุด เราสามารถย้อนเวลาได้ด้วยการกดเมาส์ขวา และกด Shift เพื่อเร่งความเร็วของการย้อนเวลา ซึ่งเราจะย้อนเวลาได้แค่ระดับหนึ่ง แต่มากพอจะใช้ไขปริศนาอะไรบางอย่างได้




เช่น บางครั้งเราอยากจะให้เพื่อนผู้ชายเปิด portfolio ของผลงานให้ดู แต่มันจะถามว่าใครเป็นคนถ่ายรูปบลาๆๆ เราก็อาจต้องลองผิดลองถูกไปก่อน ถ้าผิดก็ย้อนเวลากลับไปเดาใหม่ 



หรือถ้าเราเลือกทำเหตุการณ์บางอย่าง แล้วรู้สึกว่ามันยังไม่โดน ก็ย้อนเวลากลับไปเลือกทำอีกอย่าง แล้วต้องชั่งน้ำหนักในใจว่าอันไหนโอเคกว่ากัน แล้วก็เลือกทางใดทางหนึ่งไป

มันเป็นเกมสั้นๆ ผมใช้เวลาเล่น 3 ชั่วโมงก็จบ (หมดเวลาไปกับการอ่านนู่นอ่านนี่ซะเยอะ) ปริศนาในเกมก็ง่ายๆ ซึ่งแน่นอนว่าตัวเลือกทั้งหมดที่เราเลือกไป จะไปมีผลเกี่ยวเนื่องกับ Episode หลังๆที่ออกมาอย่างแน่นอน

ถึงปริศนาจะง่ายไม่ค่อยท้าทายสักเท่าไหร่ แต่ก็รู้สึกสนุก รู้สึกว่ามันใช้ได้อย่างสร้างสรรค์ ตรงนี้ถ้าตอนต่อๆไปเพิ่มความท้าทายมากขึ้นอีกนิด จะสวยมากเลยทีเดียว




ไฮไลท์ของ Life is Strange!

กราฟิคของเกมค่อนข้างจะโอเคถ้าเทียบกับที่มันเป็นเกมราคาถูก ปริศนากับเกมเพลย์ก็ไม่ถึงกับมีอะไรโดดเด่นมาก





แต่ไฮไลท์ของเกมนี้มันอยู่ที่เนื้อเรื่องครับ!

มันทำให้ผมนึกถึงซีรีส์อย่าง Twin Peaks คือเหตุการณ์เกิดขึ้นในเมืองชนบทเล็กๆ มีเด็กสาวหายตัวไปอย่างลึกลับ ตัวเอกต้องเข้าไปข้องเกี่ยวกับตัวละครน่าสงสัย แล้วเหมือนจะมีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรสักอย่างปิดบัง รวมถึงการทิ้งปมประเด็นใหญ่ที่ตัวละครจะต้องเผชิญใน Episode หลังๆอีกด้วย




ทั้งเสียงพากย์ ทั้งการเขียนบท เรียกว่าใช้ได้เลยทีเดียว การตัดต่อ มุมกล้อง และเพลงประกอบก็เวิร์ก มันยังไม่มีจุดระเบิดถึงขั้นที่ต้องร้องว่า “โอ้ว มันเจ๋งมาก” แต่ Episode 1 ทำหน้าที่ของมันได้ดีคือยั่วน้ำลายให้คนรู้สึกสนใจกับตัวละครและเรื่องราว






โดยรวมแล้ว Life is Strange Epidsode 1 นี้ มันทำให้ผมคาดหวัง... หวังว่า Episode หลังๆเนื้อเรื่องจะไม่ห่วยลง ได้โปรด ขอร้อง ถ้าเนื้อเรื่องไม่ได้พีคขึ้นกว่านี้ ก็ขออย่าได้ดร็อปกว่านี้เลย เพราะผมตั้งใจจะซื้อมาเล่นต่ออยู่แล้วละ!






Create Date : 01 กุมภาพันธ์ 2558
Last Update : 1 กุมภาพันธ์ 2558 9:54:51 น.
Counter : 7191 Pageviews.

4 comment
[I love this shit] Fallout 3 : เสพติด! เสพติด! คือความหมายแห่งการเสพติด!
ให้ตายเถอะ Fallout 3 เป็นเกมที่ผมไม่คิดว่าจะเล่นจนติดได้ขนาดนี้เลย ลองคิดดูสิ มันเป็นโลก Open world แบบเปิดกว้างคล้ายๆกับ Elder Scrolls อย่างภาค Skyrim หรืออะไรแบบนั้น เพียงแต่มันเป็นโลกที่รกร้าง ผืนดินแตกระแหง ต้นไม้แทบไม่มี มีแต่ซากปรักหักพัง น้ำก็เต็มไปด้วยสารพิษ มันน่าเล่นตรงไหนวะ?

แต่ผมก็ติดมันไปแล้ว ติดหนึบเลยด้วย

ทำไมน่ะเหรอ? นี่คือเหตุผล!

(ปล. ผมได้เล่น Fallout 2 ไปแค่นิดเดียวเอง แต่สามารถมาเล่น Fallout 3 ได้สบายๆ ไม่มีปัญหาเรื่องความเข้าใจในด้านเนื้อเรื่องหรือระบบการเล่นแต่อย่างใด)




มันคือเรื่องราวของเราเอง!

