++++ชีวิตคนคนหนึ่ง ควรปลูกต้นไม้ให้ได้ซักแสนต้น+++





เขียนโดย ฌ็อง ฌิโอโน
แปลโดย กรรณิการ์ พรมเสาร์

อ่านเรื่องได้ที่//olddreamz.com/bookshelf/trees/trees.html




" "ต้นไม้" เป็นสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวที่มีการดำรงอยู่แนบเนื่องกับผืนแผ่นดินโดยตรง เป็นสิ่งมีชีวิตสีเขียวน่าพิศวง เพราะ "ต้องการ"ปัจจัยหล่อเลี้ยงตัวเองเพียงเล็กน้อย แต่ "ให้"คุณประโยชน์อย่างเหลือคณานับแก่ชีวาลัยที่มันอาศัยอยู่ "




ก่อนหน้าที่จะมีโฆษณาเครื่องดื่มบำรุงกำลังยี่ห้อหนึ่งที่นำดาบวิชัย สุริยุทธ มาเป็นพรีเซนเตอร์นั้น


ราว ๖ ปีก่อน (ถ้าจำไม่ผิด) เราเคยอ่านหนังสือเล่มนี้ พอเห็นโฆษณาปุ๊บ ก็เลย..อืมม์..รู้สึกดีค่ะ ว่ามีคนพิสูจน์ให้เห็นจริงว่า มันทำได้จริงๆ ไม่ใช่เพียงเรื่องเพ้อฝัน จินตนาการอันไร้สาระของหนังสือ


เป็นหนังสือที่เป็นแรงใจกับการทำดี โดยไม่จำเป็นต้องเรียกร้องให้ใครรู้หรือมาชื่นชมแต่อย่างใด


แม้ว่า..การทำดีที่ว่า อาจจะไม่ใช่การปลูกต้นไม้อย่างตัวเอกของเรื่อง คือ แอลเซอารดฺ บุฟฟิเยร์ ในหนังสือเล่มนี้ (เพราะเป็นคนมือร้อนค่ะ ปลูกต้นไม้แล้วตายเรียบเหมือนกัน คนละเรื่องกับคุณแม่เลย คนๆ นั้นถ้าเสียบอะไรลงดิน ก็คงขึ้นหมด) แต่ก็ทำให้เราเห็นว่ากับคนๆ หนึ่งที่พร้อมจะทุ่มเทกายให้กับสิ่งที่เขาถือว่าเป็น "งานชีวิต" แล้ว เขาไม่สนใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ไม่สนใจที่จะโอ้อวดในสิ่งที่ตนทำ รู้แต่ว่าตนเองอยากทำ และทำให้เต็มที่ที่สุด ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นแล้ว ผลของมันจะกำเนิดออกมาเอง โดยที่เราไม่จำเป็นต้องไปคาดหวังหรือรอดูผล



นอกจากนั้นยังมีคนเช่นนี้อีก ไม่ว่าจะเป็น ตาสงัดที่พรหมพิราม, มาซาโนบุ ฟุกุโอกะที่ประเทศญี่ปุ่น และคงยังมีคนตัวเล็กๆ ที่มีการทำความดีแบบเงียบๆ เช่นนี้อีกมากมาย





เคยดูหนังเรื่อง Pay It Forward กันมั้ยคะ? กับทฤษฎีที่ว่าให้ทำความดีกับคนหนึ่งคน แล้วไม่ต้องขออะไรตอบแทน แต่ให้เขาทำเช่นนั้นกับคนอีก ๓ คน และให้เขาขอเช่นนี้กับ ๓ คนที่เขาได้ทำดีให้นั้น เพราะฉะนั้นการทำความดีก็จะมีปริมาณเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ


แม้หนังจะจบเศร้า แต่เป็นเรื่องราวอีกเรื่องที่เราชอบมากมาย






จริงๆ สำหรับเราเองแล้วไม่ได้เป็นคนดีอะไรมากมาย แต่เห็นความงดงามของการทำดีค่ะ แม้บางทีจะต้องนั่งถามตัวเองว่า ถ้าการทำความดีต้องเจ็บปวดขนาดนี้ ยังจะทำต่อไปอีกหรือ (เหมือนที่เคยบ่นบ้าไปกับบล็อกเมื่อไม่นานมานี้)


แต่ทุกครั้งที่ได้ดูหนังหรืออ่านหนังสือในแบบนี้ จะรู้สึก "ฮึด" และมีกำลังใจที่จะทำต่อไป





เป็นหนังสืออีกเล่มที่ชอบซื้อให้คนอื่นๆ ได้อ่าน และหวังว่ามันจะส่งผลต่อเค้า เช่นเดียวกับที่มันเป็นแรงบันดาลใจให้กับเรา


หนังสือเล่มนี้บางมากค่ะ ใช้เวลาอ่านไม่นานเลย เหมาะกับคนที่ไม่ชอบอ่านหนังสือหนาๆ นะคะ




วันนี้ขออัพบล็อกสั้นๆ ค่ะ



ถ้าไม่ผิดพลาด ภายในอาทิตย์นี้จะมาอัพหนังสือ The Wedding ของนิโคลัส สปาร์ค นะคะ




วันนี้คุณปลูกต้นไม้แล้วหรือยังคะ?



ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ




สำหรับท่านใดที่แวะมาบ้านสาวไกด์เป็นครั้งแรก
(หรือเคยมาแล้วแต่มีหนังสือกับหนังที่อยากแนะนำเพิ่มเติม)

เรียนเชิญ ที่นี่ค่ะ




 

Create Date : 19 ธันวาคม 2548    
Last Update : 19 ธันวาคม 2548 18:25:38 น.
Counter : 1483 Pageviews.  

