ผู้กล่าวคำเท็จอยู่ จะไม่ทำความผิดอื่น เป็นไม่มี (คำชี้แจ้งเท็จของสวนสันติธรรม) 2

คำชี้แจ้งเท็จของสวนสันติธรรม และกล่าวอ้างกลางศาลาว่าตนเป็นผู้มาช่วยพุทธศาสนาช่วงกึ่งพุทธกาล

คำชี้แจงของสวนสันติธรรม ฉบับที่ ๙
๓. มีการกล่าวหว่านล้อม โน้มน้าว ชักจูง ทำให้ผู้ฟังเข้าใจได้ว่า หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช บรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคลขั้นใดขั้นหนึ่งแล้ว รวมถึงเรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ต่างๆ

          คำชี้แจง ในความเป็นจริงหลวงพ่อปราโมทย์ไม่ได้กระทำเช่นนั้น เพียงแต่บางคราวได้เล่าถึงการละกิเลสของพระอริยบุคคลแต่ละชั้น ซึ่งก็เป็นไปตามพระไตรปิฎก และบางทีก็บอกเล่าถึงสิ่งที่ครูบาอาจารย์ท่านเล่าให้ฟังมา ส่วนเรื่องอิทธิปาฏิหารย์ต่างๆ ที่ได้ยินได้ฟังหรือพบเห็นมา ก็เป็นเพียงส่วนเสริมเพื่อ “แก้เบื่อ” หรือ “แก้ง่วง” ของผู้ฟังธรรมเป็นครั้งคราวเท่านั้น ซึ่งวิธีการแสดงธรรมโดยเล่าเรื่องเช่นนี้ เป็นเรื่องปกติมาแต่ครั้งโบราณกาล แม้ในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาก็มีเรื่องจำพวกนี้อยู่มาก อันเป็นการอนุเคราะห์แก่ผู้ฟังเท่านั้น สำหรับการที่ญาติโยมจะคาดเดาเอาว่าหลวงพ่อปราโมทย์บรรลุคุณธรรมขั้นใดนั้น หลวงพ่อปราโมทย์ก็ได้ปรามอยู่เนืองๆ ว่าไม่สมควรคิด เพราะในยุคนี้ไม่มีผู้ใดมีสิทธิพยากรณ์มรรคผลได้ ในเมื่อพระพุทธเจ้าไม่ได้ดำรงพระชนม์อยู่แล้ว จุดสำคัญที่หลวงพ่อปราโมทย์เน้น ไม่ใช่การ “ได้เป็น ได้มีอะไร” แต่อยู่ที่การ “ละกิเลสได้” เท่านั้น
--------------------------------------------------------------
CD22 501030

3.23 เมื่อวันทอดกฐิน คุณดังตฤณมา ดังตฤณมาถึงก็มาคุยกับหลวงพ่อข้างใน คนนี้แก่ดูจิตคนอื่นได้ละเอียดนะ แกบอ[U]กว่าแกสังเกตุแล้วว่า จิตคนอื่นกับจิตหลวงพ่อเนี่ยไม่เหมือนกันตรงไหน จิตของคนอื่นเนี่ยนะเวลาคิดเนี่ยมันจะสร้างภาพ สร้างอิมเมจ มีอิมเมจขึ้นมาข้างใน แห่งความเป็นตัวเป็นตนขึ้นมา[/U] เป็นตัวตนที่จะเข้าไปทำงาน เป็นตัวตนที่จะเข้าไปรับสนองผลงาน ส่วนคนที่ภาวนาไปแล้วเนี่ย มันจะคิดจะนึกจะปรุงจะแต่งนะมันจะไม่สร้างอิมเมจแห่งการเป็นตัวตนขึ้นมาเลย แกมองเก่งนะ แกบอกแต่ก่อนแกดูได้ไม่ลึกซึ้ง แกเห็นแต่ว่าจิตของคนที่ภาวนาดีๆแล้วเนี่ยว่างๆ ว่างเปล่า แต่นี้ดูได้ลึกลงไปว่าขณะที่มันทำงานเนี่ยก็ไม่เหมือนคนอื่น มันไม่มีการสร้างภาพแห่งการเป็นตัวตนขึ้นมา
พวกเราสังเกตุไหมเวลาเราจะคิดนึกปรุงแต่งเราจะสร้างภาพแห่งการเป็นตัวตัวขึ้นมา เมื่อมันมีภาพแห่งการเป็นตัวตนมันก็จะมีเราเป็นผู้กระทำ มีเรารับผลของการกระทำ แต่ถ้ามันไม่สร้างภาพแห่งการเป็นตัวตน มันจะไม่มีเรารับผลของการกระทำ แต่การกระทำมีอยู่ แต่การกระทำยังมีอยู่ ไม่มีผู้กระทำ ไม่มีผู้รับผลของการกระทำ