(ผมเคยเล่าเรื่องราวของ Fallout 3 ที่เกี่ยวกับตัวละคร PeterPan ซึ่งอ่านได้ที่นี่ครับ น่าจะเป็นหนึ่งในตัวอย่างได้ Smiley)

+ Fallout 3 ไม่ได้โดดเด่นที่เนื้อเรื่อง ตัวเนื้อเรื่องออกจะเรียบง่ายมาก คือเป็นโลกยุคหลังสงครามนิวเคลียร์สองร้อยปี ยุคที่เราอยู่คือปี 2277 ซึ่งผลของนิวเคลียร์ทำให้อเมริกากลายเป็นดินแดนที่ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ง่ายๆ น้ำปนเปื้อนไปด้วย กัมมันตภาพรังสี มนุษย์เลยสร้างหลุมนิรภัยขึ้นมา โดยสถานที่ที่เราอยู่คือ Vault 101 




+ เกมให้เรากำหนดค่าต่างๆตั้งแต่ตอนแรกเกิด คืออุแว้มาก็ให้เลือกเพศ หน้าตาที่เราต้องการในอนาคต สีผม รวมถึงชื่อ หลังจากนั้นก็ให้เราเริ่มเล่นตั้งแต่คลานแบเบาะ 





+ ชีวิตในช่วงต้นของเราจะอยู่ใน Vault 101 ได้เรียนรู้การยิงปืน การควบคุมระบบขั้นพื้นฐานจากในนี้ จนกระทั่งวันที่เราโต และพ่อของเราคือเจมส์ นักวิทยาศาสตร์และหมอของ Vault 101 ก็หลบหนีไปจากหลุมนิรภัย ทำให้คนอื่นๆหันมาเพ่งเล็งเรา เพื่อนสนิทหญิงของเราก็เลยบอกให้เราหนีไปซะ การผจญภัยของเราจึงได้เริ่มขึ้นจากตรงนั้น



+ ให้ตายเถอะ โลกภายในนอกของ Fallout 3 มันไม่ได้เจริญหูเจริญตาเลย แถมเนื้อเรื่องก็แสนจะธรรมดา แต่นี่คือชีวิตของเราเอง คือการเดินทางของเราเอง เราจะเดินไปไหนทำอะไรก็ได้ (เท่าที่ระบบเกมจะเอื้ออำนวยได้) เราคือคนกำหนดทิศทางของเรื่องราว คุณจะให้ตัวเอกของเรื่องเป็นคนดีหรือคนเลวก็ได้ 



+ ในเกมมีระบบที่เรียกว่า Karma หรือค่ากรรม เราทำดีก็ได้ค่ากรรมดี เราทำไม่ดีเช่นไปจุดระเบิดจนทำให้เมืองๆหนึ่งบึ้ม เราก็จะได้ค่ากรรมไม่ดีมา ซึ่งก็จะมีผลต่อเนื้อหาของเกม ทำไม่ดีเราก็โดนประณาม ทำดีเราก็ได้รับคำชม (หรือถ้างกของเรียกร้องขอรางวัลได้ ไม่มีปัญหา)  ...แต่มันมีคนเสียผลประโยชน์ก็เลยส่งคนมาตามล่าฆ่าเราเป็นระยะๆ



+ Fallout 3 เป็นเกมที่มีโครงเรื่องหลักแบบคร่าวๆมาให้ มันมีภารกิจหลักและเป้าหมายที่เราจะต้องไปให้ถึง (เพื่อจบเกม) แต่เราคือคนกำหนดจังหวะของเนื้อเรื่อง กำหนดเรื่องราวรายละเอียดปลีกย่อยต่างๆเอง โดยสุดท้ายจะไปสอดคล้องกับเป้าหมายหลักของเกม เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นเหมือนเรื่องของคนเล่นเอง คือเรื่องของตัวคุณ คือเรื่องของตัวผม บนดินแดนที่รกร้างโหดร้ายป่าเถื่อนแห่งนี้



+ เกมนี้มี “ทางเลือก” ให้เราได้เล่นอย่างหลากหลาย เช่น เราจะอัพเกรดตัวเองให้เป็นนักสู้แบบแรมโบ้ หรือจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ไม่ก็หัวขโมยที่อาจจะอ่อนแอ แต่มีทักษะเอาตัวรอดด้านอื่นสูง (แล้วใช้เงินไปฟาดพวกรับจ้างสู้มาช่วยเราสู้แทน) ก็ได้



+ บางภารกิจมีทางเลือกให้เราเอาของสามทาง 1) คือถ้าเรามีค่าปลดล็อกประตูที่สูงพอ ก็จะสามารถเข้าไปยังห้องที่ปิดระบบปืนป้องกันภัย ทำให้ข่มขู่คนที่มีของที่เราต้องการได้ง่ายขึ้น หรือ 2) คือ สู้กันแบบโต้งๆ ยอมเสี่ยงตายเอา หรือ 3) คือ ไปทำภารกิจให้มันเพื่อรับของมาอย่างละมุนละม่อม แน่นอนว่ามันมีผลเกี่ยวกับค่ากรรมด้วย

+ เชิญเลือกวิธีเล่นได้ตามสบาย เชิญเลือกใช้อาวุธในแบบที่ชอบ จงสวมวิญญาณนักสำรวจหรือผู้เอาชีวิตรอดซะให้เต็มที่!!