++++หัวขโมยแห่งบารามอส - - นิยายแฟนตาซีที่มีการเติบโตตามจำนวนเล่ม++++



คำเตือน : รีวิวต่อไปนี้จะพูดถึงเนื้อหาของหนังสือหลายส่วน ถ้าไม่อยากรู้เรื่องใดๆ และคิดจะอ่านหนังสือเล่มนี้ กรุณาอย่าอ่านรีวิวบทนี้นะคะ



สวัสดีค่ะ


สาวไกด์ฯ มาอีกแล้ว เอ..ทำไมหมู่นี้อ่านแต่วรรณกรรมเยาวชนก็ไม่ทราบค่ะ(สงสัยกำลังอยู่ในช่วงอยากหลบหนีจากโลกความเป็นจริง )



สำหรับวันนี้จะมารีวิว “หัวขโมยแห่งบารามอส”






อย่างที่ทราบๆ กันน่ะนะคะ ว่า Guestbook ของสาวไกด์จะมีให้ใครต่อใครมาแนะนำหนังสือและหนัง


แล้วหนังสือเล่มนี้ก็มีบางคนที่แนะนำมาค่ะ (สารภาพว่าก่อนหน้านี้ไม่เคยได้ยินชื่อหนังสือเล่มนี้มาก่อนเลย) พองานหนังสือที่ผ่านมาก็เลยลองไปหาซื้อดู (สนับสนุนนักเขียนไทยอยู่แล้วค่า)


พอได้อ่านเล่มแรก พูดตรงๆ ผิดหวังค่ะ คือ..มันอาจเด็กเกินไปสำหรับวัยอย่างเรา แล้วตรรกะในหนังสือเล่มนี้ก็แบบว่า..เอ่อ..อ่านแล้วตะหงิดๆ ตลอดเลยค่ะ แต่ถ้าพยายามคิดว่า คนเขียนน่าจะใช้ตรรกะและความเป็นเหตุเป็นผลในแบบของการ์ตูน (ซึ่งอย่าเอาความสมเหตุสมผลไปจับ) ก็จะทำให้อ่านโดยไม่หงุดหงิดได้ (จนทำให้สงสัยยิ่งนักว่า สงสัยคนเขียนเรื่องนี้อาจจะเป็นสาวกการ์ตูนอย่างเข้าเส้นเลือดแหงๆ)


ตัวอย่างตรรกะที่ทำให้หงุดหงิด

กรณีตอนที่พยายามเอาคทาไปซ่อม แล้วเฟรินดันพยายามติดสินบนจนโดนจับส่งไปลงโทษที่เมืองยักษ์ แล้วคาโลเลยหาเรื่องเพื่อจะได้ไปกับเฟรินด้วย ก็เลยเป็นที่สงสัยว่า แล้วคนอื่นๆ ไม่เดือดเนื้อร้อนใจกับการที่เฟรินแยกตัวไปกับคาโลเลยรึ? หรือว่าเห็นว่าการนำคทาไปกับคณะนั่นสำคัญกว่า จึงปล่อยให้สองคนนั้นแยกจากไป (และคงมั่นใจมากว่าจะรอดกลับมาเจออีกทีได้แน่นอนกระมัง?)


หรือบทพูดบางอันที่ทำให้เรารู้สึกว่าเอ..มันไม่เหมาะกับตัวละครหรือเปล่าหว่า เพราะนี่เป็นเรื่องแรกเลยค่ะที่เราเห็นเจ้าหญิงพูดคำว่า “อัพเดท” ในเรื่อง (เจ้าหญิงวิเวียนเป็นคนพูดค่ะ) อ่านแล้วอมยิ้มว่า เออ..เจ้าหญิงองค์นี้นี่ทันสมัยจริงๆ แฮะ หรือบางอันที่เราว่าตีพิมพ์แล้วตกหล่นไปบ้างหรือเปล่า อย่างเช่น การมาเคาะประตู (ในเล่ม ๒) ที่จู่ๆ ก็ตัดฉับเลยว่าก่อนหน้านี้นี่ เจ้ากวางเคยมาเคาะทีหนึ่งแล้ว (แต่ไม่มีการบรรยายก่อนหน้านี้ ทำให้ต้องพลิกกลับไปหาอ่านซ้ำ แต่ก็หาไม่เจอ) ประมาณๆ นี้


คือเวลาอ่านๆ ไปจะรู้สึกว่าเหมือนอ่านการ์ตูนที่กลายมาเป็นตัวหนังสือหนะค่ะ


รวมทั้งเล่มแรกนี่ถือว่าอิทธิพลในเรื่องของแฮรี่ พอตเตอร์ปรากฏอยู่ชัดเอามากๆ เลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็นบ้าน ๔ บ้านกับปราสาท ๔ แห่ง การแข่งขันประจำปี (เปลี่ยนจากควิดดิชมาเป็นแข่งหมากรุก) การให้คะแนนประจำบ้าน เป็นธงประจำบ้าน ฯลฯ


ซึ่งกรณีที่ถ้าใครลองซื้อมาอ่านแค่เล่มเดียวอาจจะไม่พยายามหาเล่มอื่นมาอ่านก็ได้ แต่เผอิญเราซื้อครบเซ็ตก็เลยได้ค้นพบ "ส่วนดีๆ" ที่ปรากฏในเล่มหลังๆ ได้


