❤++++++❤งานหนังสือ – จน จ่น จ้น จ๊น จ๋น T_T ❤++++++❤





สวัสดีค่ะ


ไปงานหนังสือมาสองรอบแล้ว ได้แก่เมื่อบ่ายๆ วันศุกร์
(เจ้านายไม่อยู่ หนูร่าเริง – เนื่องจากต้องไปหาซื้อหนังสือมาใช้ในการทำงาน ก็เลยได้โอกาสเดินซื้อหนังสืออื่นด้วย )


แล้วก็เมื่อวานนี้ (อาทิตย์ที่ 2 เมษายน) กะบรรดาแก๊งค์เดิม แข-rebel hunjang และเซียวเปียกลี้


รวมศิริแล้ว (เอ่อ..ทำไมต้องรวม “ศิริ” ด้วยน้อ) หมดไปประมาณเจ็ดพันกว่าๆ (วันศุกร์หมดไปสามพันกว่า เมื่อวานสี่พันกว่า เอ่อ..อ่า หรือรวมๆ แล้วน่าจะประมาณแปดพันกว่าแหละ)


แต่จริงๆ ยังมีอีกหลายเล่มมากๆ ที่เรายังอยากได้ แต่ก็ยังไม่ได้ซื้อ ไม่ว่าจะเป็น Tales of Otori, กาซิโกกิ (ที่เวียนไปที่บู๊ทสองรอบแล้วยังไม่ได้ เขาบอกจะสั่งมาให้ เลยขอเบอร์เราไป บอกว่าถ้ามาแล้วจะโทร.บอก ซึ่งถ้าเขาสั่งมาจริงๆ ก็คงไปเอาอีกรอบ) ดอน กิโฒเต้ ทัชมาฮาลบนดาวอังคาร ความเบาหวิวเหลือทนของชีวิต (อันนี้เสียดายมาก จริงๆ ควรตรงไปบู๊ทคบไฟก่อนนะนี่ ) หนังสือของวินทร์ 2 เล่มที่ตั้งใจจะซื้อ และอื่นๆ อีกมากมาย



ขณะเดียวกันหนังสือที่ได้มาจากงานนี้ก็มีทั้งตามลิสต์ และ นอกลิสต์ (ซึ่งการได้หนังสือนอกลิสต์นี่มีหลายสาเหตุด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นพนักงานขาย ขายได้เก่งมาก (จากบู๊ทเพิร์ล) หรือ เห็นแล้วเกิดตบะแตกเอง (อันนี้ก็ไม่ใช่น้อย) )




รายนามหนังสือคร่าวๆ มีดังนี้


หมวดแรก ที่อ่านแล้วแต่ยังซื้อมาอีก เพราะบางเล่มหาย บางเล่มให้คนอื่นไปซะนี่


1. A chance of Sunshine จากบู๊ทพี่ grappa ซึ่งถ้าท่านใดคิดจะไปซื้อก็ต้องขอแสดงความเสียใจด้วย เพราะเล่มสุดท้ายถูก hunjang สอยมาแล้วเมื่อวานนี้ (หนูว่าพิมพ์ใหม่มั้ยคะพี่ grappa ขา น่าจะพอขายได้อยู่นะคะ)

2. Rosso และ Blue อันนี้เสียดายมาก เพราะฉบับพิมพ์ครั้งที่ ๑ ให้อดีตคนที่เราเคยปลื้มมากสมัยป.ตรีไปแล้ว ไม่คิดว่ามันจะตีพิมพ์ครั้งต่อๆ มาเร็วขนาดนี้ (ถ้าจำไม่ผิดที่ซื้อมานี่พิมพ์ครั้งที่ ๘ แล้วมั้ง)

3. หมูบินได้ (อันนี้ให้เพื่อนไปเช่นกัน เลยซื้อใหม่)

4. คิดถึงทุกปี (เล่มฉบับพิมพ์ครั้งแรกให้คนเดียวกะความเห็นที่ ๒ ไป ) ซึ่งถ้าจำไม่ผิด ตอนพิมพ์ครั้งแรกเค้าเอาคิดถึงทุกปีขึ้นเป็นเรื่องแรกนะ แต่ไอ้เล่มล่าสุดที่เราซื้อมา เรื่องนี้ดันไปอยู่กลางๆ เล่มง่า (หรือเราจำผิดหว่า )

นอกนั้นก็มีอีก 2-3 เล่มค่ะ แต่จำไม่ได้แล้ว (ไม่ได้หยิบลิสต์มาง่า)



หมวดที่ 2 ได้มาและอยู่ในลิสต์ (แต่อาจมีปนๆ นอกลิสต์บ้างอย่างที่ระบุไว้ในบางอันนะคะ)

1. ๔ เล่มของโอตสึ อิจิ

2. ๕ เล่มแรกของคินดะอิจิ

3. หัวใจเปียโน (สามข้อแรกนี่ได้มาจากบู๊ทบลิส โดยที่หวังว่าพนักงานเค้าจะให้กรอกอะไรซักอย่าง เผื่อจะได้คูปองส่งไปให้ที่บ้านเหมือนนานมีบ้าง แต่ก็ไม่มีสัญญาณตอบรับจากน้องคนขายแต่อย่างใด ) แงๆ อุตส่าห์ซื้อตั้งเยอะนะคุณน้องงงงงงง

4. หนังสืออีก 3 เรื่องในชุดฤทธิ์มีดสั้น (พาซื้อโดยฮันจังและเซียวเปียกลี้ ขอบคุณมั่กๆ ครับ )

5. ฆาตกรรมออนไลน์และอีกเล่มของผู้เขียนคนเดียวกัน รู้สึกจะเป็น ฆาตกรรม ฆาตกร กระมัง เล่มหลังนี่ซื้อมาเพราะน้องคนขายเชียร์เลยนะนี่

6. ทุกเล่มที่ยังขาดของจิมมี่เหลียว (กับนานมีมีออกทั้งหมด 9 เล่ม แต่เราซื้อไปแล้ว 1 ก็เลยได้มาอีก 8 เล่ม) ซึ่งใช้คูปองลดไป 30% พร้อมๆ กับอีกเล่มในข้อ 7

7. หมาทุกตัวล้วนต้องตาย ของอรุณวดี อรุณมาศ (จะเป็นเล่มแรกของนักเขียนคนนี้ที่เราจะได้อ่าน)