จงสำรวจ จงเอาชีวิตรอด

+ นี่คือประเด็นหลักที่ทำให้ผมเสียเวลาเล่นเกมนี้เป็นชั่วโมงๆ เกมนี้มีวิธีการกระตุ้นสารสื่อประสาทอย่างโดพามีน (เกี่ยวข้องกับระบบการให้รางวัลและเสพติด) ให้ทำงานต่อเนื่องได้อย่างมีประสิทธิภาพจนยากจะขัดขืนได้ 

+ มันเหมือนกับ Elder Scrolls อย่าง Skyrim (บริษัท Bethesda เป็นคนสร้างเหมือนกัน) คือมันเป็นโลกกว้าง มันกว้างมาก แต่ไม่มีพาหนะมาให้เรา เราต้องเดินมันอย่างเดียว ผมเดินจากมุมซ้ายบนของแผนที่มายังตรงแถวกลางแผนที่ ให้ตายเถอะ เดินเป็นชั่วโมง (ตามเวลาจริง) เพราะไม่ใช่แค่กว้าง แต่มันมีอุปสรรคมาขัดขวางเราเป็นระยะๆด้วย 



+ มันเหมือนเกม Elder Scrolls คือมีสถานที่ให้สำรวจมากมาย แต่เปลี่ยนดันเจี้ยนเป็นถ้ำที่ใช้ทดลองบ้าง สถานีรถไฟใต้ดินบ้าง ห้องใต้ดินของตึกร้างบ้าง ฯลฯ เรียกว่าสถานที่ที่ให้สำรวจเยอะกว่าสถานที่ที่เกี่ยวกับภารกิจหลักของเรื่องแทบจะในอัตรา 3:1 เลยทีเดียว



+ ไม่มีการสำรวจใดที่ไร้ประโยชน์ในเกมนี้ ไม่มีเลยจริงๆ มันคือเกมที่คุณต้องเอาชีวิตรอด คุณต้องแกร่ง ต้องเก่งขึ้น เหมือนเกม RPG ทั่วไป ทุกครั้งที่คุณสำรวจพบสถานที่ใดสถานที่หนึ่ง มันจะให้ค่า EXP (ค่าประสบการณ์) ทุกครั้งที่คุณปลดระเบิดได้ มันก็จะให้ค่า EXP ทุกครั้งที่คุณฆ่าศัตรู (แม้จะเป็นแมงกะจั๊ว) มันก็จะให้ค่า EXP เรียกว่ายิ่งสำรวจมากเท่าไหร่ โอกาสที่ค่า EXP จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจน Level up ก็มีสูงขึ้น ไม่ต้องวิ่งวนหาศัตรูเพื่ออัพ Level อย่างเดียวเหมือนหลายๆเกม

+ ขยะในเกมนี้เต็มไปหมด แต่ขยะทั้งหลายมีประโยชน์หลายทาง 1) เอาไปขายเพื่อแลกกับเงิน (ขวดน้ำอัดลม) เพื่อจะได้เอาไปซื้ออาวุธดีๆ ชุดเกราะดีๆ หรือจะได้มีเงินไปจากให้ซ่อมอาวุธกับเกราะที่มันจะเสื่อมสภาพไปเรื่อยๆตามการใช้งาน 2) ถ้าคุณมีสกิลที่ใช้ในการซ่อมแซมเอง คุณจะสามารถเอาปืนชนิดเดียวกันที่เก็บได้เอามาซ่อมและเพิ่มค่าในการโจมตี หรือเพิ่มค่าป้องกันสำหรับชุดเกราะได้เอง ยิ่งค่าสกิลในการซ่อมสูงเท่าไหร่ ก็ยิ่งซ่อมของหรืออุปกรณ์ได้ดีมากขึ้นเท่านั้น 3) ขยะพวกนี้ บางอย่างเอาไปใช้ทำอาวุธต่างๆได้ถ้าคุณไปได้แผนผังของอาวุธมา และระบุว่ามันจะต้องใช้อะไรบ้าง เช่น ปืนไรเฟิลยิงตะปู จะต้องรวบรวมจากตะปูสำหรับใช้ในทางรถไฟใต้ดิน กับข้าวของอีกสามอย่าง เป็นต้น 4) ของบางอย่างอาจกลายเป็นสิ่งที่จะเอามาใช้เพิ่มค่า EXP ได้ เช่น Scrap Metal (เหล็กขยะ) ซึ่งมีตาลุงคนนึงต้องการมัน ถ้าคุณเอามาให้ตาลุงนี้ ตะแกจะให้เงินพร้อมกับที่เราได้ค่า EXP มาด้วย เป็นต้น ฟู่... เยอะว่ะ 

+ การสำรวจทำให้คุณได้พบกระสุนปืน หรือหยูกยา หรือของกินซึ่งสามารถดำรงชีวิตระหว่างทำภารกิจได้ อีกทั้งบางครั้งเรายังได้เจอหนังสือที่สามารถใช้อัพเกรดสกิลของเราได้ด้วย ดังนั้นเวลาเจอหนังสือพวกนี้ คุณต้องเก็บเอาไว้ รอจนกระทั่งอัพเกรด Perks ที่เรียกว่า Comprehension (การทำความเข้าใจ) ซึ่งทำให้เวลาคุณกดเลือกอ่านหนังสือตามที่มันระบุไว้ ก็จะได้ค่าทักษะบางอย่างเพิ่ม เช่น ทักษะวิทยาศาสตร์, ทักษะการขโมย, ทักษะการพูดโน้มน้าว ฯลฯ ไม่ต้องรอการเลเวลอัพอีกต่อไป 



