~ ~★ ~ ~★ ~ ~★ เสื้อฝน นิ้วเท้า เสื้อหนาว+++วอฟเฟิล (Everything on a Waffle) ~ ~★ ~ ~★ ~ ~★








เสื้อฝน นิ้วเท้า เสื้อหนาว+++วอฟเฟิล (Everything on a Waffle)





ผู้แต่ง : พอลลี ฮอร์วาร์ธ
ผู้แปล : พิมพมาศ
สำนักพิมพ์ : แพรวเยาวชน
จำนวนหน้า : 163 หน้า
ราคาปกติ : 135.00 บาท





เรื่องย่อ (ลอกมาจากบล็อกคุณยาคูลท์ )


เรื่องของ พริมโรส เด็กหญิงอายุ 11 ที่พ่อแม่หายไปกับทะเลในวันพายุแรงจัด ใครๆ ต่างคิดว่าทั้งคู่คงจะตายไปแล้ว จึงให้เด็กไปอยู่ในความดูแลของลุงซึ่งย้ายมาอาศัยที่เมืองเล็กๆ แห่งนั้นพอดี แต่เด็กหญิงยังเชื่อมั่นอยู่เสมอว่า วันหนึ่งพ่อและแม่จะกลับมา

ระหว่างนี้ใครต่อใครต่างเข้ามาจัดการกับชีวิตของพริมโรส ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนๆ ครูที่ปรึกษา หรือเพื่อนบ้าน ทุกคนปฏิบัติต่อเธอเหมือนเธอเป็นเด็กมีปัญหา เพราะต้องสูญเสียพ่อแม่ มีเพียงเจ้าของร้านอาหารซึ่งเสิร์ฟทุกอย่างมาบนวอฟเฟิลเท่านั้นที่คอยให้คำแนะนำดีๆ เสมอ














ความรู้สึกที่ได้อ่าน (สปอยล์นิดๆ หน่อยๆ)




เป็นวรรณกรรมเยาวชนที่มีความเป็นผู้ใหญ่สูงมากค่ะ




หนังสือเล่มนี้ใช้วิธีการเล่าเรื่องผ่านสายตาและความคิดของบุคคลที่ 1 เพียงคนเดียว นั่นก็คือ พริมโรส ดังนั้น..เราจึงได้รู้ว่า เหตุใดเธอจึงคิดกระทำการบางอย่างออกไป และได้รับผลกระทบหรือได้รับการตัดสินอย่างไรจากคนอื่นที่เห็นการกระทำนั้นๆ (ซึ่งค่อนข้างจะมีความเป็น realistic มากๆ ค่ะ เพราะคิดว่า คงมีคนจำนวนไม่น้อยหรอก ที่เจอการกระทำของพริมโรสแล้วก็มีโอกาสคิดไปในทางเดียวกับตัวละครในเรื่องคิดน่ะค่ะ) ซึ่งทำให้เมื่อเราได้รับรู้ความจริงที่เป็นจริงจากตัวพริมโรสเอง ก็ทำให้อดฉุกคิดไม่ได้ว่า กับบางเรื่องราวที่เกิดขึ้น บางทีมันก็พลาดไปเพราะเราตัดสินจากสิ่งที่เราเห็นเท่านั้นนั่นแหละนะ (แต่จขบ.เป็นคนให้ความสำคัญกับเจตนามากกว่าการกระทำอยู่แล้วนะคะ เพราะฉะนั้นความผิดพลาดอย่างนี้จะเกิดขึ้นน้อยหน่อย แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสเกิดขึ้นเลย)


มุมมองหลายๆ อย่างของพริมโรส หลายคนอาจมองว่า “เกินเด็ก” แต่สำหรับจขบ.แล้วเนื่องจากเติบโตมาแบบ “แก่แดด” (กร๊ากกกกกกก ) และเคยเจอคนที่ “แก่แดด” มาตั้งแต่เด็กเหมือนกันหลายคน ก็เลยทำให้รู้สึกว่า คนแบบนี้มีอยู่จริงๆ ในโลกค่ะ คนที่คิดอะไรแบบผู้ใหญ่มาตั้งแต่เด็ก มีมุมมองต่อโลกที่ต่างไปจาก “เด็ก” ทั่วไปน่ะ ดังนั้นจขบ. จึงไม่รู้สึกว่า เป็นการเขียนที่เอาความคิดแบบผู้ใหญ่ไปยัดใส่ความเป็นเด็กแต่อย่างใดนะคะ (แต่ก็คิดว่า อาจทำให้คนอ่านบางคนคิดไปในลักษณะนั้นได้ค่ะ)






สิ่งหนึ่งที่จขบ.ติดใจตัวเอกในเรื่องนี้คือ เรื่องของการยึดมั่นในความเชื่อของตนเอง (หรือบางคนอาจเรียกความเชื่อนี้ว่า ศรัทธา) อย่างแรงกล้าจริงๆ ค่ะ และท้ายที่สุด การเชื่อมั่นในอะไรอย่างสุดใจนั้น ก็ทำให้เธอได้รับสิ่งตอบแทนที่ดีในตอนท้าย (ยังคิดอยู่ว่า แล้วถ้าไม่จบอย่างนี้ ตัวเอกของเราจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไรกันหนอ) ซึ่งบางทีก็ก้ำกึ่งนะคะ ระหว่างการรักษาศรัทธาและเชื่อมั่นในเซ้นส์บางอย่างของตน กับความดื้อแพ่งเนี่ย ซึ่งถ้าใครไม่รู้จักตัวเองดีพอ ก็อาจก้าวข้ามเส้นสู่ความดื้อแพ่งและไม่ยอมรับความเป็นจริงไปก็เป็นได้



บุคลิกตัวละครแต่ละตัว มีเอกลักษณ์และเสน่ห์ทุกตัวเลยค่ะ ตัวเอก ผู้ช่วยตัวเอก ตัวประกอบ หรือแม้กระทั่งตัวร้ายของเรื่อง ก็ยังทำให้เรารู้สึกว่า อืมม์..มันก็มีคนอย่างนี้จริงๆ แหละนะ ซึ่งเราก็มีโอกาสเห็นอยู่ในชีวิตประจำวันด้วยค่ะ ซึ่งทำให้ตัวร้ายเองก็ดูไม่ร้ายขนาดรับไม่ได้ เพียงแต่เป็นตัวร้ายที่มีความยึดมั่นถือมั่นบางอย่าง และยึดบางสิ่งบางอย่างไว้เป็นสรณะเสียเหลือเกิน จนทำให้มองข้ามและขาดการพยายามทำความเข้าใจกับสิ่งอื่นๆ ให้ลึกซึ้งมากกว่าที่เป็นอยู่ค่ะ





เรียกได้ว่า ถ้าอ่านหนังสือเล่มนี้แล้วคิดตามไปด้วย คิดให้ละเอียดลึกเข้าไปอีก น่าจะเป็นอะไรที่สอนให้เรา “กว้าง” ขึ้นได้อย่างไม่ยากเลยค่ะ น่าจะเป็นหนังสือที่สอนให้ผู้ใหญ่ได้คิดมากขึ้น ได้คิดในแง่มุมอื่นๆ ที่อาจมีความเป็นไปได้เช่นกัน รวมทั้งเป็นการสอนเด็กให้โตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ในอีกแบบ ที่ไม่ใช่ผู้ใหญ่ที่อยู่ใน “รูปแบบ” ซึ่งยึดติดกับความคิดว่าของตนเองนั้นถูกเสมอด้วยค่ะ










สำหรับถ้อยคำที่จขบ.ประทับใจจากหนังสือเล่มนี้มีดังต่อไปนี้ค่ะ










แม่บอกว่า ไม่มีใครหรอกที่จะมีใจสงบสันติ เราทุกคนต่างเป็นหมาป่าที่ชอบใช้ความรุนแรงด้วยกันทั้งนั้น แต่การกระทำที่แสดงออกต่างหากที่ทำให้ดูสงบสันติได้














บางครั้งคุณอาจถูกล่อใจให้ทำอะไรที่สวยหรูซึ่งแม้ว่าจะดีกว่า แต่การทำเช่นนั้นก็ทำให้คุณสูญเสียความตั้งใจดีๆ ที่มีในตอนเริ่มต้นไปได้














คนบางคนเห็นมาทั่วโลก แต่ไม่รู้อะไรเลย













เราคงไม่อาจปกป้องใครได้จริงๆ หรือไม่ก็ปกป้องได้จากเรื่องหนึ่ง แต่ต้องไปเจอกับอีกเรื่องหนึ่ง







และ










และมันก็เป็นอย่างนั้นเสมอในโคลฮาร์เบอร์ ผู้คนแก่ตัวลงไปบ้าง ตายไปบ้าง ฉันทิ้งบางสิ่งบางอย่างในชีวิตของฉันตามที่ต่างๆ บ้าง ในขณะที่ค้นพบส่วนอื่นๆ อย่างไม่ได้คาดหวัง ผู้คนใหม่ๆ โผล่เข้ามาให้เห็นในขณะที่คนอื่นๆ หายไปก่อนจะทันบอกลากัน ผู้คนธรรมดาสารพัดชนิดทุ่มเทจิตใจทั้งหมดของพวกเขาให้กับสิ่งที่เราไม่เคยคิดจะใส่ใจ











โดยรวมก็เป็นหนังสืออีกเล่ม ที่อาจไม่ได้สนุกสนานเร้าใจชวนติดตามมากมาย แต่เป็นหนังสือที่ต้องอ่านแล้วใช้ความคิดต่อยอดไปด้วย ซึ่งน่าจะเป็นการกล่อมเกลาให้เด็กโตขึ้นอย่างมีวิสัยทัศน์ที่กว้างขึ้น และสอนให้ผู้ใหญ่บางคนกลับหันมาเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างของตนเองได้ด้วยค่ะ










ขอบคุณทุกท่านสำหรับการแวะมาอ่านค่ะ


248305/3613/284




 

Create Date : 06 ตุลาคม 2551    
Last Update : 6 ตุลาคม 2551 7:59:09 น.
Counter : 1859 Pageviews.  