8. เล่มที่ยังไม่มีของมูราคามิ ประมาณ 5 เล่มรวมทั้งคาฟกา วิฬาร์ นาคาตะ (ซึ่งทำให้เห็นชัดเจนมากว่า พนักงานบางคนของบู๊ทมติชนยังคงเหมือนเดิมคือ ไม่สามารถให้ข้อมูลของหนังสือในบู๊ทตัวเองได้หมด เพราะพอเราถาม เขาต้องไปตามน้องผู้ชายผมยาวอีกคนมาหาให้ ซึ่งน้องผู้ชายคนนี้ค่อนข้างจะรู้เยอะเลย ทำให้เราได้ของมติชนมาอีกเล่ม ตามข้อ 9)

9. สองดวงจันทร์ (อยากได้มานานแล้ว ได้อ่านซะที)

10. โลกนี้มันช่างยีสต์ (ตั้งแต่อันดับนี้จนถึง 14 ได้จากบู๊ทพี่ grappa ค่ะ – เหมือนๆ ตกหล่นบางเล่มไปนะคะ แต่จำไม่ได้แล้วจริงๆ)

11. บทภาพยนตร์คำพิพากษาของมหาสมุทร

12. อย่างน้อยที่สุด (อันนี้นอกลิสต์ค่ะ)

13. หมวก 6 ใบคิด 6 แบบ

14. เรื่องเล่าของเกาะที่ไม่มีใครรู้จัก (อันนี้นอกลิสต์)

15. ยินดีที่รู้จักและรักเธอ ของคุณมัชฌิมา (ซึ่งทำให้เราได้สมุดบันทึกแบบไม่มีเส้นในราคาเล่มละ 10 บาทจากบุ๊ทเดียวกันมาอีก 5 เล่ม กร๊ากกกก โรคจิตอีกแล้วช้าน เพิ่งซื้อ Taiphoon Notebook มาแท้ๆ เป็นคนเห็นสมุดบันทึกไม่มีเส้นแล้วใจอ่อนยวบค่ะ ยิ่งถูกๆ แบบนี้นี่ขนซื้อซ้า...)

16. ความสุขของกะทิ (อันนี้ซื้อ 2 เล่ม อีกเล่มให้เพื่อนคนหนึ่งไป )

17. กูจี กูจี (แปลโดยคุณปรีดา) - อ่านจบแล้ว

18. มาโอ และมาโอ หิมะฯ ของพัณณิดา ภูมิวัฒน์ (เอ่อ..สะกดชื่อนักเขียนถูกเปล่าเนี่ยเรา? )

19. อีกเล่มของคนเขียนหมูบินได้ (จำชื่อเรื่องไม่ได้ )

20. ติสตูนักปลูกต้นไม้ – อ่านจบแล้ว

21. อิตาลี ของหน้าต่างสู่โลกกว้าง (ใช้ทำมาหากิน)

22. อิตาลีที่รัก โดยโกวิท ตั้งตรงจิตร

23. อิตาเลียน เรียนได้ด้วยตนเอง (21-23 นี่เอาไปทำมาหากินค่ะ)

เอ..เหมือนๆ ตกหล่นอะไรไปบ้างนะนี่ (ก็ไม่ได้เอาลิสต์มาอะนะคะ) แต่ไม่เปงไร คร่าวๆ แค่นี้แหละค่ะ (เดี๋ยวถ้ามีเพิ่มเติมจะมาแก้ไขบล็อกแล้วกันค่ะ) อ้อ! แล้วก็มีหนังสือ 3 เล่มที่ได้แถมมาคือ แตงดองแกล้มช็อคโกแลต (กรี๊ดมาก เพราะคุณมัชฯ แนะนำไว้แต่หาซื้อที่บู๊ทนายอินทร์ไม่ได้ ไปเจอตอนที่ซื้อ 800 ได้หนังสือฟรี 1 เล่มเลยคว้าเล่มนี้หมับทันที) กับอีก 2 เล่มจากบู๊ทนานมี (จำชื่อไม่ได้อีกแล้ว )




โดยสรุป ก็ได้หนังสือมาสองตั้งสูงๆ อ่านยาวจนถึงงานหนังสือเดือนตุลาเลยกระมัง (หวังว่านะ เพราะคราวที่แล้วดันซื้อมาแล้วอ่านหมดก่อนงานหนังสือครั้งนี้) และแน่นอน จนนนนนนนยาววววววววไปเลยยยยยยยยย


เพราะงั้นเดือนนี้ต้อง make money ให้เยอะๆ เพื่อจะมาชดเชยการซื้อหนังสือขนาดนี้ (จะ make ทันมั้ยหละนี่ ) – เตือนๆ ตัวเองไว้ เผื่อจะได้ผล


หวังว่า..คงไม่ใจอ่อนไปซื้อเล่มไหนเพิ่มอีก (อาจจะมีกาซิโกกิ ที่สั่งไว้อะนะคะ) เพราะมันไม่ไหวแล้ว



ไปงานหนังสือกันมายังคะ? ได้อะไรกันมาบ้าง มาอวดกันหน่อยเร้วววววววว


ขอบคุณทุกท่านสำหรับการติดตามค่ะ




สำหรับท่านใดที่แวะมาบ้านสาวไกด์เป็นครั้งแรก
(หรือเคยมาแล้วแต่มีหนังสือกับหนังที่อยากแนะนำเพิ่มเติม)

เรียนเชิญ ที่นี่ค่ะ




 

Create Date : 03 เมษายน 2549    
Last Update : 3 เมษายน 2549 9:31:14 น.
Counter : 2125 Pageviews.  

❤++++++❤ ฤทธิ์มีดสั้น – เรื่องราวในโลกล้วน..แปรเปลี่ยน ❤++++++❤

(หาปกไม่ได้ค่ะ ขออำภัย )
เขียนโดย โกวเล้ง
แปลโดย ว. ณ เมืองลุง




จริงๆ แล้วสาวไกด์ฯ เคยอ่านนิยายกำลังภายในเมื่อนานมาแล้ว คือตอนเด็กๆ เลยค่ะ เพราะพ่อของสาวไกด์ฯ มีเชื้อสายจีน (ใครเคยเจอสาวไกด์ฯ ตัวเป็นๆ มาก่อนอาจไม่เชื่อนะคะ ) ก็เลยมีนิยายแนวนี้อยู่บ้าง แต่จำชื่อเรื่องไม่ได้แล้วค่ะ จนกระทั่งมีเพื่อนฝูงผู้แสนจะใจดีชาวบล็อกหลายท่านมานำเสนอให้ยืมได้ หุๆ หนังสือฟรีมีหรือจะปฏิเสธ สาวไกด์ฯ จึงได้ฤทธิ์มีดสั้นมาครอบครอง (ชั่วคราว) โดยน้องแข – rebel เป็นเพื่อนใจดีในการให้ยืมคราวนี้


