วัน D-Day (2)

พออีริคกลับมาได้ไม่นาน หมอก็เข้ามาบล็อคหลังให้เรา ขอบอกว่าหมอคนนี้มารยาทแย่มาก เป็นผู้ชายอายุพอๆกับเรา ฟังดูจากชื่อและสำเนียงแกเป็นคนแถบรัสเซียหรือยุโรปต.อ. พอแกเข็นรถอุปกรณ์เข้ามาในห้อง แกก็ยืนอยู่ไกลๆแล้วก็ถามคำถามเราด้วยเสียงเบาๆ เราก็ไม่ค่อยได้ยิน ต้องถามซ้ำเกือบทุกคำถาม แกก็คงรำคาญมั้ง แล้วแกก็ส่งใบยินยอมมาให้เราเซ็น ตอนนั้นเองเราก็ปวดหนักขึ้นมาอีกระลอกนึง เราก็ตัวงอหงิก กัดฟันพูดออกมาว่าเดี๋ยวนะคะ แต่แกก็ยื่นกระดาษมาแกว่งอยู่ตรงหน้าเรา ทำท่าแบบใช้ความอดทนสุดๆ(ราวกับเราแกล้งถ่วงเวลาแก) ต่อมาพยาบาลก็มาช่วยบอกให้เรานั่งงอหลัง พอเรางอตัวปุ๊บ หมอซึ่งยืนอยู่ข้างหลังก็ไม่พูดไม่จาเอาเข็มแทงหลังเราปั๊บ เราก็สะดุ้งตัวหนีโดยอัตโนมัติ แกก็บอกว่าอย่าหนี นี่เป็นยาชา เราก็คลายตัวลง จังหวะนั้นเอง แกก็เอาเข็มจิ้มหลังเราอีกที เราก็สะดุ้งหนีอีก ก็ไม่ได้บอกนี่หว่าว่าจะแทงอีก เค้ามีแต่บอกล่วงหน้าว่าจะแทงแล้วนะ เจ็บนิดนะ จะได้ด้เตรียมตัว ไอ้นี่เล่นบอกทีหลัง ที่ร้ายคือพอบล็อคหลังเสร็จแกถามว่ายังปวดท้องอยู่มั้ย เราบอกว่าปวดน้อยลงแล้ว แกพูดหน้าตาเฉยว่าก็งี้แหละ บางทีคนเราก็คิดไปเอง... หนอย มาลองคลอดลูกเองดูมะ หวังว่าชีวิตนี้จะไม่ต้องเจอหมอคนนี้อีกนะ

พอบล็อคหลังเสร็จเราก็ได้ปุ่มเทอร์โบมาถือไว้ด้วย คือถ้ายาที่ให้ไว้มันไม่พอและยังปวดอยู่ ก็กดปุ่มเพิ่มขนาดยาได้เป็นระยะๆ แต่เราไม่ได้กดปุ่มเลย เพราะว่าถ้ายังรู้สึกว่ามดลูกบีบตัวเวลาเบ่งจะง่ายขึ้น ถ้าความรู้สึกหายไปหมดเลยก็จะเบ่งไม่ถูก

Dr. Gonzales สั่งให้เพิ่มยา pitocin เพื่อเร่งให้คลอดเร็วขึ้นอีก พอถึงประมาณห้าโมงก็ได้เวลาเบ่ง หมอยังแปลกใจที่ไม่ต้องรอข้ามวันข้ามคืน แต่พอดีหมอเปลี่ยนกะ เราเลยได้คลอดกับหมออีกคน

แต่ก่อนที่คุณหมอจะเข้ามา พยาบาลก็เข้ามาช่วยเราเบ่ง โดยจับขาเราข้างนึง ให้อีริคจับขาอีกข้างนึง เวลาผ่านไปไม่นาน คุณหมอยังใส่เสื้อกาวหน้ากากไม่เสร็จเลย เราก็เบ่งเจ้า Gavriel ออกมาแล้ว พร้อมกับมีสายสะดือพันคอสองรอบ คุณหมอต้องรีบวิ่งมาจัดการ แต่ก็ไม่มีอะไรที่บ่งบอกว่ามีปัญหาอะไร