+ เกมนี้มันคือ “การเอาชีวิตรอด” ให้ตายเถอะ มันมีทั้งหนูกลายพันธุ์ แมงป่องกลายพันธุ์ แล้วยังมีพวกโจร รวมถึง Super Mutants ที่เปรียบได้กับออร์คในโลกแฟนตาซี แต่ละอย่างโหดทั้งนั้น แล้วยังมีน้ำที่ใช้รักษาเราได้ แต่มันปนเปื้อนด้วยกัมมันตรังสี ดังนั้นดื่มน้ำเข้าไป HP เราอาจเต็มแต่ก็ได้ค่ารังสีสะสมเพิ่ม หรือเรากินอาหารเพิ่ม HP ก็จะติดพิษจากรังสีมาด้วย ต้องไปหาหมอรักษาหรือไม่ก็ใช้ยาลดอาการติดพิษจากรังสี ถ้าอยากรักษาโดยไม่ติดพิษ ก็ต้องใช้ยาหรือน้ำบริสุทธิ์ที่หาซื้อหรือเก็บได้ตามที่ต่างๆ



+ นอกจากนี้เรายังมีภาวะอ่อนล้าด้วยครับ คือวิ่งๆอยู่แล้วอ่อนล้า เราก็ต้องหาที่นอน ซึ่งที่นอนนี่ถ้าไม่มีเจ้าของเราก็นอนได้ ถ้ามีบ้านเป็นของเราเองก็นอนได้ แต่ถ้ามีเจ้าของเราจะนอนไม่ได้ ถ้าไม่อยากทำเลวคือไปฆ่าเจ้าของแล้วชิงที่นอน ก็ต้องไปหาที่อื่น พอได้นอนพักสักเจ็ดชั่วโมง เราก็จะกลับมาแข็งแรงตามปกติครับ



+ อาการบาดเจ็บของเรา มีทั้งที่เลือดลดลง กับที่บาดเจ็บเป็นส่วนๆเช่น โดนยิงจนแขนพัง (ทำให้ยิงหรือสู้ไม่สะดวก) โดนอะไรสักอย่างจนขาพัง (ทำให้วิ่งได้ไม่สะดวก) ก็ต้องใช้ยาหรือไม่ไปหาหมอรักษาเอา

+ เหตุผลที่ว่ามา จึงทำให้เราต้องแข็งแกร่งครับ! เราต้องสำรวจเพื่อหาของมาอัพเกรดอาวุธหรือซื้ออาวุธที่ดีกว่า หรือเพื่อเพิ่ม EXP จะได้มีทักษะในการเอาชีวิตในโลกที่โหดร้ายได้ดียิ่งขึ้น



+ โชคดีที่ Fallout 3 มีระบบที่เรียกว่า Fast Travel คือกดปุ๊บไปยังสถานที่เป้าหมายปั๊บ แต่ต้องเป็นสถานที่ที่เราสำรวจและปรากฏขึ้นบนแผนที่แล้วเท่านั้น แต่มีข้อแม้คือ ถ้าของล้นเกินน้ำหนักตัว เราจะใช้ Fast Travel ไม่ได้ ถ้าอยู่ในสถานที่เช่นในตึกหรือใต้ดิน เราก็จะใช้ระบบนี้ไม่ได้เช่นกัน!


ระบบการต่อสู้ยืดหยุ่นทำให้ติดงอมแงม!

+ เกมนี้มีอาวุธให้เราเลือกใช้หลายอย่าง ปืนหลายประเภทตั้งแต่ปืนเบาแบบยิงแขนเดียว ปืนเบาแบบยิงสองแขน ปืนหนักอย่างพวก Mini Gun หรือปืนยิงจรวด ไปจนถึงปืนที่ยิงเลเซอร์หรือพลาสม่า ที่สู้แบบประชิดตัวก็มีทั้งดาบ มีด สนับมือติดหนาม สนับมือเสริมพลัง ฯลฯ เรียกว่าอยากใช้อะไรยังไง ก็เลือกใช้ได้ตามสบายเลย!







+ ผมชอบระบบ V.A.T.S หรือ Vault-Tec Assisted Targeting System คือถ้าเรากดปุ่ม V ก็จะขึ้นให้เราดูว่า ตรงส่วนไหนมีเปอร์เซ็นต์ที่โจมตีแล้วจะได้ผล หรือจะระดมยิงจุดไหนอย่างไรบ้าง ถ้าเราเลือกยิงขาศัตรูตรงจุดเดียว บางครั้งก็จะทำให้ศัตรูขาเป๋เคลื่อนไหวได้ช้า หรือถ้ายิงหัวอย่างเดียว บางทีก็อาจจะได้โอกาสที่ศัตรูหัวกระจุยตามมาด้วย แต่มันดันขึ้นอยู่กับค่า AP (ก็เหมือน MP ในโลกเกม RPG ทั่วไปนั่นแหละ แต่มันฟื้นฟูขึ้นได้เอง)





+ ถ้าไม่คิดใช้ V.A.T.S แล้วอยากโชว์เทพ ก็ไม่ต้องกด V บางครั้งผมก็ยิงเอาสดๆ สรุปคือระบบค่อนข้างยืดหยุ่น ผมจะใช้ V.A.T.S เพื่อให้การโจมตีเข้าเป้า อารมณ์เหมือนพวก Turn-base หรือเกมที่ต้องใส่คำสั่งสู้ (ประมาณ Final Fantasy) หรือยิงแบบเกม Action-Shooting ทั่วไป ก็ได้ทั้งนั้น 



+ อาวุธมีให้เลือกหลายอย่างก็จริง แต่ติดที่ว่า ถ้าค่าสกิลบางอย่างเราต่ำ ก็จะโจมตีได้ผลน้อย เช่น หากค่า Explosives (การใช้ระเบิด) ค่อนข้างต่ำ เวลาโยนลูกระเบิดใส่ศัตรูก็จะให้ผลได้น้อย เลือดศัตรูลดเพียงนิดเดียว แต่ถ้าอัพค่านี้เยอะๆ โยนทีสองทีก็แหลกเป็นจุณแล้ว!