~ ~★ ~ ~★ ~ ~★ พิภพบาดาล และ บ้านใหม่บนดิน อีกหนึ่งหนังสือที่อ่านสนุกและได้คิด ~ ~★ ~ ~★ ~ ~★








พิภพบาดาล (The City of Ember)





ผู้แต่ง : ณานน์ ดูโปร
ผู้แปล : แสงตะวัน
สำนักพิมพ์ : แพรวเยาวชน
จำนวนหน้า : 296 หน้า
ราคาปกติ : 205.00 บาท






เรื่องย่อ


เมื่อครั้งที่เมืองเอมเบอร์ถูกสร้างมานั้น เหล่าผู้สร้างได้ทิ้งจดหมายเพื่อให้มีการส่งต่อเพื่อที่ว่า เมื่อวันหนึ่งเมืองเอมเบอร์ไม่สามารถที่จะให้ชาวเอมเบอร์ใช้ชีวิตได้ต่อไปแล้ว ประชากรในเมืองก็จะสามารถมีหนทางแก้ไขได้ แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยความสะเพร่าของผู้นำคนหนึ่ง ทำให้ข้อความที่ผู้สร้างทิ้งไว้ ไม่มีการส่งต่อ

ชาวเอมเบอร์จะทำอย่างไร และเมื่อเด็กหนุ่ม เด็กสาวคู่หนึ่ง ค้นพบความจริงบางอย่างแล้ว เขาจะจัดการต่อไปอย่างไร จะสามารถช่วยประชาชนชาวเอมเบอร์ได้หรือไม่?









บ้านใหม่บนดิน (The People of Sparks)





ผู้แต่ง : ณานน์ ดูโปร
ผู้แปล : แสงตะวัน
สำนักพิมพ์ : แพรวเยาวชน
จำนวนหน้า : 296 หน้า
ราคาปกติ : 205.00 บาท






เรื่องย่อ (ถ้ายังไม่อ่านเล่ม 1 อย่าอ่านเรื่องย่อของเล่มนี้ค่ะ)



เมื่อดูน และลีน่าออกมาจากเมืองเอมเบอร์ได้แล้ว ทั้งสองก็ได้พาชาวเอมเบอร์เดินทางต่อ จนกระทั่งพบเมืองแห่งหนึ่งที่มีชื่อว่า สปาร์คส์ อย่างไรก็ตาม ชาวสปาร์คส์เองก็เพิ่งผ่านพ้นวิกฤตและเริ่มพึ่งพาตนเองได้เป็นครั้งแรก ดังนั้นการที่จะรับภาระประชากรหลายร้อยคนมาดูแลนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

อย่างไรก็ตาม ผู้นำของชาวสปาร์คส์ตัดสินใจจะให้ชาวเอมเบอร์อยู่ แต่ความแตกต่างที่มากมายเกินไป ประกอบกับความเลวร้ายบางอย่างที่เกิดขึ้น ทำให้ความสัมพันธ์ของคนทั้งสองฝ่ายย่ำแย่ลงเรื่อยๆ เรื่องราวจะจบลงอย่างไร ท้ายที่สุดแล้วชาวเอมเบอร์ต้องออกไปตั้งรกรากในฤดูหนาวอันโหดร้ายได้หรือไม่









ความรู้สึกที่ได้อ่าน (สปอยล์นิดๆ หน่อยๆ)


เป็นวรรณกรรมเยาวชนอีกชุดหนึ่งที่เราอ่านแล้วรู้สึกว่า สำหรับตัวเองแล้ว ไม่ได้เพียงแค่ความสนุกค่ะ
(ซึ่งไม่รู้ว่ากับคนอื่นเป็นเช่นนี้ด้วยหรือเปล่า แหะๆ)


เอาทีละเล่มเลยนะคะ (เตรียมตัวปูเสื่อ ขนหมอนนอนฟังได้เลยค่ะ)





สำหรับพิภพบาดาลนั้น อ่านแล้วจขบ.แล้ว ทำให้นึกถึงโลกปัจจุบันน่ะค่ะ โลกที่กำลัง “เสพ” และ “สูบ” ทรัพยากรธรรมชาติต่างๆ นานาที่มีอยู่ และก็ใช้ๆๆๆ กันอย่างไม่บันยะบันยัง วันหนึ่ง เราก็คงต้องเจออย่างเมืองเอมเบอร์ วันที่เข้าสู่กลียุค ไม่เหลืออะไรแล้ว ไม่เหลือสิ่งที่พอจะให้เราดำรงชีพได้อย่างปกติอีกต่อไป คือ..อ่านแล้วนึกถึงไปแนวๆ อนุรักษ์ธรรมชาติเลยน่ะค่ะ แต่ขณะที่เรื่องราวกระตุ้นให้เราคิดในแง่นั้น แต่เนื้อเรื่องกลับไม่ได้สื่อมาแบบ “หนัก” เกินกว่าจะอ่าน แต่กลับเป็นเรื่องราวสืบสวน ผจญภัยและสนุกสนาน (ซึ่งนี่แหละ เป็นคุณสมบัติประการหนึ่งที่ทำให้จขบ.รู้สึก “รัก” วรรณกรรมเยาวชน เพราะสามารถที่จะสอดแทรกสาระลงไปในความสนุกและความสุขในขณะที่อ่านได้ด้วย โดยไม่ต้องรู้สึกว่าถูก “ยัดเยียด” อะค่ะ)






การปูเรื่องว่าเมืองนี้ถูกสร้างได้อย่างไร จนมาถึงวิกฤตของเมือง และการสืบค้นหาวิธีการแก้ไข จนกระทั่งคลี่คลายนั้น ทำได้น่าติดตามค่ะ เรียกได้ว่า อ่านได้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่รู้สึกเบื่อหน่ายแต่อย่างใด รวมทั้งการวางลักษณะบุคลิกภาพของตัวละคร สอดคล้องกับการกระทำและการตัดสินใจของตัวละคร ซึ่งนำไปสู่จุดจบของเรื่องได้อย่างค่อนข้างกลมกลืน ไม่มีสะดุดค่ะ (แล้วตัวเอกของเรื่อง ก็ไม่ใช่พวก perfect เสียด้วย ซึ่งเราว่า โอเคเลย ไม่ได้เป็น “นิทาน” จนเกินไปนักน่ะนะคะ (ซึ่งไม่ได้หมายความว่า “นิทาน” ที่มีลักษณะดังนี้จะเป็นเรื่องแย่หรอกนะคะ) ทำให้ดูเสมือน “จริง” ทั้งที่อยู่ในโลกสมมติค่ะ)



แล้วตอนจบของเล่มนี้นี่ก็แหม้...บีบคั้นหัวใจคนอ่านจริงๆ ค่ะ หากใครยังไม่มีภาคสองคือ บ้านใหม่บนดินแล้วล่ะก็..อย่าเพิ่งอ่านเล่มนี้เป็นอันขาด เพราะว่าจะทำให้ท่านรู้สึกทุกข์ทรมานในความอยากรู้ต่อไป จนอาจทำให้เกิดอาการทุรนทุรายได้ (ไม่เวอร์นะจะบอกให้ อิอิ)









(ตั้งแต่ย่อหน้านี้ไป สปอยล์นะคะ) สำหรับเล่มบ้านใหม่บนดินนั้น ก็เป็นเรื่องราวต่อเนื่องจากพิภพบาดาลค่ะ ว่าหลังจากที่ตัวเอกทั้งคู่ได้ส่ง “สาร” ไปยังคนในเมืองเอมเบอร์แล้ว เกิดเหตุการณ์อะไรต่อไป แล้วคนของเมืองเอมเบอร์ก็ได้เดินทางไปเจอกับคนของหมู่บ้านสปาร์คส์ พร้อมกับการไขข้อข้องใจว่า เหตุใดเมืองเอมเบอร์ถึงได้ถูกสร้างขึ้น และ ณ ปัจจุบัน บนโลกซึ่งอยู่ “บนดิน” นั้น เป็นอย่างไร ซึ่งบอกได้เลยว่า ค่อนข้าง “เซอร์ไพรซ์” เราพอสมควรเลยทีเดียวค่ะ คือตอนแรกก็คิดไว้เหมือนกันว่าน่าจะทำนองนี้ แต่เรื่องของการบรรยาย การหาทางออก ฯลฯ ทำได้ค่อนข้างน่าเชื่อถืออย่างมาก (หมดสปอยล์ค่ะ)