ยอมรับว่าตอนอ่านเล่ม ๑ แรกๆ ยังไม่คุ้นเคยกับ “วิถี” ของหนังสือแนวนี้ค่ะ จึงค่อนข้างขัดใจ และ “เอ๊ะ” หลายต่อหลายเรื่องมาก เรียกได้ว่า ผู้เขียนนี่เหมือนๆ จะ “หักหลัง” คนอ่านให้ได้งวยงงกันนับครั้งไม่ถ้วน (แปลก อ่านเรื่องนี้แล้วนึกถึงวิธีการแบบเดียวกับที่หัวขโมยแห่งบารามอสเฉยเลยค่ะ เพราะหัวขโมยฯ เองก็มีการหักหลังคนอ่านหลายครั้งหลายคราเช่นกัน) ไม่ว่าจะเป็นการบรรยายให้เชื่อว่า บุรุษผู้นี้เก่งกาจมากมาย แต่ไม่นะ..ยังมีเก่งกว่านี้อีก หรือคิดว่าถูกยาพิษเหรอ เปล่าเราไม่ได้ถูกยาพิษ แต่อ้าว..จริงๆ แล้วโดนยาพิษ (ซ้อนทับซ้อนอีกทีค่ะ ) เรียกได้ว่า อ่านแล้วบางทียังต้องระแวงเลยว่า เฮ้ย..ตกลงมันจะไปในทิศทางไหนกันแน่ (ซึ่งอ่านไปๆ เรียกว่า มันเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งไปซะฉิบค่ะ เพราะเราจะไม่สามารถ “คาดเดา” อะไรได้ง่ายๆ เอาซะเลย) แต่เราว่า โลกความเป็นจริงก็ค่อนข้างคล้ายกับโลกในเรื่องนี้นะคะ (เผอิญไม่เคยอ่านหนังสือแนวนี้เล่มอื่นได้มากพอ จึงไม่สามารถใช้ประโยคที่ว่า “คล้ายกับโลกในหนังสือกำลังภายใน” แทนได้นะคะ ) ทั้งนี้เพราะโลกในหนังสือแนวอื่นๆ ส่วนใหญ่ มักเป็นโลกแบบที่ค่อนข้าง “ชัดเจน” มากๆ น่ะค่ะ คนดีก็ดี คนร้ายก็ร้าย ไม่มีความซับซ้อนมากมายนัก แนวทางการดำเนินของตัวละครก็ค่อนข้างคาดเดาได้ไม่ยาก แต่ในโลกความเป็นจริงมันไม่ใช่น่ะนะคะ ถ้าเทียบชัดๆ เราว่านิยายเรื่องนี้เหมือนคนในสังคมเมือง (ซับซ้อน เข้าใจได้ยาก) ขณะที่นิยายส่วนใหญ่จะเป็นสังคมชนบท (ไม่ซับซ้อน เข้าใจได้ง่าย ดูออกได้ง่ายกว่า) ไม่รู้มาเปรียบเทียบได้ไงอะนะคะ เอาตามความรู้สึกเจ้าของบล็อกเป็นหลักแล้วกัน


แต่เรื่องความขัดๆ เอ๊ะๆ นี่มีเฉพาะตอนเริ่มต้นอ่านเล่ม ๑ ค่ะ พออ่านพ้นถึงเล่ม ๒ ไปนี่ก็ชินแล้วค่ะ กับขนบต่างๆ ของหนังสือแนวนี้ พอเล่ม ๓ นี่วางเริ่มไม่ลงแล้วค่ะ เพราะเข้มข้นมากๆ



นอกจากความซับซ้อน และการคาดเดาได้ยากของเนื้อเรื่องแล้ว บุคลิกตัวละครแต่ละตัวก็น่าสนใจมากๆ นับตั้งแต่พระเอกผู้ผิดหวังในความรักอันเนื่องจากเสียสละหญิงสาวที่ตนรักให้กับมิตรผู้มีพระคุณกับตน (เอ็งจะบ้าเรอะ ผู้หญิงไม่ใช่ผักปลานะเฟ้ย) มีมีดสั้นที่มีดแรกไม่เคยพลาดเป้าเป็นอาวุธที่ถูกจัดไว้เป็นอันดับ ๓ ของอาวุธในยุทธภพ (คิดดู อาวุธที่พระเอกมียังอันดับ ๓ เลย ไม่ใช่อันดับ ๑ ด้วยนะ หุๆ) และเห็นน้ำมิตรสำคัญยิ่งกว่าชีวิตตัวเอง แม้ว่ามิตรคนนั้นจะเคยช่วยชีวิตมันเพียง ๑ ครั้งแต่ทำร้ายชีวิตมันนับสิบครั้งก็ตาม (พระเอกมั้ยหละ?)

“...มีแต่สหายรักของลี้คิมฮวงเท่านั้น จึงสามารถทำร้ายลี้คิมฮวงได้ หากคิดจะโค่นมันให้พ่ายแพ้ มิว่าใช้วิธีใดหรืออาวุธใดต่างลำบากอย่างยิ่ง มีแต่ต้องใช้น้ำใจเท่านั้น” (จากเล่ม ๓)



อาฮุยผู้เพิ่งก้าวเข้าสู่วงการฯ บุรุษผู้ทานอาหารได้เชื่องช้าอย่างยิ่ง เพื่อลิ้มรสและซาบซึ้งกับคุณค่าอาหารให้หมดทุกอณู กระบี่ของมันรวดเร็วอย่างยิ่ง และมันมิจำเป็นต้องใช้กระบี่ลือชื่อเพื่อเป็นอาวุธแต่อย่างใด แต่แล้วก็กลับหลงรักหญิงสาวที่ไม่คู่ควรกับมันแม้แต่นิด

“ความจริง สตรีมีกำเนิดมาให้ถูกคนรัก มิใช่ถูกคนเคารพ หากบุรุษเพศคนใดไปเคารพต่อสตรีที่ไม่มีคุณค่าพึงให้เคารพเลย ที่แลกได้มา ต้องเป็นความกลัดกลุ้มและเจ็บช้ำอย่างยิ่ง” (จากเล่ม ๒)