+ ถ้าเราอ่อนแอ ไม่ค่อยมีทักษะในการต่อสู้เท่าไหร่ จะไปหาคนมาช่วยด้วยการว่าจ้างก็ได้ด้วย!



ไอเดียโคตรมัน!

+ ผมรักไอเดียของโลกใน Fallout 3 การดีไซน์ยานพาหนะต่างๆ เหมือนเป็นโลกอนาคตแบบ retro คือเอาดีไซน์ล้ำยุคตามแนวคิดของนิยายหรือหนังวิทยาศาสตร์ยุค 80 มาใช้ คอหนัง Sci-fi อย่างผมรู้สึกชอบเป็นพิเศษ 



+ ฉากไคลแม็กซ์มีหุ่นยนต์และมันก็เจ๋งมาก ดีไซน์เหมือนยุค 80 จริงๆ แถมมียิง beam ถล่มฝ่ายศัตรูให้เป็นเละ!




+ DLC มีภารกิจลับ เป็นเรื่องว่าเราถูกมนุษย์ต่างดาวจับตัวไป! แล้วยังไงน่ะเหรอ ก็ต้องเอาตัวรอดจากมนุษย์ต่างดาวโดยการใช้วิทยาการของมันเข้าสู้น่ะสิ เจ๋งโคตร! นี่ก็อารมณ์แบบ Sci-fi ยุค 80 ทั้งการดีไซน์ตัวมนุษย์ต่างดาวและพล็อตเรื่อง






+ ไอเดีย Perks บางอย่างก็มันดี อย่างอันที่เพิ่มค่า Luck แล้วบางครั้งเจอศัตรู จะมีฉายลึกลับโผล่ออกมาช่วยยิง ซึ่งไม่รู้ว่ามันเป็นใครแม้จะจบเกมแล้วก็ตาม!!! ไอ้หมอนี่มันใครกันฟะ!!??




สรุป

ผมพอใจกับ Fallout 3 มาก มันเป็นเกมเปิดโลกกว้างที่อิสระ แต่ไม่โหวงเหวง มีอะไรให้ทำเยอะ มีศัตรูซุกซ่อนอยู่ในหลายๆที่ มีอะไรให้สำรวจเยอะแยะมากมาย ระบบการต่อสู้ก็ยืดหยุ่น ทำให้เราอยากรู้สู้ในแบบหลายวิธี แน่นอนว่ามันยังมีเกม RPG เปิดโลกกว้างที่มีระบบดีๆ แบบนี้อีกเยอะ แต่ผมรัก Sci-fi และเกม Sci-fi RPG หรือ Sci-fi Action ก็เป็นอะไรที่ดึงดูดผมได้ง่ายอยู่แล้วด้วย... 

พูดง่ายๆคือ ผมก็จะยังตะลุยแดนเถื่อนนี่ต่อไปอีกน่ะสิครับ! วู้ว~!


ตบท้ายด้วย Many faces of PeterPan (ตัวละครของผมเอง)!!














Create Date : 30 มกราคม 2558
Last Update : 30 มกราคม 2558 23:47:16 น.
Counter : 11116 Pageviews.

2 comment
เนเวอร์แลนด์บนดินแดนที่รกร้าง [Fall Out 3]
Fall Out 3 เป็นเกม Action-RPG ของปี 2008 แบบ openworld ของค่าย Bethesda เจ้าของเดียวกับ Skyrim ที่โด่งดังนั่นแหละ ตัวเกมให้เราปรับแต่งตัวละครได้เอง และเลือกว่าจะทำดีหรือทำไม่ดี เลือกทำภารกิจหลักหรือเควสต์อื่นๆได้ตามใจชอบ มีการอัพเกรดทักษะของเราว่าจะเน้นไปทางสายไหน อะไรยังไง มีปรับเปลี่ยนมุมกล้องแบบ FPS หรือแบบมุมมองบุคคลที่สามก็ได้

ดังนั้นเลยอยากลองเขียนถึงเกมนี้ ด้วยการเล่าเรื่องของตัวละครในแบบของผมดูบ้างครับ



ผมชื่อ "PeterPan"
ในดินแดนเนเวอร์แลนด์ที่รกร้าง
กำลังปฏิบัติภารกิจช่วยเหลือคนในหมู่บ้าน Megaton
บ้านหลังที่ผมอยู่ในปัจจุบัน

"เด็กหลงทาง (Lost Boy)" อย่างผม...
มาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไรกันนะ?