CD23 FILE 510213
54.40 มีคนนึงนะ คุณดังตฤณเนี่ย บอกว่าชอบไปดูจิตพระ คนไหนที่เค้าว่าพระอรหันต์นะไปดู แล้วก็พบอย่างนึงว่า จิตของพระเนี่ยเวลาท่านคิดอะไรขึ้มมานะ คิดมาจากความว่าง ไม่มีการสร้างอิมเมจขึ้นมา

CD24 FILE 510216B
7.00 เห็นดังตฤณออกหนังสือเล่มใหม่มา สติปัฏฐานเมื่อวานพี่สาวเอามาให้หลวงพ่อดูเล่มนึง ไปดูท้านก็เข้าท่าอยู่ [U]แกพูดถึงพระอรหันต์นะแกว่าภาวนาพอเป็นพระอรหันต์แล้วเนี่ย มันไม่ยึดตัวยึดตนหรอก ขนาดความคิดทั้งหลายเกิดขึ้น ยังไมมีการสร้างนโนภาพแห่งการเป็นตัวตนขึ้นมาซักนิดเลย เวลาคิดจะคิดอกมาจากว่างๆ[/U] ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยในความคิดนั้น คิดว่างๆ ถามว่าคิดไหม คิดแต่ไม่ได้คิดจากกิเลส คิดโดยที่ไม่สร้างตัวสร้างตนขึ้นมา

CD23 FILE 510202
26.28 กระทั่งในการภาวนาในขั้นที่ละเอียดขึ้นไป ก็ต้องอดทนมาเลยอย่างเราภาวนาไปนะ ดูไปปุ๊ปจิตว่างไปหมดละ โลกธาตุนี่ว่างสว่าง เห็นทุกสิ่งทุกอย่าง ราบเสมอเป็นหน้ากลองหมดเลยมีแต่ความสุขอยู่ตรงนั้นแหละ แต่ละวันก็เป้นอย่างนั้นอีกๆ ต้องอดทนนะต่อความสุขตรงนี้ อดทนต่อความดีตรงนี้ อดทนต่อการแขวนป้ายว่าเป็นพระอริยะชั้นสูง อู้ยเราคงบรรลุแล้วล่ะอะไรอย่างเนี้่ย ต้องทนนะ การที่จะทิ้งสิ่งเหล่านี้ที่แสนดีที่สร้างขึ้นมา สร้างขึ้นมาเพราะความโง่แท้ๆเลย เรานึกว่าดีวิเศษมากเลย เราปรุงแต่งจนกระทั่งโลกธาตุนี้ว่างจนไม่มีอะไรเลย นึกว่านิพพาน ดูไปหลายวันด้วยความไม่นิ่งนอนใจ ว่าจบกิจแล้ว (กำลังอยู่ในขั้นอนาคามี?) ดูไปเรื่อยๆมันหมองได้อีก โมหะแทรก แทรกมาได้ยังไงนี่แสดงว่าไม่ใช่ละ ไม่ใช่ใจหายไหม ใจหายนะ เหนื่อยแทบตายเลย สร้างขึ้นมาแล้วพบว่ามันไม่ใช่ละ ไม่ใช่แล้วยังไงละ ก็โยนมันทิ้งสิ ไม่ใช่แล้้วจะเอาไว้ทำไม ครั้งที่หนึ่งก็ยังพอสู้นะ ครั้งที่สอง ที่สามก็เป็นอย่างนี้อีก ภาวนาไปพลิกแพลงไปจนวันนึงนะ ท้อใจละถอดใจ โอ้วาสนาเราคงได้แค่นี้ละชาตินี้ ไม่จบหรอกทำได้แค่นี้ คงจะต้องเวียนว่ายตายเกิด น่าอะเหน็ด อะหนาด แต่ช่างมันเถอะ ได้แค่นี้ก็แค่นี้นะ ใจหมดความดิ้นรน เพราะภาวนาจนดิ้นรนสุดขีดจนหมดแรงดิ้นละ ดิ้นจนหมดแรงดิ้นสู้จนกระทั่งหลังชนกำแพงละก็ยืนให้เค้าชก ก็ไม่หนีไปไหน ที่หนีไปไหนไม้่ได้ เพราะว่าไม่มีที่จะหนีละ แต่เดิมเรามีความทุกข์ขึ้นมาเราก็หนีไปที่อีน เราก็พ้นทุกข์ใช่มะ ตอนนี้จิตนี้คือตัวทุกข์ จิตเป็นตัวทุกข์แล้วจะหนีไปไหนอ่ะ จะหนีไปไหนจิตก็หนีไปกับเราด้วย ไม่มีที่จะหนีนะในสังสารวัฏ ไม่เหลืออะไร สักย่างก้าวเดียวให้ยืนอยู่อย่างมีความสุขได้เลย นี่ต้องภาวนาจนถึงขนาดนี้ ใจถึงจะกล้าหาญที่จะทิ้งโลกไปได้เพราะมันเห็นแล้ว มีแต่ทุกข์ล้วนๆนะ ถ้ายังเห็นว่าย่อมนี้เป็นโอเอซิสอยู่นะไม่มีทิ้งหรอก จะวิ่งตะกายไปหาโอเอซิส