คือ..พออ่านเล่มต่อๆ มาเรื่อยๆ กลับรู้สึกว่า เออ..หนังสือนี่มันเติบโตขึ้นเรื่อยๆ แฮะ ทั้งเรื่องราวต่างๆ แง่คิดที่แฝงอยู่ในเรื่อง (แต่จะดีไม่น้อย ถ้าคนเขียนจะไม่เขียนสรุปแง่คิดเหมือนเป็นคู่มืออยู่ข้างท้ายเล่ม เพราะสำหรับคนอ่านที่ “แก่” แล้วอย่างเรา มัน..เอ่อ..คือว่า..บอกไม่ถูกค่ะ แต่ก็อาจเหมาะกับบรรดา “น้องๆ” แฟนหนังสือทั้งหลายน่ะนะคะ) และแม้ว่า..หลายๆ อันมันจะผูกไปผูกมา แถมการผูกบางอันก็ไม่ได้เฉลยอะไรไว้เลยด้วย (เช่นเรื่องของเจ้าหญิงวิเวียน กับกษัตริย์อาเธอร์ และเจ้าชายโรเวนเป็นต้น) หรือการหักหลังคนอ่านไปหักหลังคนอ่านมา (ตายแล้วฟื้น ตายแล้วฟื้นเนี่ย) แต่ก็อ่านไปได้เพลินๆ จนครบ ๔ เล่มแหละค่ะ


แล้วที่น่าประทับใจ (หรือเปล่าหนอ) สำหรับเราก็คือ การสร้างตัวละครแต่ละตัวค่ะ ซับซ้อนและแปลกดีมาก แค่นางเอกของเรื่องเปิดตัวด้วยการเป็นผู้ชาย “ทั้งแท่ง” (ไม่ใช่การปลอมตัวเป็นผู้ชายแบบละครไทยแต่อย่างใด) ก่อนนี่ก็สุดยอดแล้วค่ะ ทำให้หนังสือเรื่องนี้เต็มไปด้วยตัวละครที่มีลักษณะโดดเด่นเอามากๆ


ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหญิงที่ถูกสาปแปลงให้เป็นชายตั้งแต่เกิด(แต่กว่าคนดูจะแน่ใจว่า เฮ้ย..ตกลงเอ็งเอาเพศไหนแน่นี่ก็เล่ม ๒ ไปแล้วน่ะแหละค่ะ ทำให้เฉียดการเป็นนิยายแฟนตาซีแนว Y ไปได้อย่างหวุดหวิด) ลูกชายของกษัตริย์นักรบที่ดันใช้ดาบไม่เก่งเลยต้องเก่งทางเวทย์แทน ลูกชายนักฆ่าผู้ยิ่งยงที่สามารถทำอะไรๆ ที่สร้างความประหลาดใจได้เสมอ ฯลฯ


เพราะฉะนั้น..จึงเป็น "จุดเด่น" ประการหนึ่งเลยค่ะ สำหรับหนังสือเรื่องนี้และนักเขียนคนนี้


โดยสรุปแล้วหนังสือเล่มนี้เหมาะกับ เด็ก วัยรุ่น และผู้ใหญ่ที่มีความเป็นเด็กในตัวสูง และขอเตือนว่าอย่าเอาความสมเหตุสมผลมากมายไปจับนะคะ ให้คิดซะว่าอ่านการ์ตูน และเป็นการอ่านที่เอาสนุกเป็นหลักค่ะ (แต่เล่มท้ายๆ คำพูดแนวคิดหลายอย่างน่าสนใจค่ะ)


ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ




สำหรับท่านใดที่แวะมาบ้านสาวไกด์เป็นครั้งแรก
(หรือเคยมาแล้วแต่มีหนังสือกับหนังที่อยากแนะนำเพิ่มเติม)

เรียนเชิญ ที่นี่ค่ะ




 

Create Date : 14 ธันวาคม 2548    
Last Update : 14 ธันวาคม 2548 20:11:19 น.
Counter : 6980 Pageviews.  

++++++แซซ..หนังสือที่อ่านเล่ม๒ ก่อนเล่ม๑++++++






สวัสดีค่ะ


เมื่อวานซืนเขียนถึงแฮรี่กับเจ้าชายเลือดผสมไป (ที่บล็อกข้างล่างเนี่ยค่ะ)

ส่วนเมื่อคืนก็เพิ่งอ่านแซซเล่ม ๑ จบไปค่ะ
(หลังจากได้อ่านเล่ม ๒ ก่อนแล้ว เมื่อตอนไปอีสานเนื่องจากเห็นเพื่อนร่วมห้องอ่านแล้วสนใจ แล้วเค้าก็ให้ยืมอ่าน)


อ่านแล้วรู้สึกว่าแซซเล่ม ๑ โตกว่าเล่ม ๒ อะ

ขี้โกง ขี้เล่นน้อยกว่าด้วย



เป็นหนังสือเล่มแรกเลยค่ะที่เรารู้สึกว่าชอบเล่ม ๒ มากกว่าเล่ม ๑ (อาจเป็นเพราะ first impression ก็ได้) เราว่าบุคลิกตัวละครของเล่ม ๒ แซซน่ารักและมีเสน่ห์มากกว่าค่ะ


แล้วก็เป็นหนังสือที่เราว่าจะอ่านเล่มไหนก่อนก็ได้ทั้งนั้นด้วย (เป็นความสามารถอย่างหนึ่งของผู้เขียนนะนี่)

อาจคล้ายๆ นาร์เนียตรงส่วนนี้แหละค่ะ (เราเพิ่งรู้ว่าฉบับพิมพ์โดยสนพ.ผีเสื้อนี่เรียงเล่มนาร์เนียไม่เหมือนสมัยไทยวัฒนาพานิชพิมพ์เมื่อไม่นานนี้เองค่ะ ก็เลยเพิ่งรู้ว่า..อ้อ..มันจะอ่านเรียงไม่เหมือนกันก็ได้ด้วยรึ แต่ก็กะว่าจะอ่านโดยเรียงแบบเดิมของไทยวัฒนาฯ น่ะค่ะ) เพราะเป็นเรื่องที่แยกกันอ่านก็ได้ อ่านเล่มไหนก่อนก็ได้