อย่างไรก็ตาม สำหรับเล่มนี้แล้วนอกเหนือไปจากเรื่องเชิงสิ่งแวดล้อม (ซึ่งต่อเนื่องมาจากเล่มหนึ่ง แต่ในสถานการณ์ที่แตกต่างกันไป พิภพบาดาล ทำให้เราคิด ทั้งที่ยังไม่รู้สภาวการณ์ แต่เล่มบ้านใหม่บนดิน สร้างสภาวการณ์ของการถูกทำลายล้างเรียบร้อยแล้ว และสร้างสถานการณ์ทำให้คนอ่านฉุกคิดในประเด็นอื่น) ก็เป็นเรื่องของการมีมนุษยธรรม ความฝักใฝ่ในอำนาจ (แหม้..มันมีทุกสังคมจริงๆ ราวกับเป็นยีนส์ด้อยในตัวมนุษย์ที่ “ใครสักคน” ได้สร้างขึ้น ให้มนุษย์มีจุดบกพร่องของการเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีปัญญาล้นเหลือ) ความขัดแย้ง การหาทางออกของความขัดแย้ง ซึ่งแหม้....รู้สึกเหมาะกับสถานการณ์ภายในประเทศไทยอย่างไรไม่ทราบค่ะ หึๆ






“การตอบโต้สิ่งเลวร้ายด้วยการกระทำที่เลวร้าย เป็นสาเหตุของสงครามและการสูญเสีย”


“การทำดีตอบโต้สิ่งเลวร้าย เป็นเรื่องยาก แต่เป็นสิ่งที่ “สมควร” ทำมากกว่า




คือเรียกได้ว่า มีการ “สื่อสาร” คอนเซปต์เชิงความคิดบางประการที่น่าสนใจมากๆ การที่เราต้อง “ให้” ทั้งที่การให้นั้นอาจทำให้ตัวเองต้องลำบาก การทำดีกับคนที่ทำร้ายเรา เพราะนั่นคืออาจเป็นหนทางเดียวที่สามารถจะแก้ไขความขัดแย้งที่เกิดขึ้นได้ (แต่แน่นอน อย่างที่หนังสือบอกไว้ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย) มัน “สอน” ให้เราคิดได้จริงๆ นะคะ






แต่แม้ว่า สิ่งที่เราเขียนว่าหนังสือทั้งสองเล่มได้ “กระตุ้น” ให้เราคิดอะไรได้บ้างนั้น อาจดูเหมือนเป็นประเด็นและเรื่องที่หนักหนาเหลือเกิน แต่ขอบอกว่า หนังสือกลับเขียนและสื่อสารออกมาได้อย่าง “สนุก” เหลือเชื่อจริงๆ ค่ะ





หนังสือที่สื่อประเด็นซึ่งมีผลกระทบต่อสังคมก็เป็นสิ่งที่ดี


หนังสือที่อ่านสนุก ก็เป็นสิ่งที่ดี




แต่หนังสือที่เขียนให้สนุกด้วย สื่อสารประเด็นชวนขบคิด ก่อให้เกิดการต่อยอดด้วยนี่ ต้องเรียกว่า “ยอดเยี่ยม” ค่ะ



เพราะมันจะทำให้คนอ่านเข้าถึงได้ง่าย แต่ไม่ได้ได้เพียงแต่ความว่างเปล่า ไร้สาระเมื่ออ่านจบแต่อย่างใด


เหมือนอาหารที่อร่อยด้วย และครบถ้วนไปด้วยสารอาหารด้วยน่ะค่ะ










ถ้อยคำที่ประทับใจเจ้าของบล็อกจากหนังสือชุดนี้ มีดังนี้ค่ะ




จากพิภพบาดาล



“...สิ่งที่สำคัญคือ ต้องเอาใจใส่ ใส่ใจกับทุกอย่างให้มากๆ สังเกตสิ่งที่ไม่มีใครอื่นสังเกต แล้วลูกจะรู้สิ่งที่ไม่มีใครอื่นรู้ และนั่นจะมีประโยชน์เสมอ”





และ







จากบ้านใหม่บนดิน



“คนไม่ได้เป็นผู้สร้างชีวิต เพราะฉะนั้นคนก็ไม่สามารถทำลายชีวิตได้ ถึงแม้เราจะกวาดล้างทุกชีวิตออกไปจากโลกนี้จนหมด แต่เราก็ยังไม่อาจแตะต้องแหล่งที่มาของชีวิตได้ อะไรก็ตามที่ทำให้ต้นไม้ สัตว์ และคนเกิดขึ้นในตอนแรก จะยังคงอยู่ตรงนั้นเสมอ และชีวิตก็จะเกิดขึ้นอีกครั้ง”












เป็นหนังสืออีกเล่มหนึ่งที่อยากให้ใครๆ ได้อ่าน
(โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ชอบวรรณกรรมเยาวชน ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวงนะคะ)



เป็นหนังสืออีกเล่ม ที่อยากให้เด็กๆ ได้อ่าน เพราะคิดว่า น่าจะเป็นปุ๋ยชั้นดีให้กับการเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ที่ดีค่ะ



คิดว่า งานหนังสือถ้าลดราคาพอสมควร จะซื้อเพื่อบริจาคให้กับห้องสมุดค่ะ (ถ้ามีเงินพอน่ะนะ เหอๆ)









ป.ล. ทราบข่าวจากผู้แปลว่า เรื่องนี้ต่อมามีเพิ่มอีกเป็นทั้งหมด 5 (เอ..หรือ 4) เล่มนะคะ แล้วก็กำลังทำเป็นภาพยนตร์อยู่ค่ะ น่าจะได้มาฉายในเมืองไทยเร็วๆ นี้ด้วยนะคะ








ขอบคุณทุกท่านสำหรับการแวะมาอ่านค่ะ


242697/3593/281




 

Create Date : 22 กันยายน 2551    
Last Update : 23 กันยายน 2551 8:11:44 น.
Counter : 3260 Pageviews.  

~ ~★ ~ ~★ ~ ~★ Dive 1-4 วิถีต่าง ปลายทางเดียว ~ ~★ ~ ~★ ~ ~★








Dive ตอนที่1 ลังกาหน้าเข่าคู้สามรอบครึ่ง





ผู้แต่ง : โมริ เอโตะ
ผู้แปล : ปาริชาติ ฉิมคล้าย
สำนักพิมพ์ : บลิส พับลิชชิ่ง
จำนวนหน้า : 196 หน้า
ราคาปกติ : 165.00 บาท






เรื่องย่อ (จากเว็บสนพ. - ไม่สปอยล์)



โทโมะกิ เด็กชายวัยมัธยมต้น หลงใหลกีฬากระโดดน้ำมาก เขามีพรสวรรค์แต่ขาดพื้นฐานแน่นปึ้กเหมือนคนอื่น อย่างไรก็ตามโทโมะกิยังคงมุ่งมั่นฝึกซ้อม จนกระทั่งได้พบกับโคชที่พลิกโชคชะตาของเขา ให้ก้าวสู่สังเวียนการแข่งขันเพื่อไปโอลิมปิก โทโมะกิต้องทุ่มเทแรงกายใจ ได้เรียนรู้เทคนิคใหม่ของการกระโดดน้ำ ขณะเดียวกันก็ต้องสูญเสียแฟน เสียสละเวลาเที่ยว การเรียน และอื่น ๆ อีกมากมายของชีวิตวัยรุ่น แต่เขายังสู้ต่อไป...









Dive ตอนที่ 2 สวอนไดฟ์





ผู้แต่ง : โมริ เอโตะ
ผู้แปล : ปาริชาติ ฉิมคล้าย
สำนักพิมพ์ : บลิส พับลิชชิ่ง
จำนวนหน้า : 176 หน้า
ราคาปกติ : 155.00 บาท






เรื่องย่อ (จากเว็บสนพ. - ไม่สปอยล์)



ท่ามกลางความตื่นเต้นของการแข่งขันคัดเลือกตัวแทนไปเข้าค่ายฝึกที่ประเทศจีน ชิบุกิ หลานชายของนักกระโดดน้ำยอดอัจฉริยะผู้ล่วงลับ ได้ค้นพบบางสิ่งซึ่งทำให้เขาเข้าใจเสน่ห์ของกีฬากระโดดน้ำ แต่ชิบุกิจะทำอย่างไรเมื่อต่อมาความลับที่เฝ้าปิดบังถูกเปิดเผย จนทำให้เขาต้องพบความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต











Dive ตอนที่ 3 SS สเปเชียล’99





ผู้แต่ง : โมริ เอโตะ
ผู้แปล : ปาริชาติ ฉิมคล้าย
สำนักพิมพ์ : บลิส พับลิชชิ่ง
จำนวนหน้า : 176 หน้า
ราคาปกติ : 155.00 บาท






เรื่องย่อ (จากเว็บสนพ. - ไม่สปอยล์)



สมาพันธ์ฯ ประกาศรายชื่อตัวแทนนักกีฬาไปโอลิมปิกอย่างไม่เป็นทางการแบบสายฟ้าแลบ สร้างความผิดหวังให้โทโมะกิ ชิบุกิ...ไม่เว้นแต่ โยอิจิ ผู้ได้รับเลือก ด้วยรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล ท่ามกลางความสับสน โยอิจิต้องเผชิญปัญหาใหญ่ เมื่อจู่ๆ ฝีมือของเขาก็ตกต่ำลง...แบบหนักหน่วงที่สุดในชีวิต










