* + * + * + * + * ฮานามารุ อนุบาลเด็กดีนะจะบอกให้ - โอเอซิสกลางทะเลทราย * + * + * + * + *











(ขออภัย หาปกขนาดเท่ากันไม่ได้ง่ะค่ะ )

ฮานามารุ อนุบาลเด็กดีนะจะบอกให้ เล่ม 1-3
ผู้เขียน Yuto
สำนักพิมพ์ Siam Inter Comics
ราคาปก เล่มละ 45 บาท



การ์ตูนเรื่องนี้จขบ.เคยอ่านแค่บางตอน แต่จำไม่ได้แล้วค่ะว่าอ่านจากไหน แล้วก็ดูเหมือนว่าจะไปอ่านรีวิวเจอจากบล็อกไหนหรือเว็บไหนสักที่แล้วก็จดไว้ว่าต้องซื้อ พอไปเจอที่ร้านหนังสือแห่งหนึ่งจัดชุดขายสามเล่มก็เลยเหมามาค่ะ แต่พออ่านจบแล้ว ท่าทางคงต้องไปตามเล่มต่อจากนี้มาอ่านด้วย (ตอนนี้จขบ.มีลิสต์การ์ตูนต้องซื้อยาวเหยียดเลยค่ะ ทั้งทเวนตี้เซนจูรี่ ทั้งพลูโต ฯลฯ จะมีตังค์เหลือซื้อหนังสือสักกี่มากน้อยฟระนี่ งานหนังสือตุลาปีนี้ แงๆ)


อ่านจบแค่สามเล่ม แต่ไม่รู้ทำไมค่ะ เจ้าของบล็อกน้ำตาไหลหลายรอบมาก (หรือจะเป็นอาการอารมณ์อ่อนไหวในช่วงสภาพร่างกายของผู้หญิงไม่ปกติก็ได้มั้ง) คือ..มันเป็นการ์ตูนที่มีความตลก น่ารัก ขณะเดียวกันก็มีเรื่องราวละเอียดอ่อนบางอย่างที่ทำเอาน้ำตาไหลได้นะคะ


อ่านแล้วคิดถึงเด็กๆ G.1 ที่เคยสอนเลยค่ะ คิดถึงเด็กๆ จังน่อ








คือ..คนเขียนเขียนตัวละครแต่ละตัวออกมาได้น่ารักและมีความเป็นเอกลักษณ์ในตัวแต่ละคนได้เป็นอย่างดีค่ะ ไม่ว่าจะเป็นสามสาวอนุบาล ฮีจังหรือฮิอิรางิจัง (ผู้ที่จขบ.รู้สึกว่ามีส่วนคล้ายตัวเองม้าก มาก) โคอุเมะจัง หรือกระทั่งสาวน้อยตัวเอกผู้หลงรักครูซึจจัง (หรือซึจิดะ) อย่างอันซุจัง ก็เรียกว่า..หมั่นไส้ในความแก่แดดได้ไม่ลงกันเลยทีเดียว


คือ..มันเป็นการ์ตูนที่เต็มไปด้วย "คนดีๆ" ไม่ว่าจะเป็นเด็กอนุบาล (ที่บางคนเกเรจนน่าเตะ แต่ท้ายที่สุดแล้วคนเขียนก็ทำให้เห็นในความเป็น "เด็กดี" ของเขา) ครูดีๆ ทั้งหลาย (ที่มีวิธี "จัดการ" กับเด็ก จนหลายๆ อย่างน่าจะทำให้ครูของเด็กน้อยหลายคนนำเอาไปใช้ได้) ผู้ใหญ่ในเรื่อง ฯลฯ คือ..อ่านแล้วก็รู้ว่า ในโลกของความเป็นจริงมันไม่ได้สวยงามขนาดนั้นหรอก แต่ว่า...อ่านแล้วมันอดชุ่มชื่นหัวใจไม่ได้น่ะค่ะ



ถึงเขียนไว้ที่หัวบล็อกว่า การ์ตูนเรื่องนี้มันเป็น "โอเอซิส" กลางทะเลทรายจริงๆ





คือ..พออ่านแล้วรู้สึกว่าโลกนี้ยังมีความงดงามบางอย่างอยู่ (ถึงจะเป็นโลกในการ์ตูนก็เถอะ) ความซื่อบริสุทธิ์ของเด็ก (ที่จะให้ร้ายอย่างไร ก็ร้ายในแบบเด็กหนะแหละนะ) ความน่ารักของคนดีๆ มุขตลกเล็กๆ น้อยๆ ที่สอดแทรกทำให้อมยิ้มได้เป็นระยะ อ่านแล้วมันทำให้อารมณ์ดีและทำให้จิตใจสดชื่นน่ะค่ะ



อ่านแล้วเหมือนได้กินน้ำหวานเย็นชื่นใจในวันอากาศร้อนแล้งจริงๆ นะคะ









อ่านแล้วนอกจากคิดถึงเด็กๆ ที่เคยได้สอน บางเรื่องราวในการ์ตูนนี้ก็ทำให้คิดถึงบางเรื่องราวของตนเองด้วยค่ะ อย่างกรณีที่ครูสาวไม่ได้รู้ตัวเลยว่าซึจจังของเราชอบหรือแม้กระทั่งเรื่องน้องสาวกับนักเขียนการ์ตูนคนนั้น (ขณะที่ตัวพี่สาวรู้ว่าพ่อนักเขียนการ์ตูนนั่นก็ชอบน้องสาวตัวเอง ส่วนน้องสาวก็รู้ว่าซึจจังชอบพี่สาวตัวเอง แต่เจ้าตัวแต่ละคนกลับไม่รู้ตัวเลย - ประมาณผงเข้าตาตัวเองน่ะค่ะ) ครือ...เมื่อก่อนเราเป็นคนหนึ่งเลยที่ไม่เชื่อในเรื่องที่ว่า คนมาชอบตัวเองแต่ไม่รู้ตัวเนี่ย มันจะเป็นไปได้ไงฟระ ถ้าเราจับสังเกตซะหน่อย


แต่ว่า..คือ..ตัวเองก็เพิ่งมารู้ว่ามันเป็นไปได้จริงๆ ก็ตอนที่มีงานที่ทำให้ชุมนุมเพื่อนม.ปลายครั้งหนึ่ง แล้วมีคนถามๆ กันประมาณว่า ตอนมอปลายใครเคยชอบเราบ้าง แล้วมีเพื่อนสองคนยกมือ ซึ่ง...เอ่อ..เรางงจริงๆ ค่ะ เพราะสองคนนี้จีบเพื่อนเราทั้งคู่ แล้วมันจะชอบเราได้ไง แต่เราก็ไม่ได้ถามนะ เพราะตอนนั้นอึ้งอยู่

ก็เลยคิดว่า..เออ..บางทีมันไม่รู้จริงๆ แฮะ คือ..เราเห็นว่าเค้าจีบเพื่อนเราไง เราก็ไม่รู้หรอกว่า ไอ้ที่เพื่อนสองคนนี้เทียวมาบ้านเราบ่อยๆ มาคุยบ่อยๆ (แถมคนหนึ่งยังเคยพารุ่นน้องที่เราแอบชอบมาหาเราที่บ้านอีกต่างหาก ) มันจะหมายถึงว่าจริงๆ แล้วเค้า "คิด" อะไรกับเรานะ (แต่แม่เราบอกว่าแม่เราดูออกง่ะ เง่อ..)