CD22 501129a
12.00 ห[U]ลวงพ่อใช้เวลาไม่นานหรอก ประมาณ7เดือน เพื่อที่จะเรียนรู้จิตใจตัวเอง เมื่อเราเรียนรู้จิตใจตังเองดีแล้ว ครูบาอาจารย์ท่านก็บอกเลยว่า เราช่วยตัวเองได้ คนที่ไม่รู้ทันใจตัวเองนะยังช่วยตัวเองไม่ได้หรอก เพราะกิเลสมันครอบงำใจเราทั้งวัน มาได้เหมือนกันนะ มาได้แว๊บๆ พอระลึกรู้นะก็ขาดสะบั้นลงไปเลย เราก็ปิดอบายได้ ไม่ต้องไปอบายได้ ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่ามีที่พึงละ คือมีพระรัตนไตรเป็นที่พึงจริงๆ มันไม่ใช่แค่สวดมนต์ พุทธังสารนัง ธรรมสานัง[/U] อันนั้นมีที่พึงเฉพาะว่าจะแต่ใจยังเป็นเด็กร่อนเร่พเนจร ไม่มีที่พึง แต่ถ้าเราภาวนาจนเราเข้าถึงจิตถึงใจเราได้แล้วเนี่ย มันจะเกิดความอบอุ่นใจ รู้สึกได้ว่าเราเป็นลูกมีพ่อมีแม่แล้ว เมื่อก่อนเป็นลูกกำพร้าไม่รู้ว่าลูกใคร พอเราภาวนาเข้าถึงจิตถึงใจครั้งแรก เรารู้เลยว่าเราเป็นลูกมีพ่อมีแม่ พ่อแม่ของเราก็คือพระทุธเจ้า หรือครูบาอาจารย์ที่ท่านสอนเราจนได้ดวงตาเห็นธรรม เราจะรู้สึกว่าท่านเป็นพ่อเป็นแม่เรา ครูบาอาจารย์องค์อื่นๆถัดมาเนี่ย แม้ว่าท่านจะสอนเราจนบรรรลุพระอรหันต์นะ เราก็จะไม่รู้สึกว่าท่านเป็นพ่อแม่เรา เราจะรู้สึกว่าท่านเป็นพี่เรา เป็นพี่เลี้ยง
เพราะฉะนั้นคนไหนได้ฟังธรรมของใครจนเห็นดวงตาเห็นธรรมจะรู้สึกซาบซึ้งถึงอกถึงใจว่าท่านผู้นั้นคือพ่อคือแม่ ที่แท้จริง

