สวัสดีฮับ
วันนี้จะมารีวิวหนังสือของนักเขียนไทย (ที่เอาเรื่องจากหนังสือคนอื่นมาเล่าอีกที) นะคะ กับหนังสือเล่มนี้ค่ะ
นิทานอินเดีย อยากเล่าให้ฟังจัง!
ผู้เขียน พัณณิดา ภูมิวัฒน์
จำนวนหน้า 119 หน้า
ราคา 1xx บาท (จำราคาเป๊ะๆ ไม่ได้ค่ะ ราว 129-139 บาท ซื้อในงานหนังสือค่ะ)
หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่ถูกเขียนขึ้นมาโดยการหยิบเรื่องราวจากภารตนิยาย ซึ่งเรียบเรียงโดยศ.ดร.ศักดิ์ศรี แย้มนัดดา ซึ่งรวบรวมนิยายรักโรแมนติกโบราณของสันสกฤตกว่า 100 เรื่อง โดยได้เรียบเรียงจากคัมภีร์พระเวท เรื่อยมาจนถึงมหากาพย์มหาภารตะและรามายณะ รวมถึงคัมภีร์ปุรณะฉบับต่างๆ ซึ่งมีถึง 18 คัมภีร์ โดยหนังสือเล่มนี้ เลือกเรื่องมาโดยการที่นักเขียนคือ คุณพัณณิดา ภูมิวัฒน์ เกริ่นว่าอยากเล่านิทานจากหนังสือเล่มนี้ที่แฟนเพจ (คลิก) และให้แฟนเพจเลือกเลขหน้า (แบบมั่วๆ ใครอยากเลือกโดยมีหลักอะไรก็ตามแต่ใจเถิด) แล้วเจ้าตัวก็หยิบเรื่องที่ตรงกับเลขหน้านั้นๆ มาเล่าให้แฟนเพจได่อ่านค่ะ
คราวนี้ ตอนแรกเจ้าตัวคงไม่คิดจะรวมเล่ม เพียงอยากที่จะถ่ายทอดหนังสือและเรื่องราวที่ตัวเองชอบให้แฟนเพจได้อ่าน แต่ปรากฏว่า แฟนเพจชอบมาก และขอให้รวมเล่ม (ข้าพเจ้าก็เป็นคนหนึ่งที่ไปถาม 555) เจ้าตัวจึงตัดสินใจรวมเล่มตีพิมพ์เอง และได้ภาพวาดประกอบน่ารัก (มากกกกก) จาก Clovertale (ทาสแมวมีกรี๊ดฟินแน่นอน) และวางขายในงานหนังสือที่ผ่านมานี่เองค่ะ
จากที่มาดังกล่าว ก็จะทำให้สำนวนการเขียนเป็นสำนวนแบบที่...มีถ้อยคำค่อนข้างเป็นกันเอง ขี้เล่น มีอีโมและมีศัพท์ที่ไม่ใช่แบบที่หนังสือทั่วไปจะมีอยู่มาก (แต่อ่านแล้วได้อารมณ์ฮา สนุกสนานสุดๆ อันจะยกตัวอย่างต่อไปนะคะ) ซึ่งทำให้...อ่านได้อย่างเพลิดเพลินมากกกกกกกกกกก สนุกมากกกกกกกกกก เรียกได้ว่าใครที่ไม่เคยเหลียวมองหรือสนใจเรื่องราวเกี่ยวกับเทพเจ้าอินเดียหรือเรื่องราวในนิยายอินเดียอื่นๆ จะอ่านได้อย่างเพลิดเพลินเลยหละค่ะ (แต่ถ้าเป็นคนยึดติดกับระเบียบการวางประโยคแบบฟอมัลตามแบบหนังสือปกติหละก็...เล่มนี้อาจจะไม่ได้เหมาะกับคุณนะคะ) ทำให้เราได้รู้เรื่องราวหลายๆ เรื่อง เช่น การตายของกามเทพ ที่มาของพระอินทร์ที่มีอีกนามว่าผู้มีพันตา (แต่ที่มาบัดซบมาก 555) หมอชีวกโกมารภัจจ์ ฯลฯ
