❤++++++❤ หนึ่งเรื่องสั้นของเขา 7 เรื่องสั้นของฟ้า และขนมจีนทอดมันของเรา ❤++++++❤





สวัสดีค่ะ



วันนี้สาวไกด์มีหนังสือรวมเรื่องสั้น 1 เล่มมาคุยด้วย (กรุณาอ่านต่อไปแล้วจะรู้ว่าไม่เชิงแนะนำนะคะ เพราะเป็นหนังสือเฉพาะรส) และเรื่องสั้นอีก 1 เรื่องมาคุยด้วย



เมื่อคืนวันพฤหัสด้วยความที่ยังมีอาการ Jet Lack ทำให้นอนไม่หลับก็เลยหยิบหนังสือมาอ่าน ๒ เล่ม

เล่มแรกคือ “นิทานสันดานเสีย” ของจักรพันธุ์ ขวัญมงคล



คำโปรยหนังสือ : รวมเรื่องสั้นสำหรับผู้ใหญ่อ่อนหัดและเด็กแก่แดด


จริงๆ สำหรับรวมเรื่องสั้นเล่มนี้มีหลายเรื่องมากที่อยากนำมาพูดถึงไม่ว่าจะเป็น โลกหมุนรอบสารภี (ที่ผสานเรื่องราวของดราม่า แฟนตาซี ความเชื่อวิถีชาวบ้านได้อย่างลงตัว) เรื่องจดหมายระหว่างมาริโอกับลุยจิ (จดหมายถึงมาริโอ และมาริโอสอนน้อง) ที่ทำให้เราเห็นมุมมองในสองมุมมอง


แต่เรื่องที่ยังคงอยากพูดถึงมากที่สุดก็คือ “นิทานสันดานเสีย” ค่ะ

คือ..เรื่องสั้นหลายๆ เรื่องในเล่มนี้นั้น จะเป็นในแนวเสียดสีกึ่งขำกึ่งเล่น กึ่งจริงกึ่งอ่าน (อย่างที่เจ้าตัวเคยเสนอชื่อนี้เป็นชื่อหนังสือมาแล้ว) แต่ขณะเดียวกันก็แฝงความเศร้าลึกๆ ไว้ในหลายเรื่องเช่นกัน

แต่ (อีกแล้ว) เรื่องที่กระทบความรู้สึกเราที่สุดคือ “นิทานสันดานเสีย” ด้วยเรื่องราวที่ดูเหมือนกับไม่มีอะไร แต่หลายถ้อยคำนั้นมันตีไปที่หัวใจอะค่ะ (แต่ขณะเดียวกัน เรากลับไม่รู้สึกว่าคนเขียนต้องการบีบคั้นมากมายอะไร ทว่ามันเศร้าด้วยเรื่องราวของมันเอง)



ประโยคต่อไปนี้สปอยล์นะคะ



และคนเขียนก็สามารถเขียนให้คนอ่านรู้สึก “ยิ้มทับน้ำตา” ได้อย่างเจ้าหญิงในเรื่องด้วย เพราะก็ยังคงมีแทรกมุกและอารมณ์ขันมาเป็นระยะ ซึ่งทำให้เรานึกถึงนักเขียนคนหนึ่งที่เราชอบมากๆ อีกคน (ก่อนที่เจ้าตัวจะมาเอาดีทางทีวีและหนัง) คือ พิง ลำพระเพลิง เพราะพิงเองก็เป็นอีกคนที่เขียนหนังสือให้เรายิ้มทั้งน้ำตาได้ (อย่างกรณี “พรุ่งนี้ก็สายสะดือ” เป็นต้น)

หมดสปอยล์ค่ะ



แต่สำหรับเรื่องสั้นอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “บนรถเมล์สายนั้น” ถือได้ว่า ธรรมดาค่ะ

ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสั้นที่แนะนำให้อ่านค่ะ และถ้าไม่เดือดร้อนเกินไป จะสนับสนุนซื้อมาเป็นเล่ม ก็ไม่น่าเสียดายเงินนะคะ (แม้ว่าจะไม่ได้ชอบทุกเรื่องในเล่มนี้ แต่ก็มีหลายเรื่องที่ชอบค่ะ)





ส่วนอีกเล่มก็คือ “7 เรื่องสั้นของฟ้า” ค่ะ





เรารู้จักคุณ ฟ้า พูลวรลักษณ์ ครั้งแรกจากการอ่านห้องเรียนที่เงียบที่สุดในโลกในอะเดย์ ซึ่งทำให้เรารู้สึกว่านักเขียนคนนี้น่าสนใจ มีจัดหวะในการเขียนที่แปลก บรรยากาศในเรื่องของเขาดูผิดแผกและมีความเป็นโลกเฉพาะตัวสูง รวมทั้งการนำเสนอและประเด็นที่แฝงอยู่ก็น่าสนใจไม่น้อย


จนงานหนังสือเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาก็ไปได้หนังสือเล่มนี้มาครอบครอง


ซึ่งทำให้เราค้นพบว่า เรื่องสั้นของคุณฟ้านั้น ถูก “จริต” เราอย่างแรง


อ่านไปก็ราวกับได้คุยกับเพื่อนที่คุยกันถูกคอ มีมุมมองความคิดที่น่านำมาขบต่อ (ซึ่งขอสารภาพว่า ก่อนหน้านี้ไม่ทราบมาก่อนเลยว่าคุณฟ้านั้นจัดได้ว่าเป็นนักเขียนอาวุโส เพราะจากการอ่านของตัวเองนั้น ได้คาดเดาเอาว่าน่าจะเป็นงานเขียนของคนที่อยู่ในวัยประมาณคุณวินทร์มากกว่าเสียอีก แล้วก็คิดว่าเป็นนักเขียน “หญิง” ด้วย แต่ผิดหมดเลย)


ส่วนคนที่อ่านมาถึงตรงนี้แล้วยังจำหัวข้อบล็อกวันนี้ได้ คงจะเริ่มตั้งคำถามแล้วว่าแล้วบล็อกวันนี้มันเกี่ยวอะไรกับขนมจีนทอดมันล่ะเฟ้ย?


ครือว่า..เรารู้สึกว่า เรื่องสั้นของฟ้ามันเหมือนขนมจีนทอดมันน่ะค่ะ


นั่นก็คือมันเป็นอาหารประจำถิ่น (ของจังหวัดเพชรบุรี) ซึ่งเท่าที่ผ่านมาที่เคยพาเพื่อนๆ ต่างถิ่นไปกิน มีทั้งชอบและไม่ชอบ (เฉกเช่นเดียวกับอาหารอีกอย่างคือ ข้าวแช่ แต่ขนมจีนทอดมันมัน unique กว่าอะน้า เลยเหมาะจะเอามาเปรียบเทียบมากกว่า)


คนที่ชอบก็จะกลายเป็นชอบไปเลย จะอยากกินขนมจีนกับทอดมันมากกว่าน้ำพริก น้ำยา น้ำฯลฯ ใดๆ ทั้งสิ้น


ส่วนคนที่ไม่ชอบก็จะไม่รับเอาเลย รู้สึกว่ามันเป็นอาหารแปลก อาหารประหลาดและไม่คิดจะลองพยายามกินซ้ำ