แต่..ยังไงเราก็ไม่เข้าใจผู้ชายอยู่ดีอ้ะ ถ้าชอบแล้วทำไมจีบเพื่อนตรูฟระ? (หรือเป็นเพราะตอนนั้นเรามีแฟนอยู่แล้ว ) คือ..งงกับวิธีคิดแบบผู้ชายอย่างนี้อะค่ะ ใครช่วยอธิบายหน่อยจิ



แล้วที่ไม่สงสัยเลยเนี่ย เพราะแต่ไหนแต่ไรมา เราอยู่ในกลุ่มที่เพื่อนหน้าตาดีกว่าเราทุกคนตลอด เพราะงั้นเพื่อนคนอื่นๆ ก็จะเป็นที่ฮอทฮิต เนื้อหอมในหมู่เพื่อนๆ (ขณะที่เราเอาแต่เรียนกับทำกิจกรรม) เพราะงั้น..ไอ้เรื่องที่หนุ่มๆ จะมาจีบเรานี่ เราไม่เคยคิดน่ะนะ (แฟนมอปลายนี่ ข้าพเจ้าก็เป็นคนไปจีบ เอ่อ..ห้าวจริงๆ ตรูในสมัยนั้น ) ก็เลยทำให้ไม่ได้คิดอะไรหนะ




อ่า..พร่ำไปเรื่องตัวเองโน่น กลับมาที่การ์ตูนดีกว่าค่ะ









ด้วยความที่อ่านถึงแค่เล่มสาม ก็เลยทำให้ตัวเองมีข้อที่ยังคงสงสัยหลายเรื่องทีเดียวค่ะ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือของซึจจัง (ที่มีการเขียนร่มแบบญี่ปุ่นที่ใส่ชื่อคนที่ชอบน่ะค่ะอยู่ในหนังสือ) ซึ่งเห็นชื่อว่าเป็นชื่อซากุระ (แม่ของอันซุจัง) กับความรู้สึกอวลๆ บางอย่าง ที่ทำให้สงสัยว่า ซึจจังน่าจะเคยแอบชอบซากุระหละค่ะ

แล้วก็ทำให้สงสัยว่า..ท้ายที่สุดแล้ว แม่หนู จะโตพอที่จะขึ้นมาเป็นคู่ของซึจจังของเราหรือเปล่าน้า (เพราะเหมือนเป็นการเติมเต็มในส่วนที่เคยผิดหวังของซึจจังน่ะค่ะ) แต่..เอิ่ม..มันโคแก่กินหญ้าอ่อนสุดๆ นะนั่น





โดยตัวเรื่องราวแล้ว มันไม่ค่อยจะมีอะไรนอกจากการที่เด็กอนุบาลคนหนึ่งหลงรักครูประจำห้องตัวเอง และพยายามที่จะ "แก่แดด" เพื่อจะจับจองครูให้เป็นเจ้าบ่าวในอนาคตของตัวเองให้ได้ โดยมีเพื่อนสองคน (ที่คนหนึ่งก็แสนจะเปี่ยมไปด้วยความรู้และชอบแต่งตัวคอสเพลย์ต่างๆ อย่างฮีจัง (ที่ชุดน่ารักทุกชุด โคตรชอบ อย่างชุดว่ายน้ำที่ทำเป็นตัวกัปปะเงี้ย สุดยอดดดดดด) และอีกคนก็แสนจะขี้กลัว เป็นเด็ก เด๊ก เด็กอย่างโคอุเมะ) คอยช่วยเหลือในด้านต่างๆ แต่บอกไม่ถูกค่ะ มันเป็นการ์ตูนที่น่ารัก อ่านแล้วอมยิ้ม อารมณ์ดี และทำให้โลกมัวๆ ใบนี้สดใสขึ้นได้บ้าง


แต่ขณะเดียวกัน ก็มีเรื่องราวอะไรหลายๆ อย่างที่...น่าจะให้เด็กอ่าน (หรืออ่านให้เด็กฟัง) แต่ขณะเดียวกันก็สามารถสอนบางความคิดเขาไปด้วยได้ อย่างการเสียสละบางสิ่งให้กับเพื่อน (อย่างตอนแพนด้าเหมียว - ที่น่ารักโคตร อยากได้อ้ะ กี๊ซซซซซซซ ) การเปลี่ยนแปลงบางเรื่อง เพื่อให้ทุกคนมีความสุขที่ได้แสดงร่วมกัน (อย่างตอนงานแสดงของโรงเรียนกับแอนนิมอลเรนเจอร์) - ซึ่งในโลกของความเป็นจริง ครูบางคนอาจเลือกที่จะลงโทษเจ้าเด็กที่พอไม่ได้เป็นตัวเอกแล้วก็เที่ยวไปแกล้งคนอื่นๆ ก็เป็นได้ แต่การ์ตูนเรื่องนี้กลับหาทางออกอีกทางที่สวยงามและน่ารักมาก ฯลฯ






คือ..ถึงแม้ว่า การ์ตูนเรื่องนี้อาจจะดูใส และมองโลกในแง่ดี๊ดี แต่สาระหลายๆ อย่างก็ดีเลยแหละค่ะ รวมทั้งความละเอียดอ่อน การถ่ายทอดอะไรบางอย่างที่ค่อนข้างถูกจริตและกระทบใจเราด้วย ก็เลยทำให้ชอบการ์ตูนเรื่องนี้ม้าก..มากหละค่ะ






สรุปแล้ว ถ้าใครอ่านๆ รีวิวข้างบนแล้วคิดว่า ชอบอ่านการ์ตูนแนวนี้ก็ขอเชียร์ให้อ่านเรื่องนี้กันนะคะ















ขอบคุณทุกท่านที่แวะมาค่ะ

687684/4910/470











 

Create Date : 21 กรกฎาคม 2553    
Last Update : 21 กรกฎาคม 2553 8:32:55 น.
Counter : 2525 Pageviews.  

* + * + * + * + * มาตานุสติ - แดนอรัญ แสงทอง เข้มข้น ขื่นขม เขย่าขวัญ * + * + * + * + *







มาตานุสติ
ผู้เขียน แดนอรัญ แสงทอง
สำนักพิมพ์ แมวคราว
จำนวนหน้า 219 หน้า
ราคา 190 บาท



รายงานสภาพทางภูมิศาสตร์ของอเวจีขุมต่างๆ แห่งโลกยุคใหม่
และสภาพทางจิตใจโดยสังเขปของผู้ที่อยู่ในขุมอเวจีเหล่านั้น







เล่มนี้เป็นหนึ่งในหนังสือที่เราขนซื้อมาจากคิโนคุนิยะหลังจากหาซื้อหนังสือของคุณแดนอรัญ แสงทองได้ยากมากมาย เหอๆ

ต้องบอกก่อนว่า เราเคยอ่านงานของคุณแดนอรัญมาแค่เล่มเดียวก่อนหน้านี้ นั่นก็คือ “เงาสีขาว” อันลือลั่น ตั้งแต่เมื่อสมัยยังเรียนปริญญาตรีอยู่ (อย่าถามว่ากี่ปีมาแล้วนะคะ โกรธ )