CD23 FILE 510206B
9.30 ครูบาแมน แกgeniusนะ ตอนก่อนจะบวชเนี่ยอายุก็ไม่มากนะ
แต่ราชบัณฑิตเนี่ยไปเชิญไป ไปpresent software ตัวนึงคำนวนปฏิทินพระจันทร์ แกบอกได้ว่าวันพระปีศักราช800 มีวันอะไรบ้าง ตอบได้ ย้อนไป ย้อนมาพอถึงพ.ศ.ที่5000 วันวิสาขะของปีพ.ศ.5000 เนี่ย วันที่เท่าไหร่ก็ยังคำนวนได้ เนี่ยgeniusมากเลย พอแกคำนวนไปคำนวนมาก็บอกว่า ศักราชมันเคลื่อนอยู่50ปี พวกฝรั่งมันก็รู้เหมือนกัน ศักราชมันเคลื่อนอยู่50ปี เพราะฉะนั้นขณะเนี่ยนะปีพ.ศ. 2501 ขณะนี้กึ่งพุทธกาลอยู่ พวกเราอยู่ในกึ่งพุทธกาลแท้ๆนะ จะนับศักราชอย่างสิงห์หน เนี่ยมันจะนับว่ากษัติย์ องค์ครองราชเท่านี้ปีๆ มันจะบวกแล้วมันเกินๆไป เกินไป50ปี งั้นยุคของเราเนี่ยเป็นยุคกำลังเปลี่ยนยุคพอดี เรียกว่ากึ่งพุทธกาล ............(อธิบายไปเรื่อยๆ)..........
หลวงพ่อตั้งความปราถณาไว้นานนน นักหนาแล้ว ตั้งความปราถนาไว้3ข้อ ข้อแรกนะขอให้ถึงที่สุดตามพระพุทธเจ้าไปให้ได้ ข้อที่2นะขอให้มั่นคงในศาสนาพุทธ ไม่ว่าศาสนาพุทธไปอยู่ที่ไหนเราขอไปด้วย ศาสนาพุทธไปเกิดที่ไหนเราไปด้วย (อธิบายไปเรื่อยๆ) ปนิทานอันที่3ก็คือ ข้อให้ได้สืบทอดศาสนาในช่วงของการเปลี่ยนยุคเปลี่ยนสมัย นี่ดังตฤณบอกหลวงพ่อเหมือนคนที่ทุ่มก้อนหินใหญ่ลงไปในน้ำนะ ตอนนี้น้ำกระเพื่อมไปทั่วโลกแล้ว

--------------------

--------------------

คำชี้แจงของสวนสันติธรรม ฉบับที่ ๙
๔.๕ ไม่เฉพาะหลวงปู่ดูลย์ที่ไม่อนุญาตให้ลูกศิษย์ดูจิตผู้อื่น ถึงหลวงพ่อปราโมทย์ก็เจริญรอยตามหลวงปู่ดูลย์เช่นกัน เพราะได้ย้ำเตือนอยู่ตลอดเวลาว่าให้ดูจิตตนเอง แม้แต่ “ผู้ที่ออกประกาศตั้งข้อติเตียนหลวงพ่อปราโมทย์ในคราวนี้” ก็เคยถูกหลวงพ่อปราโมทย์ห้ามปรามมาแล้วว่าอย่าดูจิตผู้อื่น ซึ่งเป็นเรื่องที่มีพยานรู้เห็นอยู่หลายคน

--แหมที่ดังตฤณดูจิตพระอรหันต์เก่งเนี่ย เหมือนตน เลยเอามาโม้บนศาลาเลยนะ ไม่เห็นห้ามเลย ชมว่าเก่งอีกต่างหาก

--------------------------------------
คำชี้แจงของสวนสันติธรรม ฉบับที่ ๙

๑๐. หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช มีปฏิปทาสวนทางกับพระพุทธวจนะ ว่าด้วยการพยากรณ์อริยะผล ซึ่งเป็นวิสัยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น เป็นที่รับทราบกันดีว่ามีการพยากรณ์โสดาปัตติผลให้แก่ลูกศิษย์จำนวนอย่างน้อย ๖ ราย