สำหรับเรื่องราวของเล่มนี้


แซซ เป็นเรื่องราวของพ่อมดหนุ่มผู้มีพลังเวทย์สูงที่ต้องหนีออกมาจากบ้านเกิดเนื่องด้วยการใช้เวทย์ต้องห้ามของเมืองตัวเอง (แต่ก็ทำไปด้วยจุดประสงค์ที่ดี) แต่แม้กระทั่งภายหลังเค้าได้รับการอภัย แต่แซซก็ยังไม่สามารถกลับไปได้เนื่องด้วยภารกิจที่เกิดขึ้น (ด้วยความเต็มใจของเจ้าตัว) เมื่อเค้ามาถึงเมืองนี้


ภารกิจที่ทำให้เค้าได้เปลี่ยนแปลงตัวเองไปในด้านที่คนที่เคยรู้จักเค้าต้องแปลกใจ


ภารกิจเค้าจะสำเร็จหรือไม่ อย่างไร แซซเลือกที่จะอยู่ในถิ่นฐานคนที่รัก หรือจะเลือกให้คนรักต้องสละตนเองแล้วไปอยู่กับเค้าที่บ้านเกิด?




อืมม์...สิ่งที่เรารู้สึกว่าน่าสนใจของผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ก็คือ การสร้างบุคลิกตัวละครและอารมณ์ขันค่ะ

แซซ เป็นพระเอกที่ไม่ใช่ พระเอ๊ก..พระเอกน่ะ เจ้าเล่ห์..ไม่ใช่สุภาพบุรุษทุกกระเบียดนิ้ว..(โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเล่ม ๒ จะเห็นชัดมาก จนต้องถามตัวเองว่า นี่มันพระเอกจริงๆ หรือนี่?)

ส่วนอารมณ์ขันของหนังสือเล่มนี้ก็เป็นอารมณ์ขันที่แบบทำให้เราเผลอยิ้มขณะอ่านไปด้วย คืออ่านแล้วรู้สึกรื่นรมย์ค่ะ


ลักษณะของความรักและการแสดงความรักของตัวละครในเรื่องมีลักษณะของความ "ช่างฝัน" สไตล์การ์ตูนญี่ปุ่นอยู่ด้วยค่ะ (คิดถึงสมัยตัวเองเขียนเรื่องสั้นส่งนิตยสารวัยรุ่นสมัยม.ต้นเลยค่ะ กับฉากรักแต่ละฉาก)

อ่านแล้วรู้สึกว่าเรื่องรักในเรื่องนี้นี่ "ใส" ดี (แม้ตัวละครบางตัวจะถึงขนาดมีลูกก็เหอะ แต่กับแฮรี่นี่..เรารู้สึกว่ารักของพวกเค้านี่ "จริง" เอามากๆ อาจตามสไตล์ตะวันตกล่ะมังคะ)


เป็นหนังสืออีกเล่มที่อ่านได้ "เพลิน" ดี


เหมาะสำหรับคนชอบอ่านหนังสือแนวแฟนตาซีนะคะ
(แต่ก็ยังยืนยันว่าชอบเล่ม๒ มากกว่าเล่ม ๑ ค่ะ ไม่รู้ยึดติดไปมั้ย ต้องลองถามคนอื่นๆ ที่เคยอ่านเล่ม ๑ ก่อนเล่ม ๒ ว่าเป็นอย่างไรบ้าง)



ตอนนี้กำลังอ่านหัวขโมยแห่งบารามอสอยู่ค่ะ แล้วจะมารีวิวให้ฟังอีกรอบนะคะ


ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ




สำหรับท่านใดที่แวะมาบ้านสาวไกด์เป็นครั้งแรก
(หรือเคยมาแล้วแต่มีหนังสือกับหนังที่อยากแนะนำเพิ่มเติม)

เรียนเชิญ ที่นี่ค่ะ




 

Create Date : 09 ธันวาคม 2548    
Last Update : 9 ธันวาคม 2548 17:37:30 น.
Counter : 1470 Pageviews.  

++++แฮรี่พอตเตอร์กับเจ้าชายเลือดผสม (สปอยล์นะคะ ไม่อยากรู้เนื้อเรื่องกรุณาระวังในการอ่าน) ++++

สวัสดีค่ะ


สาวไกด์ฯ หายไปพักใหญ่ๆ อันเนื่องมาจากช่วงนี้ไฮซีซั่นของการท่องเที่ยวค่ะ

เพราะงั้นจึงต้องมีการออกทริป (ทำทัวร์) บ่อยมากๆ
(เข้าสู่ช่วงการใช้ร่างกายแบบหนักหนา ทรมานตัวเองอีกแล้วค่ะ)




สำหรับวันนี้ เนื่องจากเพิ่งอ่านแฮรี่เล่ม ๖ จบค่ะ

ก็เลยจะมารีวิวให้ฟังนะคะ



ก่อนอื่นคงต้องเกริ่นก่อนว่า

ถ้าใครเข้ามาบล็อกสาวไกด์ฯ บ่อยๆ คงจะทราบว่าสาวไกด์ฯ ชอบวรรณกรรมเยาวชนพอสมควร

สำหรับแฮรี่นี่สาวไกด์ฯ ได้อ่านก็เมื่อน้องชายเค้าซื้อมาให้แม่อ่านค่ะ แล้วแม่ก็บอกว่าสนุกมาก พร้อมกับให้มาอ่านเลย (ตอนนั้นออกมา ๓ เล่มแล้ว)