หนังสือที่มีย่อหน้าเพียงย่อหน้าเดียวตลอดทั้งกี่ร้อยหน้าหว่าราวๆ 300 หน้าขึ้นไปน่ะค่ะ ซึ่ง..ข้าพเจ้าอ่านด้วยความติดพันมาก (ขณะที่เพื่อนที่เป็นหนอนอีกคน ไม่สามารถอ่านจบ) แต่การอ่านด้วยความติดพันนั้น ไม่ได้บอกว่าชอบทุกสิ่งที่เขาคิด แต่ว่า..บอกไม่ถูก เหมือนเราได้เข้าไปอยู่ในหัว ในตัวใครสักคน (ราวกับ Being John Malkovich ยังไงยังงั้น หุๆ) ได้เห็นความคิด ความรู้สึกในด้านมืดของเขาอย่างเต็มตัวน่ะค่ะ



แต่ก็หายไปจากการอ่านงานเขาไปเลย (ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาออกหนังสือมาอีก) จนจำไม่ได้แล้วว่า ไปอ่านบล็อกไหนเข้าถึงได้รู้ว่าเขามีงานเขียนอื่นๆ ออกมาด้วย แล้วก็ไปเจอที่คิโนฯ ก็เลยซื้อทุกเล่มที่มีตอนนั้น (รู้สึกว่าจะมี 2 หรือ 3 เล่ม)



และเล่มนี้ก็เป็นหนึ่งในนั้นค่ะ (อารัมภบทซะยาวเชียวเจ๊ )








เล่มนี้ก็ยังคงทำให้ข้าพเจ้าตกลงสู่การอ่านแบบ..ต่อเนื่อง (ซึ่งขอบอกว่า..ไม่น่าจะใช่สำหรับทุกคนนะคะ เพราะค่อนข้าง “ดาร์ก” พอสมควร)

คือ..เรา ไม่รู้ว่ามันเป็นทักษะ กลวิธี หรือเป็นแค่ความถูกจริตในการเขียนแบบนี้ (หรือ..อาจจะเป็นเพราะ คนเขียนเป็นคนเพชรบุรี ซึ่งอาจมีวิธีการสื่อสารบางอย่าง (ที่เรายังวิเคราะห์ไม่ได้ว่า ไอ้วิธีการสื่อสารบางอย่างนั้นมันคืออะไรน่ะนะ) ที่ทำให้สื่อได้ตรงจริตกับตัวเราเอง) หรือว่า...จะเป็นเพราะฉากต่างๆ ในนิยายเรื่องนี้ที่ทำให้เราอินได้มากขนาดนี้ก็ไม่รู้



แต่อ่านงานเขียนของคนเกิดเพชรบุรีสองคนแล้วค่ะที่อ่านแล้วรู้สึกว่ากระทบตัวเองมากกว่านักเขียนคนอื่นในแนวเดียวกัน (อีกคนก็คุณชัชรินทร์ ไชยวัฒน์ที่รีวิวหนังสือเขาไปแล้วเช่นกันน่ะนะคะ แต่เป็นการรีวิวลงกระทู้ ไม่ได้รีวิวลงบล็อก แหะๆ)


คืองานเขียนของเขา ทำให้เราค่อนข้างอ่านงานเขาแล้วรู้สึกว่า..มันอยากอ่านต่อไปเรื่อยๆ น่ะนะคะ





หนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องราวของแม่ลูกคู่หนึ่งที่เพิ่งจะย้ายเข้าสู่บ้านใหม่ และในคืนนั้นเองก็เกิดเสียงประหลาดที่ชั้นล่าง ที่ทำให้แม่ของเธอเดินลงไปข้างล่างเพียงลำพังและปล่อยให้เธอนึกคาดเดาไปว่า สิ่งที่ทำเสียงให้เกิดขึ้นกลางดึกนั้นเป็นใคร?


หากอ่านแค่ย่อหน้าข้างบนนี้ อาจจะรู้สึกว่า..เรื่องไม่น่ามีอะไรใช่มั้ยคะ แต่...ให้ตายเหอะ การเล่าเรื่องอื่นๆ ที่ประกอบในเรื่อง (ซึ่งคนเขียนเขียนโดยใช้ วิธีการของการนึกถึงอดีตของตัวลูกน่ะนะคะ) มัน “น่าสนใจ” “สยอง” และ “ชวนติดตาม” ให้อ่านได้ทุกเรื่องจริงๆ ค่ะ




ขอเล่าเรื่องหนึ่งแล้วกัน นะคะ หุๆ



เป็นเรื่องของฆาตกรที่คนเขียนใช้คำว่า ศาสตราจารย์และผู้ช่วยทางด้านฆาตกรรมที่ไปฆ่าผู้ชายคนหนึ่งโดยใช้วิธี การให้เหยียบบนบ่าลูกชาย โดยตัวพ่อนั้นถูกแขวนคอ (นั่นหมายความว่า ลูกหมดแรงเมื่อไหร่ ก็ทำให้พ่อตายเมื่อนั้น) และลูกก็สู้อุตส่าห์ทน ไม่ว่าจะโดนพูดเยาะเย้ย กลั่นแกล้งอย่างไร แต่ท้ายที่สุด เรื่องมันก็จบอย่างที่มันต้องจบ


หากแต่เรื่องราวหลังจากนั้นก็เข้มข้น โหดได้ไม่น้อยไปกว่ากัน




คือ..เรียกว่าเหมือนเอาเรื่องสั้น อันเข้มข้นหลายๆ เรื่องมาเรียงร้อยเป็นนวนิยายและก็เอามาต่อกันได้อย่าง น่าสนใจและน่าติดตาม รวมทั้งมีเหตุมีผลว่าเรื่องเหล่านี้มาอยู่ในนิยายเล่มนี้ได้อย่างไรด้วย



แต่ก็คิดว่า..นิยายเรื่องนี้ก็ไม่ได้เหมาะกับคนอ่านทุกประเภทหรอกค่ะ ต้องเป็นคนที่ชอบอ่านนิยายแบบที่เขาเรียกๆ กันว่า “วรรณกรรม” น่ะนะ ด้วยค่ะ





ที่รู้สึกแปลกใจอีกอย่างคือ มีการใช้ภาษาที่ประหลาดค่อนข้างเยอะ (ที่แม้เราจะเป็นคนเพชรบุรีเหมือนกันก็ยังงง)



ไม่ว่าจะเป็นในหน้า 30

แม่ เป็นผู้หญิงแกว่นกล้า – ความหมายเดียวกับแกร่งกล้ามั้งนะคะ

หน้า 89 การช่วงชิงความเป็นเต้ย – ซึ่งน่าจะหมายถึงความเป็นใหญ่

แต่กลับพลิก ผันไปเสียอีกทางหนึ่งอย่างขันเข – อันนี้ไม่เคยได้ยินง่ะค่ะ




อย่างไรก็ตาม การจบของเรื่องนี้เล่นเอาน้ำตาเราไหลร่วงเลยแหละค่ะ

มันเป็นความสยดสยอง โหดร้ายที่สร้างความสะเทือนใจได้อย่างรุนแรง







เอาเป็นว่าถ้าใครชอบอ่านแนวนี้ เราคิดว่าเป็นนิยายไทยที่น่าอ่านอีกหนึ่งเล่มนะคะ (แม้จะมีการเสียดสีถึงนิยายที่เราชอบมากๆ เรื่องหนึ่งซึ่งเราก็ไม่ได้เห็นด้วยนัก แต่เอาเถอะค่ะ..ก็พอจะมองข้ามไปได้น่ะนะคะ)








ปิดท้ายด้วยข้อความจากในหนังสือแล้วกันนะคะ






...คนชั่วก็ปะปนอยู่กับคนดี มีศักดิ์และสิทธิ์ที่จะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้เช่นเดียวกับคนดี คนชั่วนั้นแท้จริงแล้วเขาเข้าใจว่าเขาเองก็เป็นคนดีในแบบของเขา...