          คำชี้แจง หลวงพ่อปราโมทย์ไม่เคยพยากรณ์อริยผลให้ผู้หนึ่งผู้ใด และกล่าวอยู่เนืองๆ ว่า “เอกสิทธิ์ในการพยากรณ์มรรคผลเป็นของพระพุทธเจ้าเท่านั้น” อย่างมากก็ยอมรับว่าบุคคลผู้นั้นมีความเข้าใจธรรมะพอจะช่วยสอน หรือพอจะปฏิบัติด้วยตนเองต่อไปได้เท่านั้น

----------------------------

CD23 FILE 510206A
(พยากรณ์) 15.15 พอเข้าใจปั๊ปก็หลับไป พอตื่นเช้ามาก็รู้สึกว่าตัวเองกลวงๆ ก็ปฏิยัติอยู่แล้วแต่พอตื่นเช้ามารู้สึกตัวเองกลวง แล้วก็รู้สึกทั้งวันว่าลมหายใจรู้สึกมันแห้งไป พอมันแห้งปั๊ปก็รู้ว่ามันแห้ง ก็ดูจิตไปเรื่อยๆอย่างเนี๊ยะ พอมันสงสัย ก็กลับมาที่สงสัย พอตกตอนเย็น ก็นั่งสมาธิก็รู้สึกว่าพอนั่งสมาธิ ทำไมสงบผิดปกติ ก็อ้อสงบก็สงบ ก็มีความสุขอะไรอย่างเนี่ย พอมีความสุขปั๊ปมันเหมือนใจมันสว่าง แล้วก็จิตใจมียิ้ม เริงร่ามีความสุข แล้วพอผ่านไปปั๊ปวันนึง อีกวันนึงก็ดูว่ามันจะเสื่อมมั๊ย มันก็ยังไม่เสื่อม [U]พอมันไม่เสื่อมปั๊ปก็โทรไปถามพี่ตุลย์(ดังตฤณ) ก็รายงานๆ พี่ตุลย์ก็๋ไม่พูดอะไร พอไปเจอกันพี่ตุลย์ก็ไม่พูดอะไร ถึงวันนี้ก็ส่งอีเมลล์ไปเสร็จก็ไม่ได้พูด เมื่อคืนโทรบอกว่าเดี๋ยวเย็นนี้ไปกินข้าวละกัน ก็ยังคิดว่าในสิ่งที่หนูไปเห็นมันใช่หรือเปล่า
ลพป.ก็ไปถามพี่ตุลย์ดู หลวงพ่อเป็นพระนะเที่ยวพยากรณ์อะไรไม่ดีหรอก (แต่หนูก็รูู้สึว่ามันไม่เหมือเดิม) ไม่ๆ มันไม่เหมือนเดิมแล้วนะ มันกลวงๆไปแล้ว ไปให้พี่ตุลย์เค้าพยากรณ์ไป ดูไปงั้นแหละ ใช้ได้ละเอาตัวรอด [/U]

-- ปากบอกว่าไม่พยากรณ์แต่อดไม่ได้
"ไม่ๆ มันไม่เหมือนเดิมแล้วนะ มันกลวงๆไปแล้ว ไปให้พี่ตุลย์เค้าพยากรณ์ไป ดูไปงั้นแหละ ใช้ได้ละเอาตัวรอด "

CD23 FILE 510206B
(พยากรณ์)53.30 การที่เราเห็นพระไตรลักษณ์เพียงมุมใดมุมหนึ่ง ก็จะละความเห็นผิดได้ เป็นพระโสดาบันได้ เห็นไตรลักษณ์เพียงมุมใดมุมหนึ่งก็จะเป็นพระอรหัตน์ได้ เพราะฉะนั้นให้เรารู้สึกไปเรื่อย ของโยมนะมันมีปัญญากล้า โยมจะเห็นอนัตตา ดูไปทุกอย่างไม่ใชเราหมดเลย เป็นแต่วัตถุก้อนธาตุ จิตใจก็ไม่ใช่ตัวเรา มันทำงานของมันเอง ดูอย่างนี้เรื่อยๆ วันนึงก็ผ่าน [U]เป็นคนนึงที่จะผ่านนะ อย่ามาถามทีละคนนะเดี๋ยวจะใจเสียซะเปล่าๆ [/U]