จากนั้นก็ติดหนึบมาโดยตลอด

ความคิดของสาวไกด์ฯ คือ เรื่องนี้เจ.เค.เขียนแฮรี่โดยใช้การผสมผสานระหว่างการเขียนเรื่องแนวลึกลับหักมุมผสมกับจินตนาการแบบวรรณกรรมเยาวชนค่ะ แล้วเธอก็ทำได้ดีด้วย


สาวไกด์ฯ ชอบทุกเล่มเลยค่ะ แต่สาวไกด์ไม่ค่อยชอบเล่ม ๕ เท่าไหร่
(เล่มสี่ที่ใครช็อกๆ สาวไกด์ฯ ก็ช็อกค่ะ แต่ก็ยังสนุกกว่าเล่ม ๕)


สำหรับเล่ม ๖ เนื่องจากการโดนสปอยล์จากเพื่อนคนหนึ่ง (คุย msn กันแล้วมันดันบอกจุดสำคัญที่สุดของเรื่อง) ก็เลยวิ่งเข้าชนสปอยล์ทุกอันทุกกระทู้ที่อยู่ในห้องแฮรี่ฯ ของเฉลิมไทยซะเลย


ก็เลยทำให้รู้เรื่องหมดแล้วก่อนที่จะอ่านหนังสือเล่มนี้เสียอีก เลยทำให้อรรถรสในการอ่านลดลงไปเยอะพอสมควร



เกริ่นมาเยอะแล้ว เข้าเรื่องเลยค่ะ (หลังจากบรรทัดนี้ไป สปอยล์อย่างแรง)




สำหรับในเล่ม ๖ นี้นะคะ

เป็นเรื่องราวที่มีพัฒนาการขึ้นในเรื่องของความรักของตัวละครหลักๆ ค่ะ ลงตัวมากขึ้น ตัวละครทุกตัวมีความเป็นหนุ่ม-สาวมากขึ้น
(ซึ่งตามความเห็นเรา ที่เน้นเรื่องความรักมากขึ้น เป็นการปูพื้นเพื่อต่อสู้กับลอร์ดวอเดอร์มอร์ทต่อไปด้วยค่ะ เพราะเล่มนี้ย้ำเรื่องความรักที่ลอร์ดฯ แกไม่มีและจะเป็นสิ่งที่จะเอาชนะแกได้ด้วย)

แฮรี่สมหวังในรักกับคนที่ควรสมหวังเสียที (แต่อาจไม่ถูกใจใครหลายๆ คนค่ะ) รอนกับเฮอร์ไมโอนี่ก็ด้วย
(แม้ว่าจะเป็นการสมหวังแค่ระยะสั้นๆค่ะ เพราะเมื่อเหตุการณ์ที่สำคัญเกิดขึ้น แฮรี่ต้องเลือกที่จะเดินหน้า โดยไม่ทำให้คนที่เขารักต้องเดือดร้อน - ผู้ชายเป็นงี้ทุกคนมั้ยเนี่ย ผู้หญิงเค้าอยากอยู่ข้างๆ นะเฟ้ย ความตายมันสำคัญซะที่ไหนกัน)


สเนปได้มาสอนวิชาป้องกันตัวจากศาสตร์มืดสมใจ (หุๆ ตัวละครนี้ เล่มแรกๆ เราเกลียดมาก แต่พอเจออัมบริดจ์ในเล่ม ๕ ไป รวมทั้งการที่รู้สาเหตุว่าทำไมสเนปถึงเกลียดแฮรี่นัก ก็เลยเริ่มรักตัวละครตัวนี้แล้วค่ะ) - แต่อาจารย์ประจำวิชานี้ก็ยังมีอาถรรพณ์เหมือนทุกๆ ปีแหละนะคะ หุๆ


แฮรี่ได้เจอหนังสือวิชาการปรุงยาของคนที่ลงชื่อไว้ว่า Half-Blood Prince เขาจึงเรียกเพื่อนคนที่ไม่รู้จักชื่อจริงๆ คนนี้ว่า "เจ้าชาย" ซึ่งหนังสือเล่มนี้เองที่ทำให้เขาทำวิชาการปรุงยาได้ดี จนกลายเป็นคนโปรด (จากที่โปรดอยู่แล้ว) ของอาจารย์ที่สอนการปรุงยาคนใหม่ (ศาสตราจารย์สลักฮอร์น) และตอนท้ายเมื่อเค้ารู้ว่าคนๆ นี้เป็นใครก็ช็อกและเจ็บปวดไปไม่ใช่น้อยเลย (แต่มันแสดงให้เห็นค่ะ ว่าคนๆ นี้นี่ฉลาดและเก่งเอามากๆ จริงๆ)

ในปีนี้ แฮรี่ได้เป็นกัปตันทีมควิดดิชของบ้านกริฟฟินดอร์ด้วย โดยที่นัดสำคัญที่สุดแฮรี่กลับไม่ได้ลงแข่งขัน ทว่า..ผลการแข่งขันกลับทำให้เขาได้เปิดเผยความรู้สึกในใจที่มีต่อสาวน้อยของเขาซะที



ประโยคต่อไปนี้สำคัญที่สุดของเรื่อง (ไม่อยากโดนสปอยล์กรุณาข้ามไปค่ะ)


"สเนปฆ่าดัมเบิลดอร์ตาย" ค่ะ





โอ้ววววว...จะบ้าตาย

ขนาดรู้มาก่อนแล้ว เรายังร้องไห้เลยง่ะ แง...ตัวละครตัวหนึ่งที่เรารักมากด้วยนะนี่ (ตอนเค้าตาย มันหมดรูป หมดสภาพความยิ่งใหญ่จริงๆ ค่ะ)