ป.ล.ที่ แปลกๆ ในหนังสือเล่มนี้คือในหน้า 156 มีพูดถึงการตัดสินคดี ที่บอกว่ามี คณะลูกขุน – ซึ่ง..ไทยไม่ได้ใช้ระบบลูกขุนไม่ใช่ฤา?

ป.ล.2 กับบทสรุปของการจบแบบนี้ สำหรับเรา..มันเป็นเรื่องของเวรกรรมนะคะเพราะแม้ว่าตัวแม่จะรักลูกมากขนาดไหน หากแต่การกระทำต่อเจ้าหมีกับน้าโสเภณีคนนั้น มันโหดร้ายเกินไปค่ะ จริงๆ



















ขอบคุณทุกท่านที่แวะมาอ่านค่ะ

684427/4899/467





 

Create Date : 14 กรกฎาคม 2553    
Last Update : 14 กรกฎาคม 2553 8:35:12 น.
Counter : 3526 Pageviews.  

* + * + * + * + * รามายณะ - มหากาพย์ที่ยิ่งใหญ่ของอินเดีย * + * + * + * + *




หนังสือที่จะมารีวิววันนี้ก็เป็นอีกเล่มที่อ่านในโครงการ HHR นะคะ สำหรับโจทย์อ่านสามเล่มให้ผูกธีมเอาเอง ซึ่งเราเลือกอ่านธีมอินเดีย-เทพเจ้า คือ รามายณะ ความตายของวิษณุ และเทพเจ้าแห่งสิ่งเล็กๆ แต่เลือกมารีวิวลงบล็อกแค่เล่มเดียวคือรามายณะค่ะ







รามายณะ
ผู้เขียน ราเมศ เมนอน
ผู้แปล วรวดี วงศ์สง่า
สำนักพิมพ์ เมืองโบราณ
จำนวนหน้า 854 หน้า
ราคา 450 บาท




ขอบอกว่า แม้หนังสือจะหนา แต่ถ้าใครชอบและกระหายเรื่องแนวนี้อยู่แล้ว จะอ่านได้อย่างเพลิดเพลินมากมายเลยแหละค่ะ แล้วก็เป็นหนังสือที่การจดชอร์ตโน้ตของเรายาว+เยอะมากๆ หมดไปหลายหน้าเลย แหะๆ

ก่อนอื่นขอสารภาพก่อนว่า เพิ่งรู้ว่ารามายณะกับรามเกียรติ์เป็นคนละเรื่องกัน (คือมีส่วนคล้ายกัน แต่ก็มีส่วนต่างกันด้วยค่ะ ที่ต่างก็ต่างกันเยอะเหมือนกัน)เพราะตอนที่อ่านถึงทศกัณฐ์เสียชีวิตแล้ว เราก็งงเลยว่า เอ..แล้วที่บอกหนุมานไปเอากล่องดวงใจนี่ ทำไมไม่มีในเล่มนี้หว่า แต่พออ่านคำนำคนแปลแล้วก็เลยถึงบางอ้อ แหะๆ


คนแปล แปลเรื่องนี้ด้วยสำนวนแนวกำลังภายในเลยค่ะซึ่งก็มีสาเหตุที่เลือกการใช้สำนวนกำลังภายในน่ะนะคะ แต่ตอนที่ยังไม่ได้อ่านคำนำ ก็รู้สึกแปลกๆ นิดหน่อย (เหมือนกินอาหารอินเดียที่มีกลิ่นอาหารจีนด้วยน่ะนะ) พออ่านคำนำของคนแปลแล้วก็..พอทำความเข้าใจได้ค่ะ แล้วตอนอ่านเนื้อเรื่อง พออ่านๆ ไปก็เริ่มชินค่ะ

มีหลายๆ เรื่องที่เป็นเรื่องเล่าที่อ่านแล้วก็เป็นความรู้เพิ่มเติม และเติมเต็มในสิ่งที่เคยแต่ “ฟังเค้าเล่ามา” อย่างเช่นการที่พระอินทร์ไปผิดเมียผู้อื่นจนโดนสาปให้มีโยนีทั่วร่าง แต่ภายหลังก็ได้กลายเป็นพันตาแทน หน้ากลางของทศกัณฐ์แท้ที่จริงแล้วหล่อมากๆ แถมยังบึกบึนและเีชี่ยวชาญเรื่องบนเตียงอีกต่างหาก (อ๊างงงงงง) เรียกได้ว่าคุณสมบัติสุดยอด แต่เป็นพวกเก่งแต่เลวฮ่ะ เลยกลายเป็นตัวโกงไปน่ะนะ หรืออย่างอินทรชิต กุมภกรรณ ซึ่งเป็นยักษ์ที่เก่งมากๆ เลยค่ะ แถมกุมภกรรณ ก็ไม่ได้เห็นด้วยกับการกระทำของพี่ชาย (ซึ่งพิเภกก็พยายามบอกแล้วก่อนหน้านี้) ทว่าก็ยังยอมที่จะทำให้เพียงเพราะความเป็นพี่น้อง ฯลฯ

แต่ที่แปลกก็คือ หลายๆ อย่างกลายเป็นข้อมูลไม่ตรงกัน ทั้งที่เป็นเรื่องเดียวกัน แต่กลับกลายเป็นถูกเปลี่ยนไป เมื่อเปลี่ยนเล่มในการเล่า (ที่แปลกมากคือในเล่ม 7 น่ะค่ะ หลายๆ อย่างนี่คนละเรื่องกับที่เล่ามาในเล่มก่อนหน้า ก็เลยคิดว่า..เล่มเจ็ดนี่น่าจะไม่ใช่คนแต่งคนเดียวกันนะคะ)

เรื่องก็เล่าตั้งแต่กำเนิดพระราม พระลักษมณ์ (ที่เพิ่งรู้ว่ามีฝาแฝดด้วยวุ้ย) กำเนิดสีดา การพบกัน สีดาโดนลักพา การทำศึกจนกระทั่งเสร็จสิ้น แต่มีรายละเอียดในแต่ละส่วน แต่ละเรื่องแบบยิบย่อย จนทำให้หนังสือหนากว่าแปดร้อยหน้านี่แหละค่ะ หุๆ


แต่อ่านแล้วจะรู้สึกว่า พระรามนี่เวลาดีก็ดีใจหาย เวลาร้ายก็ร้ายน่ากลัว หรืออย่างสีดา ที่บางทีก็ใจเด๊ด เด็ด อย่างตอนตัดสินใจเรื่องไม่ยอมอยู่วัง แต่จะออกป่าไปกับพระรามด้วย แต่เวลาชีงี่เง่าก็งี่เง่าได้ใจ อย่างตอนคิดว่า พระลักษมณ์ไม่ยอมออกไปช่วยพระราม (โดยพระลักษมณ์บอกว่า น่าจะเป็นเสียงลวง อีกอย่างพระรามสั่งไว้ไม่ให้คลาดสายตาจากชี) แต่ชีกลับคิดว่า เพราะพระลักษมณ์อยากครอบครองชี ถึงอยากให้พระรามตาย (แม่อีนางเอ๊ยยยยย หลงตัวเองได้อี๊กกกกก ) อีกอย่าง...เรารู้สึกว่า ตัวละครในเรื่องนี้ฟูมฟายมากมายเกินไปในบางเรื่องด้วยค่ะ แหะๆ