พอพยาบาลทำความสะอาดตัวกาเวรียลเสร็จก็เอามาส่งให้เราให้เจอหน้ากันเป็นครั้งแรก (แต่เป็นคนสุดท้ายในห้องเลย) กาเวรียลตัวเล็กมากเหมือนตุ๊กตามากกว่าเด็กจริงๆ หนัก 2640 แต่ตัวยาว 18.5 นิ้ว ไม่เป็นเด็กแก้มยุ้ยเหมือนที่เราแอบคิดไว้

ระหว่างที่รอยาบล็อคหลังหมดฤทธิ์และรอให้พยาบาลเอากาเวรียลไป test อื่นๆที่ห้องเนอร์สเซอรี่เราก็โทรไปบอกข่าวใครต่อใครด้วยความเห่อ เล่นเอาคนเค้าตกใจว่าเพิ่งคลอดไปหยกๆยังมีแรงโทรได้อีก แต่มันก็ไม่เจ็บปวดอะไรจริงๆ แล้วที่จริงก็ดีแล้วที่โทรตอนนั้นเพราะวันต่อๆมาเราโทรมมากจนไม่มีแก่ใจจะโทรหาใคร




 

Create Date : 14 มกราคม 2552   
Last Update : 15 มกราคม 2552 8:11:01 น.   
Counter : 1131 Pageviews.  

วัน D-Day

เล่าย้อนหลังไปหลายอาทิตย์เพราะไม่มีมือว่างมาพิมพ์

19 ธค (เกือบ 38W) วัน D-Day (Delivery Day)
ตอนตีห้าครึ่ง นาฬิกาปลุกของอีริคปลุกไปแล้วทีนึง เราจะหลับต่อแต่ยังหลับไม่สนิท อยู่ๆก็รู้สึกว่าตรงท้องน้อยต่ำๆมีอะไรแตกปุ๊ และแล้วก็มีน้ำๆไหลออกมา จังหวะนั้นเราก็ตาสว่างทันที รู้เลยว่าถุงน้ำคร่ำแตกแล้ว เรารีบวิ่งไปห้องน้ำทันที ปากก็ร้องว่า oh no! oh no! อีริคตกใจตื่นถามว่าเป็นอะไร เราก็ร้องตอบว่าน้ำคร่ำไหลแล้ว

น้ำคร่ำไหลออกมาเยอะมาก ดีที่ไม่ได้ไปเป็นที่ที่ทำงานหรือตอนอยู่ในรถ

เราโทรไปหาหมอ เจ้าหน้าที่รับโทรศัพท์บอกว่าจะเพจเรียกหมอให้ แล้วหมอจะโทรกลับ เรารอแล้วรอเล่า หมอก็ไม่โทรมา เลยตัดสินใจโทรไปที่โรงพยาบาลแทน ซึ่งเค้าบอกว่าให้มาได้เลย แต่พอดีพวกเรายังจัดกระเป๋าไม่เสร็จเพราะไม่คาดว่าจะคลอดอาทิตย์นี้ ก็เลยต้องจัดของอีก แล้วยังกินอาหารเช้า เข้าเน็ตไปบอกโอด้วย

พอไปถึงโรงพยาบาล เค้าก็ให้เราใส่ fetal heart monitor เลย แล้วเราก็พบว่าหมอที่อยู่เวรคือ Dr. Gonzales จอมต๊องนั่นเอง มิน่าถึงไม่โทรกลับ หมอบอกว่าต้องเอาตัวอย่างของเหลวในช่องคลอดเราไปตรวจให้แน่ก่อนว่าเป็นน้ำคร่ำจริง เพราะเคยมีบางคนคิดว่าน้ำคร่ำเดิน แต่ที่จริงเป็นน้ำฉี่ซะงั้น พอผลของเรากลับมาว่าเป็นน้ำคร่ำจริงหมอก็สั่งให้เรานอนให้น้ำเกลือ แล้วก็ให้ยา pitocin เพื่อเร่งคลอด สาเหตุที่ต้องเร่งเป็นเพราะว่าน้ำคร่ำเราเดินตั้งแต่ตอนที่ cervix ยังไม่เปิดและยังไม่บางลงเลย ถ้าคอยให้เป็นไปเองก็ไม่รู้จะอีกนานเท่าไหร่ ต่อให้เร่งแล้วหมอก็ยังกะว่าอีกสิบกว่าชั่วโมงถึงจะคลอด หมอบอกว่ายาเร่งคลอดนี้ที่จริงไม่ทำให้ปวดท้องคลอดมากขึ้น แต่จะปวดถี่และเร็วกว่าธรรมชาติ ร่างกายเลยปรับตัวไม่ทัน ทำให้รู้สึกเหมือนปวดมาก เราเลือกจะทนเจ็บไปก่อน พอไม่ไหวแล้วถึงจะขอให้บล็อคหลัง