ตอนแรกที่ไม่ได้อ่านเล่มภาษาไทย เรายังคิดว่า ดัมเบิลดอร์อาจจะไม่ตาย (เหมือนที่หวังกับซีเรียสตอนเล่ม ๕) แต่พออ่านเล่มภาษาไทยนี่..โอย..ไม่มีหวังแล้วค่ะ




ยังไงก็ตามแต่ เรารู้สึกว่าเล่ม ๖ นี่มัน "ไม่เต็มที่" ยังไงไม่รู้ค่ะ รู้สึกไม่เต็มอิ่ม


เหมือนๆ เกริ่นๆ ปูๆ เพื่อเข้าเล่ม๗ มากกว่า (ซึ่งนั่นทำให้ทรมานเข้าไปใหญ่ กว่าเล่ม๗ จะออก)


รวมทั้งอารมณ์ขัน ทริกอะไรหลายๆ อย่างที่เจ.เค.เคยสร้างไว้ในเล่มแรกๆ ก็หายไปเยอะเลยเหมือนกัน


รู้สึกว่าเล่มหลังๆ นี่เจ๊แก "จริงจัง" ขึ้นเยอะเลยค่ะ (ก็เข้ากับเนื้อเรื่องแหละ) เหมือนกับเนื้อเรื่องก็ "เติบโต" ขึ้นไปตามตัวละครและเวลาที่ผ่านไปด้วย


ในเล่มหลังๆ นี่เป็นวรรณกรรมที่ไม่ใช่วรรณกรรมสำหรับเยาวชนแล้วล่ะค่ะ

ซึ่งนั่นเป็นอีกอย่างที่ทำให้เราทึ่งเจ.เค.นะคะ

เราว่าเป็นรูปแบบการเขียนหนังสือที่ต่างไปจากหนังสือในแนวเดียวกันเลยแหละค่ะ ดูเค้าสรรสร้างดี





อ้อ..ว่าแต่สงสัยอย่างหนึ่งค่ะ


เลย ๗ นี่มันมีความพิเศษอย่างไรเหรอคะ?
(นอกจากเรื่องนี้ถูกเขียนมา ๗ เล่มตาม ๗ ปีที่ต้องเรียนในฮอกวอร์ตแล้วน่ะนะคะ)

หมายถึงความพิเศษในระดับสากลน่ะค่ะ

เพราะตัวละครตัวหนึ่งในเล่มนี้ให้ความสำคัญกับเลขตัวนี้มาก ก็เลยเกิดข้อสงสัยกับเลขตัวนี้ขึ้นมาว่ามัน "พิเศษ" หรือศักดิ์สิทธิ์ยังไง


เกี่ยวยังไงกับพระเจ้าสร้างโลก ๖ วันวันที่๗ เป็นวันพักผ่อน หรือรุ้งมี ๗ สี หรืออะไรๆ ทำนองนี้หรือเปล่าคะ?



สำหรับโดยสรุปหนังสือเล่มนี้นะคะ


อาจไม่เต็มอิ่มเต็มอารมณ์เลยค่ะ สำหรับสาวกแฮรี่ทั้งหลาย คงต้องรอเล่ม ๗ ที่ผู้เขียนบอกว่าจะรีบปั่นให้เสร็จภายในต้นปีหน้าค่ะ

เหมือนคนเขียนเองก็กั๊กๆ คนแปลก็..บอกไม่ถูกค่ะ อาจเพราะรีบแปลมั้งคะ ก็เลยทำให้อารมณ์บางอย่างมันไม่ค่อย "เนียน" เท่าไหร่


แต่อย่างไรก็ดี..ก็ยังคงต้องอ่านต่อไปค่ะ เพราะหลายๆ อย่างที่คนเขียนได้ทิ้งๆ ไว้คงจะมาเฉลยทั้งหมดในเล่ม๗ แล้วล่ะค่ะ




แต่นี่เป็นเล่มแรกเลยค่ะ ที่เราสั่งซื้อจากนานมีตั้งแต่งานหนังสือ เลยได้ของแถมด้วย รู้สึกว่าเค้าทำเก๋ดี

มีใครได้สั่งซื้อกับนานมีมาก่อนหน้านี้หลายเล่มมั้ยคะ? อยากรู้ว่าเค้าแถมอะไร ไอเดียเก๋ๆ อย่างนี้หรือเปล่า?



อย่างไรก็ขอบคุณสำหรับการติดตามและแวะมาเยี่ยมกันอย่างสม่ำเสมอนะคะ




สำหรับท่านใดที่แวะมาบ้านสาวไกด์เป็นครั้งแรก
(หรือเคยมาแล้วแต่มีหนังสือกับหนังที่อยากแนะนำเพิ่มเติม)

เรียนเชิญ ที่นี่ค่ะ




 

Create Date : 07 ธันวาคม 2548    
Last Update : 7 ธันวาคม 2548 19:17:06 น.
Counter : 5413 Pageviews.  