ลิ่มเซียนยี้ สาวงามอันดับหนึ่งในแผ่นดิน หากความงามกับนิสัยของนางนั้นกลับตรงข้ามกันอย่างยิ่ง (ที่เราสะท้อนใจก็คือ เมื่อถึงเวลาที่นางเลือกที่จะใช้ความจริงใจมิใช่จริตมารยาอย่างที่เคยทำมาชั่วชีวิต สิ่งที่นางได้รับกลับไม่เป็นไปดั่งที่นางคาดหมาย และแม้นว่าเป็นด้วยเหตุการณ์กระทำก่อนหน้าของนาง แต่ก็อดทำให้สะท้อนใจไม่ได้จริงๆ) ซุนเซี่ยวอั๊ง โกวเนี้ยน้อยที่นอกจากมีความงามแล้วยังฉลาดยิ่งนัก หากแต่นางก็ได้กระทำการผิดพลาดอันใหญ่หลวงต่อเอี๊ยเอี๊ยของนาง จิ้นบ้อเมี่ย ผู้ซึ่งมีดวงตาสีเทาที่แสนเย็นชา และทำให้คนอ่านเข้าใจว่าแม้แต่มันก็ลุ่มหลงลิ่มเซียนยี้ ฯลฯ


เรียกได้ว่าตัวละครแต่ละตัวนี่มีบุคลิกน่าสนใจอย่างยิ่ง หากเป็นบุรุษ - อาวุธและฝีมือพวกมันก็น่าสนใจอย่างยิ่ง (โกวเล้งเน้นการบรรยายให้เห็นถึงโหงวเฮ้งของแต่ละตัวละครมากๆ ค่ะ และหลายๆ ตัวละครนี่เป็นโหงวเฮ้งที่ “แฟนตาซี” สุดๆ) และแน่นอนค่ะว่า ถ้อยคำคมคายมีมากมายอย่างยิ่งเช่นกัน


อาฮุยแหงนหน้าเหม่อมองท้องฟ้าที่เวิ้งว้าง กล่าวช้าๆ สืบไป

“ฟ้าดินกลัวท่านกระหาย จึงให้น้ำแก่ท่านดื่ม
กลัวท่านหิวโหย จึงให้พืชพันธุ์ธัญญาหารแก่ท่านรับทาน
กลัวท่านหนาวจึงให้ฝ้ายให้แพรพรรณแก่ท่านป้องกันความหนาว
ฟ้าดินทุ่มเทแก่ท่านถึงเพียงนี้
ท่านกระทำเรื่องราวใดแก่ฟ้าดินบ้าง?

บิดามารดาท่านเลี้ยงดูท่านมา
แรงกายแรงใจที่ทุ่มเทยิ่งใหญ่หลวงกว่า
ท่านเคยกระทำความใดทดแทนแก่บิดามารดาบ้าง?”


“ท่านเพียงแต่ทราบ มีวาจาบางประการไม่อาจกล่าว
หากแม้นกล่าวออกไป จะเป็นการทรยศต่อมิตรสหาย
แต่หากท่านตายในสภาพเยี่ยงนี้
ไหนเลยมิใช่เป็นการทรยศต่อบิดามารดาท่าน?
มิใช่เป็นการทรยศต่อฟ้าดิน!?”

“คนเราเกิดมาก็เพื่อให้มีชีวิตดำรงอยู่
ไม่มีผู้ใดมีสิทธิ์ส่งตัวเองไปหาที่ตาย”
(จากเล่ม ๑)





“ข้าพเจ้ามีบางครั้งไม่เข้าใจจริงๆ สตรีเหตุใดมักพอใจทำร้ายคนที่รักนาง”

“เฮอะ นั่นอาจบางทีเนื่องเพราะนางมีแต่สามารถทำร้ายคนที่รักนางเท่านั้น หากทานไม่รักนางไปไหนเลยจะถูกนางทำร้ายได้...หากท่านไม่รักนาง มิว่านางกระทำเรื่องราวใด ท่านต่างไม่แยแสสนใจทั้งสิ้น”

“ท่านคล้ายดั่งเข้าใจอิสตรีได้กระจ่างยิ่ง?”

“ในโลกนี้ ไม่มีบุรุษใดสามารถเข้าใจสตรีได้จริงจัง หากมีผู้ใดเห็นว่ามันเข้าใจอิสตรี ความทุกข์ทรมานของมันจะต้องใหญ่หลวงยิ่งกว่าผู้อื่น”
(จากเล่ม ๒)




เนื่องเพราะลี้คิมฮวงมีความเห็น ชาติกำเนิดของคนหาได้สำคัญนักไม่...คนทั้งมิใช่สุนัข มิใช่อาชา จะต้องมี ‘พันธุ์’ ดีจึงนับว่าดีได้!

คนที่คิดจะเป็นบุคคลเยี่ยงไรนั้น ล้วนอยู่ที่ตัวมันเองทั้งสิ้น
(จากเล่ม ๓)



สรุปแล้วหนังสือเล่มนี้ประกอบไปด้วยทั้งบุคลิกอันโดดเด่นของแต่ละตัวละคร (แต่ตัวละครเยอะมากๆ ค่ะ) คำพูดอันคมคายชวนคิด การดำเนินเรื่องที่ซับซ้อน เปลี่ยนแปลงจนคาดเดาไม่ได้ง่ายๆ นัก ซึ่งต้องเป็นผู้ที่ชอบอ่านหนังสือที่มีคุณสมบัติดังนี้เท่านั้นค่ะที่สาวไกด์ฯ จะแนะนำให้อ่านนะคะ อ้อๆ..แล้วก็พระเอกเรื่องนี้นี่มีชีวิตที่รันทด หดหู่ค่ะ เป็นผู้ที่มีบุคลิกจมทุกข์พอสมควร เพราะฉะนั้นถ้าใครไม่ชอบพระเอกแนวนี้ อย่าเพิ่งทำความรู้จักนิยายแนวนี้ด้วยเรื่องนี้ก็แล้วกันนะคะ


คำเตือนอีกประการก็คือ สำนวนการแปลของ ว. ณ เมืองลุงนั้น อาจจะอ่านยากนิดหนึ่งตรงที่ผู้แปลใช้ชื่อภาษาจีนตลอดนะคะ (ขณะที่หนังสือเล่มที่เราเคยอ่านตอนเด็กๆ นี่ หลังกล่าวชื่อจีนแล้ววงเล็บสมญานามที่แปลเป็นไทยแล้ว จากนั้นจะใช้สมญานามตลอด ซึ่งนั่นทำให้จำตัวละครได้ง่ายกว่าน่ะค่ะ) แต่ก็ไม่แน่ใจเช่นกันว่า ฤทธิ์มีดสั้นนี่จะมีแปลในสำนวนคนอื่นบ้างหรือเปล่านะคะ




ขอบคุณทุกท่านสำหรับการติดตามค่ะ




สำหรับท่านใดที่แวะมาบ้านสาวไกด์เป็นครั้งแรก
(หรือเคยมาแล้วแต่มีหนังสือกับหนังที่อยากแนะนำเพิ่มเติม)

เรียนเชิญ ที่นี่ค่ะ







 

Create Date : 27 มีนาคม 2549    
Last Update : 27 มีนาคม 2549 17:06:20 น.
Counter : 9265 Pageviews.  