---------------------------
นี่ขนาดยังฟังไม่ถึง 30% เลย เจอเยอะขนาดนี้
ศีล5ยังรักษาไม่ได้เลย อยากจะเป็นอริยะ
---------------------------
update มี file เสียงมาให้ฟังกัน เดี๋ยวจะว่าเรา "กล่าวหา"

//docs.google.com/leaf?id=0B3L_60sI01w4ZjAyMWZkYzAtNzFiYy00MDk2LWEyZDktMjcyNmQzMmM5NDJm&hl=en
//docs.google.com/leaf?id=0B3L_60sI01w4ZDg1Yjc1OGQtNGU3MC00NmE2LWE0ZGYtOTliZGJmNDM2NDg3&hl=en //docs.google.com/leaf?id=0B3L_60sI01w4YTRjY2U0NDctNmUzMC00MzQ4LTljYzUtYzEyYWIwODdiN2Rk&hl=en //docs.google.com/leaf?id=0B3L_60sI01w4ZGI3YTFlMTgtYjlkNC00YzA2LTk1ZjUtYjMyYmQxMmM2ZGJm&hl=en //docs.google.com/leaf?id=0B3L_60sI01w4N2YxMTJjMzEtMmVhOS00MTQ1LWI4Y2UtYTBkNWE0MGI0ODdi&hl=en
//docs.google.com/leaf?id=0B3L_60sI01w4MDUwMDg3OWItNTUyOC00NmY3LWFlNDQtNjRhMDE0NzM5YTk3&hl=en




 

Create Date : 23 กุมภาพันธ์ 2553   
Last Update : 24 กุมภาพันธ์ 2553 11:20:44 น.   
Counter : 847 Pageviews.  

ผู้กล่าวคำเท็จอยู่ จะไม่ทำความผิดอื่น เป็นไม่มี ตอนที่ 1


กระทู้นี้เคยตั้งอยู่ในห้องศาสนา Pantip.com แต่ถูกคนกลุ่มนึงซึ่งยอมรับความจริงๆไม่ได้ ได้แจ้งลบกระทู้นี้ไป


** ที่ผมเอาข้อเท็จจริงมาชี้แจงนี้ ผมไม่ได้ต้องการชักจูงใครให้เลิกปฏิบัติทางดูจิต หรือ ชักชวนให้ทิ้ง ทุกอย่างอยู่ที่ท่านนักปฏิบัติ จะหาเหตุผล เอาเอง ตัดสินใจเอง ไม่มีใครตัดสินใจแทนใครได้ แต่การลบกระทู้ข้อเท็จจริงโดยผู้ที่ยอมรับไม่ได้ถ้าใครมาตั้งข้อสงสัยในตัว หลวงพ่อปราโมทย์ แล้วลบข้อเท็จจริงนั้นออก  เป็นการปิดกั้นความจริง สำหรับท่านอื่นที่ยังไม่รู้ความจริง หรือ ที่ยังมีข้อสงสัยอยู่ เป็นการกระทำที่เป็นการปิดกั้นปัญญาของผู้ศึกษาธรรม


กระทู้นี้เกี่ยวกับคำแถลงการของสวนสันติธรรม ฉบับที่ 9 ข้อที่สาม (เนื้อหาอยู่ด้านล่าง)


ในคคห.43 หลวงพ่อท่านตอบผ่านคุณP_Vicha















ท่านยอมรับเองว่าสิ่งที่ท่านบอกนั้นกล่าวถึงตัวท่านเอง ถึงมรรคผลที่ท่านเข้าถึงเอง 





แต่ทำไม่คำแถลงสวนสันติธรรมออกมาว่า  ๓. มีการกล่าวหว่านล้อม โน้มน้าว ชักจูง ทำให้ผู้ฟังเข้าใจได้ว่า หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช บรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคลขั้นใดขั้นหนึ่งแล้ว รวมถึงเรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ต่างๆ


คำชี้แจง ในความเป็นจริงหลวงพ่อปราโมทย์ไม่ได้กระทำเช่นนั้น เพียงแต่บางคราวได้เล่าถึงการละกิเลสของพระอริยบุคคลแต่ละชั้น ซึ่งก็เป็นไปตามพระไตรปิฎก และบางทีก็บอกเล่าถึงสิ่งที่ครูบาอาจารย์ท่านเล่าให้ฟังมา