++++โตเกียวไม่มีขา - รอยย่ำที่นำเราไป - ความฝันของไอน์สไตน์ - ผู้ชายที่หลงรักตัวเลข++++



สวัสดีค่ะ

ในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมาอ่านหนังสือ ๔ เล่มนี้ค่ะ (ตามชื่อบล็อกวันนี้อะนะคะ)



โตเกียวไม่มีขา


ได้ซื้อตอนที่ดูหนังเมื่อวันเสาร์เนื่องจากรอเวลาระหว่างรอบของหนัง จึงต้องหาหนังสืออ่าน (ดันลืมรอยย่ำที่นำเราไปที่ติดมาตั้งแต่แรกเพื่อการนี้ ไว้ที่ออฟฟิศ) ก็เลยต้องซื้อเล่มนี้มา (ดีว่าเมื่อก่อนไปเพิ่งจะทวนหนังสือกับหนังแนะนำที่เพื่อนๆ ได้แนะนำไว้ในสมุดเยี่ยม ก็เลยถามหาหนังสือเล่มนี้ที่ร้านนายอินทร์สาขาเมโทรโพลิสทันที)


อ่านไปแล้ว อืมม์..ติดเลยค่ะ

จริงๆ สำหรับนิ้วกลม เราสนใจตั้งแต่สมัยยังอ่าน a day แล้วแหละ รู้สึกว่านักเขียนคนนี้น่าสนใจดี ทั้งแนวคิด สำนวน อ่านแล้วเพลินใช้ได้ มีอารมณ์ขันอีกต่างหาก

พอได้อ่านเล่มนี้แล้วก็เลยรู้สึกว่า เป็นนักเขียนที่ "ใช้ได้" ทีเดียว


สำหรับ "โตเกียวไม่มีขา" ก็เป็นการเล่าประสบการณ์ในการเดินทางไปโตเกียว (เมืองที่ได้ชื่อว่ามีค่าครองชีพที่สูงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก) ของเขากับเพื่อนอีกหนึ่งคน โดยเดินทางไปแบบแบ็คแพคเกอร์ กับเงินที่มีติดตัวอยู่น้อยมาก (เมื่อเทียบกับค่าครองชีพของที่โน่นแล้ว)

แต่เจ้าตัวก็มีการวางแผนเป็นอย่างดีว่า ในเงินจำนวนดังกล่าวนั้น เค้าต้องเตรียมอาหารสำหรับไปกินเอง (เพื่อจะได้ไม่ต้องจ่ายเงินซื้อ) อย่างน้อยวันละ ๑ มื้อ จะต้องมีการนอนข้างถนนบ้าง (จึงเตรียมถุงนอนไป)

เจ้าตัวบอกวิธีการเตรียมตัวทุกอย่างที่เหล่านักเดินทางสไตล์แบ็คแพ็คเกอร์จำเป็น เช่น การต้องไปทำบัตรนักศึกษาปลอมที่ข้าวสาร ทำอย่างไรบ้าง ค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ เพื่อให้ไปใช้บริการพวก Youth Hostel ได้ หาข้อมูลสำหรับที่พักราคาถูกอย่างไร ฯลฯ


เรียกได้ว่าเป็นคู่มือนักท่องเที่ยวได้ในระดับหนึ่งเลยหละ


แต่ที่สำคัญกว่านั้น หนังสือเล่มนี้ยังสอดแทรกแนวคิดหลายๆ แนวคิดที่น่าสนใจเอาไว้ด้วย ทำให้การอ่านหนังสือเล่มนี้นอกจากได้ความรู้และประสบการณ์ทางการท่องเที่ยวแล้ว

ก็ยังได้แนวคิดบางอย่างที่ "โดน" ใช้ได้

พออ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว ความรู้สึกของเราที่มีต่อชาวญี่ปุ่นก็เลยดีขึ้นมาอีกนิดหนึ่งค่ะ




ขณะเดียวกันเมื่อเทียบกับ "รอยย่ำที่นำเราไป" (ยังอ่านไม่จบดีค่ะ) ของนักเขียนซีไรต์ - บินหลา สันกาลาคีรี แล้ว

จะเป็นคนละสไตล์กันค่ะ

ถ้า "โตเกียวไม่มีขา" เป็นกาแฟที่รสชาติเข้มข้น ร้อนแรง "รอยย่ำที่นำเราไป" ก็เป็นชาที่อ่อนละมุนต่อรสสัมผัส

บินหลาเขียนบทบันทึกและมุมมอง ความคิดนึก-รู้สึกในระหว่างการเดินทางไปยังที่ต่างๆ

อ่านแล้วจะสัมผัสได้ถึงความละเอียดอ่อนของผู้ชายตัวใหญ่คนนี้

อ่านแล้วอารมณ์จะดีๆ กรุ่นๆ บอกไม่ถูกค่ะ (ต้องอ่านเองนะคะ)




เล่มต่อมา ความฝันของไอน์สไตน์

คำโปรยบนปก "นวนิยายที่จะทำให้โลกของคุณไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป"
(แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ค่ะ)


อืมม์..เป็นเรื่องราวที่แต่ละบทจะบอกเล่าถึง "ความฝัน" ที่เกี่ยวพันกับกับเวลาในรูปลักษณ์ต่างๆ ของตัวละครที่ชื่อ "ไอน์สไตน์" โดยแต่ละ "ความฝัน" ที่ว่านั้น ก็น่าสนใจเอามากๆ


ที่เราติดใจที่สุดเป็นฝันที่บอกว่า โลกที่เหตุกับผลไม่เกี่ยวเนื่องกัน

เช่น บ้านเมืองได้มีการออกกฎระเบียบคุมเข้มเรื่องอาวุธ ต่อมาอาชญากรรมกับเพิ่มมากขึ้น

(ถ้าตามโลกของเรา อาชญากรรมเกิดก่อนแล้วบ้านเมืองค่อยออกกฎใช่หรือไม่?)