Dive ตอนที่ 4 มังกรคอนกรีต





ผู้แต่ง : โมริ เอโตะ
ผู้แปล : ปาริชาติ ฉิมคล้าย
สำนักพิมพ์ : บลิส พับลิชชิ่ง
จำนวนหน้า : 200 หน้า
ราคาปกติ : 175.00 บาท






เรื่องย่อ (จากเว็บสนพ. - ไม่สปอยล์)



ขีดจำกัดความสามารถของมนุษย์อยู่ตรงไหน ! !
ในการแข่งขันคัดเลือกตัวแทนครั้งสุดท้ายสู่โอลิมปิก
เด็กหนุ่มทั้งสามปรากฏตัวบนเวทีแห่งฝันอันยิ่งใหญ่ด้วยความรู้สึกหลากหลายต่างกัน โทโมะกิต้องการพิสูจน์ตัวเองและก้าวข้ามกรอบ เพื่อมองทิวทัศน์แห่งโลกใบใหม่ ชิบุกิต่อสู้แม้จะตระหนักดีถึงข้อจำกัดทางร่างกาย หวังเพียงได้เห็นแสงสว่างโพ้นทะเลแบบเดียวกับที่ปู่เคยเห็น โยอิจิต้องทนต่อแรงกดดันแห่งศักดิ์ศรีและหน้าที่กอบกู้เอ็ดดีซี จนต้องเผชิญกับเหตุไม่คาดฝัน...
พรสวรรค์ เทคนิคที่ดีเลิศไร้ที่ติ สัญชาตญาณและพลังที่ห้าวหาญ ได้มาไถ่ถามพวกเขาว่ามีครบพร้อมไหม ทั้งชีวิตที่พวกเขาทุ่มเท จะถูกตัดสินใจเพียงชั่วอึดใจเดียว- - - กีฬากระโดดน้ำเป็นเช่นนั้น
บางที่จุดเริ่มต้นและสิ้นสุดอาจอยู่ที่สิ่งเดียวกัน คือ ใจ








ความรู้สึกที่ได้อ่าน (สปอยล์นิดๆ หน่อยๆ)


เป็นหนังสืออีกชุดที่อ่านแล้วอยากแนะนำให้อ่านกันค่ะ



ผู้เขียนหนังสือชุดนี้เป็นคนเขียนหนังสือ “เมื่อสวรรค์ให้รางวัลผม” ซึ่งนั่นเป็นสาเหตุหนึ่งเลยค่ะที่ทำให้เราสนใจหนังสือชุดนี้ เพราะเราชอบหนังสือชุด “เมื่อสวรรค์ให้รางวัลผม” มากๆ และเมื่อได้อ่านหนังสือชุดนี้ก็รู้สึกว่าไม่ผิดหวังเลยค่ะ




Dive แต่ละตอน เป็นเรื่องราวของหนุ่มนักกระโดดน้ำสามคน ซึ่งมีวิถีทางในการกระโดดน้ำที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นโทโมะกิ เด็กหนุ่มที่ไม่เคยคิดว่าเค้าเก่งกาจหรือมีพรสวรรค์อะไร จวบจนมีโค้ชคนใหม่ก้าวเข้ามาในชีวิตและค้นพบสิ่งพิเศษที่ซ่อนอยู่ในตัวเขา สิ่งพิเศษที่ไม่ใช่ทุกคนจะมี และสำคัญอย่างยิ่งสำหรับนักกระโดดน้ำ ชิบุกิ กับพลังอันมหาศาล การกระโดดที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง และมีเสน่ห์ดึงดูดอันล้นเหลือ โยอิจิ เด็กหนุ่มผู้ที่มีพ่อและแม่ซึ่งสร้างชื่อเสียงไว้ก่อน ผู้ได้รับการยอมรับตั้งแต่อายุยังน้อยว่าเป็นนักกีฬาที่น่าจับตามอง


แม้ว่าเด็กหนุ่มทั้งสามจะมีวิถีแห่งการกระโดดน้ำที่แตกต่างกัน แต่ปลายทางทั้งสามคนกลับไม่ต่างกันนัก นั่นคือ การสร้างอนาคตและฝันอันยิ่งใหญ่ทั้งให้กับตัวเอง และกับวงการกระโดดน้ำของญี่ปุ่น โดยมีรายละเอียดปลีกย่อยออกไป ไม่ว่าจะเป็นการเอาชนะตนเอง การทำเพื่อฝันของปู่ การทำเพื่อแก้ไขวงการว่ายน้ำญี่ปุ่นให้ดีขึ้น ฯลฯ แต่ทุกคนก็มีเจตจำนงอันดี และทุ่มเทอย่างสุดชีวิตเพื่อให้ได้มา ซึ่งทำให้เราเรียนรู้ไปด้วยว่า กับปลายทางเดียวกันนั้น คนต่าง วิถีย่อมต่างด้วย การเฝ้าเอาแต่พยายามย้ำรอยของคนอื่นที่ประสบความสำเร็จ โดยไม่ได้วิเคราะห์หรือพิจารณาตนเองว่า สิ่งที่ตัวเองมีอยู่นั้นเหมาะสมกับวิถีที่เรา “พยายามทำ” อยู่หรือเปล่า รังแต่จะทำให้ตัวเองพ่ายแพ้และเจ็บปวดกับการเดินต่อ


แต่หากเราหยุดคิด ค้นหาและทำความรู้จักกับตัวเองได้มากพอ และสร้างวิถีที่เหมาะกับตัวเองแล้ว การเดินทางไปยังปลายทางนั้น ก็น่าที่จะรื่นรมย์มากเพียงพอที่เราจะมีความสุขกับการไปให้ถึงปลายทางอย่างที่ตั้งใจ



เราชอบวิธีการเขียนที่แบ่งแต่ละเล่มตั้งแต่ 1-3 เป็นเรื่องราวของแต่ละคน และเมื่อถึงเล่ม 4 ก็เป็นการรวมเรื่องราวแต่ละคน ซึ่งคนเขียนวางรูปแบบการเขียนได้ช่างคิดและเก๋ดีค่ะ ซึ่งให้อารมณ์การมองตัวละครแต่ละตัวผ่านสายตาตัวละครคนอื่นและจากความรู้สึกนึกคิด+ความเป็นตัวของตัวเองด้วย ซึ่งเราจะเห็นมุมมองและบุคลิกบางอย่างที่เปลี่ยนไปเมื่อถ่ายทอดผ่านสายตาตัวละครที่ไม่เหมือนกันด้วย ซึ่งเราว่าเป็นเสน่ห์ที่น่าสนใจดีค่ะ สำหรับงานเขียนที่ใช้กลวิธีการเขียนแบบนี้




และการสร้างตัวละครหลักๆ เอกๆ โดยแบ่งคนละเล่มนี้เอง ทำให้เราคิดไม่ได้ว่า เราล้วนต่างเป็นพระเอกในเรื่องราวชีวิตตัวเองทั้งนั้น ขณะเดียวกันก็มีโอกาสเป็นเพียงตัวประกอบในชีวิตคนอื่น (แหม้..อ่านแล้วนึกถึงหนังเรื่อง Perhaps Love เลยนะคะนี่) และเราจะมีที่ทางในความทรงจำของคนอื่นๆ มากมายเพียงไหน เราไม่สามารถกะเกณฑ์ได้หรอกค่ะ แต่ขึ้นอยู่กับเรื่องราว ความสัมพันธ์และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในระหว่างการใช้ชีวิตร่วมกันมากกว่า




นอกจากนั้นการผูกเรื่อง ประเด็นปัญหาที่แต่ละคนประสบ ปมภายในใจของแต่ละคน และวิธีการคลี่คลายปัญหาก็ชวนติดตาม ไม่น่าเบื่อเลยค่ะ เรียกว่า สร้างเรื่องได้ค่อนข้างดีและน่าสนใจ (แต่ต้องบอกก่อนว่า เจ้าของบล็อกเองเป็นคนชอบกีฬาประเภทกระโดดน้ำด้วยอยู่แล้วน่ะนะคะ เจ้าของบล็อกชอบกีฬาประเภทสวยงามค่อนข้างมาก แหะๆ) อ่านแล้วทำให้นึกถึงการ์ตูนของอาดาจิ มิซึรุ อยู่หน่อยๆ (ที่มักมีเรื่องราวของกีฬามาเกี่ยวพันอยู่เสมอ) แม้ว่าอารมณ์จะไม่ได้เหมือนกันแบบเป๊ะๆ นัก แต่ก็ใกล้เคียงกันทีเดียวค่ะ










ถ้อยคำที่ประทับใจเจ้าของบล็อกจากหนังสือชุดนี้ มีดังนี้ค่ะ



จากเล่ม 1



ในโลกของกีฬาก็เช่นกัน ความต้องการจะผลิดอกสวยสดงดงาม อาจส่งผลให้มีบางอย่างคดงอบิดเบี้ยว ความคดงออาจเกิดขึ้นกับร่างกายของนักกีฬาเอง รวมไปถึงจิตใจ ความสัมพันธ์กับผู้คนและสิ่งรอบตัว เหล่านั้นเป็นสิ่งที่นักกีฬาต้องสูญเสียหรือถูกแย่งชิงไป





และ




สามรอบครึ่ง

ทำลังกามากกว่าปกติหนึ่งรอบ

มีเวลาเห็นโลกเพิ่มอีกหนึ่งครั้ง












จากเล่ม 2



ความพึงพอใจเล็กๆ เป็นได้แค่ความทรงจำส่วนตัว น้ำตาแห่งความเจ็บใจต่างหากที่จะนำไปสู่อนาคต





และ





“ถูกเลือกโดยผู้หญิงที่รู้จักผู้ชายมาหลากหลาย น่าภูมิใจกว่าถูกเลือกโดยผู้หญิงที่ไม่เคยรู้จักผู้ชายเลยสักคน”













จากเล่ม 3



อนาคตของใครก็เป็นของคนนั้น ไม่มีใครแบกรับแทนกันได้...