สำหรับเรื่องสั้นของฟ้าในความรู้สึกเราก็เป็นเช่นนั้นเช่นกันค่ะ



คือเป็นเรื่องสั้นที่ “ต่าง” ไปจากเรื่องสั้นอื่นๆ ในท้องตลาด มีรสชาติแปลกออกไป ซึ่งถ้าคนชอบ (อย่างเรา) ก็จะชอบไปเลย จะหลงเสน่ห์เรื่องสั้นแบบนี้ไปเลย ส่วนคนที่ไม่ชอบก็คิดว่า คงจะชอบยากหละค่ะ


บรรยากาศในเรื่องของคุณฟ้ายังคงมีกลิ่นอาย และสร้างความรู้สึกที่แตกต่างไปจากเรื่องสั้นของคนอื่นๆ ได้อย่างค่อนข้างชัดเจน แทบจะเป็นเอกลักษณ์ที่ค่อนข้างสัมผัสได้ว่า “ไม่เหมือนใคร” ซึ่งเป็นบรรยากาศที่เราเองชอบเอามากๆ ค่ะ อย่างที่บอกว่า ถูก “จริต” อย่างแรง



จะลองยกบางส่วนจากบางเรื่องมาให้อ่านกันนะคะ


ในตัวฉันมีลำน้ำแห่งคำพูด มันเป็นลำน้ำเล็ก แต่ผู้ใดที่ข้ามไปแล้ว ไม่สามารถข้ามกลับ พวกเขาจากไปชั่วกาลนาน

แต่ผู้ข้ามลำน้ำนี้ ไม่จำเป็นต้องเป็นคนตาย มันอาจเป็นคนเป็น

วันนี้ธีรยุทธไปยืนอยู่ใกล้แม่ของฉัน ฉันมองเห็นพวกเขาจากฝั่งนี้ แต่ไม่อาจข้ามไปหา

ธีรยุทธคงไม่ได้รักฉันเท่าไหร่ วันนี้เขาอาจลืมฉันไปแล้ว แต่ฉันกลับยังไม่ลืมเขา เหมือนฉันที่ไม่อาจลืมแม่ของฉัน เวลามองเห็นแสงแดดแรงกล้า ฉันคิดถึงแม่ เวลาเห็นแสงเปลี่ยนคลื่นฉันคิดถึงคำพูดสุดท้ายของเธอ เวลาฉันเดินอยู่ที่มีเสียงเซ็งแซ่ในศูนย์การค้า ในตลาด ฉันได้ยินประโยคสุดท้ายของธีรยุทธ ที่จริงฉันรักเขามากกว่าเดิม รักมากเท่าที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะรักผู้ชายคนหนึ่ง แต่ฉันไม่ต้องการอยู่กับเขา ฉันไม่อาจมีชีวิตอยู่กับคนที่อยู่คนละฟากฝั่งลำน้ำแห่งคำพูด ทุกคนที่ข้ามฝั่งน้ำนี้ไป ฉันรักพวกเขามากกว่าเดิม

ลำน้ำนี้ลึกและยาวไร้จุดจบ แต่กลับแคบ


จากเรื่อง “ประโยคสุดท้าย”





ลองอ่านอีกบทนะคะ


“คนอ่านหนังสือธรรมดา เขาต้องการอ่านแล้วรู้เรื่องภายในไม่กี่นาที อุปมาเหมือนเขาซื้อต้นไม้ที่ต้องออกดอกภายในไม่กี่นาที หากพวกเขาต้องการอย่างนั้น ก็เป็นเรื่องของพวกเขานะ แต่ฉันขอถามว่า ทำไมคนอ่านมีความมักน้อยอย่างนั้นละ ทำไมพวกเขาไม่ลองสิ่งใหม่ ไม่ลองปลูกต้นไม้ที่แตกต่างออกไป”

…..

“มันยาก เพราะโครงสร้างภายในหนังสือเล่มนี้ ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นต้นไม้ที่ออกดอกภายในหนึ่งร้อยปี”



ข์ = ความเงียบของเด็กทารก
ข์ข์ = ๑ ความรักของเด็กปัญญาอ่อน
๒ พรมแดนของประเทศเล็กๆ
ข์ข์ข์ = ฝาแฝดสามคนที่ผูกพันกันเป็นหนึ่ง



ใครคนหนึ่งบอกว่า กิเลนเป็นสัตว์หายากในโลก มันจึงสามารถเดินเข้ามาในตลาด โดยไม่มีใครสังเกตเห็น

ดวงตามนุษย์คุ้นเคยกับสิ่งที่เคยเห็น เมื่อเจอสิ่งที่ไม่เคยเห็น สิ่งนั้นก็จะกลายเป็นสิ่งล่องหน




ทั้งหมดข้างบนนี้จาก “เด็กชายปกรณ์กับเด็กหญิงปกรณ์” (ซึ่งเป็นเรื่องสั้นที่บ่งบอกความเป็นหนังสือเล่มนี้ได้ดีเอามากๆ ค่ะ)



ดังนั้นหากถามว่าหนังสือเล่มนี้แนะนำหรือไม่ ก็แนะนำสำหรับคนที่อ่านข้อความที่ยกมาข้างบนแล้วรู้สึกชอบหรือเริ่มๆ "โดน" หรือสำหรับคนที่อยากอ่านเรื่องสั้นที่มีความเฉพาะตัวสูง อยากลองอะไรที่แปลกแตกต่างไปน่ะค่ะ




ขอบคุณทุกท่านสำหรับการแวะมาอ่านนะคะ




สำหรับท่านใดที่แวะมาบ้านสาวไกด์เป็นครั้งแรก
(หรือเคยมาแล้วแต่มีหนังสือกับหนังที่อยากแนะนำเพิ่มเติม)

เรียนเชิญ ที่นี่ค่ะ





 

Create Date : 22 พฤษภาคม 2549    
Last Update : 22 พฤษภาคม 2549 13:28:44 น.
Counter : 2290 Pageviews.  

❤++++++❤ หนังสือ – ดอกไม้บานในใจฉัน หนัง – Perhaps Love ❤++++++❤




ประกาศ


บ่ายวันที่ 4 ถึงเช้าวันที่ 8 และบ่ายวันที่ 11 ถึงเช้าวันที่ 18 สาวไกด์ฯ จะติดต่อไม่ได้นะคะ

แล้วเมื่อติดต่อได้จะกลับไปคอมเม้นท์ตอบเพื่อนๆ โดยพลันค่า



สวัสดีค่ะ



เนื่องด้วยช่วงที่อยากคลายเครียด หรือเดินทาง ตอนนี้สาวไกด์ฯ จะเลือกหยิบหนังสือของจิมมี่ เหลียวที่ซื้อมาครบชุดไปอ่าน ด้วยสาเหตุที่ว่าตัวหนังสือไม่เยอะ (เหมาะแก่การอ่านบนรถเมล์เป็นที่ยิ่ง) ทำให้ขณะนี้อ่านหนังสือจิมมี่ เหลียวจบไปอีก ๓ เล่มได้แก่ ความรักเจ้าขา ดอกไม้บานในใจฉัน และล่าสุดกับทำไม?