นี่คือโลกที่ผมอยู่
ดินแดนอันรกร้างที่แลดูหดหู่ ไร้ความหวัง



ตอนที่ผมออกมาเจอทิวทัศน์แบบนี้ครั้งแรก
คุณนึกออกไหมครับ ว่าผมจะตกใจแค่ไหน
สิ่งก่อสร้างที่ครั้งหนึ่งเอาไว้ใช้ทำอะไรก็ไม่แน่ใจ
สิ่งก่อสร้างที่ใหญ่โตและทรุดโทรมนั่น
ได้จู่โจมความรู้สึกผมจนตะลึงงัน
มันทำให้ผมต้องตั้งคำถามต่อโลกที่ผมอาศัยอยู่



แล้วหลังจากที่ผมเดินได้ไม่นาน...
ผมก็ต้องเจอกับ... สิ่งที่ว่ากันว่าเป็น "หนู"
เท่าที่ผมเคยอ่านหนังสือของพ่อ
หนูมันจะต้องตัวเล็กไม่ใช่หรือ?
แต่นี่ตัวมันใหญ่ และพร้อมเขมือบผมทุกเวลา
คนบนพื้นดินเขาเรียกกันว่า "Mole Rat"
และเวลาหิว ผมก็ต้องกินมัน
...แม้จะต้องได้รับรังสีมาบ้างก็ตาม



โลกใบใหม่ที่ผมได้ออกมาเจอนี้
มีสัตว์ประหลาดอย่าง "วัวสองหัว"
...วัว มันไม่เหมือนกับในหนังสือที่ผมเคยอ่านเลยสักนิด
ตกลงแล้วนี่มันคือโลกแบบไหนกันแน่?




ผมเคยได้ยินจากพ่อหรือพวกผู้ใหญ่
ว่าครั้งหนึ่งโลกเคยสวยงาม
มีตึกรามบ้านช่องที่สะอาด
ต้นไม้สูงให้ความร่มเย็น
แต่แล้วสงครามครั้งใหญ่ก็อุบัติขึ้น
สหรัฐ, จีน, โซเวียต และประเทศอื่นๆ
ต่างก็ห่ำหั่นซึ่งกันและกัน

ผลสุดท้ายจบลงด้วยระเบิดนิวเคลียร์ลูกใหญ่



ผู้คนพากันอพยพมาอยู่ในหลุมหลบภัยใต้ดิน
และนี่คือบ้านของผม
"หลุมหลบภัย 101"
ดินแดนแห่งสรวงสวรรค์หากเทียบกับดินแดนรกร้างภายนอก



น่าแปลกที่ผมยังจำวันแรกที่เกิดได้
ผมจำได้ว่าเห็น "เจมส์" พ่อของผม
ท่านเป็นทั้งหมอและนักวิทยาศาสตร์
เก่งสุดๆเลยละครับ
ท่านตั้งชื่อผมว่า PeterPan
ตามนิทานเด็กที่พ่อชอบ
ผมไม่รู้ว่าทำไมพ่อถึงได้ตั้งชื่อนี้
จริงๆผมก็ไม่ค่อยได้เข้าใจพ่อเท่าไหร่

และผมก็จำได้อีกว่า... วันนั้นแม่ผมตาย



ชีวิตวัยเด็กในหลุม 101 อบอุ่นดีทีเดียว
ผมมีเพื่อนสนิทชื่อ "อมาต้า"
พ่อของเธอเป็น "ผู้ดูแล"
และนี่ก็เป็นวันเกิดอายุครบเก้าขวบของผม
ในงานเลี้ยงมีเพื่อนแสนเกรียนชื่อ "บุช"
และหมอนั่นก็ขูดรีดขนมที่เป็นของขวัญของผม
แต่ผมไม่ให้มันหรอก มันก็เลยไล่ต่อยผมซะ...
ถ้าพ่อของอมาต้าไม่มาห้าม ผมคงน่วม

และในเวลาต่อมา 
ผมก็จะเป็นฝ่ายฆ่าพ่อของเธอ...
นั่นคือบาปที่ติดตัวผมมาตลอดจนถึงตอนนี้



พอโตขึ้น บุชขี้แกล้งก็ตั้งแก๊ง
มันรังแกอมาต้าเพื่อนสนิท
ดังนั้นผมก็เลยเข้าไปท้าต่อยกับพวกมัน
สุดท้ายพวกมันก็เลิกลาไปเอง
สะใจเป็นบ้าเลย
อ้อ ตอนนั้นผมยังหัวเกรียนๆอยู่เลยครับ
ท่าทางผมจะชอบทรงนั้นมากทีเดียว



เพราะเมื่อเวลาโตขึ้น
ผมก็ยังชอบอะไรที่เกรียนๆอยู่
บางทีคงจะเป็นภาพลักษณ์ที่เอาไว้ใช้ข่มไอ้บ้าบุชกระมัง
บางทีนะ...

แต่นั่นคืออดีต
ตอนนี้ผมอยู่ในดินแดนรกร้าง
ที่ซึ่งผมอยากเรียกมันว่า "เนเวอร์แลนด์"
คงเป็นการประชดประชันที่เจ็บปวด
ผมเคยอ่านเรื่อง "ปีเตอร์แพน"
ดินแดนเนเวอร์แลนด์เป็นดินแดนในฝัน

แต่ที่นี่กลับดินแดนที่แห้งแล้งไม่ได้ชวนฝันเลยสักนิด

เรื่องของเรื่องคือ
วันดีคืนดีพ่อของผมก็หลบหนีออกจากหลุมหลบภัย
เกิดเป็นเรื่องวุ่นวายยกใหญ่
อมาต้าเป็นคนเข้ามาบอกข่าวเรื่องนี้

และข่าวร้ายอีกเรื่องที่เธอนำมาให้คือ
พวกผู้ดูแลกำลังมุ่งมา "จัดการกับผม"