 ผมตั้งข้อสังเกตุว่า คำแถลงการณ์นี้ สวนสันติธรรมเป็นคนแถลง หลวงพ่อปราโมทย์เป็นประธานในสวนสันติธรรม คำแถลงการนั้นที่ออกมา จะไม่ผ่านสายตาท่านหรือ ทั้งๆที่เกี่ยวกับตัวท่านโดยตรง  แล้วท่านปล่อยออกมาได้ยังไงครับ คำแถลงการที่โกหกแบบนั้น ทำแต่บอกไม่ได้ทำ


สัจจะความจริงๆปไหนครับ มุสาวาทา ไปไหนครับ


ผมไม่ได้บอกว่า ใครเป็นพระอริยะ ใครไม่เป็น มีเยอะแยะที่ท่านบรรลุแล้วท่านประกาศตัวเลย ไม่กลัวใคร ไม่ใช่ตอนเทศน์บอกใช่ๆ แต่พอมีคนออกมาท้วงก็กลับคำว่าไม่ได้พูด พอจนด้วยหลักฐานก็ออกมายอมรับ พระอริยะเป็นอย่างนี้เหรอครับ กลับไปหลับมาหรือ ให้ท่านทั้งหลายพิจารณาเอง 



Free TextEditor

LINK สำหรับโหลดข้องความในกระทู้ครับ กดตรงนี้ สำหรับ MAC
สำหรับ ท่านที่ใช้ PC โหลด linkนี้นะครับ

เพิ่มเติมที่หามาได้ใหม่ มีอยู่เรื่อยๆ แทบทุกแผ่น


CD23 FILE
510202


26.28
กระทั่งในการภาวนาในขั้นที่ละเอียดขึ้นไป
ก็ต้องอดทนมาเลยอย่างเราภาวนาไปนะ ดูไปปุ๊ปจิตว่างไปหมดละ
โลกธาตุนี่ว่างสว่างเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง
ราบเสมอเป็นหน้ากลองหมดเลยมีแต่ความสุขอยู่ตรงนั้นแหละ
แต่ละวันก็เป้นอย่างนั้นอีกๆ ต้องอดทนนะต่อความสุขตรงนี้
อดทนต่อความดีตรงนี้ อดทนต่อการแขวนป้ายว่าเป็นพระอริยะชั้นสูง
อู้ยเราคงบรรลุแล้วล่ะอะไรอย่างเนี้่ย ต้องทนนะ
การที่จะทิ้งสิ่งเหล่านี้ที่แสนดีที่สร้างขึ้นมา สร้างขึ้นมาเพราะความโง่แท้ๆเลย
เรานึกว่าดีวิเศษมากเลย เราปรุงแต่งจนกระทั่งโลกธาตุนี้ว่างจนไม่มีอะไรเลย
นึกว่านิพพาน ดูไปหลายวันด้วยความไม่นิ่งนอนใจ
ว่าจบกิจแล้ว
(กำลังอยู่ในขั้นอนาคามี?)
ดูไปเรื่อยๆมันหมองได้อีก
โมหะแทรก แทรกมาได้ยังไงนี่แสดงว่าไม่ใช่ละ ไม่ใช่ใจหายไหม ใจหายนะ
เหนื่อยแทบตายเลยสร้างขึ้นมาแล้วพบว่ามันไม่ใช่ละ
ไม่ใช่แล้วยังไงละ ก็โยนมันทิ้งสิ ไม่ใช่แล้้วจะเอาไว้ทำไม
ครั้งที่หนึ่งก็ยังพอสู้นะ ครั้งที่สอง ที่สามก็เป็นอย่างนี้อีก
ภาวนาไปพลิกแพลงไปจนวันนึงนะ ท้อใจละถอดใจ โอ้วาสนาเราคงได้แค่นี้ละชาตินี้
ไม่จบหรอกทำได้แค่นี้ คงจะต้องเวียนว่ายตายเกิด
น่าอะเหน็ด อะหนาด แต่ช่างมันเถอะ ได้แค่นี้ก็แค่นี้นะ
ใจหมดความดิ้นรน เพราะภาวนาจนดิ้นรนสุดขีดจนหมดแรงดิ้นละ
ดิ้นจนหมดแรงดิ้นสู้จนกระทั่งหลังชนกำแพงละก็ยืนให้เค้าชก
ก็ไม่หนีไปไหน ที่หนีไปไหนไม้่ได้ เพราะว่าไม่มีที่จะหนีละ
แต่เดิมเรามีความทุกข์ขึ้นมาเราก็หนีไปที่อีน เราก็พ้นทุกข์ใช่มะ
ตอนนี้จิตนี้คือตัวทุกข์ จิตเป็นตัวทุกข์แล้วจะหนีไปไหนอ่ะ
จะหนีไปไหนจิตก็หนีไปกับเราด้วย ไม่มีที่จะหนีนะในสังสารวัฏ
ไม่เหลืออะไร สักย่างก้าวเดียวให้ยืนอยู่อย่างมีความสุขได้เลย
นี่ต้องภาวนาจนถึงขนาดนี้ ใจถึงจะกล้าหาญที่จะทิ้งโลกไปได้เพราะมันเห็นแล้ว
มีแต่ทุกข์ล้วนๆนะ ถ้ายังเห็นว่าย่อมนี้เป็นโอเอซิสอยู่นะไม่มีทิ้งหรอก
จะวิ่งตะกายไปหาโอเอซิส