♥++++++++♥ The Private Me - เรื่องส่วนตัว? ของ Jimmy Liao♥++++++++♥

วันเสาร์ภายหลังเลิกงานครึ่งวัน พาตัวเองไปที่เซ็นทรัล เวิลด์ เนื่องด้วยอยากหาหนังสืออื่นๆ มาอ่าน (เบรกจากการอ่านโคตรไคโรที่ยังไม่จบเสียที) ซึ่งก็ไปยืมมาจาก TK Park 2 เล่ม แล้วก็ได้แวะไปคิโนคุนิยะ (ทั้งที่ตั้งใจว่าจะไม่ซื้อหนังสืออะไรอีกแล้วจนกว่าจะงานหนังสือฯ) ก็พบกับหนังสือเล่มหนึ่งที่ทำให้ต้องเสียเงินซื้อ (จนได้ ) ก็คือเล่มนี้ค่ะ




The Private Me – เรื่องส่วนตัว
โดย Jimmy Liao
แปลโดย ประทุมพร ตั้งกุลธวัช
ราคาปก 185 บาท



หนังสือพิมพ์สีทุกหน้า (อันเนื่องจากเป็นภาพประกอบด้วย) ที่ซื้อมาก็เพราะตัว Jimmy Liao โดยเฉพาะ


เป็นหนังสือที่ทำเสมือนรวบรวม resume ประวัติของบุคคลหลากหลาย “อาชีพ” โดยที่หลายอาชีพนั้นเป็นอาชีพที่คงไม่มีคำจำกัดความในโลกของความเป็นจริงอยู่แน่ๆ ไม่ว่าจะเป็นอาชีพเป่าลูกโป่ง (โดยศีรษะ) อาชีพคนสองหน้า อาชีพเสาะแสวงหาความสุขไม่มีที่สิ้นสุด อาชีพเก็บความลับ อาชีพสะสมจดหมายรัก อาชีพมนุษย์ในรอยต่อ อาชีพคนไม่เอาถ่าน ฯลฯ



รูปแบบของการนำเสนอแต่ละอาชีพคล้ายคลึงกันคือด้วยสองหน้ากระดาษ กระดาษฝั่งซ้ายวาดรูปการประกอบอาชีพ ฝั่งขวา เป็นกรอบบอกอาชีพ ชื่อ อายุ ภาพถ่าย (ที่เป็นรูปวาด) การบอกเล่ารายละเอียดของชีวิต และเรื่องส่วนตัวเรื่องอื่นๆ เช่น ความฝันสูงสุด สิ่งที่ทำให้น้ำตาไหล สิ่งที่เกลียดที่สุด อยากเป็นคนอย่างไร? ฯลฯ และกรอบล่างสุดจะเป็นหมายเหตุ (ซึ่งของบางคนแล้ว ตรงหมายเหตุทำให้อึ้ง ของบางคนความฝันสูงสุดทำให้น้ำตาคลอได้)




ลองยกตัวอย่างสักสองสามอาชีพมาให้ได้ลองอ่านกันค่ะ

อาชีพ เป่าลูกโป่ง
ชื่อ-นามสกุล หลู่เป๋าเป่า
อายุ 11 ปี
ราศี กรุ๊ปเลือด ราศีมังกร เลือดกรุ๊ปโอ

เมื่ออายุห้าขวบ ฉันก็รู้ว่าหัวของฉันเป่าลูกโป่งได้ เวลาที่โกรธหรือดีใจ ลมที่เป่าได้ค่อนข้างจะมากเป็นพิเศษ หัวบวมจนทำเอาฉันมึนหัวไปทั้งวัน

เมื่ออายุหกขวบ ฉันหลบอยู่ในห้องน้ำทั้งวัน แอบไปฝึกเป่าลูกโป่ง ฉันบอกความสามารถพิเศษนี้ของฉันให้คุณพ่อคุณแม่รู้ ปฏิกิริยาของพวกเขาเฉยชามาก

เมื่ออายุเก้าขวบ ฉันเริ่มแสดงความสามารถในการเป่าลูกโป่งในงานแสดงของโรงเรียน เพื่อนๆ ต่างตะโกนร้องให้กำลังใจฉัน เด็กผู้ชายหลายคนที่เรียนอยู่ห้องข้างๆ เริ่มหันมาสนใจในตัวฉัน

แต่ว่าเวลาที่ฉันโศกเศร้า มักไม่มีแรงเป่าลมออกมา ตอนที่ฉันโกรธก็มักจะถูกอารมณ์โกรธทำลายล้างทุกสิ่งจนทำให้ลูกโป่งแตก มีเพียงยามที่ฉันมีความสุขเท่านั้นลูกโป่งที่เป่าออกมาถึงได้ทั้งกลมทั้งใหญ่ทั้งสวยงาม ฉันรู้สึกว่าการฝึกเป่าลูกโป่งด้วยหัวง่ายกว่าฝึกควบคุมอารมณ์มากทีเดียว หวังว่าทุกคนคงไม่มองฉันด้วยสายตาที่ใช้มองคณะละครสัตว์ นี่เป็นอาชีพเฉพาะที่พระเจ้าประทานให้นะ


ความฝันสูงสุด นั่งบอลลูน 80 วันเที่ยวรอบโลก
มีความสุขที่สุด ไปทะเลพักร้อนกันทั้งครอบครัว
เสียใจที่สุด คุณพ่อคุณแม่ทะเลาะกัน
ชอบที่สุด ฝันกลางวัน
เกลียดที่สุด เรียนพิเศษ คณิตศาสตร์ เด็กผู้ชายที่นิสัยไม่ดี ผักชี เนื้อเป็ด พิธีชักธง
ภูมิใจที่สุดในชีวิต เป่าลูกโป่งด้วยหัว
ผิดหวังที่สุดในชีวิต ร้องเพลงไม่ครบห้าเสียง รู้สึกอับอายผู้คนมาก


หมายเหตุ ฉันมักสงสัยว่า ทำไมฉันไม่เหมือนคนอื่น
มีความสามารถพิเศษ ไม่รู้ว่าควรถือเป็นความโชคดีหรือเปล่า
ฉันกระหายความสามารถที่โดดเด่นกว่าคนอื่น
แต่กลับหวังที่จะมีชีวิตปกติมากกว่าใคร





อาชีพ เก็บความลับ
ชื่อ-นามสกุล หลี่ซินซิน
อายุ 24 ปี
ราศี กรุ๊ปเลือด ราศีพฤษภ เลือดกรุ๊ปเอ