แต่ในโลกนี้ การทำสิ่งหนึ่ง ไม่มีผลกับอีกสิ่งหนึ่ง อดีตไม่มีผลต่อปัจจุบัน ปัจจุบันไม่มีผลต่ออนาคต


ดังนั้นทุกคนในโลกนั้นจึงอยู่กับปัจจุบันขณะ ณ เวลานั้นอยากทำอะไรก็ทำ

เมื่อลูกจ้างถูกกดขี่ ไม่พอใจนายจ้าง เขาสามารถจะโต้เถียงได้ทันที

เพราะมันไม่มีผลอะไรกับเขา


อาจแล้ว "แปลก" "เศร้า" และ "ทึ่ง" มากๆ ค่ะ
(มีบางครั้งอยากให้โลกของตัวเองเป็นอย่างโลกนี้เหมือนกันนะนี่ หึๆ)


ไม่น่าเบื่อเลยค่ะ

เพียงแต่ แต่ละบทคือความฝันของแต่ละวัน ซึ่งค่อนข้างแยกกันเป็นสัดส่วนชัดเจน ในตอนแรกแต่ละบทจะไม่มีความเกี่ยวข้องกัน

เหมือนมีอาหารประเภทแกงเหมือนกัน แต่ไม่ใช่แกงแบบเดียวกัน วางเรียงรายให้ตักชิมทีละชาม

ซึ่งถ้าใครไม่ได้อยากทดสอบรสชาติอย่างตั้งใจจริงแล้ว
อาจท้อถอยต่อการอ่าน (หรือชิม) ให้ครบหมดได้

(แต่แกงแต่ละชาม ก็อร่อยต่างกันไปนะคะ อดทนชิมให้ครบเถอะค่ะ)




และสุดท้าย

ชายผู้หลงรักตัวเลข



เป็นหนังสืออัตชีวประวัติของพอล แอร์ดิช นักคณะตศาสตร์ที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งของโลกค่ะ

เป็นคนที่ทุ่มเทชีวิตกับคณิตศาสตร์จริงๆ พอล แอร์ดิชไม่มีครอบครัว ไม่เล่นกีฬา ชีวิตของเขาคือ "คณิตศาสตร์"


สำหรับใครที่เคยอ่าน "ด็อกเตอร์กับรูทและสูตรรักของเขา" แล้ว (ซึ่งสาวไกด์ฯ เคยรีวิวไปครั้งหนึ่งแล้ว)

เล่มนี้ต่างกันไปเลยค่ะ

เล่มนี้คืออัตชีวประวัติจริงๆ ไม่ได้ผสมเป็นการแต่งเรื่องเหมือนด็อกเตอร์กับรูทฯ

เพราะฉะนั้นความเป็นเรื่องราว การร้อยเรียงต่างๆ และความน่าสนใจในการอ่านและซึมซาบความงามของคณิตศาสตร์ สำหรับเรายังชอบด็อกเตอร์กับรูทฯ มากกว่าค่ะ


เพียงแต่สำหรับผู้ชายที่หลงรักตัวเลข อาจเป็นตัวอย่างหนึ่งสำหรับคนที่รักคณิตศาสตร์ ในการที่จะทุ่มเทความจริงจังที่จะยึดมันเป็นอาชีพ
(ซึ่งเราก็ไม่แน่ใจว่าเมืองไทยเองนั้นมีคนทำอาชีพเป็นนักคณิตศาสตร์ได้จริงๆ หรือเปล่า?)

แต่หนังสือเล่มนี้อาจจะเหมาะกับคนทั่วไปที่รักและเข้าใจคณิตศาสตร์ในระดับหนึ่งแล้ว เพราะกำแพงบางตอนในเรื่องของการทำความเข้าใจในคณิตศาสตร์ที่ปรากฏอยู่นั้น ทำความเข้าใจได้ยากยิ่งกว่าด็อกเตอร์กับรูทอีกค่ะ

เพราะฉะนั้น "ผู้ชายที่หลงรักตัวเลข" จะเหมาะกับคนเฉพาะกลุ่มกว่า (สำหรับความคิดของเรานะ)


อย่างไรก็ตาม จะพยายามอ่านหนังสือที่ขนซื้อมาจากงานหนังสือให้ครบหมดก่อนจะมีงานหนังสือในคราวหน้าค่ะ

เล่มไหนน่าสนใจก็จะมารีวิวให้ฟังตามนี้นะคะ



ประกาศ

ตั้งแต่ดึกๆ ของวันพฤหัสที่ ๑๗ จนถึงดึกๆ ของวันจันทร์ที่ ๒๑ สาวไกด์ฯ จะไม่สามารถติดต่อได้นะคะ(จะหนีไปเที่ยว คราวนี้เที่ยวจริงๆ ค่ะ) กลับมาแล้วจะมาบอกเล่าให้ฟังนะคะว่าไปเที่ยวไหน แล้วเป็นไงบ้าง (ถ้ามีเวลานะคะ)




ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ




สำหรับท่านใดที่แวะมาบ้านสาวไกด์เป็นครั้งแรก
(หรือเคยมาแล้วแต่มีหนังสือกับหนังที่อยากแนะนำเพิ่มเติม)

เรียนเชิญ ที่นี่ค่ะ




 

Create Date : 15 พฤศจิกายน 2548    
Last Update : 15 พฤศจิกายน 2548 18:50:07 น.
Counter : 2082 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  

สาวไกด์ใจซื่อ
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 203 คน [?]




ชอบอ่านหนังสือและดูหนังค่ะ ตอนนี้ทำงานด้านการท่องเที่ยวอยู่ นิสัยดีบ้างร้ายบ้าง แล้วแต่สภาวการณ์และคนที่เจอ


เนื้อหาและรูปภาพทั้งหมดในบล็อกสงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย ไม่อนุญาตให้นำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของบล็อก


ติดต่อเจ้าของบล็อกได้ที่ theworpor@yahoo.com
หรือ
https://www.facebook.com/saoguide






Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add สาวไกด์ใจซื่อ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.