และ





หากเราปกป้องทุกอย่างไม่ได้ ก็ต้องค้นให้เจอว่าอะไรสำคัญและจำเป็นสำหรับตัวเอง








โดยรวมแล้วเป็นหนังสืออีกชุดที่ใครที่ชอบอ่านอะไรแล้ว- -
อุ่นๆ หัวใจ (สนพ.ยังระบุว่าเป็นแนว warmheart นี่นะ)
ได้แรงบันดาลใจแล้วล่ะก็...
อยากให้ลองหามาอ่านกันค่ะ


อ้อๆ ...แต่เหมาะสำหรับคนที่ชอบอ่านหนังสือแปลญี่ปุ่นด้วยนะคะ

เพราะถ้าไม่ชอบ อาจจะไม่อินเต็มที่นัก แหะๆ



















ขอบคุณทุกท่านสำหรับการแวะมาอ่านค่ะ


227112/3503/273




 

Create Date : 13 สิงหาคม 2551    
Last Update : 13 สิงหาคม 2551 8:29:38 น.
Counter : 1955 Pageviews.  

~ ~★ ~ ~★ ~ ~★ ลอนดอนกับความลับในรอยจูบด้วยความสั่นไหวระดับ 8 ½ ริกเตอร์ ~ ~★ ~ ~★ ~ ~★








ลอนดอนกับความลับในรอยจูบ





ผู้แต่ง : อนุสรณ์ ติปยานนท์
สำนักพิมพ์ : สุดสัปดาห์สำนักพิมพ์
จำนวนหน้า : 125 หน้า
ราคาปกติ : 85.00 บาท







เรื่องย่อ (เล่าแบบไม่สปอยล์เลย)



หนุ่มชาวไทย ซึ่งได้ใช้ชีวิตช่วงหนึ่งเรียนรู้ที่จะเป็นพ่อครัวร้านอาหารแห่งหนึ่งในลอนดอน ระหว่างนั้น เค้าได้พบผู้คนมากมาย ซึ่งแต่ละคนต่างก็มีส่วนต่อความทรงจำบางอย่างในชีวิต ด้วยรูปแบบที่แตกต่างกัน




ความรู้สึกที่ได้อ่าน (สปอยล์นิดๆ หน่อยๆ)



เจ้าของบล็อกอ่านแล้ว รู้สึกเหมือนได้อ่านเรื่องแปล – แถมเป็นเรื่องแปลของญี่ปุ่นด้วยนะคะ ไม่ได้บอกว่าไม่ดีนะคะ (ขอออกตัวก่อน) แต่ความรู้สึกที่ได้อ่าน เป็นอย่างนั้นจริงๆ คือ มันเป็นความเหงาอวลๆ ตลอดเวลาที่อ่าน มีความรู้สึกเจ็บหม่นๆ อยู่ตลอดเวลาน่ะค่ะ ซึ่งไม่เคยอ่านงานที่เขียนโดยคนไทยแล้วให้ความรู้สึกอย่างนี้เลย อ่านแล้วให้ความรู้สึกคล้ายๆ ตอนอ่านแล้วฉันจะกลับมา (Be With You) หรืองานของลุงหมู (มูราคามิ) น่ะค่ะ




เจ้าตัวใช้วิธีค่อยๆ เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตทีละส่วน ทีละเล็ก ทีละน้อย อ่านแล้วให้ความรู้สึกเหมือนเป็นการทำผ้าผืนใหญ่ ที่ประกอบด้วยผ้าชิ้นเล็กๆ ที่มี “ลาย” ละเอียด (และรายละเอียด) เต็มไปหมด และเมื่อนำมารวมเป็นผ้าผืนเดียวกัน ก็กลายเป็นผ้าผืนใหญ่ที่มีลวดลายแปลกตา ไม่เหมือนใครน่ะค่ะ



สิ่งที่ชอบมีหลายอย่างในหนังสือเล่มนี้ค่ะ ไม่ว่าจะเป็นการเล่าโดยมีเรื่องราวของการทำอาหารแทรกเข้ามาตลอด เคล็ดลับเรื่องการทำอย่างไรให้กลิ่นของบางสิ่งจรุงออกมา (ชอบวิธีการของพ่อครัวชาวญี่ปุ่นมากมาย สุดยอด) ขอบอกว่าตอนบรรยายช่วงนี้ “เร้า” อารมณ์สุดๆ ค่ะ



บุคลิกตัวละครแต่ละตัวที่มีเสน่ห์ไม่เหมือนกันเลย ไม่ว่าจะเป็นพ่อครัวชาวเวียดนามผู้ที่มีความหลังกับเมนูแสนประหลาดอันนั้น สาวเกาหลี ผู้เป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้เรื่องราวนี้เกิดขึ้น ฯลฯ อ่านแล้ว..อืมม์...จนคนอ่าน (อย่างเรา) ออกจะอิจฉาคนเขียนอยู่ไม่น้อย ที่ได้รู้จักคนต่างๆ เหล่านั้นในชีวิต






ถ้อยคำที่ประทับใจเจ้าของบล็อกจากหนังสือเล่มนี้ มี 2 ตอนด้วยกัน



การที่เราทั้งสอง จะได้เป็นคู่รักกันหรือไม่

ไม่มีความสำคัญใดเลย

เพราะผมได้พบคุณแล้วในชีวิตนี้

และนั่น

เป็นสิ่งที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ตลอดกาล





สำหรับใครที่ยังไม่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ อาจจะไม่รู้สึกอะไรมาก แต่เชื่อเถอะค่ะว่า เมื่อคุณได้อ่านหนังสือเล่มนี้จบ คุณจะรู้สึกต่อถ้อยคำเหล่านี้ต่างไปจากตอนที่ยังไม่ได้อ่านแน่นอน






และจากหน้า 105



การคงอยู่ของคนที่เรารักนั้นมีค่าน้อยนิดเหลือเกิน หากปราศจากการดำรงอยู่ของความทรงจำที่เรามีต่อเขาผู้นั้น






โดยรวมแล้ว ชอบค่ะ สำหรับเล่มนี้ แต่คิดว่า...ไม่ใช่ทุกคนที่จะชอบค่ะ


ไปต่อกันที่เล่มที่สองนะคะ
















8 ½ ริกเตอร์





ผู้แต่ง : อนุสรณ์ ติปยานนท์
สำนักพิมพ์ : สุดสัปดาห์สำนักพิมพ์
ราคาปกติ : 105.00 บาท







เรื่องย่อ (สปอยล์นิโหน่ยค่ะ)



หนุ่มชาวญี่ปุ่นที่ได้รับมอบหมายให้มาตรวจสอบประวัติศาสตร์ เนื่องด้วยการประท้วงเกี่ยวกับหนังสือเรียนทางประวัติศาสตร์เล่มหนึ่งของญี่ปุ่นเอง แต่แล้ว เหตุการณ์แปลกประหลาดต่างๆ ก็เข้ามาในชีวิต พร้อมๆ กับการค้นพบ “ความจริง” บางอย่างที่อยู่เหนือความคาดคิด







ความรู้สึกที่ได้อ่าน (สปอยล์ไม่มาก)



ชอบเล่มนี้น้อยกว่าเล่มแรกนะคะ


เจ้าของบล็อกรู้สึกว่า...คนเขียนเหมือนมีอะไรบางอย่างดึงรั้งไว้ ซึ่งต่างจากเรื่องแรกน่ะ เหมือนมีแกนหรือเรื่องบางอย่าง (ซึ่งตามความคิดของเจ้าของบล็อก น่าจะเป็นเรื่องของเซอร์ไพรซ์ ที่เกี่ยวพันกับแนวเส้นทางการเดินทัพของญี่ปุ่น) ที่ทำให้คนเขียน พยายามสร้างเรื่องราวโดยยึดตัวนี้ไว้ตลอด จนทำให้อารมณ์บางอย่างมันไม่ “สุด” อีกทั้งตอนที่เจอกับชายหนุ่มในป่านั้นก็ดู..บอกไม่ถูกค่ะ ตอนที่รู้สึกแปลกๆ จะมีตอนที่เจอชายหนุ่มคนนี้ กับตอนจบของเรื่องน่ะค่ะ มัน “แปร่ง” เอาเรื่อง สำหรับเจ้าของบล็อก เหมือนคนเขียนพยายามหักมุม และเชื่อมโยงเรื่องของวิญญาณและการกลับชาติมา จนทำให้เรื่องราวมัน “เป๋” น่ะค่ะ