ฉันไม่มีอะไรจะพูดจริงๆ นะ จำได้ว่าตอนเรียนหนังสือ ฉันกลัวการแนะนำตัวเองที่สุด เห็นคนอื่นแนะนำเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ของตัวเองอย่างสนุกสนาน มักทำให้ฉันปวดท้องจนอยากจะร้องไห้

นอกจากจะบอกชื่อ-นามสกุลของตัวเองแล้ว ฉันก็ไม่รู้ว่ามีอะไรที่น่าจะเอามาพูดอีก จึงมักจะยืนตะลึงอยู่บนเวที หน้าแดงจนพูดอะไรไม่ออกสักคำ ทำไมถึงได้ถ่อมตัวขนาดนั้น ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน

เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงความเก้อเขินเวลาแนะนำตัวเอง ฉันจึงเลือกงานที่ไม่ต้องพบปะผู้คน ฉันต้องการงานที่ปกปิดเรื่องส่วนตัวอย่างมิดชิด ไม่อยากเปิดเผยความลับใดๆ ในชีวิตฉัน มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรสักหน่อย สำหรับฉันแล้ว นี่เป็นเพียงการดำเนินชีวิตรูปแบบหนึ่ง แน่นอน ถ้าเธออยากรู้จริงๆ ว่าเพราะอะไร ฉันก็บอกเธอได้

ทุกวันตอนเช้าและเย็น ฉันนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารคอยป้อนไข่ปลาคาร์เวียร์ให้ปลากิน เชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่เธอ



สิ่งที่ทำให้น้ำตาไหล อาหารที่ดีๆ น่ากิน
สิ่งที่ทำให้เสียใจ แพ้อาหารทะเล
สิ่งที่กลัวที่สุด เครื่องบินตก
รับไม่ได้กับเรื่องใดของตัวเอง คิดมากจนนอนไม่หลับ
อยากเป็นคนเช่นไร คนที่หลับได้ภายในเวลาสามนาที
ความทรงจำที่ระลึกถึงบ่อยๆ ครั้งแรกที่เดินเข้าไปในโบสถ์อันงดงาม
บาดแผลในใจที่ไม่อยากพูดถึง แท้งลูก


หมายเหตุ (ไม่มีหมายเหตุ หมายเหตุเป็นตัวเผยความลับได้ง่ายที่สุด)



คือ..เรียกได้ว่าเป็นหนังสือที่สามารถหยิบมาอ่านได้หลายรอบมากค่ะ และแต่ละเรื่องราวต่างก็มีความน่าสนใจมากน้อยต่างกันไป ทั้งด้วยตัวรายละเอียดของแต่ละคนแต่ละอาชีพเอง หรืออาจเป็นเพราะ “ประสบการณ์” ของคนอ่านแต่ละคนที่จะถูกกระทบที่ใจจากชีวิตของใครมากกว่ากัน


เป็นหนังสืออีกเล่มของ Jimmy Liao ที่เราชอบ (นอกจาก Turn Left, Turn Right) เป็นหนังสืออีกเล่มที่คงหยิบมาอ่านบ่อยๆ และคิดว่าคงได้ความรู้สึกใหม่ๆ ที่แตกต่างกันไปในทุกครั้งที่หยิบขึ้นมาอ่าน เป็นหนังสือที่จะอ่านรวดเดียวจบก็ได้ หรือจะอ่านวันละสองสามอาชีพก็ได้


เป็นหนังสืออีกเล่มที่ทำให้อยากเรียนรู้ภาษาจีนเหลือเกิน คิดว่าถ้าอ่านต้นฉบับภาษาจีนแล้วอาจจะได้อะไรที่ต่างไปอีก (แค่ตัวอักษรจีนก็สร้างจินตนาการอะไรให้มากมายแล้วกระมัง) อยากรู้ความหมายของชื่อแต่ละคนว่ามันมีความหมายอย่างไรบ้างหรือไม่ ฯลฯ



ใครชอบหนังสือภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชอบJimmy Liao แล้วไม่ควรพลาดนะคะ



จบท้ายด้วยข้อความสุดท้ายของหนังสือเล่มนี้



เวลาที่ผมกรอกประวัติส่วนตัว
ผมก็เริ่มเรียนรู้ที่จะพูดเท็จ

จิมมี่ เลี่ยว






ขอบคุณทุกท่านสำหรับการติดตามค่ะ




สำหรับท่านใดที่แวะมาบ้านสาวไกด์เป็นครั้งแรก
(หรือเคยมาแล้วแต่มีหนังสือกับหนังที่อยากแนะนำเพิ่มเติม)

เรียนเชิญ ที่นี่ค่ะ




 

Create Date : 28 กุมภาพันธ์ 2549    
Last Update : 28 กุมภาพันธ์ 2549 14:26:39 น.
Counter : 3627 Pageviews.  

★++++++★ทำไมเราถึงชอบอ่านหนังสือ★++++++★




สวัสดีค่ะ




วันนี้ไม่มีหนังสือมารีวิว แต่มาชวนคุยเรื่องหนังสือ
(จริงๆ เพิ่งอ่านไมรอนจบไปตั้งสองอาทิตย์มาแล้ว แต่กะว่าจะหาหนังสือของนักเขียนคนเดียวกันมาอ่านให้ครบเซตแล้วจะเขียนถึงทีเดียวค่ะ เพราะรู้สึกว่านักเขียนไทยคนนี้ "น่าสนใจ" ทีเดียว ส่วนหนังก็ได้ดูกระสือวาเลนไทน์กับมิวนิคไปค่ะ แต่ไม่รู้สึกว่าอยากเขียนถึงน่ะค่ะ)



มาทบทวนตัวเองค่ะว่า...เอ..ทำไมเราถึงกลายเป็นคนอ่านหนังสือไปได้น้อ?




จำได้ว่าก่อนเข้าปอหนึ่ง ตัวเองเคยเอาหนังสือของปอหนึ่งมานอนอ่าน (น่าจะประมาณมานะมานีน่ะแหละค่ะ) แล้วเพื่อนแม่มาหาที่บ้านยังถามแม่เลยว่า "นั่นเต้ยอ่านหนังสือออกแล้วเหรอ?"