โดยที่ก่อนหน้านี้เคยเอาชุดจิมมี่ เหลียวมาแนะนำไปแล้วหนึ่งเล่มคือ “เรื่องส่วนตัว” (The Private Me) ตามบล็อกนี้ นะคะ


มาวันนี้ภูมิใจนำเสนออีกเล่ม (ซึ่งกลายเป็นการพิมพ์ครั้งที่ ๓ ไปแล้ว) นั่นก็คือ ดอกไม้บานในใจฉัน ค่ะ




ดอกไม้บานในใจฉัน (A Garden in My Heart)
เขียนและภาพโดย จิมมี่ เหลียว
แปลโดย ชุตินันท์ เอกอุกฤษฎ์กุล
ราคาปก 168 บาท




เนื่องด้วยหากเทียบ ๓ เล่มนี้แล้ว ข้อความและภาพใน “ดอกไม้บานในใจฉัน” นั้น ค่อนข้างมีปริมาณที่เรียกได้ว่า “โดน” เยอะมากๆ ขณะที่ “ทำไม?” มีรองลงมา และที่เราชอบน้อยที่สุดในสามเล่มนี้คือ “ความรักเจ้าขา”


เรียกได้ว่า อ่านบทนี้ก็จะนึกถึงเรื่องราวของตนเองเรื่องหนึ่ง



ตลกร้าย

จะตกลงมาไหมหนอ
น้ำหกเต็มพื้น เสียงหัวเราะแว่วมา
จะตกลงมาไหมหนอ
หล่นโดนหัวจนมึน เสียงโห่ดังขึ้น
ยังไม่ทันได้สวมกอดกัน ยังไม่มีโอกาสได้เรียนรู้กัน
ความรู้สึกระหว่างเราก็ถูกการเล่นตลกเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ลดอุณหภูมิ

(ภาพประกอบเป็นภาพถังน้ำถูกวางบนประตู รอให้คนเปิด แล้วถังหล่นมาครอบหัวคนๆ นั้น)


คือ อ่านแล้วนึกถึงหลายเรื่องราวในชีวิต กับการที่ได้รู้จักคนชอบแกล้ง และเคยถูกแกล้ง

ตัวเองไม่เข้าใจว่าการ “แกล้ง” คนนั้นสนุกตรงไหน – มันเป็นความสุขบนความทุกข์คนอื่นหนะ ไม่เห็นกันหรือ สนุกอยู่ได้อย่างไรกับการทำร้ายคนอื่น (และเคยโดนว่าใส่หน้ามาว่า “ซีเรียสเกินไปแล้ว” ) อืมม์...หรือมนุษย์บางคนมีความต้องการให้คนอื่นเจ็บปวดจริงๆ?


แต่ทุกวันนี้ - สำหรับตัวเองก็พยายามไม่แกล้งใคร และยังเป็นคนที่ถูกแกล้งอยู่เป็นระยะ




ทฤษฎีสัมพันธภาพ

คนไม่ใช่ปลา จะเข้าใจความเศร้าของปลาได้อย่างไร
ปลาไม่ใช่นก จะเข้าใจความสุขของนกได้อย่างไร
นกไม่ใช่คน จะเข้าใจความเขลาของคนได้อย่างไร
คนไม่ใช่นก จะเข้าใจความอิสระของนกได้อย่างไร
นกไม่ใช่ปลา จะเข้าใจความหยั่งลึกของปลาได้อย่างไร
ปลาไม่ใช่คน จะเข้าใจความเบาปัญญาของคนได้อย่างไร
เธอไม่ใช่ฉัน จะเข้าใจความวิปริตของฉันได้อย่างไร


บทนี้อ่านแล้วอยากซีรอกซ์แจกคนรู้จักในชีวิตบางคนที่ไม่เคยเข้าใจวิถีของเราน่ะ คนที่มองว่าการมีบ้าน มีรถ มีเงินมากๆ คือความสุขเพียงประการเดียวของมนุษย์ (ไม่เถียงว่ามันมีความสุขเหมือนกันแหละนะ แต่มันไม่ใช่ “ทางเดียว” เข้าใจกันบ้างมั้ยนี่ )


ความวิปริตของใครก็เป็นของคนนั้น อย่ามองว่าควรส่งไปโรงพยาบาลบ้าได้มั้ยหือม์?


โดยสรุปแล้วเป็นหนังสือภาพอีกเล่มของจิมมี่ เหลียวที่ชอบค่ะ (คนอื่นก็คงชอบกันพอควรด้วยแหละค่ะ ถึงได้พิมพ์ครั้งที่ ๓ แล้ว) เป็นหนังสือที่อาจเหมาะที่จะมอบให้ในหลายวาระโอกาสดีค่ะ


เพราะบางบท เหมาะให้คนที่เพิ่งเรียนจบแล้วกำลังหางาน


บางบทเหมาะสำหรับให้กำลังใจใครสักคนค่ะ





ต่อมาเมื่อวานนี้ได้ไปดูหนังเรื่องหนึ่ง (จริงๆ อยากดู Always เพราะหลายกระแสเสียงชมกันมากมายเหลือเกิน แต่เพื่อนที่จะไปดูด้วยอยากดูเรื่องนี้มากกว่า)


Perhaps Love



ผู้กำกับ
ปีเตอร์ ชาน

นักแสดง
จี จินฮี
ทาเคชิ คาเนชิโร่
แจ๊กกี้ จาง
ซุน โจว




ดูเรื่องนี้แล้วคิดถึง ๑ ตัวละครและ ๑ คำพูด

ซุน นา (ซุน โจว) ทำให้เรานึกถึง นานะ จากเรื่อง Nana หญิงสาวที่เลือก “ความฝัน” มากกว่า “ความรัก”


หลินเจียนถง (ทาเคชิ คาเนชิโร่) ทำให้เรานึกถึงคำพูดที่ว่า “การที่ความรักจากไปไม่ได้เป็นสาเหตุให้เราเจ็บหรอก แต่เป็นเพราะมันยังอยู่กับเราต่างหาก”


หนังเรื่องนี้มีแต่คนเจ็บปวดจริงๆ และมีถ้อยคำคมคายตามสมควรอีกด้วย



นับแต่บรรทัดนี้ไปอาจมีการสปอยล์บ้าง หากไม่ต้องการทราบเนื้อเรื่องใดๆ กรุณาอย่าอ่านนะคะ เพราะอาจโดนสปอยล์ไม่รู้ตัวเน้อ




เนื้อเรื่อง


ประโยคเปิดเรื่องด้วย จีจินฮี (ซึ่งถูกวางตัวให้เป็นเทวดา) ที่กล่าวว่า ชีวิตคนเรานั้นก็เหมือนหนังเรื่องหนึ่ง ที่มีตัวเองเป็นตัวเอก แต่ขณะเดียวกันเราก็อาจเป็นเพียงตัวประกอบ หรือคนเดินผ่านฉากแค่แว้บเดียวในหนังของคนอื่นด้วย (โดยที่เราหลงคิดว่าเราก็เป็นตัวเอกในหนังของเขา) แถมบางครั้งอาจโดนตัดทิ้งออกจากหนังเสียด้วย

และเทวดาองค์นี้ก็มีหน้าที่ทำหนังส่วนที่โดนตัดไป กลับมาหายังคนเหล่านั้น

จากนั้นเรื่องจะดำเนินไปถึงดารา ๒ คนและผู้กำกับ ๑ คนกับรักสามเส้า (เศร้า) ทั้งในหนังที่พวกเขาร่วมกันสร้างและในชีวิตจริง และการจบแบบที่..อึ้งๆ