ดังนั้นผมจึงไม่มึทางเลือกนอกจากจะต้องหนี
หนีออกจากสรวงสวรรค์น้อยๆ
ออกไปสู่ "เนเวอร์แลนด์" อันสวยสดงดงาม



พวกผู้ดูแลเข้ามาจัดการผมตามที่อมาต้าว่า
ผมจัดการผู้แลคนนั้น
แล้วก็ขโมยทั้งชุดและกระบอง

จบลงท้ายที่ผมเผลอลงมือฆ่าพ่อของอมาต้า
เธอเหมือนจะโกรธผม
ก่อนที่ผมจะออกจากหลุมหลบภัย
ผมได้ชวนเธอไปด้วยกัน
แต่เธอปฏิเสธ
เธอคงจะแค้นผมไปตลอดทั้งชีวิตแน่ๆ...

หมู่บ้านแรกที่ผมมาอยู่คือ Megaton
ที่ซึ่งมีลูกระเบิดปรมาณูอยู่ตรงกลางหมู่บ้าน


และผมก็รับอาสาจะปลดมัน
แม้จะไม่รู้วิธีเลยก็ตาม

ในหมู่บ้านนี้
มีคนที่เปรียบเสมือนกับ "ทิงเกอร์เบล" ของผม
เธอชื่อ "มอยร่า บราวน์"



เธอเป็นคนที่แนะนำสิ่งต่างๆให้ผม
มอบชุดป้องกันใหม่ให้ผม
และเธอยังมีข้าวของรวมถึงเงินที่ใช้แลกเปลี่ยนกับผมมากพอตัว

เมื่อผมต้องออกมาใช้ชีวิตใน "เนเวอร์แลนด์"
ผมก็ต้องเอาตัวรอดทุกวิธีทาง
อาวุธมีกระสุนจำกัด
ผมจึงต้องฝึกปรือฝีมือการต่อสู้ด้วยหมัดเอาไว้ด้วย
และคนที่มอบงานให้ผมก็คือมอยร่า
เธอทำให้ผมได้เงินก้อนแรก

หลังจากนั้น...



ผมก็ต้องสู้กับพวก Raider
มนุษย์ที่พร้อมจะขย้ำมนุษย์ด้วยกันทุกเมื่อ
ผมไม่แคร์ว่าจะเป็นผู้หญิง
ตราบใดที่ต้องเอาตัวรอด
ทำอะไรได้ก็ต้องลงมือทำ



ผมต้องสู้กับตัวกลายพันธุ์น่าขยะแขยง
บางครั้งผมก็ต้องใช้กำปั้นใส่สนับสู้กับพวกมันเพราะกระสุนใกล้หมด


บางครั้งผมก็ต้องเจอสัตว์ประหลาดที่มีกระดองแข็ง
ตอนแรกสู้ไม่ค่อยได้ ต้องหนีไปต่อยไป
แต่หลังๆผมดวลหมัดกับมันได้สบายๆ



ศัตรูที่น่ากลัวของผมคือ
Super Mutant
พวกมันคือมนุษย์กลายพันธุ์ร่างยักษ์
โหดร้ายทารุณ
ตอนเจอกับมันครั้งแรก
ผมต้องเผามันด้วยปืนไฟซึ่งฉกมาจากพวก Raider



นี่แน่ะ ไอ้ยักษ์เอ๊ย!
ไปเป็นเนื้อย่างให้ Mole Rat เขมือบเล่นซะ!



แต่หลังๆผมไม่กลัวมันแล้ว
เมื่อมีชุดเกราะที่ดีขึ้น
ฝีมือการต่อสู้ก็ดีขึ้น
ผมจึงสามารถต่อยกับพวกยักษ์ที่ใช้ไม้ติดตะปูเป็นอาวุธได้
แต่ถ้าเจอพวกใช้ปืน ผมก็ต้องใช้ปืนสู้!



นี่คือบิตเตอร์คัพ สาวงามที่ผมหลง
ได้คุยกับเธอแล้วสนุกดี
แต่หมู่บ้านเธอกำลังตกอยู่ในความเศร้า
เพื่อนของเธอถูก Super Mutant จับตัวไป



ต้องไปช่วยคนจากพวก Super Mutant ที่น่ากลัวงั้นหรือ
บางครั้งผมก็ไม่มั่นใจว่าจะทำได้
พวกมันบางตัวมีปืน "มินิกัน" ที่ยิงรัวได้ด้วย
พูดง่ายๆคือ มันอาจเป็นงานหินก็ได้
ผมจึงต้องคิดหนัก


แต่สุดท้ายผมก็อาสาไปช่วย

ก่อนหน้านั้นผมได้คิดถึงเรื่องๆหนึ่ง



เมื่อสมัยวัยรุ่น
พ่อสอนวิธียิงปืนเป็นครั้งแรก
โดยใช้ปืนสี ไม่ใช่ปืนจริงๆ
และเป้าก็คือแมลงสาบตัวใหญ่
มันดุใช้ได้เลยนะครับ
แต่เนื่องจากมันอยู่ในคอก
ผมเลยฝึกยิงได้ตามใจชอบ

เรื่องที่ผมนึกขึ้นมาได้
สะกิดใจว่าทุกอย่างย่อมต้องมีครั้งแรก

โลกนี้คือการเอาชีวิตรอด
และถ้าอยากจะรอด
ก็มีแต่ต้องแข็งแกร่งเท่านั้น
เพราะอย่างนั้นผมจึงรับอาสาทำภารกิจเสี่ยงตายนี้

และหลังจากออกเดินทางไปช่วยเพื่อนของบิตเตอร์คัพ...