แม่ก็ตอบไปว่า "อ่านยังไม่ได้หรอก สงสัยเปิดดูรูปไปงั้นแหละ"

(ตอนนั้นในใจเราก็คิดว่า เฮ้ย..เราอ่านได้แล้วนะ แต่ก็ไม่ได้ค้านอะไรไปเพราะเราเป็นเด็กไง ส่วนสาเหตุที่อ่านออกเนี่ยอาจเป็นเพราะตอนอนุบาลเราอยู่โรงเรียนแม่ แต่ไม่ค่อยได้เข้าเรียนหรอกค่ะ เพราะแม่เป็นครู ก็เลยมีอภิสิทธิ์นิดหน่อย ก็เลยเลือกที่จะเดินๆ เที่ยวๆ ตามห้องปอหนึ่งปอสองเวลาเขาสอนอ่านกอไก่ ขอไข่ ก็เลยเรียนแล้วก็อ่านออกเอาตอนนั้นหละมั้งนะ)



พอโตมาหน่อยแล้วอ่านหนังสือเรียนหมดแล้ว (คือเป็นคนที่พอก่อนเปิดเทอมมันต้องมีไปซื้อหนังสือเรียนมาใช่มั้ยคะ แล้วเราก็มักอ่านทั้งหมดจบก่อนเปิดเทอม) ก็เลยหาหนังสืออื่นอ่าน ตอนแรกก็อ่านหนังสือการ์ตูนเล่มละบาทบ้าง การ์ตูนอะไรต่ออะไรบ้าง แล้วก็เริ่มจับนิยายของแม่ อย่างพวกทมยันตี มาอ่าน (แต่ตอนนั้นไม่ค่อยชอบค่ะ มาชอบนิยายพวกนี้ตอนมอต้นได้ แล้วก็ซาไปตอนมอปลาย)


แต่พอปอสองได้อ่านเพชรพระอุมาของพ่อก็ติดหนึบเลย (เพิ่งจับตัวเองได้ไม่นานนี้เองค่ะ ว่าตัวเองเป็นคนชอบอ่านหนังสือแนวจินตนาการแฮะ ไม่ว่าจะเป็นแนวจินตนาการผจญภัยหรือแนวจินตนาการแบบเด็กๆ ก็เหอะ)


ตั้งแต่นั้นก็เลยกลายเป็นคนชอบอ่านหนังสือนับแต่นั้นมาค่ะ




นี่คือส่วนแรก




อีกส่วนหนึ่งคือ เราคิดว่าหนังสือมีข้อจำกัดในการเสพน้อยน่ะค่ะ


คือ พกไปแล้วจะเปิดอ่านที่ไหนก็ได้ อย่างถ้าจะดูหนังก็ต้องมีโรงหนัง ไม่ก็ทีวี เครื่องเล่นแผ่น ฯลฯ (สมัยยังไม่มีไอพอดน่ะนะคะ) ฟังเพลงก็ต้องมีเครื่องเล่นของมัน แต่หนังสือนี่ โดดๆ เดี่ยวๆ ก็อ่านได้ ขอให้มีแสงสว่างเท่านั้นเองน่ะค่ะเพราะงั้นถือว่าเป็นการพักผ่อนที่มีข้อจำกัดให้เราน้อยมากๆ จึงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ชอบศิลปะแขนงนี้เป็นพิเศษ






พูดถึงที่มาที่ไปกันแล้ว มาว่ากันถึงความสุขในการได้อ่านหนังสือกันบ้างนะคะ




ความสุขในการอ่านหนังสือของเราคือ เวลาที่ได้อ่านมันเกิดสมาธิน่ะค่ะ ไม่รับรู้ต่อสิ่งรอบข้าง เหมือนได้เข้าไปอยู่ในอีกโลกหนึ่งโดยสมบูรณ์จริงๆ (ซึ่งก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า ความสุขที่เกิดขึ้น เกิดจาก "สมาธิ" ในการอ่าน หรือเกิดจากการสามารถ "หนี" จากโลกของความจริงได้ )



อีกอย่างหนึ่งคือ ความรู้ค่ะ เรามีความสุขเสมอเวลาได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ จากการอ่านหนังสือ แม้ว่าบางเรื่องก็เป็นความรู้ที่เอาไปใช้ประโยชน์ได้ แต่ส่วนใหญ่เอาไปใช้ประโยชน์ไม่ได้ก็ตามที



อ้อ..อีกประการ

หนังสือมีตัวตนให้เราเก็บได้ แล้วก็ไม่ค่อยเสื่อมสภาพไปง่ายๆ ด้วยค่ะ แม้จะต้องใช้พื้นที่เยอะพอควรในการเก็บ (เมื่อเทียบกับแผ่นหนังหรือเพลง จริงๆ ถ้าเป็นม้วนวีดีโอกับม้วนเทปเพลง จะเห็นชัดอย่างยิ่งว่า...หนังสือมีการรักษาสภาพได้ยาวนานกว่าน่ะนะคะ)





แล้วเพื่อนๆ ล่ะคะ



ทำไมถึงชอบอ่านหนังสือ?


แล้วทำไม..ถึงไม่ชอบอ่านหนังสือ?

(โคตะระตีขลุมเลยเนาะ จะชอบอ่าน-ไม่ชอบอ่าน ก็ต้องตอบหมดเยย)




อ้อๆๆๆ เพิ่งนึกออก ถ้าพรุ่งนี้ไม่ขี้เกียจ ก็คงจะเอารีวิวงานพระนครคีรีเมืองเพชรบุรีมาให้ดูค่ะ (งานจบไปแล้วค่ะ แต่อาทิตย์ที่แล้ววุ่นๆ เลยไม่ได้มาอัพบล็อกให้ดู)




ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมกันนะคะ




 

Create Date : 20 กุมภาพันธ์ 2549    
Last Update : 20 กุมภาพันธ์ 2549 15:41:33 น.
Counter : 6637 Pageviews.  

★+++++++++★โตเกียวอะโซบิ เที่ยวเล่นเย็นใจ★+++++++++★



โตเกียว อะโซบิ...๔๔ วัน



วาด+เขียนโดย ม.ย.ร. มะลิ



อย่างที่เล่าเมื่อวานนี้แล้วนะคะ..ว่าไปเชียงใหม่ (แบบไม่ได้เที่ยวอะไรเลย) มาแล้วก็ได้หนังสือมา ๔ เล่ม


หนังสือเล่มนี้เลือกซื้อมาเป็น ๑ ใน ๔ เล่มที่ได้จากร้านนายอินทร์สาขาเซ็นทรัลแอร์พอร์ตค่ะ
(เวลาเดินทางไปไหน ถ้าเป็นไปได้ จะหาซื้อหนังสือเพื่อเป็นที่ระลึกในการเดินทางไปที่นั่นค่ะ ครั้งนี้เป็นอีกครั้งที่สำเร็จ เพราะส่วนใหญ่ เวลาไปเที่ยวจะหาโอกาสเข้าร้านหนังสือค่อนข้างยากมากๆ)