แต่หลายๆ ฉากนั้นสร้างได้โดนและเรียกอารมณ์จากคนดูได้มาก

ฉากโปรด

๑. ฉากหยดน้ำตาในสระน้ำของหลินเจียนถง
๒. ฉากขโมยจูบในสระน้ำ
๓. ฉากการเล่นกายกรรมของหนี่เหวิน (แจ๊คกี้ จาง) กับซุน นา ในฉากจบของหนังที่โดนเปลี่ยนแปลง
๔. และประโยค “อย่าลืมปักกิ่งนะ” (โอ้..แม่เจ้า)


ส่วนที่ชอบอีกข้อคือ การเล่นชื่อของนางเอก แซ่ซุน – เจ้าจ๋อ ที่คล้องกับ ซุนหงอคง ซึ่งแสดงให้ถึงความอยากมีชื่อเสียงของนางเอก รวมไปถึงการเรียกสมญานามเล่นๆ ระหว่างเธอกับอดีตคนรักที่แทนด้วย “เจ้าจ๋อ” (monkey) ซึ่งก็สอดคล้องเป็นอย่างดี


ส่วนที่ไม่ชอบคือ ฉากเต้นบางฉาก (ซึ่งถ้าถามเราชอบฉากที่นางเอกตัดสินใจ “โผ” ไปหาเพื่อนพระเอกแทนมากที่สุด ได้อารมณ์มั่กๆ นอกนั้นมัน..แปลกๆ บอกไม่ถูก) และการตัดวูบวาบไปมา ทำให้บางครั้งสะดุดอารมณ์เราพอสมควร


ดูแล้วเกิดอาการครุ่นคิดคำนึง ถึงการไถ่ถามหลายต่อหลายครั้งของตัวละครว่า ทั้งมวลนี้มันเป็น รักแท้ หรือเพียงภาพลวง มันเป็นความรักใช่หรือไม่ (ซึ่งเป็นคำถามที่แผ่วโหยราวกับรู้คำตอบดีอยู่แล้ว ราวกับการพยายามให้ความหวังลมๆ แล้งๆ แก่ตนเอง)


สุดท้ายคนที่เจ็บปวดก็คือคนที่ยังจดจำภาพอดีตเอาไว้ใช่หรือไม่? จริงๆ หรือ?


หรือสุดท้ายคนที่เจ็บปวดที่สุดคือคนที่ยอมเลือกแต่ความฝันของตัวเอง ยอมทำลายความสุขที่แท้ ยอมทำร้ายความรักของตนเอง แล้วเก็บกดความต้องการรักไว้ในใจ (ด้วยอาการกัดฟันกรอดๆ เมื่อยามหลับ) เพื่อแลกกับจุดหมายที่ไกลกว่านั้น (สำหรับเธอ การได้ไปเผชิญโลกกว้าง หอมหวนกว่าการได้อยู่กับโลกของความรักงั้นหรือ?)


อย่างน้อยในวันที่เธอเลือกที่จะไปตามฝันด้วยการทอดร่างให้คนอื่นได้เชยชมเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน เธอก็ขอได้นอนกับคนที่เธอรักก่อน ขอ “เสีย” มันให้กับเขา - - มิใช่หรือ?



อืมม์...ดูแล้วตื้อดีค่ะ สำหรับหนังเรื่องนี้



แต่อารมณ์มันไม่ “ถึง” ขนาด “เถียนมีมี่ 3650 วันรักเธอคนเดียว” ของผู้กำกับคนเดียวกันน่ะค่ะ หนังเรื่องนี้มันเป็นอาการชกมาเป็นระยะๆ แย็บๆ มากกว่าต่อยหนักๆ แล้วน็อคในนาทีสุดท้าย

ซึ่งทำให้บางคนอึดอัดและอาจไม่ชอบหนังเรื่องนี้ได้นะคะ


แต่สำหรับเรา แค่ดูการแสดงของแต่ละคนก็คุ้มแล้วค่ะ



ขอบคุณทุกท่านสำหรับการแวะมาอ่านนะคะ




สำหรับท่านใดที่แวะมาบ้านสาวไกด์เป็นครั้งแรก
(หรือเคยมาแล้วแต่มีหนังสือกับหนังที่อยากแนะนำเพิ่มเติม)

เรียนเชิญ ที่นี่ค่ะ




 

Create Date : 02 พฤษภาคม 2549    
Last Update : 4 พฤษภาคม 2549 9:19:35 น.
Counter : 2109 Pageviews.  

❤++++++❤ โลกนี้มันช่างยีสต์...เมื่อครูโอนิซึกะกลายเป็นคน ❤++++++❤

สวัสดีค่ะ




วันนี้สาวไกด์ฯ มาแนะนำหนังสืออีกหนึ่งเล่มที่ได้มาจากงานหนังสือเดือนเมษาที่ผ่านมา (หลังจากแนะนำ “ความสุขของกะทิ” ไปแล้วนะคะ)



จริงๆ อาชีพที่สาวไกด์ฯ ใฝ่ฝันอยากเป็นมากๆ (นอกเหนือจากนักเขียน และการมีร้านหนังสือเป็นของตัวเองแล้ว) ก็คือ “ครู” ค่ะ

เพราะตัวเองรู้สึกว่า งานครูช่างเป็นงานที่มีเสน่ห์อะไรเยี่ยงนี้ เป็นงานสร้างคนและเป็นการทำอะไรให้กับสังคมที่เราอยู่ได้จริงๆ แถมยังมีวันหยุดให้ได้พัก ได้เติมพลัง ได้เตรียมการสอนต่อไปในช่วงปิดเทอมอีก


แต่จนปัจจุบัน สาวไกด์ฯ ก็ยังไม่เข้าใกล้ความเป็นครูเลยแม้แต่น้อย (ถึงแม้หลายคนจะบอกว่าสาวไกด์ฯ เหมาะจะเป็นครู เพราะ “ช่างอธิบาย” และ “มีทักษะในการอธิบาย” ก็ตาม แต่..ไม่รู้จะทำไงให้ได้เป็นค่ะ ) จะมีใกล้เคียงก็ตรงที่งานที่ตัวเองทำอยู่ก็เป็นการพูดการสื่อสารเรื่องราวให้คนอื่นเข้าใจน่ะค่ะ



ต่อมา เมื่อสาวไกด์ได้อ่านการ์ตูนเรื่อง GTO ซึ่งทำให้สาวไกด์ฯ อึ้งมากๆ กับการเป็นครูแบบแหกคอกจากครูทั่วๆ ไปของโอนิซึกะ ตัวเอกของการ์ตูนเรื่องนี้ แต่สาวไกด์ฯ ก็รู้สึกทึ่ง ขณะเดียวกันก็รู้ว่า..มันมีแต่ในการ์ตูนเท่านั้นแหละว้อยยยยยย


พอช่องสามเอามาทำละคร (ที่สาวไกด์ฯ จำชื่อละครไม่ได้ซะงั้น ที่คุณแท่ง-ศักดิ์สิทธิ์เล่นน่ะค่ะ) ก็มาแนวเดียวกัน - - แล้วสาวไกด์ก็คิดเหมือนเดิมอีกว่า...มันก็มีแต่ในละครเท่านั้นแหละว้อยยยยย