แต่โดยรวมแล้วอ่านสนุก ติดพัน ใช้ได้เลยแหละค่ะ ว่าแล้วก็จะหารามเกียรติ์มาอ่านเพิ่มเติมอีกทีด้วยค่ะ (แต่..เราค่อนข้างขัดใจกับการสร้างตัวละครอย่างพิเภกนะคะ เรารู้ว่า ธรรมะและความดีเป็นเรื่องถูกต้อง แต่การหักหลังพี่น้อง และมีส่วนต่อการตายของเขา สำหรับเรา...เราว่ามันโหดร้ายไปหน่อยน่ะ)







ส่วนเรื่องคำผิดก็มีเป็นระยะนิดหน่อยค่ะ เมื่อเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์ของหนังสือแล้ว ก็ถือว่าน้อยเอามากๆ เลย ต้องชื่นชมคนตรวจนะคะ ส่วนคำผิดที่เราเจอก็มีดังนี้ (เผื่อพิมพ์ใหม่จะได้แก้ไขนะคะ)

หน้า ๕๖ ' (ตัวปิด) หายค่ะ

หน้า ๔๖๕ พระยาม - พระรามค่ะ

หน้า ๗๖๒ เครื่องหมายคำพูดปิดหาย











ปิดท้ายด้วยประโยคที่เราชอบแล้วกัน





“...หัวใจมนุษย์นั้น มาตรว่ายึดมั่นในคุณธรรมแข็งแกร่ง ยังไม่พ้นคลอนแคลนต่อโชคลาภของผู้อื่นไม่ละเว้นแม้พี่น้อง หัวใจของมนุษย์คือม้าเร็ว ย่อมมิเคยหยุดนิ่ง วันนี้เป็นมิตร พรุ่งนี้เป็นศัตรู...”









“...มนุษย์สมควรรับชะตากรรมตนอย่างสงบ ไม่สมควรยึดติดต่อสิ่งใดไม่ว่า ลาภ ยศ วาสนาหรือหายนะ...”








“...วิถีแห่งธรรมจะทำลายศัตรูทั้งหมดโดยตัวของมันเอง...”








“เมื่อชะตากรรมมาถึง มนุษย์ยังมีสิ่งใดต้านทาน?...”








“เช่นนั้นแล้ว หากท่านถูกเนรเทศไปอยู่ป่า ไยข้ากลับต้องถูกทิ้งให้อยู่วัง? โปรดรับทราบ สีดาย่อมอยู่เคียงข้างท่านเสมอ ไม่ว่าเส้นทางที่ท่านเดินจะเป็นนรกหรือสวรรค์ ข้าเกรงว่ามิอาจปฏิบัติตามคำสั่งท่านในเรื่องนี้ ท่านพี่โปรดอภัย...”








“...ความทุกข์ใหญ่หลวงย่อมทำให้ดวงจิตอ่อนแอ...”








“...วีรกรรมอันยิ่งใหญ่ ล้วนต้องแลกด้วยความทุกข์โทมนัสมหันต์...”








“ธรรมะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ผู้ยึดถือมันได้อย่างแท้จริง ล้วนต้องตัดความปรารถนาส่วนตนอย่างเด็ดขาด








“...คนผู้หนึ่งไม่สมควรปล่อยตนให้ถูกความทุกข์ทำลายหัวใจ”








"มีเพียงกรรมเท่านั้นเป็นสิ่งตัดสินบุคคลผู้นั้นสมควรตายด้วยวิธีใด เมื่อชีวิตหนึ่งอุบัติขึ้นในครรภ์มารดา ความลับแห่งมรณะของมันในวันหน้าล้วนถูกกำหนดไว้แล้วในเวลาเดียวกัน มิมีผู้ใดสามารถต่อรองกับกรรมได้..."








"...เราทั้งหมดล้วนเปรียบเสมือนฟองใสล่องลอยไปตา่มแรงกรรม เมื่อถึงเวลา ฟองนั้นย่อมระเบิดและแตกดับ โลกใบนี้เป็นเพียงทางผ่านในช่วงเวลาสั้นๆ คล้ายความฝันที่รอให้ตื่นสู่ชีวิตนิรันดร์..."








'บุรุษผู้น่ารังเกียจที่สุด คือบุรุษผู้ลืมเลือนมิตรสหายหลังจากใช้สอยมันกระทำสิ่งที่ต้องการเสร็จสิ้น'








"...เนื่องเพราะบุคคลหนึ่ง ขอเพียงอยู่ฝ่ายธรรมะ จะอย่างไรย่้อมชนะอธรรม"








"...วิถีแห่งความสำเร็จในภารกิจทุกชนิดมีสามวิธี หนึ่งคือการประนีประนอม สองคือการให้ทาน สามคือการเจรจา มาตรว่าวิธีการแห่งสันติทั้งสามมิอาจบรรลุผลจึงสมควรใช้ทัณฑ์..."








"...อคติมิสามารถเปิดเผยสัจจะ..."








"...ผู้ทรงธรรมคือบุคคลประเสริฐสมบูรณ์!..."








"...ธรรมะของเราชัดเจนยิ่ง ผู้ใดเดือดร้อนมาหาเรา ผู้นั้นย่อมได้รับการช่วยเหลือ..."








"ราชาผู้ทรงทศพิธราชธรรมย่อมครองบัลลังก์เนิ่นนาน หากราชาผู้หันหลังให้ธรรมะย่อมสูญเสียบัลลังก์ในที่สุด ทั้งยังยากจะรักษาชีวิตตนไว้"








"...เนื่องเพราะความผิดพลาดใหญ่หลวงของนักรบ มิว่าเผ่าพันธุ์ใดในสามโลกำ คือการประเมินศัตรูต่ำต้อยเกินไป..."








"...คำสาปแห่งผู้บริสุทธิ์ย่อมเป็นวาจาสิทธิ์"








ความรักอาจทำให้สิ่งดีๆ ต้องสูญเสียไป








...แม้ธรรมะอาจเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำในคราแรก หากผู้ชนะัในที่สุดย่อมไม่มีวันเป็นฝ่ายอธรรมอย่างเด็ดขาด








"...องค์รามเป็นนักรบผู้เก่งกล้าเสียยิ่งกว่าตัวเจ้าและพ่อเจ้า พระองค์ยังหลีกเลี่ยงวิธีการรุนแรงเสมอมา เนื่องเพราะพระองค์ทราบวิธีการรุนแรงไม่ใช่วิถีแห่งธรรมะ..."








"วาจาอันห้าวหาญกับการกระทำอันห้าวหาญนั้นต่างกัน..."








"ชีวิตมนุษย์ทุกคนในโลกล้วนขึ้นอยู่กับฟ้าลิขิต ผู้ที่เข้มแข็งที่สุดจึงได้รับเลือกให้เล่นบทบาทที่ยากที่สุดบนเวทีละครชีวิต..."