นี่ยังเสียดายว่า ไปนี่ ภารตนิยายซึ่งเป็นแรงบันดาลใจของคุณพัณณิดาเธอหาซื้อไม่ได้แล้ว (ในงานหมดเกลี้ยง ซึ่งอิชั้นคาดการณ์ว่าน่าจะมาจากเหตุที่เธอนำมาแปลงจนเป็นที่นิยมด้วยส่วนหนึ่งค่ะ) ที่จริงอยากอ่านเวอร์ชั่นต้นฉบับเหมือนกัน จะได้รู้ว่า สนุกที่คุณพัณณิดาเธอว่านี่สนุกแบบไหน อรรถรสแตกต่างอย่างไรกับเวอร์ชั่นนี้น่ะนะคะ
เอาหละค่ะ เพื่อความเข้าใจอันดี ขอเอาบางส่วนจากเรื่องหนึ่งในเล่มมาลองให้อ่านกันดูนะคะ (เหมือนจะยาว แต่อยากให้ลองอ่านดูค่ะ ฮามาก)
จากเรื่อง "สมุทรกันยา"
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระศิวะกำลังนั่งบำเพ็ญตบะ (อาชีพเสริมของฮี) ไม่ได้ไปอี๋อ๋อกับเมีย (อาชีพหลักของฮี เชื่อตูสิ เปอร์เซนต์การใช้เวลามันต่างกันมากแบบเทียบกันไม่ติดเลยนะ)
พระอุมาไม่มีใครมาอี๋อ๋อด้วยจึงเบื่อไม่มีไรทำ เดินไปเดินมาก็วนกลับมาเจอพระศิวะนั่งบำเพ็ญอยู่ที่เดิม หลังจากวนอยู่หลายที จากที่เบื่อเฉยๆ เลยกลายเป็นเบื่อมาก ชีเลยเกิดซน ย่องไปหลังฝาละมี เอามือปิดตาฮีสองข้าง กระซิบใส่หูว่าใครเอ่ย
พระศิวะก็สะดุ้งเฮือก คือจริงๆ แล้วตั้งแต่ฮีบังเกิดขึ้นมา ฮีไม่เคยหลับตาเลยนะ แค่หรี่ๆ เพราะฮีมีหน้าที่คอยดูโลกอยู่
พอพระอุมามาใครเอ่ยใส่ ตาปิดไปสองข้าง ฮีตกใจมากเลยเผลอลืมตาที่สาม ซึ่งก็ฤทธิ์ประมาณกันกับไซคลอปส์ใน x-men แต่แรงกว่ายี่สิบล้านเท่า สรุปคือฮีเลยยิงบีม ทำโลกวอดไปหนึ่งแถบ
พระอุมาก็อ้าปากค้าง ฮีก็อ้าปากค้าง จากนั้นฮีก็หันมาโฮกใส่เมีย
เมียของฮีก็รู้สึกผิดอย่างรุนแรง ;w; ฮือๆ บดี (สามี) เค้าไม่ได้ตั้งใจ ไม่รู้จริงๆ
พระศิวะก็ชะงัก หยุดโฮก อุ้มชีขึ้นมานั่งตักบอกโอ๋ๆ อย่าร้อง ผิดที่ข้าเองไม่เคยสอนเจ้า เดี๋ยวจะสอนพระเวทให้นะ ลูบๆ (ฮีเป็นพ่อบ้านใจกล้า โฮกกับทุกคนมาหมดแล้วยกเว้นเมีย)
จากนั้นฮีจึงเริ่มสอนอภิปรัชญาให้เมียฟัง
สอนไปไม่นาน เมียของฮีก็หลับป็อกไป (ซึ่งก็ควรเป็นงั้นอะนะ)
ฮีก็ปื้ด แต่ก็ปลุกเมียขึ้นมาฟังต่อ คราวนี้พระอุมาฝืนไม่ป็อกสำเร็จ แต่ฟังไปเรื่อยๆ ก็ยากพีคมาก ชีเลยสติหลุด ใจลอยไปเรื่องอื่น
พระศิวะเห็นเมียตาลอยไปแล้วก็ปื้ดหนักกว่าเดิม ถามว่าเจ้าคิดไรอยู่
พระอุมาก็สะดุ้งตื่นจากฝันกลางวัน รีบบอกว่าเปล่าเพคะ ฟังท่านอยู่