จนวันนี้



เมื่อสาวไกด์ฯ ได้อ่าน “โลกนี้มันช่างยีสต์” ของแทนไท ประเสริฐกุล ก็เลยทำให้สาวไกด์ฯ รู้ว่า




การค้นพบว่าโลกกลมจากที่เคยเชื่อว่ามันแบนนั้น - - เป็นอย่างไร


“โอนิซึกะ กลายเป็นคนได้จริงๆ ค่ะ”





โลกนี้มันช่างยีสต์
ผู้เขียน แทนไท ประเสริฐกุล
ออกแบบปก-รูปเล่ม อนงค์ สิทธิสินทรัพย์(ขอเพิ่มเครดิตตรงนี้หน่อยนะคะ)
สำนักพิมพ์ ระหว่างบรรทัด
ราคาปก 175 บาท




แทนไท ประเสริฐกุล เป็นลูกชายคนโตของอาจารย์เสกสรร ประเสริฐกุล และคุณจีรนันท์ พิตรปรีชา (จริงๆ ไม่อยากเขียนถึงตรงนี้เลยค่ะ แต่เอาเถอะ คิดว่าเป็นข้อมูลที่ควรให้)


เคยคุยกับเพื่อนสองคนเรื่องนี้ (ซึ่งเคยพูดถึงแล้วเมื่อบล็อกที่แล้ว) ว่าการเติบโตภายใต้ชื่อเสียงของอาจารย์เสกฯ และคุณจีรนันท์นี่ ลูกเค้าจะเป็นอย่างไรบ้างน้อ ซึ่งเพื่อนคนหนึ่งก็บอกว่า ดูแทนไทก็ต่างไปอีกแบบเหมือนกันนะ (ซึ่งโดยที่จริง งานของอาจารย์เสกฯ กับคุณจีรนันท์นี่ก็มี “ทาง” ที่ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว)




ราวกับเสือและสิงโต ที่ลูกก็กลายเป็นไลเก้อร์ ซึ่งไม่ใช่ทั้งเสือและสิงโตน่ะ





เจ้าของบล็อกเพ้อเจ้ออีกแล้ว


มาเข้าเรื่องหนังสือต่อดีกว่า



สำหรับหนังสือเล่มนี้ เป็นการนำเอาบางส่วนของไดอารี่ออนไลน์ของแทนไทมารวมเป็นหนังสือเล่มหนึ่ง เรื่องราวมีทั้งยียวนกวนยีสต์ เศร้า โดนใจ และให้ความรู้ (อย่างกรณีของการพูดเรื่องงานวิจัยปลาหมึกของเจ้าตัวนั่น เรียกว่าทำเอาเราอยากกลับไปเรียนชีววิทยาใหม่เลยนะนี่ เพราะสมัยเรียนม.ปลาย ไอ้ ๓ วิชาของสายวิทย์นี่ ชีวะเป็นวิชาที่เราไม่ชอบมากที่สุด ขณะที่ฟิสิกส์กับเคมีเราจะชอบมากกว่า แต่พออ่านหนังสือเล่มนี้แล้วก็ค้นพบว่า ชีววิทยานี่มันทำให้เราได้รู้จักอะไรต่ออะไรมากมาย และมันมีเสน่ห์ให้น่าเรียนรู้จริงๆ)


โดยตัวเนื้อหาของเรื่องราวต่างๆ นั้น มีทั้งเรื่องส่วนตัว ความรัก การสอนหนังสือ ข้อสอบ (ที่ยีสต์ เปรี้ยว และเรียกรอยยิ้มได้สุดๆ) การไปร่วมกันทำกิจกรรมบริเวณพื้นที่ที่ประสบกับสึนามิ ฯลฯ ซึ่งเรียกได้ง่ายๆ ว่า มันก็คือการที่เราได้อ่านชีวิต วิธีคิด และทำความรู้จักคนๆ หนึ่ง (เท่าที่เค้าสามารถเปิดเผยและอยากให้เรารู้จักได้น่ะนะ) และบางเรื่องราวมันก็กระทบกับคนอ่านได้ (อย่างกรณีเราด้วยความที่อยากเป็นครู แล้วการเป็นครูของแทนไทนี่ มันเป็นอะไรที่...นะ (ถึงแม้มันจะไม่ใช่วิถีทางที่เราเห็นด้วยทั้งหมดก็ตาม เพราะสำหรับเราทั้ง “ผล” และ “วิธีการ” มันสำคัญพอๆ กันน่ะ) แต่มันก็เลยโดนเอามากๆ น่ะ)




นอกจากเรื่องราวที่หลากหลายแล้ว สำนวนการบอกเล่า ลูกเล่น เสน่ห์อันแพรวพราวในการหยอดนิด กัดหน่อย เตะตูดน้อยๆ ก็ทำให้คนอ่านอดยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไม่ได้ (จนบางครั้งอาจนึกไปได้ว่า “ไอ้นี่นี่มันเป็นมนุษย์ หรือตัวการ์ตูนวะนี่” ) รวมทั้งรูปเล่ม (ที่ทำให้มีลายสีดำๆ บริเวณขอบหน้าราวกับชีทซีรอกซ์ที่ใช้ในการสอนหนังสือ) เลขหน้าอันกวนๆ ดิบๆ ฟอนท์และขนาดของตัวอักษรที่ใช้ในการสื่อความ ฯลฯ นี่เรียกได้ว่า คนที่คิดจะทำหนังสือควรใช้เป็นกรณีศึกษาได้อย่างหนึ่งเลยทีเดียว (คือมันเป็นหนังสือที่ค่อนข้างมีคอนเซปต์ในการทำรูปแบบหนังสือออกมาได้ค่อนข้างตรงกับเนื้อหา ซึ่งคาดว่า ผู้เขียนเองคงมีอิทธิพลต่อรูปแบบของตัวหนังสือไม่น้อย เผลอๆ อาจจะทำอาร์ตเวิร์คเองด้วยกระมัง เพราะรูปแบบมันเข้ากับสไตล์ของเนื้อหาจนเรียกได้ว่า เข้ากั๊น เข้ากัน-พันธุ์เดียวกันสุดๆ น่ะ)




นอกจากนั้นโดยที่ตัวเองสรุป ก็รู้สึกว่าแทนไท เป็นนักเขียนที่น่าจับตามองในเรื่องของกลวิธีในการสื่อความหมายกับคนอ่าน ไม่ว่าจะเรื่องสำนวน รูปแบบของหนังสือ วิธีคิด (แม้ว่าเราจะรู้สึกว่าเค้าอาจจะยังสุดขอบในบางเรื่อง แต่ก็เป็นเรื่องที่ยอมรับได้ เพราะมันเป็นวัยของเค้า เหมือนๆ กับที่เราอ่านประชาธิปไตยบนเส้นขนาน ซึ่งเราก็จะรู้สึกว่า คุ่นกับวินทร์ก็มีแนวทางของตนเอง ขณะที่คุ่นค่อนข้างสุดขอบพอควร แต่วินทร์ออกจะดู “กลมกล่อม” ทางด้านการมองโลกและใช้ชีวิตมากกว่า ซึ่งก็คงขึ้นอยู่กับวัยของทั้งคู่ด้วยหละกระมัง) ซึ่งก็น่าสนใจว่าเจ้าตัวเองจะเขียนหนังสือเล่มใหม่ออกมาอีกหรือไม่