แต่ส่วนที่ชอบในหนังสือเล่มนี้ กลับเป็นการสอดแทรกถ้อยคำบางอย่างเอาไว้ โดยไม่ได้พยายามเน้นให้โดดเด่นขึ้นมา (เหมือนนักเขียนส่วนใหญ่) เป็นสิ่งงดงามที่สอดแทรกอยู่ระหว่างบรรทัดอย่างเจียมตน (เหมือนดอกไม้เล็กๆ ที่ขึ้นในซอกหินน่ะค่ะ)



จะลองยกตัวอย่างให้อ่านนะคะ



มนุษย์ทุกคนล้วนมีจุดศูนย์กลางแผ่นดินไหวประจำตัว คนทุกคนมีจุดศูนย์กลางแห่งความไหวหวั่นต่อโลกที่มองเห็น ต่อโลกที่คาดเดาไม่ได้ ต่อโลกที่ไม่อาจสัมผัสถึง









ความรักก็คล้ายแผ่นดินไหว เราจะรับรู้ผลของมันได้ เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างเคลื่อนผ่านไป









ไม่มีความรักใดเป็นอมตะ เท่ากับที่ไม่มีความเกลียดชังใดคงอยู่ตลอดกาล ทุกคู่รักมีโอกาสยุติความรักลงเพื่อเริ่มต้นใหม่เมื่อจำเป็น ทุกศัตรูมีโอกาสยุติความเกลียดชังลงเพื่อเริ่มต้นใหม่เมื่อถึงเวลา




อันหลังนี่ไม่ค่อยเชื่อประโยคแรกเท่าไหร่ (แม้ชีวิตที่ผ่านมาจะยังไม่เคยเจอจริงๆ นอกจากในนิยายก็ตาม กร๊ากกกกก) แต่ก็ชอบแหละค่ะ




ส่วนที่ชอบอีกอย่างคือ การเล่นกับชื่อของบทแต่ละบท (ที่ค่อยๆ เพิ่มความสั่นไหวตั้งแต่ 1 ริกเตอร์ จนถึง 8 ½ ริกเตอร์) ด้วยตัวอักษรที่ค่อยๆ พร่าเลือน สั่นสะเทือนตามความแรงของการไหวขึ้นเรื่อยๆ (ซึ่งเราเพิ่งสังเกตเห็นตั้งแต่ 3 ริกเตอร์) คิดว่าเป็นลูกเล่นที่ “เจ๋ง” และ “เก๋” ดีค่ะ






เพราะงั้น โดยรวมแล้ว ค่อนข้างชอบลอนดอนฯ มากกว่าค่ะ แต่อย่างไรก็ตามแต่ คงจะหาหนังสือของนักเขียนท่านนี้มาอ่านต่อไปเรื่อยๆ ค่ะ สำหรับเราแล้ว ถือว่าเป็นนักเขียนที่น่าสนใจสำหรับตัวเองนะคะ






ขอบคุณทุกท่านสำหรับการแวะมาอ่านค่ะ


211040/3412/266




 

Create Date : 03 กรกฎาคม 2551    
Last Update : 3 กรกฎาคม 2551 10:06:30 น.
Counter : 2701 Pageviews.  

~ ~★ ~ ~★ ~ ~★ เทศกาลอ่านนิ้วกลม ~ ~★ ~ ~★ ~ ~★






ช่วงวันหยุดวิสาขบูชาที่ผ่านมา หลังจากอ่านหนังสือหนาเตอะ 2 เล่มจบไป (ปกรณัมปรัมปราและบันทึกนกไขลาน)

ในที่สุดก็ได้ฤกษ์หยิบหนังสือทั้งหลายทั้งปวงของนิ้วกลมซึ่งสู้อุตส่าห์ไปกวาดเก็บ+ซื้อมาให้ครบ (จากงานหนังสือ) มาอ่านเสียที (ขาดเพียงเพลงรักประกอบชีวิต ซึ่งฝากเจ้าเหมียวพันปีซื้อ ซึ่งไม่เป็นไร เดี๋ยวอ่านตามทีหลัง) ที่จริงเจ้าของบล็อกมีสมองไหวในฮ่องกงกับกัมพูชาพริบตาเดียวอยู่แล้ว แต่เนื่องจากอยากอ่าน+ทำความรู้จักกับนิ้วกลมแบบเรียงตามลำดับ (การออกหนังสือ) เจ้าของบล็อกก็เลยรอจนกว่าจะกวาดเก็บมาได้ครบแล้วถึงจะอ่าน


ช่วงวันหยุดที่ผ่านมาจึงเป็น “เทศกาลอ่านนิ้วกลม” ของเจ้าของบล็อกด้วยเหตุดังที่กล่าวมาในเบื้องต้น





สำหรับหนังสือทั้ง 6 เล่มของนิ้วกลมเจ้าของบล็อกเรียงตามลำดับที่เจ้าตัวออกหนังสือมา ดังนี้

กัมพูชาพริบตาเดียว





เนปาลประมาณสะดือ





สมองไหวในฮ่องกง





นวนิยายมีมือ











นั่งรถไฟไปตู้เย็น



(ทำไมปกมันใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ หว่า? )






คำเตือน รีวิวครั้งนี้ยาวโคตรรรรรรรร ถ้าไม่มีเวลาพอ อ่านไม่จบแน่ๆ เหอๆ



ความรู้สึกที่ได้อ่าน (สปอยล์เน้อ)



เรารู้จักนิ้วกลมเป็นครั้งแรกจากคอลัมน์ในอะเดย์ค่ะ ตอนนั้นก็รู้สึกว่า คนเขียนคนนี้ “น่าสนใจ” จนกระทั่งได้มาอ่านหนังสือเล่มแรกของเจ้าตัวก็คือ “โตเกียวไม่มีขา” ซึ่งทำให้เรารู้สึกดีกับคนญี่ปุ่นมากขึ้นมาหน่อย (จากที่ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ แหะๆ)


แล้วก็มาถึง “อิฐ” ซึ่งก็เป็นการรวบรวมงานเขียนในคอลัมน์ที่เจ้าของบล็อกเคยอ่านในอะเดย์น่ะแหละ จนกระทั่งเจ้าของบล็อกก็เลยรีวิวหนังสือเรื่องนี้ไปรอบหนึ่ง ที่นี่ (คลิกเพื่ออ่าน)


ในส่วนของหนังสือบันทึกการเดินทางทั้งหมดนั้น ที่ที่เจ้าของบล็อกเคยไปแล้วมีที่เดียวคือ “ฮ่องกง” ค่ะ นอกนั้นเป็นที่ที่เจ้าของบล็อกไม่เคยไปเลย แต่แม้กระนั้น...ความรู้สึกในการอ่านแต่ละเล่มของนิ้วกลมก็กลับแตกต่างกันไปด้วยค่ะ




สำหรับหนังสือเล่มแรกที่อ่านใน “เทศกาลอ่านนิ้วกลม” นี้ก็คือเรื่อง “กัมพูชาพริบตาเดียว” ค่ะ ซึ่งทำให้เจ้าของบล็อกได้รับรู้บางมุมของนิ้วกลมว่า “น่าจะเป็นคนเดินทางคนเดียวไม่ค่อยได้นะนี่” เพราะเจ้าตัวออกจะเหงาๆ ชอบกลค่ะ เลยพลอยทำให้เรื่องราวที่ออกมาในเล่ม ดูแหว่งๆ วิ่นๆ ทางอารมณ์ไปด้วย แต่ขณะเดียวกัน การไปคนเดียว ก็ทำให้เจ้าตัวเองมีโอกาสที่จะได้ทำความรู้จักกับคนรอบข้างมากขึ้น (ลองคิดดูว่าถ้าเรามีเพื่อนไป เราก็คงได้พูดคุยกับคนท้องถิ่นน้อยกว่าไปคนเดียวแน่หละ ในเมื่อมีเวลาในการเดินทางจำนวนวันเท่าเดิม แต่มีคนเข้ามาเกี่ยวพันในช่วงของการเดินทางนั่นเพิ่มขึ้น การสนทนาปราศรัยกับแต่ละคนก็ย่อมแปรผกผันกับจำนวนคนที่เข้ามาเช่นกัน คนเยอะ – ปริมาณการพูดคุยต่อคนน้อย แต่ถ้ามีคนในการเดินทางน้อย – ก็จะได้พูดคุยต่อคนเยอะ)


แล้วก็...เสียดายนิดหน่อย ที่นิ้วกลมเกิดอาการ “เอียน” ปราสาท เมื่อได้ดูไปเยอะๆ น่ะค่ะ แต่อย่างว่านะคะ..คนเราชอบไม่เหมือนกันน่ะ ซึ่งการไม่ชอบของอีกคน ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาผิดเสียเมื่อไหร่ ซึ่งที่จริง ถ้านิ้วกลมได้คนที่ “อิน” มากๆ กับเรื่องของการสร้างปราสาท (เหมือนอย่างซูซี่ ตอนที่ไปฮ่าร์บิ๊นกับนิ้วกลม ใน “นั่งรถไฟไปตู้เย็น” ที่มีเรื่องนู้นนี้เล่าให้ฟังด้วย ซึ่งมันทำให้การเดินทางมีสีสันและความหมายระหว่างทางมากขึ้น) คนที่สามารถบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ของทับหลัง ที่มาของภาพต่างๆ เหล่านั้น ฯลฯ นิ้วกลมก็อาจจะไม่เหงาและแฮปปี้กับการดูปราสาทต่างๆ มากกว่านี้ก็เป็นได้ (แต่ก็ไม่ใช่ 100% หรอกนะคะ เพียงแต่มีความเป็นไปได้เท่านั้นเอง)