CD22 501129a
12.00 หลวงพ่อใช้เวลาไม่นานหรอก ประมาณ7เดือน เพื่อที่จะเรียนรู้จิตใจตัวเอง เมื่อเราเรียนรู้จิตใจตังเองดีแล้ว ครูบาอาจารย์ท่านก็บอกเลยว่า เราช่วยตัวเองได้ คนที่ไม่รู้ทันใจตัวเองนะยังช่วยตัวเองไม่ได้หรอก เพราะกิเลสมันครอบงำใจเราทั้งวัน มาได้เหมือนกันนะ มาได้แว๊บๆ พอระลึกรู้นะก็ขาดสะบั้นลงไปเลย เราก็ปิดอบายได้ ไม่ต้องไปอบายได้ ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่ามีที่พึงละ คือมีพระรัตนไตรเป็นที่พึงจริงๆ มันไม่ใช่แค่สวดมนต์ พุทธังสารนัง ธรรมสานัง อันนั้นมีที่พึงเฉพาะว่าจะแต่ใจยังเป็นเด็กร่อนเร่พเนจร ไม่มีที่พึง แต่ถ้าเราภาวนาจนเราเข้าถึงจิตถึงใจเราได้แล้วเนี่ย มันจะเกิดความอบอุ่นใจ รู้สึกได้ว่าเราเป็นลูกมีพ่อมีแม่แล้ว เมื่อก่อนเป็นลูกกำพร้าไม่รู้ว่าลูกใคร พอเราภาวนาเข้าถึงจิตถึงใจครั้งแรก เรารู้เลยว่าเราเป็นลูกมีพ่อมีแม่ พ่อแม่ของเราก็คือพระทุธเจ้า หรือครูบาอาจารย์ที่ท่านสอนเราจนได้ดวงตาเห็นธรรม เราจะรู้สึกว่าท่านเป็นพ่อเป็นแม่เรา ครูบาอาจารย์องค์อื่นๆถัดมาเนี่ย แม้ว่าท่านจะสอนเราจนบรรรลุพระอรหันต์นะ เราก็จะไม่รู้สึกว่าท่านเป็นพ่อแม่เรา เราจะรู้สึกว่าท่านเป็นพี่เรา เป็นพี่เลี้ยง
เพราะฉะนั้นคนไหนได้ฟังธรรมของใครจนเห็นดวงตาเห็นธรรมจะรู้สึกซาบซึ้งถึงอกถึงใจว่าท่านผู้นั้นคือพ่อคือแม่ ที่แท้จริง



 




 

Create Date : 04 กุมภาพันธ์ 2553   
Last Update : 8 กุมภาพันธ์ 2553 11:44:20 น.   
Counter : 315 Pageviews.  


Oz(OB)
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add Oz(OB)'s blog to your web]