เพราะล่าสุด การออกหนังสือครั้งนี้ก็ทำให้เจ้าตัวต้องจบการเป็นครูพิเศษของสถาบันการศึกษาแห่งนี้ไป รายละเอียดตามบล็อกนี้






กล่าวโดยสรุปแล้ว เป็นหนังสือที่จะอ่าน “เอามันส์” ประการเดียวก็ได้ หรือจะอ่าน “เอาเรื่อง” ก็พอได้อยู่ อยู่ที่เราจะจับประเด็นไหนที่เจ้าของเล่ามาหลายเรื่องราวไปขบคิดต่อได้


เป็นหนังสือที่น่าจะถูกจริตกับวัยยีสต์ วัยรุ่นทั้งหลาย (เอ..แล้วทำไมถูกจริตกับเราด้วยหว่า?) หรือใครที่ต้องการอ่านหนังสือซึ่งเขียนโดยคนไทยที่มีรสชาติแปลกแตกต่างออกไป (รสชาติที่คล้ายคลึงกันนี้ เราได้จากเคยโดนหรือยัง? ที่เคยรีวิวไว้ก่อนหน้านี้แล้ว แต่อันนั้นมันเป็นเรื่องแต่งน่ะนะ) หรือสำหรับผู้ที่ต้องการดูรูปแบบวิธีการสื่อความทางหนังสือที่ค่อนข้างน่าสนใจค่ะ





ขอบคุณทุกท่านสำหรับการแวะมาอ่านนะคะ




สำหรับท่านใดที่แวะมาบ้านสาวไกด์เป็นครั้งแรก
(หรือเคยมาแล้วแต่มีหนังสือกับหนังที่อยากแนะนำเพิ่มเติม)

เรียนเชิญ ที่นี่ค่ะ








 

Create Date : 18 เมษายน 2549    
Last Update : 21 เมษายน 2549 19:19:02 น.
Counter : 4874 Pageviews.  

❤++++++❤ งานหนังสือรอบ ๓ เบื่อตัวเอง- - ที่เตือนไม่ฟัง ❤++++++❤


สวัสดีค่ะ


เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาสาวไกด์ฯ ไปโฉบงานหนังสืออีกรอบ ทั้งที่ตั้งใจแล้วว่าจะไม่ไปแล้ว เนื่องด้วยหลายท่านคงทราบดีว่า สาวไกด์ฯ ไปมา ๒ รอบแล้ว และหมดไปแล้วประมาณแปดพันกว่าๆ ส่วนรายนามหนังสือส่วนหนึ่ง (ตกหล่นไปบ้างไม่กี่เล่ม) เคยแจงแล้วที่ บล็อกนี้ ค่ะ


แต่เนื่องด้วยราวๆ อังคารหรือพุธที่แล้วก็ไม่ทราบ ทางรายการเรื่องเล่าเช้านี้ได้เอาหนังสือพระมหากษัตริย์โลกไม่ลืมมาโฆษณา แม่กับน้องชายสาวไกด์ฯ ก็เกิดอาการอยากได้ ก็เลยฝากฝังเราว่า ช่วยไปซื้อให้ด้วยนะ


ดังนั้นเสาร์ที่ผ่านมาหลังไปส่งน้องคนหนึ่งที่ดอนเมือง ก็เลยตัดสินใจแว้บไปให้ โดยหวังว่าจะรีบปลีกตัวมาได้โดยไว เพราะต้องไปหาเพื่อนที่สยามฯ ต่อ



ทว่า…


ทว่า…


ทว่า…


หึๆ


หึๆ


หึๆ




แล้วสาวไกด์ฯ ก็สติแตกซื้อหนังสืออีกจนได้


เซ็งงงงงงงงงงงงงงง




สรุปแล้ว

นอกจากสองเล่มที่ซื้อให้แม่แล้ว (1000 บาท) ก็ได้หนังสือของตัวเองเพิ่มมาดังนี้

-รหัสลับดาวินชี่และเทวากับซาตาน ฉบับปกแข็ง (หลังจากซื้อปกอ่อนมาแล้ว) เพราะมีภาพประกอบ อยากได้เก็บมานานแล้ว พอดีเดือนหน้าอาจมีวี่แววได้ไปอิตาลี เลยทำเป็นมีเหตุผลช่วยในการซื้อว่า “เอาน่า อย่างน้อยก็ได้ใช้ประโยชน์ ”

-เนื่องด้วย ๒ เล่มบนนี้จะซื้อด้วยเครดิตการ์ด ซึ่งต้องซื้อให้ครบพัน แต่สองเล่มบนแค่เก้าร้อยยี่สิบ (ลดเยอะมั่กๆ) ก็เลยเลือก ความสุขของกะทิ ตอนตามหาพระจันทร์ อีกเล่มเพื่อให้ครบพัน หมดไป พันกะแปดสิบบาท ได้หนังสือแถมหนึ่งเล่ม (คราวที่แล้วได้แตงดองแก้มช็อคโกแลต แต่คราวนี้หมดแล้ว เลยหยิบไดอารี่สัตว์ในวังสระปทุมมาให้แม่แทน)

- ดอน กิโฆเต้ ปกสีแดง เล่มเล็ก (หลังจากไปปรึกษาบู๊ทบลูสเกล – ทั้งพี่กรัปป้าและพี่อีกคนค่ะ ทุกคนลงความเห็นว่าซื้อเล่มเล็กเหอะ)

- กาซิโกกิ ซึ่งสั่งไว้ที่สยามอินเตอร์บุ๊ค ก็ไปจ่ายตังค์แล้วรับมา

-คิดเองช้ำเอง ของ พี่เก้ง – จิระ มะลิกุล จากบู๊ทพี่กรัปป้า (เนื่องจากอ่านจากบล็อกแขแล้วสนใจ)

-ตั้งแต่เล่มนี้จนเล่มสุดท้าย ได้จากบู๊ท alternative writer คือ ทัชมาฮาลบนดาวอังคาร (ในที่สุดก็ได้มา)

- 7 เรื่องสั้นของฟ้า

- Mail box ของโตมร สุขปรีชา

-นิทานสันดานเสีย ของ จักรพันธุ์ ขวัญมงคล


อ้อ..ได้ขอลายเซ็นคุณคุ่น เฉยเลยด้วยความบังเอิญ อันเนื่องมาจากไปซื้อคิดเองช้ำเองนั่นแหละ แล้วคุณคุ่นอยู่ที่บู๊ทพอดี แล้วพี่กรัปป้าก็เลยยุ (หรือเปล่าคะพี่? ) ประกอบกับต้องเอาหนังสือไปให้เพื่อนยืมอยู่แล้วคือ เรื่องรักน้อยนิด มหาศาล ก็เลยหยิบมาให้เค้าเซ็น (เป็นโรคจิตประการหนึ่งค่ะ เจอคนที่ชอบเค้ามากๆ ไม่ได้ พูด+ทำอะไรไม่ถูกซะงั้น)