อ่านเล่มนี้แล้วรู้สึกอิจฉานิ้วกลมนิดหน่อย – ที่เกิดเป็นผู้ชาย ด้วยความที่เราเป็นผู้หญิง (แล้วทำไมรึ?) ทำให้เรากังวลที่จะเดินทางไปไหนมาไหนคนเดียวค่ะ ที่จริงถ้าทำได้ โดยไม่ต้องกังวลถึงอันตรายใดๆ ก็คงจะทำให้เราได้เห็นอะไรต่ออะไรในมุมที่แตกต่างไปมากขึ้นก็เป็นได้







เล่มถัดมา “เนปาลประมาณสะดือ”





อ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว เจ้าของบล็อกอยากไปรักษาหัวเข่า+โรคกระเพาะ+ไมเกรนให้หาย ฟิตซ้อมร่างกายให้พร้อม แล้วลองไปปีนเขาที่เนปาลสักครั้งจังค่ะ

เป็นหนังสือบันทึกการเดินทางเล่มแรกของนิ้วกลมที่ “ก่อกิเลส” ให้กับเราอย่างแรง เรียกว่า impact สูงมากๆ ทั้งภาพและเรื่องราวที่ได้เห็นและอ่าน มันกระตุ้นความรู้สึกอยากเดินทางและไปสัมผัสเนปาลให้ “อย่างแรง” ค่ะ


ความหฤโหดของเส้นทาง มิตรภาพที่ปรากฏในระหว่างการเดินทาง ความสวยงามของสถานที่ทั้งระหว่างทางและเมื่อไปถึงจุดหมาย โดยรวมแล้วเรียกได้ว่า เป็นประสบการณ์ที่ “น่าประทับใจ” และชวนให้อยากไปสร้างประสบการณ์ที่ว่าสักครั้งค่ะ




สำหรับหนังสือแนวบันทึกการเดินทางของนิ้วกลมแล้ว เราชอบเล่มนี้ค่อนข้างมากกว่าเล่มอื่นๆ ค่ะ
(แต่ถ้าเราไปเองจริงๆ สงสัยต้องเพิ่มวันสำหรับเดินเขาให้มากกว่านี้ค่ะ เพราะนี่เป็นหลักสูตรเร่งรัดเกินกว่าที่ข้าพเจ้าจะสู้ไหวอะนะ เหอๆ )







เล่มที่ 3 สมองไหวในฮ่องกง






อีกแง่มุมหนึ่งที่ปรากฏในหนังสือเล่มนี้ที่ทำให้นิ้วกลมมีเสน่ห์ยิ่งขึ้นไปอีกก็คือ...การที่เค้าเป็นคนรักเดียวใจเดียวนี่แหละค่ะ (นับเป็นบุคคลหายากจริงๆ ในยุคสมัยที่ผู้หญิงแย่งชิงผู้ชายราวกับ rare item เช่นปัจจุบันนี้ หึๆ)



ในเล่มนี้ นิ้วกลมไปฮ่องกงคนเดียว (อีกแล้วนะนี่) แล้วได้เจอ “นางฟ้า” ที่ฮ่องกง เจอ “นางแบบ” (หรือเปล่า?) บนเครื่องบิน แต่สิ่งที่นิ้วกลมทำ ก็คล้ายกับที่ผู้ชายส่วนใหญ่น่าจะทำกันนั่นแหละ คือพูดคุยด้วยอัธยาศัยไมตรีอันดี (กับคนหลัง) และเพียงขอถ่ายรูป (กับคนแรก) ซึ่งตอนแรกที่ข้าพเจ้ายังไม่ตระหนักว่า คนเขียนมีแฟนนั้น ก็ให้นึกเสียดาย “โอกาส” ที่เจ้าตัวปล่อยให้ผ่านเลยไป หากแต่เมื่อเห็นเพลง “In my life” ตบท้ายหนังสือให้กับ “โจ้วหญิงตัวโน้ย” ของเขาแล้วก็ถึงบางอ้อแล้วก็อดอมยิ้มไม่ได้กับ “ความน่ารัก” ของเจ้าตัวค่ะ


เราว่าผู้ชายรักเดียวใจเดียว และซื่อสัตย์กับคนที่ตัวเองรักน่ะ มีเสน่ห์มากๆ นะคะ เป็นคนที่น่าชื่นชมและไม่ควรไปแตะต้องให้สิ่งที่เค้าเป็นต้องหม่นหมองน่ะ (เหมือนของมีค่าก็ควรอยู่ในที่ที่ควรน่ะแหละค่ะ) ซึ่งจนทุกวันนี้เราก็ไม่ค่อยเข้าใจอารมณ์ผู้หญิงที่อยากลองของคู่รักที่เขารักกันดีว่า จะรักกันดีได้แค่ไหน (ด้วยการเข้าไปเป็นมือที่สามของเขา) หรืออารมณ์คนที่ชอบคนเจ้าชู้ว่ามีเสน่ห์น่ะค่ะ คือ..แบบ...เอ่อ...ชอบความเจ็บปวดเหรอคะ? หรือว่าอยากทำให้เห็นว่า ผู้ชายเจ้าชู้ก็หยุดอยู่ที่ฉันได้น่ะ? คือ...เราคงประหลาดน่ะ เราไม่เข้าใจอารมณ์ประมาณนี้จริงๆ นะคะ (หรือว่าเราประหลาดอยู่คนเดียวหว่า? )




สำหรับบางแง่มุมของนิ้วกลม อย่างเรื่องการไม่ไปดิสนีย์แลนด์ อืมม์..สำหรับเราแล้ว ค่อนข้างเป็นมุมมองที่แตกต่างกันนิดหนึ่งน่ะค่ะ สำหรับเรา เราจะไม่ตัดสินก่อนว่า สิ่งนั้นๆ ดีหรือเหมาะกับเราหรือเปล่า ถ้าเรายังไม่ได้ไปทำความรู้จักหรือสัมผัสกับมันจริงๆ น่ะค่ะ เพราะประสบการณ์หลายๆ อย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ทำให้เราค้นพบว่า บางที่ที่เราไปแค่ครั้งเดียว มันไม่ได้สร้างความประทับใจอะไรให้เราได้มากนัก แต่เมื่อได้ทำความรู้จักกันบ่อยครั้งขึ้น ก็ทำให้เราค้นพบแง่มุมดีๆ ที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน และสร้างความประทับใจให้กับเราได้อย่างไม่น่าเชื่อ อย่าง อาหารเกาหลีนี่ เราไปเกาหลีเป็นรอบที่สิบกว่าๆ ค่ะ ถึงจะค้นพบว่า มีอาหารเกาหลีอย่างอื่นที่อร่อยกว่าหมูเกาหลีกับไก่กระทะด้วย (หลังจากที่การไปเกาหลีทุกครั้งที่ผ่านมา คือการไปเพื่อลดน้ำหนักของเรา เพราะกินอะไรแทบไม่ได้เลย) มันทำให้เราค้นพบว่า กับบางเรื่อง มันต้องใช้เวลาพอสมควรที่จะ “สัมผัส” และ “รู้จัก” กับมันจริงๆน่ะค่ะ


แต่โดยรวมแล้ว เล่มนี้ทำให้เราเห็นความน่ารักอีกอย่างของนิ้วกลมค่ะ เราว่าเขา “ใจ” ดีน่ะ (ขอใช้สำนวนเด็กแนวหน่อยเหอะ กร๊ากกกกกกก)





เล่มที่ 4 นวนิยายมีมือ





เป็นนิยายเล่มแรกของนิ้วกลมค่ะ และคงเป็นนิยายที่มีกลวิธีการเขียนที่แปลกประการหนึ่ง (อ่านแล้วอยากให้นิ้วกลมลองหา “หากค่ำคืนหนึ่งในฤดูหนาว นักเดินทางคนหนึ่ง” มาอ่านค่ะ อาจได้ไอเดียสำหรับเขียนนิยายเพิ่มขึ้น) เป็นการร้อยเรียงบางส่วนจากนิยายของฮารูกิ มูราคามิ (ลุงหมูของข้าพเจ้า) ไม่ว่าจะเป็น After the quake, สดับลมขับขาน, พินบอล หรือ การปรากฎตัวของหญิงสาวในคืนฝนตก (เล่มหลังนี่ข้าพเจ้ายังไม่ได้อ่าน) กับนิยายที่เจ้าตัวพยายามเขียน โดยมีการเชื่อมโยงระหว่างตัวละครและบทพูดจากนิยายของลุงหมู กับเรื่องราวที่ตัวเองสร้างขึ้นเป็นระยะๆ จบท้ายด้วยการเอาตัวคนเขียนเข้าไปในเรื่อง จนกระทั่งลามมาถึงเอาคนอ่านเข้าไปในเรื่องด้วย เป็นหนังสือที่อ่านแล้วเกิดอาการ “หึๆ” ขึ้นกับความช่างคิดของเจ้าตัว เพียงแต่...หนังสือเล่มนี้น่าจะเป็นข้อจำกัดสำหรับคนอ่านพอสมควร เพราะคิดว่าน่าจะเข้าถึงกลุ่มคนอ่านได้น้อย และคนที่จะอ่านได้โอเค อย่างน้อยก็น่าจะมีพื้นฐานของการอ่านนิยายของลุงหมูแกมาบ้าง ไม่อย่างนั้นน่าจะ “เหวอ” พอสมควรค่ะ