เมื่อผมเจอพวกยักษ์นั่น
ผมก็แค่ยิง



ยิง!



ยิง!



แล้วก็ยิง!



ผมช่วย "เรด" คนสำคัญของหมู่บ้านของบิตเตอร์คัพได้สำเร็จ
ใช่ ผมอาสาช่วยด้วยความยินดี
แต่ผมก็ไม่ใช่คนดีร้อยเปอร์เซ็นต์
ท้องของผมยังต้องกิน
กระสุนก็ต้องซื้อ

ดังนั้น... ผมจึงต้องขอทวงรางวัลจากเรดเสียหน่อย
ซึ่งเรดก็เข้าใจและให้เงินผม
เป็นคนดีจริงๆ


อา...
เนเวอร์แลนด์
ผมยังเดินทางสำรวจโลกที่เหมือนกับฝัน (ร้าย) ใบนี้ไปเรื่อยๆ



ช่วยสาวที่ถูกพวก Super Mutant จับตัวในโบสถ์



ช่วยลูซี่ เวสท์
เอาจดหมายไปให้ครอบครัวเธอ
ที่ Arefu



ก่อนที่จะพบว่าพ่อแม่เธอตายแล้ว

แต่ยังมีน้องชายอีกคน ซึ่งตอนนี้หายตัวไปไหนไม่รู้
ผมรับอาสาตามหาน้องชายเธอ
แค่ตอนนี้ผมยังตามหาไม่เจอ

ไปอยู่ซะที่ไหนกันนะ...



ระหว่างทางผมได้พบเจอกับนักเดินทาง
เหมือนกับผม



ได้เจออะไรที่บรรยายไม่ถูก...
สมองคนในหุ่นงั้นหรือ?



ได้เจอกับหลุมหลบภัยหมายเลข 106



ผมนึกว่าข้างในจะเป็นแบบ "บ้าน" ที่จากมา
แต่ว่ากลับรกร้าง สนิมเขรอะ
มีผู้อาศัยที่เสียสติและเข้าโจมตีผม
ดังนั้นจึงเลือกไม่ได้
นอกจากต้องสู้สุดกำลัง



ระหว่างทางผมยังต้องเจอกับ Raider ตลอด
ผมขอยกให้พวกมันเป็น "โจรสลัด" แบบในเรื่อง "ปีเตอร์แพน"

แล้วไหนล่ะ กัปตันฮุค?
วันนึงผมจะได้เจอหัวหน้าของพวกนี้มั้ยนะ?



บางครั้งได้เจอกับเด็กน้อยที่ต้องสูญเสียพ่อแม่จริงๆ
และมีคนใจดีรับเลี้ยงเธอ



บางครั้งได้เจอกับคนต้องการน้ำสะอาด
น้ำที่ปราศจากรังสีซึ่งเป็นของหายาก

ชายคนนี้ทำให้ผมนึกถึงบาปที่เคยก่อ...
นึกถึงพ่อของอมาต้า

ดังนั้น
ผมจึงได้ขวดน้ำสะอาดทั้งที่มีแค่สามหรือสี่ขวดเท่านั้น...
ให้ชายผู้น่าสงสารนี้ไปแบบฟรีๆ



บางครั้งผมก็ต้องเจอพวก "โจรสลัด" นอนตาย



และผมก็ต้องเอาของๆเธอ
ทั้งเสื้อผ้าและข้าวของ
เพื่อเอาไปขายแลกกับเงินหรือสิ่งของอย่างกระสุน

"เนเวอร์แลนด์" ที่ผมอยู่มันเป็นแบบนี้แหละ


ในเรื่อง "ปีเตอร์แพน"
จะมีเด็กกลุ่มหนึ่งซึ่งปีเตอร์แพนเป็นหัวหน้ากลุ่ม
กลุ่มนั้นมีชื่อว่า Lost Boys หรือเด็กหลงทาง

ผมใยไม่ใช่เด็กหลงทาง

ภารกิจหลักคือการตามหาพ่อ

แต่ผมกลับใช้เวลาไปกับการเดินทาง

ช่วยเหลือคนบ้าง สู้กับพวกยักษ์บ้าง สู้กับโจรบ้าง

ผมกำลังทำอะไร?



พ่อที่เคยดูแลผมตั้งแต่ยังแบเบาะ
ตอนที่ผมยังเดินเตาะแตะ



บางครั้งเมื่อมานั่งคิดดู
บางทีผมอาจจะเป็น "เด็กหลงทาง"
กำลังหลงสนุกกับดินแดนเนเวอร์แลนด์
และไม่กล้าที่จะเผชิญกับความจริง

เพราะโลกที่เคยได้สัมผัสมาตั้งแต่เกิด
มันได้พังลงนับตั้งแต่วันที่ได้ก้าวออกมาจาก "บ้าน"...
จากหลุมหลบภัย 101 แล้ว

และหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจ "กู้กับระเบิด" ของมอยร่า

อาจได้เวลาที่ผมต้องเผชิญหน้ากับภารกิจหลักของผมบ้างแล้ว

คือการตามหาพ่อของผม!














Create Date : 16 มกราคม 2558
Last Update : 16 มกราคม 2558 23:46:31 น.
Counter : 2397 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  

หมาหัวโจก
Location :
กรุงเทพ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 18 คน [?]



All Blog