พระศิวะเลยบอกว่า ฟังอยู่ก็ทวนซิว่าข้าพูดถึงไหน แน่นอนว่าพระอุมาตอบไม่ได้ พระศิวะเลยบอกว่า ฮึ เจ้ามัวแต่คิดถึงผู้ชายคนอื่นใช่มั้ยล่ะเลยไม่ฟังข้า ไปเกิดเป็นมนุษย์เลยไป (ที่แท้พี่ก็หึงสินะคะ)
พอพูดอย่างนี้ พระอุมาเลยหล่นจากสวรรค์ไปเกยตื้นที่แหลมกุมารี ฟื้นขึ้นมาก็จำอะไรไม่ได้ เลยมีหัวหน้าชาวประมงแถวนั้นเก็บไปเลี้ยงเป็นลูกสาว ตั้งชื่อให้ใหม่ว่าสมุทรกันยา ชีก็สวยตะพึดตะพือมาก จึงมีชายหนุ่มจากแถวๆ นั้นแห่แหนกันมาตอม ท่วมเต็มรอบๆ หัวกะไดบ้านพ่อเลี้ยงชี
พ่อเลี้ยงชีเห็นหนุ่มเยอะละเกิน ยังกะแมลงวันหัวเขียว เลยถามชีว่าชอบคนไหนบ้างไหม (เผื่อเราจะได้เข้าออกบ้านง่ายขึ้นมั่ง ไม่ต้องฝ่าฝูงไอ้พวกนี้ไป) แต่ถึงสมุทรกันยาจะจำอะไรไมไ่ด้เลย ชีก็ยังจำได้เลือนๆ ว่าเหมือนชีจะมีเจ้าของแล้ว ชีจึงไม่เอาใครสักคนเดียว
เวลาก็ผ่านไป
เวลาในโลกผ่านไปกี่เดือนกี่ปีก็ไม่รู้น่ะนะ แต่คาดว่าเวลาบนสวรรค์คงผ่านไปสักสิบนาที
พระศิวะก็เริ่มลงแดงเมีย...
ฮีก็เมียหายไปไหนง่ะ ไปอยู่ไหนแล้ว เป็นอะไรไปแล้วหรือเปล่า
จากนั้นฮีก็เพิ่งนึกได้ว่า การส่งเมียอันสวยนิ้งของฮีลงไปเป็นมนุษย์ที่ไม่มีฤทธิ์เลย = ส่งอ้อยเข้าปากช้าง
พอเวิ่นเว้อถึงตรงนี้ ฮีจึงรีบส่องหาเมียฮีว่าไปอยู่ไหน ส่องไปส่องมาก็เจอเมียท่ามกลางหนุ่มฝูงใหญที่รุมเอาของกำนัลมาทุ่มใส่และขายขนมจีบเมียฮีอย่างบ้าคลั่ง
พระศิวะจึงเริ่มแทะงูที่คอ
จากนั้นฮีก็นึกว่า อืม ลงไปอุ้มมาเฉยๆ ก็เหมือนจะไม่ค่อยมีมาด เราคงไปอุ้มมาเฉยๆ ไม่ได้
แต่อีฝูงหนุ่มนั่นก็แห่ห้อมล้อมตามเมียฮีตลอดเวลา จนฮียิ่งแทะงูหนักขึ้นไปอีก
ก่อนที่งูจะถูกแทะตัยห่าไป ฮีก็เปิดปิ๊งไอเดียเด็ด (และน้ำเน่า) ขึ้นมาได้ รีบเรียกวัวของฮีมา บอกนนทิ เจ้าจงแปลงเป็นฉลามไปอาละวาดแถวแหลมกุมารีทีดิ๊
วัว (ชื่อนนทิ) ก็บอกว่า เอ่อได้พระเจ้าค่ะ แล้วไงต่อเหรอพระเจ้าค่ะ
พระศิวะก็บอกว่า พอคนแถวนั้นเดือดร้อนมากๆ ข้าก็จะไปปราบเจ้าไง จากนั้นข้าก็จะเป็นฮีโร่และอุ้มเมียกลับมาได้อย่างเท่ มัวะฮ่าฮ่าฮ่า (ตูบอกแล้วว่าน้ำเน่า)
นนทิก็อืม ตูเซ็งนายกะเมียนายละเกิน แต่ฮีก็ลงไปโดยดี เนื่องจากฮีเป็นวัวขาว เลยแปลงเป็นฉลามขาวด้วย ตัวก็ใหญ่มาก เหมือนอีอะไรนั่นในจูราสสิกที่มันชนะทีเร็กซ์ได้น่ะ
แล้วฮีก็อาละวาดกินปลารอบแหลมกุมารีเกลี้ยงไม่มีเหลือเลย