เพราะงั้น...สู้ต่อไปนะนิ้วกลม







เล่มที่ 5 ณ





เป็นหนังสืออีกหนึ่งเล่มที่เกิดจากการรวมงานเขียนจากคอลัมน์ชื่อเดียวกับชื่อหนังสือที่เคยลงในอะเดย์ค่ะ

หนังสือเล่มนี้...เรารู้สึกว่านิ้วกลม “โต” ขึ้นหละ

หาก “อิฐ” จะเป็นตัวแทนของความมีสีสันจัดจ้าน วัยวันที่ยังพลุ่งพล่านของนิ้วกลม

หนังสือเล่มนี้ กลับกลายเป็นความอ่อนละมุน มองโลกด้วยความนุ่มนวลมากขึ้นน่ะค่ะ

เป็นหนังสือที่ทำให้เห็นแง่มุมอื่นๆ ของนิ้วกลมมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวที่อบอุ่น (จนน่าอิจฉา) ความรักที่เค้ามีต่อคนพิเศษ (จนน่าอิจฉากว่า) การมองโลกที่ไม่ได้นิยมเป็นตัวเด่น (กับเสื้อเบอร์ 11 ของเจ้าตัว) ฯลฯ

อ่านแล้วเหมือนๆ จะทำความรู้จักกับผู้ชายคนนี้ได้มากขึ้นค่ะ ถ้าเปรียบหนังสือเล่มนี้เป็นอาหาร ก็น่าจะเหมือนชาหอมๆ ละมุนๆ อุ่นๆ น่ะแหละค่ะ

ถ้าสนใจจะจิบชา สูดกลิ่นหอมอ่อนๆ ของมัน ก็ลองอ่านเล่มนี้ดูค่ะ






เล่มที่ 6 นั่งรถไฟไปตู้เย็น




เป็นบันทึกการเดินทางของนิ้วกลม สมัยที่ยังทำงานอยู่ที่เซี่ยงไฮ้แล้วไปเที่ยวฮ่าร์บิ๊น (กรุณาม้วนลิ้นตอนออกเสียงลงท้ายคำว่า ฮ่าร์) กับเพื่อนร่วมงานสาวหมวย นอกจากฮ่าร์บิ๊นแล้ว ยังหนาวไม่พอ เจ้าตัวยังเดินทางไปยังหมู่บ้านที่อยู่เหนือสุดยิ่งกว่าฮ่าร์บิ๊น เรียกว่าติดชายแดนรัสเซียเลยก็ว่าได้


สิ่งหนึ่งที่เห็นชัดเลยก็คือ นิ้วกลมได้อะไรที่แตกต่างไป เมื่อได้เพื่อนร่วมทางอีกแบบค่ะ

หาก “น้ำ” และ “หมี” จะทำให้นิ้วกลมตระหนักถึงคำว่า “มิตรภาพ”

ซูซี่ ก็น่าจะทำให้นิ้วกลมได้รับรู้เรื่องราวอะไรต่างๆ นานา จากเพื่อนสาวชาวจีนที่ช่างพูดและช่างเล่า (ถ้าไม่ใช่คนจีน หรือถ้าไม่ใช่คนช่างเล่า หลายๆ เรื่องก็อาจจะไม่ปรากฏอย่างที่มีในหนังสือเล่มนี้)




การเดินทางครั้งนี้ทำให้นิ้วกลมรู้ว่า “กลางคืน” ของรูปน้ำแข็งที่ฮ่าร์บิ๊น มันก็สวยไปอีกแบบ (ซึ่งไม่ใช่ว่าเป็นเพราะใครๆ ว่าว่ามัน “สวย” หรอก ก็มันสวยจริงๆ นี่นา) เป็นความสวยที่ถ้าพลาดไป...ก็น่าเสียดายอยู่ไม่น้อย

การเดินทางครั้งนี้ทำให้นิ้วกลมได้รู้จักกับคนที่ใช้ชีวิตแบบคุณ “โจว” (ที่น่าอิจฉาที่เค้าใช้ชีวิตได้ขนาดนี้ แต่ขณะเดียวกันก็อดคิดถึงคนทางบ้านที่เค้าปล่อยให้อยู่บ้านขณะที่เค้าเลือกที่จะเดินทางมาเพียงลำพังไมได้)

การเดินทางครั้งนี้ที่ทำให้นิ้วกลมได้รู้จักกับใครต่อใครเพิ่มมากขึ้น (ซึ่งถ้าไม่มีซูซี่ไป...ก็คงไม่ได้รู้จักและร่วมทางกันอย่างนี้หรอก...เนาะ)




การเดินทางครั้งนี้ เป็นการเดินทางทั้งภายนอกและภายในความคิดของตัวนิ้วกลมเองค่ะ วิธีการมองโลกต่างๆ นานา มันทำให้คนอ่านรู้จักกับนิ้วกลม และรู้วิธีการคิด การมองโลกของนิ้วกลมมากขึ้น เป็นอีกเล่มที่เราอ่านแล้วรู้สึกว่านิ้วกลม “โต” ขึ้นน่ะ (เอ่อ..ทำยังกะตัวเองแก่กว่านิ้วกลมมากมายงั้นแหละ ยายเอ๊ยยยย)

ไม่รู้สิคะ อ่านตั้งแต่เล่มแรกจนถึงเล่มนี้ก็เห็นอะไรต่อมิอะไรของนิ้วกลม (เอ่อ...ซึ่งไม่ใช่ทางกายภาพ 555) มากขึ้น เหมือนได้รู้จักเจ้าตัวเพิ่มมากขึ้น (แม้จะแค่ทางตัวอักษรที่ย่อมต้องผ่านการ “กลั่นกรอง” มาแล้วก็ตามทีเถอะ) แล้วก็รู้สึกจริงๆ จังๆ ว่าเจ้าตัว “โต” ขึ้นน่ะค่ะ จากการที่เคยเห็นเด็กเฮี้ยวๆ ช่างพูดช่างคุย โดยไม่ได้คิดอะไรมาก แบบคิดยังไงพูดอย่างนั้น แถมชอบหยอดมุขตลอดเวลา ก็กลายเป็นคนที่สุขุมรอบคอบ คิดมากขึ้น ใคร่ครวญเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านตา ที่พบเจอมากขึ้น และสื่อสารได้โดยพยายามที่จะเรียบง่ายมากขึ้น


อืมม์...น่าสนใจสำหรับทิศทางที่จะเป็นต่อไป สำหรับหนังสือเล่มหน้าของเจ้าตัวค่ะ



Note : สำหรับคนอ่านอย่างเรา ฮ่าร์บิ๊น น่าสนใจมานานแล้วค่ะ แต่ข้อความเพียงสั้นๆ ในหนังสือ กลับยิ่งทำให้เราอยากไป “ธิเบต” แฮะ








สรุปแล้ว เมื่ออ่านนิ้วกลมครบทั้ง 6 เล่มแล้ว (เหลือเพลงรักประกอบชีวิต ซึ่งจะได้มาจากแมวพันปีทีหลัง) ก็ทำให้รู้สึกว่า นิ้วกลมอาจจะไม่ต้องเขียนนิยายก็ได้ค่ะ เขียนไปเถอะในสิ่งที่ตัวเองเขียนแล้วมีความสุขน่ะ เขียนในสิ่งที่ตัวเองถนัด

ถ้านิ้วกลมเคยดูหนังเรื่อง แสบสนิท...ศิษย์ส่ายหน้า แล้ว ก็อยากให้รู้ว่า สำหรับบางคนถ้าทำก๋วยเตี๋ยวได้อร่อยแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องไปหัดมวยให้เก่งหรอกค่ะ ทำก๋วยเตี๋ยวอย่างเดียวแล้วก็พยายามทำให้อร่อยมากยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ ก็เพียงพอแล้ว...จริงๆ นะคะ



แต่ถ้าอยากเพิ่มศักยภาพตัวเอง...ก็ไม่ว่าอะไรกันค่ะ ยังไงก็จะยังสนับสนุนไปเรื่อยๆ เน้อ












ขอบคุณทุกท่านสำหรับการแวะมาอ่านค่ะ


193905/3342/258




 

Create Date : 22 พฤษภาคม 2551    
Last Update : 22 พฤษภาคม 2551 8:27:57 น.
Counter : 3008 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  

สาวไกด์ใจซื่อ
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 203 คน [?]




ชอบอ่านหนังสือและดูหนังค่ะ ตอนนี้ทำงานด้านการท่องเที่ยวอยู่ นิสัยดีบ้างร้ายบ้าง แล้วแต่สภาวการณ์และคนที่เจอ


เนื้อหาและรูปภาพทั้งหมดในบล็อกสงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย ไม่อนุญาตให้นำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของบล็อก


ติดต่อเจ้าของบล็อกได้ที่ theworpor@yahoo.com
หรือ
https://www.facebook.com/saoguide






Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add สาวไกด์ใจซื่อ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.