ก่อนกลับ เจอขวัญใจแม่เราเข้าไปอีก (กาละแมร์) ก็เลยซื้อหนังสือพร้อมขอลายเซ็นให้แม่หนึ่งเล่ม (จริงๆ ถ้าไม่โทร.ไปแซวแกว่า เสียใจด้วยที่แกกลับเพชรบุรีซะก่อนเลยอดเจอกาละแมร์ แกก็คงไม่รู้ว่ากาละแมร์มา แล้วเราก็อยู่ที่งาน แล้วเราก็คงไม่ต้องซื้อให้ แล้วเราก็จะได้ไม่ต้องเสียตังค์เพิ่ม - - แต่เอาเหอะ ทำเพื่อแม่ ฮิฮิ้วววววว)

เหอๆๆๆๆ จนจริงๆ พระเจ้าจอร์จ ไม่น่าเลย




บอกตัวเองไม่เคยสำเร็จ เบื่อตัวเองที่เตือนไม่ฟัง

ก็ปล่อยตัวเองให้มันช้ำใจเสียบ้าง ถ้าไม่เจอมันคงไม่จำ

(ไม่จริง เมื่อตุลาก็เจออาการจนอย่างเนี้ย ไม่เห็นมันจะจำเล้ยยยยย)






จากนั้นหลังจากที่เอาหนังสือไปแหมะเก็บไว้ ก็รีบจรลีไปหาเพื่อนที่ vanilla industry

ได้ลองชิมชาวานิลลาหอมกรุ่นสมใจ แล้วก็สั่งเค้กราสเบอรี่มากินกัน หย่อยๆๆๆ

(เพื่อนกลุ่มนี้เป็นเพื่อนที่รู้จักกันที่ธรรมศาสตร์สมัยเรียน เป็นกลุ่มที่คุยกันเรื่องหนังสือ หนังกันค่ะ แต่ไม่ได้เจอกันนานแล้ว เพราะเวลาว่างของเราไม่ค่อยตรงกับของคนอื่นเค้า คราวนี้ที่ไปจุดประสงค์หลักคืออยากคุยและเอาหนังสือไปแลกกันอ่าน)


เราทำการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกันด้วยการที่เพื่อนเราเอา Tale of Otoris ทั้งสามภาคมาให้เราอ่าน(เพราะก่อนหน้านี้เราโทร.ไปบ่นว่าอยากได้ แต่ยังไม่มีตังค์ซื้อ) ส่วนเราก็เอาความสุขของกะทิ เรื่องรักน้อยนิดมหาศาลและติสตูนักปลูกต้นไม้ไปให้เค้าอ่าน
(จริงๆ มีความฝันของไอน์สไตน์ด้วย แต่เค้าอ่านแล้ว เลยให้เพื่อนอีกคนยืมอ่านไปแทน – ซึ่งคนนี้ตอนแรกบอกว่ามาไม่ได้)

นอกจากนั้น เราก็เอา “โลกนี้มันช่างยีสต์” ซึ่งกำลังอ่านอย่างติดพันเหลือหลายไปอวด เพื่อนคนแรก (ที่ซักวันจะโตเป็นยุง) บอกว่าเออ..อยากอ่านเล่มนี้ตั้งนานแล้ว (แต่เรายังให้ยืมไม่ได้ เพราะยังอ่านไม่จบ) เพราะคนนี้เค้าอ่านหนังสือของทั้งครอบครัวนี้ ก็เลยถามว่า จะหาซื้อจากไหนได้ นายอินทร์ได้มั้ย เราก็เลยบอกว่าคงมี เพราะอัมรินทร์จัดจำหน่าย

ส่วนอีกคนไม่เคยรู้จักแทนไทมาก่อน เราก็เลยภูมิใจนำเสนอ เปิดหน้าที่เกี่ยวกับข้อสอบคะแนนช่วยของแทนไทให้อ่าน ถูกใจเจ้าหล่อนอย่างยิ่ง แล้วก็ถามเราว่า “นี่ข้อสอบจริงๆ เหรอ?” กร๊ากกกกก

สรุปแล้ว คิดว่าหนังสือเล่มนี้คงขายได้อีก ๒ เล่ม (ขอค่านายหน้าด้วยนะคะพี่กรัปป้า )

จากนั้นก็นั่งคุยอะไรกันจนค่ำมืดพอสมควร ก็แยกย้ายกันกลับบ้าน


เป็นวันเสาร์ที่ใช้ชิวิตได้มีความสุขอีกหนึ่งวันค่ะ



ประกาศ


ตั้งแต่วันที่ 12-ครึ่งวันของ 17 เมษายนนี้ สาวไกด์ฯ ไม่อยู่นะคะ ติดต่อไม่ได้ระยะหนึ่งค่ะ

อ้อ..วันที่ ๑๓ เมษายน นี้ สาวไกด์ฯ จะโตขึ้นอีกปีแล้ว (กรุณาอย่าใช้คำวิเศษณ์คำอื่นมาแทนคำว่า “โต” ) อวยพร อวยพร กันเถิด หุๆ




ขอบคุณทุกท่านสำหรับการแวะมาอ่านนะคะ




สำหรับท่านใดที่แวะมาบ้านสาวไกด์เป็นครั้งแรก
(หรือเคยมาแล้วแต่มีหนังสือกับหนังที่อยากแนะนำเพิ่มเติม)

เรียนเชิญ ที่นี่ค่ะ




 

Create Date : 11 เมษายน 2549    
Last Update : 11 เมษายน 2549 9:03:07 น.
Counter : 1406 Pageviews.  

❤++++++❤ ความสุขของกะทิ เรียบง่าย งดงาม สะเทือนใจ ❤++++++❤


หลังจากไปกวาดซื้อหนังสือจากงานหนังสือจนหมดเนื้อหมดตัวไป

สาวไกด์ฯ ก็ทยอยอ่านหนังสือที่ซื้อมา (สลับกับการอ่านหนังสือที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน คือ ออสเตรเลีย กับ อิตาลี)


กูจี กูจี นี่โดนจับก่อนเพื่อน เพราะเป็นหนังสือภาพขนาดสั้น(ซึ่งคงอ่านจบได้โดยเร็ว) ต่อมาก็ติสตูนักปลูกต้นไม้ (อ่านแล้วชอบค่ะ เป็นวรรณกรรมเยาวชนที่พูดเรื่องหนักๆ ได้เบาและน่ารักดี) แล้วก็ตะลุยอ่าน ยินดีที่รู้จักและรักเธอของคุณมัชฯ ความสุขของกะทิ (ซึ่งจะมารีวิวละเอียดวันนี้) นักเปลี่ยนแปลงโลกและกาแฟของเจ้าชายน้อย (เล่มนี้ลืมลงในลิสต์คราวที่แล้วค่ะ) ล่าสุดเมื่อวานนี้คือ บทภาพยนตร์คำพิพากษาของมหาสมุทร (ซึ่งทำให้ทราบว่า ปราบดาจริงๆ ทิ้งสัญลักษณ์ไว้อีกอย่าง คือ ตัว W กับ M ซึ่งสามารถเชื่อมโยงกับชื่อบุคคลที่สำคัญในหนังอีก ๒ คนด้วย แต่หนังไม่ได้เน้นตัวนี้เท่าไหร่ – หรือเราดู “พลาด” ก็ไม่ทราบได้)