"...ธรรมะข้อเดียวแห่งราชาคือความสุขของประชาชน..."้








"...ขอเพียงบุคคลผู้หนึ่งมีคุณธรรม บุคคลผู้นั้นย่อานับว่ามีครบทุกสิ่ง"








"...หากผู้สมบูรณ์สูงสุดไม่รักษาวาจา ธรรมะจะหายไปจากผืนโลก ความดีงามทุกประการจะสูญหายมลายสิ้น"








ความเชื่อและประเพณีอันเก่าแก่ที่สุดของอินเดีย กล่าวกันว่า ศัตรูที่ร้ายที่สุดของบุคคลหนึ่งในชาติก่อนมักมาเกิดเป็นบุตรของบุคคลนั้นในชาตินี้








...ควา่มรักอันเกินเหตุของบิดาที่มีต่อบุตรย่อมกลายเป็นคำสาปของผู้เป็นบิดาทั้งมวล...












อ้อๆ แต่การอ่านรามายณะ ทำให้เราได้คำตอบว่า ที่เราเคยเห็นที่วัดที่ภาคเหนือเป็นยักษ์สองตัว มีตัวหนึ่งหลับ ซึ่งน่าจะหมายความถึงกุมภกรรณค่ะ (เพราะโดนคำสาปให้หลับตลอดปี จะตื่นได้ทุกครึ่งปีเท่านั้น)














ขอบคุึณทุกท่านที่แวะมานะคะ

673021/4846/460




 

Create Date : 30 มิถุนายน 2553    
Last Update : 30 มิถุนายน 2553 8:16:32 น.
Counter : 10090 Pageviews.  

* + * + * + * + * กว่าจะเป็นแผนที่โลก (The Road to There) สนุกดีค่ะ * + * + * + * + *




ช่วงนี้สถานการณ์บ้านเมืองทำเอาเจ้าของบล็อกค่อนข้างจิตตกนะคะ อาจจะมีเว้นระยะอัพบล็อกบ้าง (จากที่ตั้งใจว่าจะัอัพจันทร์-พุธ-ศุกร์) แต่จะพยายามเอามาลงค่ะ เพราะทำเก็บไว้ในสต็อกอยู่แล้ว แต่อาจจะไม่ค่อยได้กลับไปตอบฉับไวนักนะคะ ให้สภาพจิตใจตัวเองโอเคกว่านี้ก่อนค่ะ







วันนี้มารีวิวหนังสืออีกหนึ่งเล่มที่ได้อ่านจากโครงการ HHR ค่ะ






กว่าจะเป็นแผนที่โลก (The Road to There)
เขียนโดย Val Ross
แปลโดย นฤมล ตัญญพงศ์ปรัชญ์
สำนักพิมพ์ นานมีบุ๊คส์พับลิเคชั่นส์
จำนวนหน้า 160 หน้า
ราคา 165 บาท


หนังสือ เล่มนี้ได้รางวัล Norma Fleck award non-fiction for children winner ค่ะ



หนังสือ เล่มนี้แบ่งออกเป็นบทๆ โดยแต่ละบทก็จะมีเรื่องราวเกี่ยวกับ “คนทำแผนที่” และ แผนที่ในรูปแบบต่างๆ ค่ะ ขอไล่ไปทีละบทแล้วกันนะคะ (จะพยายามไม่สปอยล์เนื้อหามากแล้วกันนะคะ)





1. ช่างทำแผนที่ลึกลับ - แผนที่วินแลนด์


กับการพิสูจน์ว่า แผนที่วินแลนด์เป็นแผนที่ปลอมหรือไม่ ทำไม ต้องมีการทำแผนที่ปลอม และทำไมถึงคิดว่า..แผนที่นี้เป็นแผนที่ปลอมค่ะ อ่านแล้วก็ได้ความรู้หลายอย่างดี เช่น วิธีการที่จะทำให้วัสดุบางอย่างดูเก่า เพื่อจะทำให้คนคิดว่ามันเป็นแผนที่ที่ทำมานานแล้ว ฯลฯ






2. เพื่อนสุดรักของนักทำแผนที่ – กษัตริย์โรเจอร์ที่ 2 และอัลอิดรีซี


กับการสร้างแผนที่ที่ทำด้วยเงิน และสูญหายไปในที่สุด ความแตกต่างทางความเชื่อ ทว่ากลับร่วมกันสร้างสรรค์งานที่ดีได้






3. ความสูญเสียของนักทำแผนที่ – เจิ้งเหอ


เรื่องราวของเด็กกำพร้า ที่ต้องกลายมาเป็นขันทีกลับกลายเป็นนักเดินเรือที่ยิ่งใหญ่ของจีน และได้ทำแผนที่ต่างๆ ไว้มากมายและกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิต ก็ยังคงอยู่บนเรือ





4. พี่น้องนักทำแผนที่ – เจ้าชายเฮนรีนักเดินเรือ






5. ความเชื่อของนักทำแผนที่ – เจอราร์ด เมอร์เคเตอร์


บทนี้จะเป็นเรื่องของ ศาสนาที่มีอิทธิพลต่อการทำแผนที่ด้วยค่ะ อ่านแล้วน่าสนใจดี




6. เกียรติภูมิของครอบครัวนักทำแผนที่ – ครอบครัวกัสซินี


มีเนื้อหาที่น่า สนใจเกี่ยวกับการวัดระยะทางเป็นเมตรการรับช่วงทำแผนที่ภายในตระกูล การใส่ร้ายและความโหดร้ายที่ทำให้การทำแผนที่หยุดอยู่เพียง 4 รุ่น




7. มือของนักทำแผนที่ – กัปตันเจมส์ คุก

เรื่องของเจมส์ คุก ที่เปิดเรื่องได้น่าสยดสยอง และสำหรับเรา – เป็นเรื่องราวที่ค่อนข้างสะเทือนใจ ในบทนี้มีเนื้อหาที่ทำให้เราเพิ่งรู้ ว่า ชนเผ่าเมารีกินเนื้อคนด้วยค่ะ (เชยจริงๆ ตรู)





8. จมูกของนักทำแผนที่ – อเล็กซานเดอร์ ฟอน ฮิมโบลต์

เป็นเรื่องของแผนที่ เฉพาะเรื่อง ที่ทำให้เราได้รู้จักกับเส้นไอโซไลน์ – เส้นที่เชื่อมจุดที่มีข้อมูลคล้ายกัน แล้วก็มีเรื่องของผู้ทำแผนที่อากาศ ด้วยค่ะ





9. สำนึกต่อแผ่นดินของนักทำแผนที่ – การสำรวจทำแผนที่ทวีปอเมริกาเหนือ


ในบทนี้มีเรื่องราวที่ยังคงสะท้อน เรื่องวิธีคิดต่อ “แผ่นดิน” ระหว่างชนชาวผิวขาว และคนท้องถิ่นอย่างอินเดียแดงค่ะ ซึ่งค่อนข้างน่าสนใจทำให้นึกถึงตอนอ่านเรื่องอาร์เธอร์จอมราชันย์ กับความคิดเรื่องของการเป็นเจ้าของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง นอกจากนั้นก็ยังทำให้เราได้รู้ว่า มันมีแผนที่อีกหลายแบบที่น่าสนใจ อย่างแผนที่นูนต่ำที่แกะสลักบนท่อนไม้ แทนที่จะใช้กระดาษ เป็นต้น