เลือกซื้อเล่มนี้เนื่องด้วยบล็อกพี่กรัปป้าเคยแนะนำไว้ ที่นี่ค่ะ



อ่านแล้วก็รื่นรมย์จริงๆ ตั้งแต่เริ่มที่คำนำ (ที่เขียนไว้ว่า "เอาไว้อ่านก่อนนอนและตอนอึ" ) วิธีการเล่าเรื่องประกอบรูปวาดง่ายๆ จากฝีมือเธอเอง เรื่องที่เธอหยิบมาเล่าแต่ละเรื่องแต่ละราว (ตอนที่ทำให้เราอมยิ้มเป็นระยะคือตอนแรกที่เขียนเกี่ยวกับตลาดปลาค่ะ เรื่องอื่นๆ ต่อๆ มาก็เลยดูธรรมดาไป เพราะดันชอบตอนแรกมากๆ ไปแล้ว) รูปวาดเอง มุขเล็กๆ น้อยๆ ที่เจ้าตัวเขียนไว้ ฯลฯ อ่านแล้วอารมณ์ดีจริงๆ ค่ะ


เป็นหนังสือเดินทางที่อ่านแล้วให้ความรื่นรมย์กับการอ่าน มากกว่าข้อมูลอันมากมายมหาศาลเหมือนหนังสือที่เป็นคัมภีร์คู่มือนักท่องเที่ยวนะคะ เอาไว้อ่านให้อารมณ์ดีและยิ้มๆ ค่ะ (แนะนำให้อ่านระหว่างการเดินทางเช่นเดียวกับข้าพเจ้า แล้วจะยิ่งทำให้รู้สึกดีกับการเดินทางยิ่งขึ้นไปอีกค่ะ)


นอกจากนั้น หนังสือเล่มนี้ก็เป็นหนังสือเที่ยวโตเกียวอีกเล่ม (นอกเหนือจากโตเกียวไม่มีขา) ที่ทำให้เรารู้สึกดีกับคนญี่ปุ่นค่ะ (รู้สึกว่าจริงๆ คนญี่ปุ่นก็น่ารักเหมือนกัน อย่างตอนที่เธอไปอาบน้ำร้อนรวม แล้วไปดูคาบูกิไม่ทัน แล้วบรรดาป้าๆ ไปขอให้แสดงอีกรอบน่ะ น่ารักมากๆ) หลังจากที่รู้สึกว่าคนญี่ปุ่นน่ากลัว คบไม่ได้ หน้าอย่างหลังอย่างมานาน




นอกจากนั้น (อีกแล้ว) หลายๆ เรื่องที่ม.ย.ร. มะลิ นำมาเล่า ไม่ว่าจะเป็นหนังเรื่อง “โทร่าซัง” ที่ฉายแน่นอนปีละ ๒ ครั้งตลอดระยะเวลา ๒๖ ปี และมีแฟนๆ ญี่ปุ่นติดตามอย่างสม่ำเสมอ (พระเจ้า...อ่านแล้วอึ้งค่ะ) จนกระทั่งผู้แสดงเสียชีวิตไป / เรื่องของ เบ ยอง จุน พระเอกชาวเกาหลีที่เป็นขวัญใจแม่บ้านญี่ปุ่นไปแล้ว (มิน่าสนามบินเกาหลี ดิวตีฟรีหลายร้านเลยต้องมีโปสเตอร์แบบเป็นหุ่นยืน (เรียกศัพท์ไม่ถูกค่ะ) แทบทุกร้านเลย) ก็ทำให้เป็นการเรียนรู้วัฒนธรรม ความเชื่ออะไรหลายๆ อย่างแบบญี่ปุ่น ที่ไม่ต้องอธิบายด้วยศัพท์ทางวิชาการแต่อย่างใดเลย แต่เป็นการเล่าเรื่องแบบเล่นๆ ขำๆ อ่านเพลินๆ นี่แหละ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายหรือเรื่องที่ทุกๆ คนจะทำได้นะคะ แต่ ม.ย.ร. มะลิ เธอทำได้ค่ะ (อ้อ..ในบล็อกคุณกรัปป้า แอบเปรยๆ ในคอมเม้นท์ว่าเธอคือ มยุรี มะลิกุล ในคำขอบคุณท้ายเล่มหนังสือเล่มนี้ก็มีขอบคุณคุณเก้งไว้ด้วยนะคะ)



เรียกได้ว่าเป็นหนังสืออีกเล่มที่ทำให้อยากตามหาหนังสือเล่มอื่นๆ ของผู้เขียนคนเดียวกันนี้มาอ่านเลยแหละค่ะ



แนะนำสำหรับท่านใดที่อยากอ่านหนังสือท่องเที่ยวสไตล์อารมณ์ดี (แต่ไม่สามารถเอาเป็นหนังสือคู่มือ How to ได้อย่างเล่มอื่นๆ นักนะคะ) อ่านแล้วยิ้ม รื่นรมย์ (บล็อกวันนี้ใช้คำนี้บ่อยมากๆ) แล้วล่ะก็ แนะนำให้อ่านค่ะ




อ่านจบแล้วอยากเขียนหนังสือเรื่องการเดินทางของตัวเองขึ้นมาบ้างเลยนะนี่


ป.ล. ลืมไป หนังสือเล่มนี้เหมาะกับคนที่ไม่ชอบอ่านหนังสือที่มีตัวหนังสือเยอะๆ มากๆ ด้วยค่ะ เพราะเจ้าตัวเลือกใช้การวาดภาพประกอบโน่นนิดนี่หน่อย ชวนอ่านเป็นอันมาก


ขอบคุณทุกท่านสำหรับการติดตามค่ะ




สำหรับท่านใดที่แวะมาบ้านสาวไกด์เป็นครั้งแรก
(หรือเคยมาแล้วแต่มีหนังสือกับหนังที่อยากแนะนำเพิ่มเติม)

เรียนเชิญ ที่นี่ค่ะ




 

Create Date : 07 กุมภาพันธ์ 2549    
Last Update : 7 กุมภาพันธ์ 2549 17:47:47 น.
Counter : 2462 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  

สาวไกด์ใจซื่อ
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 203 คน [?]




ชอบอ่านหนังสือและดูหนังค่ะ ตอนนี้ทำงานด้านการท่องเที่ยวอยู่ นิสัยดีบ้างร้ายบ้าง แล้วแต่สภาวการณ์และคนที่เจอ


เนื้อหาและรูปภาพทั้งหมดในบล็อกสงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย ไม่อนุญาตให้นำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของบล็อก


ติดต่อเจ้าของบล็อกได้ที่ theworpor@yahoo.com
หรือ
https://www.facebook.com/saoguide






Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add สาวไกด์ใจซื่อ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.