หลังจากปลาเกลี้ยงทะเล ชาวประมงแถวนั้นก็ลำบากมาก ในที่สุดหัวหน้าชาวประมงไม่มีทางเลือก จึงใช้วิธีอันสิ้นคิดซึ่งเป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายคือป่าวประกาศไปว่า ถ้าใครปราบอีหลามขาวนั่นได้ ฮีจะยกลูกสาวให้
ประกาศไปไม่ทันไร ก็มีไอ้หนุ่ม (หน้าตาคุ้นๆ) โผล่มาหนึ่งคนอย่างรวดเร็ว
ไอ้หนุ่มก็บอกว่า ข้าจะปราบฉลามเอง แต่ท่านต้องยกลูกสาวให้ข้านะ
หัวหน้าชาวประมงก็บอกว่าปราบได้ก็เอาไปเหอะพ่อ ไอ้หนุ่มจึงเดินไปชายน้ำ และ (แกล้งเต๊ะท่า) โอมอ่านมนต์ ไม่ทันไรอีฉลามก็สไลด์พรืดขึ้นมาบนหาดอย่างปาหี่ กระตุกสองทีก็หงายท้องอ้าปากแหงแก๋ ทำท่าเค้าตายแล้วจ้ะเอ๋ง
ชาวบ้านก็โอววว
ไอ้หนุ่มก็...เมี-เอ๊ย ลูกสาวท่านล่ะ เอามาจิ //แบมือ
หัวหน้าชาวประมงจึงจูงมือลูกสาวมาให้ (คราวนี้ชีไม่อิดเอื้อนอันใดเลย เป็นที่ยินดีแก่บิดามาก)
พอสองคนจับมือกัน ก็เกิดรังสีโฮลี่สาดไปทั่วฟ้าดิน กลายเป็นพระศิวะกะพระอุมานั่งบนหลังวัว พระอุมาก็จำทุกอย่างได้แล้วหลังจากแตะถูกตัวคุณสามี
พอถึงตอนนี้พระศิวะจึงยื่นฟักทองที่ทำจากทองชมพูนุทให้หัวหน้าชาวประมง บอกแต้งกิ้วที่ดูแลเมียข้านะ จากนั้นฮีก็ขี่วัวกลับเขาไกรลาสไปท่ามกลางความมึนของชาวบ้าน
กลับไปถึงแล้วจะมีการชำระความใดๆ ระหว่างฮีกับเมียหรือไม่ ตำนานก็ไม่ได้บอกไว้น่ะนะ
นี่คือตัวอย่างเรื่องหนึ่งจากหลายเรื่องในเล่มนี้ค่ะ แต่ละเรื่องก็มีความสนุกแตกต่างกันไป ยังมีอีกหลายเรื่องที่เราชอบมาก อย่างเรื่องชีวกโกมารภัจจ์เราก็ชอบ (ชอบตอนท้ายเรื่องที่คุณพัณณิดาเธอสรุป) หรืออย่างอหลยา (ที่มาของพระอินทร์พันตา) เราก็ชอบค่ะ
นี่ตั้งใจว่ากลับบ้านรอบหน้า จะลองไปอ่านแต่ละเรื่องให้หลานฟังหละว่าหลานจะสนุกและรู้สึก (พร้อมทั้งเข้าใจ) เหมือนที่เรารู้สึกกับมันไหม แฮร่...
สรุปแล้วก็เป็นหนังสือเรื่องหนึ่งที่สนุก ได้สาระ (ความรู้เกี่ยวกับเทพเจ้าต่างๆ ของอินเดีย ซึ่งบางเรื่องก็เกี่ยวพันกับศิลปะการสร้างปราสาทที่ถ้ารู้ไว้ก็เอาไปเล่าให้ลูกทัวร์ฟังได้สนุกด้วย หรือสำหรับคนทั่วไป เวลาไปปราสาทก็จะได้รู้ด้วย อย่างเรื่อง ศิวนาฏราชเป็นต้น) และคิดว่า ใครได้ไปอ่าน หากไม่ยึดติดกับกลวิธีการเขียนตามขนบ ก็น่าจะสนุกไปกับมันได้ไม่ยากนะคะ
แต่ถ้าจะหาซื้อ คงต้องลองติดต่อไปที่เพจของนักเขียนโดยตรงค่ะ เพราะไม่มีวางจำหน่ายทั่วไปนะฮับ
ขอบคุณทุกท่านที่แวะมาค่ะ
1,469,696+3817903=5287599/12478/1266