ในบรรดาเล่มที่อ่านทั้งหมดจบแล้ว เลือกที่จะเอา “ความสุขของกะทิ” มารีวิวค่ะ



เนื่องด้วยไม่ได้อ่านงานลักษณะนี้มานานแล้ว

อ่านแล้วไม่แปลกใจเลยที่ทำไมถึงพิมพ์ครั้งที่ ๕ แล้ว

อ่านแล้วไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงตีพิมพ์เป็นภาษาอื่นๆ ด้วย




ผู้เขียน งามพรรณ เวชชาชีวะ
สำนักพิมพ์ แพรวเยาวชน
ราคาปก 149 บาท

(ซื้อมาเนื่องจากการได้อ่านรีวิวจากบล็อกคุณ ยาคูลท์ และของคุณ หวันยิหวา ก็เลยคิดว่าหนังสือน่าสนใจค่ะ ซึ่งไม่ผิดหวังเลย )





เนื้อเรื่อง (อาจสปอยล์ได้ กรุณาอ่านด้วยความระมัดระวัง)



หนังสือทำให้เราได้รู้จักกับเด็กหญิงนามว่า กะทิ ซึ่งอยู่กับตาและยายที่ต่างจังหวัด ชีวิตของกะทิดูเหมือนเรียบง่ายและมีความสุขดี แต่ถ้อยประโยคสั้นๆ ที่โปรยในแต่ละตอน(ซึ่งห้อยตามจากชื่อของแต่ละตอน) ทำให้เรารู้ว่า กะทิไม่ได้อยู่กับแม่ ซึ่งตอนแรกอาจจะรู้สึกเฉยๆ แต่เมื่อผ่านไปสู่บทที่สาม คนอ่านจะรู้สึกเกิดคำถามขึ้นแล้วว่า เกิดอะไรขึ้นหรือ? แม่เธอเสียชีวิตแล้วหรือไร? พออ่านต่อไปเราจะเริ่มรู้แล้วว่า กะทิไม่ได้อยู่กับแม่นั้นเพราะอะไร (สารภาพว่าอ่านคำโปรยในเครื่องหมายคำพูด – ที่แทนความคิดในใจของกะทินั้น พออ่านคำโปรยของบทที่สามปุ๊บ เราร้องไห้เฉยเลย ) จนท้ายที่สุดเรื่องราวสะเทือนใจจะเริ่มคืบคลานเข้ามาห่อหุ้มเราโดยไม่รู้ตัว




นอกจากนั้น แม้ว่าความสะเทือนใจที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่เราคาดเดาได้ แต่เราก็ยังไม่วายสะเทือนใจ และเป็นความสะเทือนใจที่เรียบรื่น ไม่กดดัน ไม่ฟูมฟาย และไม่ได้บีบคั้นจงใจ (แบบละครเมโลดรามา) แต่อย่างใด


ภายหลังเหตุการณ์สะเทือนใจ เหตุการณ์สำคัญอีกเหตุการณ์ทำให้ช่วงผ่อนคลายภายหลังพีคนั้น นุ่มนวล อ่อนโยนมากๆ ด้วยเช่นกัน





ความรู้สึกที่ได้อ่าน


นานมากแล้วค่ะ ที่ไม่ได้อ่านหนังสือที่ดำเนินเรื่องได้อย่างราบเรื่อย เหมือนนิ่งๆ ทว่าเป็นเรื่องราวที่งดงาม และสามารถสร้างความสะเทือนใจกับเราได้มากขนาดนี้ ซึ่งทำให้รู้สึกว่า คุณงามพรรณ เวชาชีวะ เป็นนักเขียนไทยที่น่าสนใจอีกคนหนึ่ง (หลังจากเคยชอบเธอมากๆ ตอนที่เธอแปลแฮรี่ พอตเตอร์ ตอนที่ ๔ ถ้วยอัคนี มาแล้ว ซึ่งเราถือว่าเป็นตอนที่แปลได้ดีที่สุด – แล้วทำไมเธอถึงไม่ยอมแปลต่อไม่ทราบค่ะ เฮ้อ)


คือเราอ่านหนังสือเล่มนี้ เหมือนฟังเด็กคนหนึ่งที่มานั่งเล่าเรื่องราวของเขาให้ฟัง ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม แววตาเปี่ยมสุข แต่เรื่องราวที่เขาเล่าทำให้เราร้องไห้ออกมาเสียเฉยๆ อย่างนั้นแหละค่ะ แถมเค้ายังเอื้อมมือมาเช็ดน้ำตาเราอีกแล้วบอกเราว่า “ไม่ต้องร้องไห้นะ” (เป็นเอามากมั้ยนี่ – ปล่อยให้เจ้าของบล็อกเพ้อไปก่อนนะคะ )


ซึ่งจริงๆ แล้วเรื่องราวเรียบง่าย งดงามและสะเทือนใจเช่นนี้ เรื่องนี้อาจไม่ใช่เรื่องแรกนะคะ แต่มันเป็นวรรณกรรมเยาวชนที่เขียนโดยนักเขียนคนไทยเล่มแรกจริงๆ ที่มีคุณสมบัติเช่นนี้ค่ะซึ่งทำให้เราปลาบปลื้มไปด้วยที่นักเขียนไทยสามารถทำได้


อ่านแล้วรู้สึกดีมากๆ ค่ะ แล้วคงไปหาเล่ม ๒ มาอ่าน (แม้บางเสียงจะบอกว่าสู้เล่ม ๑ ไม่ได้ก็ตาม) และคงเป็นเล่มหนึ่งที่อยากให้เพื่อนๆ ได้อ่านกันค่ะ



โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่ชอบวรรณกรรมเยาวชน ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวงค่ะ
(แต่หลายๆ เสียงก็บอกว่าเป็นวรรณกรรมเยาวชนที่ผู้ใหญ่ควรอ่านนะคะ เพราะฉะนั้นขอเหมารวมว่า คนไม่ชอบอ่านวรรณกรรมเยาวชนก็น่าจะลองหามาอ่านค่ะ)




ขอบคุณทุกท่านสำหรับการแวะมาอ่านนะคะ




สำหรับท่านใดที่แวะมาบ้านสาวไกด์เป็นครั้งแรก
(หรือเคยมาแล้วแต่มีหนังสือกับหนังที่อยากแนะนำเพิ่มเติม)

เรียนเชิญ ที่นี่ค่ะ






 

Create Date : 07 เมษายน 2549    
Last Update : 8 เมษายน 2549 23:25:59 น.
Counter : 2338 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  

สาวไกด์ใจซื่อ
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 203 คน [?]




ชอบอ่านหนังสือและดูหนังค่ะ ตอนนี้ทำงานด้านการท่องเที่ยวอยู่ นิสัยดีบ้างร้ายบ้าง แล้วแต่สภาวการณ์และคนที่เจอ


เนื้อหาและรูปภาพทั้งหมดในบล็อกสงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย ไม่อนุญาตให้นำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของบล็อก


ติดต่อเจ้าของบล็อกได้ที่ theworpor@yahoo.com
หรือ
https://www.facebook.com/saoguide






Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add สาวไกด์ใจซื่อ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.