10. นักทำแผนที่ใต้ทะเล การทำแผนที่ความลึกของมหาสมุทร


ความลึกลับของแผนที่ใต้ผืนน้ำที่ได้รับ การสำรวจ และกับความเชื่อที่เคยเชื่อกันว่า ใต้ท้องทะเลลึกนั้น ปราศจากสิ่งมีชีวิตโดยสิ้นเชิง





11. การปลอมตัวของนักทำแผนที่ – แผนที่ลับ


ชอบย่อหน้าสรุปของบทนี้มาก (ขอยกมาเลยแล้วกันนะคะ)


เรื่องนี้จึงเป็นบทพิสูจน์ถึงความเชื่อมั่นอย่างไม่เสื่อมคลายในพลังอำนาจของ แผนที่ ซึ่งบางคนทุ่มเทอย่างเต็มที่ในการรักษาข้อมูลในแผนที่ไว้เป็นความ ลับ
แต่ขณะเดียวกันก็มีบางคนยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อเติมส่วนที่ว่างเปล่าของ แผนที่ให้เต็มสมบูรณ์





12. ธุรกิจของนักทำแผนที่ – ฟิลลิส เพียร์ซอลล์


แรงบันดาลใจที่ทำให้คนคนหนึ่งริเริ่มในการทำแผนที่ เพราะเจ้าตัวหลงทางและทำให้ผิดเวลานัด อ่านจบแล้วอยากได้แผนที่ลอนดอนเอทูซี (A to Z) เลยค่ะ (อ้อ..แต่ในหนังสือใช้เอทูแซดนะคะ) แต่หนทางของการเป็นเจ้าของธุรกิจการทำแผนที่ไม่ได้มีแต่ความสำเร็จอย่างเดียว ทว่าพ่อของเธอกลับทำให้เธอต้องเจ็บปวดครั้งแล้วครั้งเล่า

อ่านตอนนี้แล้วรู้สึกอยากเจอเจ้าตัวเป็นๆ สักครั้งเชียว ชอบการบริหารงาน การดูแลคนในบริษัทของเจ้าตัวด้วยค่ะ ชอบๆ





13. มุมมองของนักทำแผนที่ – การทำแผนที่จากเบื้องบน


เป็นการทำแผนที่ที่เรียก ได้ว่าไฮเทคที่สุดแล้วหละค่ะ มีภาพของการใช้ไฟแต่ละเมืองในทวีปทั่วโลก ที่เราหลายๆ คนคงเคยได้เห็นกันบ้างแล้ว แต่เราเคยสงสัยมาตลอดเลยว่า ทำไมในเมื่อแต่ละประเทศ มืดสว่างไม่พร้อมกัน แล้วทำไมสามารถถ่ายรูปตอน ที่ทุกประเทศเปิดไฟได้หว่า (หรือถ่ายตอนกลางคืนแต่ละประเทศแล้วเอามาซ้อน ภาพกัน?)






ตอบโจทย์ซักนิดหนึ่งแล้วกันนะคะ เนื่องจากข้อนี้ ตามโจทย์ให้บรรยายประวัติของตัวละครในประวัติศาสตร์แบบสังเขปด้วย ที่จริงในหนังสือเล่มนี้เราติดใจ เจิ้งเหอ เจมส์ คุก และ ฟิลลิส เพียร์ซอลล์ค่ะ แต่ขอหยิบเอาเจิ้งเหอมาเล่าแล้วกันนะคะ (ถ้าจะเอามาเล่าหมด ยาวกว่านี้คงไม่มีใครอ่านกระมัง)


เจิ้งเหอเป็น เด็กกำพร้าที่พ่อถูกฆ่าตายจากผู้ต่อต้านมองโกล ถูกตอนและกลายเป็นขันทีขององค์ชายจูตี้แห่งราชวงศ์หมิง(ก่อนหน้าราชวงศ์หมิงคือราชวงศ์หยวน ซึ่งเป็นมองโกลค่ะ)

และได้รับการตั้งฉายาจากองค์ชายว่า ซานเปา (แปลว่าไตรรัตน์ ที่จะกล่าวต่อไปนะคะ) ซึ่งต่อมาเจิ้งเหอได้รับมอบหมาย จากองค์ชายจูตี้ให้ตามหาองค์ชายจูหยุนเหวิน (ซึ่งองค์ชายจูตี้หวั่นเกรง ว่าจะมีการแย่งชิงบัลลังก์จากตนเอง) โดยเที่ยวแรกของการเดินทางเป็นฤดูใบไม้ร่วงปี 1405 ครั้งแต่มา 1407 ซึ่งในระหว่างการเดินทางนั้น เจิ้งเหอก็ได้หายารักษาโรคและวิธีรักษาจาก หมออาหรับ – ที่สมัยนั้นถือว่าเก่งที่สุดมาช่วยรักษาคนในเมืองจีนที่ประสบกับโรคร้ายด้วย นอกจากนั้นก็ได้นำยีราฟ อันเป็นสัตว์คนจีนตั้งให้ว่าเป็นกิเลนมาให้ เนื่องจากก่อนหน้านี้ตัวองค์ชายได้รับบรรณาการมาแล้วพอใจมาก

ต่อมาโอรสของจูตี้ ซึ่งในหนังสือไม่ได้บอกว่าเป็นใคร ก็สั่งให้หยุดเดินเรือ เพราะเห็นว่าสิ้นเปลือง ไร้ประโยชน์ (เป็นคนที่เราอยากหาข้อมูลเพิ่มค่ะ เพราะแม้หนังสือจะกล่าวถึงไม่กี่ประโยค แต่น่าสนใจมาก)


จากนั้นเมื่อ ถึงสมัยจักรพรรดจูจานจี้ ก็ทำการเดินเรืออีกครั้งและท้ายที่สุดเจิ้งเหอก็ตายตอนขากลับ เมื่อปี 1431 อายุ 62 ปีค่ะ



สิ่งที่น่าสนใจอย่าง หนึ่งก็คือ เรื่องของเจิ้งเหอมีความเกี่ยวพันกับวัดพนัญเชิงที่อยุธยา เพราะเคยมีพี่ไกด์บอกว่า คนจีนเชื่อกันว่า หลวงพ่อโตวัดพนัญเชิงเป็นการสร้างให้กับเจิ้งเหอ (หรือเป็นเจิ้งเหอเองนี่ เราก็ไม่แน่ใจนักนะคะ) เพราะชื่อเต็มๆ ของหลวงพ่อโตก็คือ พระพุทธไตรรัตนนายก ซึ่งไปพ้องกับฉายาที่ องค์ชายจูตี้ตั้งให้กับเจิ้งเหอว่า ซานเปา (ไตรรัตน์) ด้วยน่ะค่ะ ทำให้คนจีนเวลาไปอยุธยาก็จะต้องไปไหว้วัดนี้ทุกครั้งและนับถือเอามากมายเลยทีเดียว



สำหรับเล่มนี้ เท่าที่เราเจอข้อผิดพลาด มีหน้า 25 ที่เครื่องหมายอัศเจรีย์ (เครื่องหมายตกใจ) เกินมา มีอยู่จุดเดียวค่ะ นอกนั้นไม่เจอนะคะ

สรุปแล้ว หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือสารคดีที่อ่านสนุกค่ะ อ่านง่ายด้วย คิดว่าคงเพราะตั้งใจเขียนให้เด็กๆ อ่านด้วย (เลยได้รางวัลหนังสือสารคดีสำหรับเด็ก) แต่ผู้ใหญ่อย่างเราๆ ถ้าชอบประวัติศาสตร์ก็อ่านได้เพลินมากๆ นะคะ


จำไม่ได้ว่า ใครที่รีวิวหนังสือเล่มนี้ใน RRR หรือไงนี่แหละค่ะ เราถึงได้ สนใจ จดลงลิสต์และไปตามซื้อมาอ่าน แล้วก็ไม่ผิดหวังเลย



ขอบคุณนะคะ ที่แนะนำหนังสือให้ ชอบค่ะ
















ขอบคุณทุกท่านที่แวะมานะคะ

655385/4750/449





 

Create Date : 21 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 21 พฤษภาคม 2553 1:41:13 น.
Counter : 2435 Pageviews.  

* + * + * + * + * ประวัติศาสตร์โลกใน 6 แก้ว - เครื่องดื่มกับประวัติศาสตร์ * + * + * + * + *







ผู้เขียน TOM STANDAGE
ผู้แปล คุณากร วาณิช์วิรุฬห์
สำนัำกพิมพ์ มติชน
จำนวนหน้า 304 หน้า
ราคา 190 บาท







เนื้อเรื่อง



เมื่อประวัติศาสตร์โลกเกี่ยวพันกับเครื่องดื่มอย่างลึกซึ้ง และการคาดการณ์ว่าในอนาคตสงครามที่จะทำกันน่าจะมีสาเหตุมาจากเรื่องน้ำ (เข้ากับสถานกรณ์แม่น้ำโขงตอนนี้จริงๆ เหอๆ) กับการร้อยเรียงประวัติศาสตร์ในแต่ละยุคเข้ากับเครื่องดื่มอย่าง เบียร์ ไวน์ เหล้า กาแฟ ชา และโคคาโคลา

กับการเล่าเรื่องที่จะทำให้คุณดื่มด่ำไปกับเนื้อเรื่องที่เต็มไปด้วยสาระที่น่าตื่นใจ







ความรู้สึกที่ได้อ่าน


เป็นหนังสือที่มีสาระที่เีกี่ยวพันกับประวัติศาสตร์ที่อ่านได้สนุกและทำให้ได้ความรู้ทั้งในส่วนที่เกี่ยวข้องกับที่มาที่ไปของเครื่องดื่มแต่ละประเภท ความสำคัญของเครื่องดื่มต่างๆ อันเกี่ยวพันกับประวัติศาสตร์ที่หลายๆ เรื่องไม่เคยได้รู้มาก่อน ซึ่งเขียน+ร้อยเรียงได้ชวนอ่านและน่าติดตามมากๆ ค่ะ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่สนใจเรื่องราวประวัติศาสตร์ด้วยแล้ว คิดว่าน่าจะชอบเรื่องนี้ได้ไม่ยากเลยค่ะ เพราะนอกจากเรื่องราวทางประวัติศาสตร์แล้ว ก็ยังมีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย คนเขียนเขียนได้สนุก อ่านได้ลื่นไหลด้วยค่้ะ (อันนี้ต้องชมคนแปลด้วยส่วนหนึ่ง แม้จะมีหลุดๆ บ้างในส่วนของสำนวนแปล ประเภทมีกลิ่นนมเนยบางตอน สลับคำในประโยคแปลกๆ บางอัน คำเชื่อมแปลกๆ ในบางตอน แต่ก็ถือว่าโดยส่วนใหญ่แล้วอ่านได้ลื่นค่ะ)


สำหรับเราแล้ว หนังสือเล่มนี้มีหลายๆ เรื่องเลยค่ะที่เรา "เพิ่งรู้" ไม่ว่าจะเป็นการอวยพรว่าขนมปังและเบียร์ หมายถึงการอวยพรให้มีโชคดีและสุขภาพดี (ในสมัยก่อน) เมื่อก่อนต้องดูดเบียร์ผ่านหลอด (ซึ่งทำให้คิดถึงอุของทางอีสานอย่างไรไม่ทราบ) การดื่มไวน์ที่ต้องผสมน้ำสำหรับชนชาติกรีก ไม่ดื่มเพียวๆ เพราะไม่งั้นจะถือว่าป่าเถื่อนและไม่อารยะ (แต่ต้องเป็นการเติมน้ำในไวน์ ไม่ใช่เติมไวน์ลงในน้ำ) เพิ่งรู้ว่านครเมกกะเป็นต้นกำเนิดของกาแฟ ร้านกาแฟอันมีความสำคัญมากกว่าแค่ร้านกาแฟที่ลอนดอน ที่มีร้านกาแฟเฉพาะความสนใจ และสามารถให้ที่อยู่ของตนเองด้วยชื่อของร้านกาแฟได้ การกำเนิดของชา ร้านชา บริษัทชาที่เป็นที่มาของยี่ห้อชา Twining การกำเนิดของ "โซดา" อันนำไปสู่โคคาโคลา ชื่อที่มาของโคคาโคลา ที่เกิดจากใบโคคาและเมล็ดโคลา (ใช่ป่าวฟระ) ฯลฯ



มีที่ติดใจก็มีในหน้า 56 ที่พูดถึงตัวกาเซลล์ ซึ่งไม่รู้จักว่ามันคือตัวอะไร และที่คนแปลใช้คำว่า ปลูกไวน์ (แทนการปลูกองุ่น) ก็เลยไม่แน่ใจว่าต้นฉบับใช้คำหรือสำนวนแบบนี้เลยหรือเปล่า

แล้วก็ในส่วนของคำผิด เท่าที่อ่านเจอมีที่หน้า 200 จุดเดียวนะคะ คือสะกดคำว่า เหยียบ เป็นเหยียม






สรุปแล้ว ถ้าใครที่ชอบประวัติศาสตร์และหลงรักเครื่องดื่ม หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือประวัติศาสตร์อีกเล่มหนึ่งที่่น่าจะสร้างความเพลิดเพลินใจในการอ่านได้เป็นอย่างดีค่ะ






บางที..เมื่อได้อ่านแล้ว

อาจจะทำให้ทุกครั้งที่คุณได้ดื่มเครื่องดื่มต่างๆ ได้รสชาติที่ต่างไปจากเดิมก็ได้นะคะ















ขอบคุณทุกท่านที่แวะมาค่ะ

642076/4698/441




 

Create Date : 19 เมษายน 2553    
Last Update : 19 เมษายน 2553 8:23:39 น.
Counter : 4400 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  

สาวไกด์ใจซื่อ
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 203 คน [?]




ชอบอ่านหนังสือและดูหนังค่ะ ตอนนี้ทำงานด้านการท่องเที่ยวอยู่ นิสัยดีบ้างร้ายบ้าง แล้วแต่สภาวการณ์และคนที่เจอ


เนื้อหาและรูปภาพทั้งหมดในบล็อกสงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย ไม่อนุญาตให้นำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของบล็อก


ติดต่อเจ้าของบล็อกได้ที่ theworpor@yahoo.com
หรือ
https://www.facebook.com/saoguide






Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add สาวไกด์ใจซื่อ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.