พยาบาลมาให้ยาเร่งตอนประมาณ 9 โมงครึ่ง เราก็ไม่ค่อยรู้สึกอะไรเท่าไหร่ พอตอนเที่ยงเราเลยบอกให้อีริคไปกินข้าวซะก่อน แต่ระหว่างเค้าไม่อยู่เราดันปวดมากขึ้นเรื่อยๆ พยาบาลที่คอยดูกราฟการบีบตัวของมดลูกเค้ามาถามสองครั้งว่าจะบล็อคหลังหรือยัง เราก็ยังอึดอยู่บอกว่ายังไม่เอา แต่อยู่ๆมันก็ปวดจนทนไม่ไหว อันที่จริงนอกจากจะปวดแล้วยังมีความกลัวเข้ามาแทรกด้วย เพราะพอมดลูกจะบีบตัวมากๆ เสียงหัวใจลูกจะเต้นผิดจังหวะนำมาก่อนเลย ทีนี้พอเราได้ยินเสียงหัวใจเต้นผิดจังหวะก็รู้ว่าจวนจะปวดแล้ว เลยเสียสมาธิ ไอ้ที่ซ้อมหายใจเพื่อผ่อนคลายความเจ็บปวดมาก็ลืมไปหมด เราเลยต้องขอให้เค้าบล็อคหลังให้

(ยังมีต่อ)




 

Create Date : 11 มกราคม 2552   
Last Update : 11 มกราคม 2552 23:53:18 น.   
Counter : 549 Pageviews.  

37W โอกาสผ่าคลอดกับขนาดรองเท้า

ไปหาหมออาทิตย์นี้ก็ไม่มีอะไรมาก หมอบอกว่าผลอุลตร้าซาวแสดงว่าเด็กมีขนาดปกติสุดๆ เราก็เลยแย้งว่าแต่ดิฉันตัวเล็กมากนะคุณหมอ หมอถึงได้นึกได้ ถามว่าเราสูงเท่าไหร่... 5 ฟุตพอดีค่ะ แล้วใส่รองเท้าเบอร์อะไร... เบอร์ 5 ครึ่งค่ะ

หมออธิบายว่าดูที่ความสูงอย่างเดียวไม่พอ ต้องดูที่ขนาดรองเท้าด้วยเพราะจะเป็นตัวที่บอกขนาดของโครงกระดูกได้ดี ถ้าใส่รองเท้าขนาดเล็กกว่า 6.5 (เบอร์ของอเมริกา) จะมีโอกาสต้องผ่าคลอดเยอะ แต่ยังไงก็ตาม นัดอาทิตย์หน้าหมอจะตรวจ cervix แล้วจะดูกันตอนนั้นว่าเด็กจะผ่านช่องในกระดูกเชิงกรานเราได้หรือเปล่า

เรากลับบ้านมาก็รู้สึกตะหงิดๆมากเลยเรื่องขนาดรองเท้า เพราะไม่เคยได้ยินมาก่อน เลยไปค้นในเน็ต พบว่ามีงานวิจัยสมัยประมาณ 20 ปีมาแล้วที่ได้ผลอย่างที่คุณหมอบอก แต่ว่ากลับมีงานวิจัยสมัยประมาณ 10 ปีก่อนได้ผลว่าขนาดรองเท้าไม่เกี่ยวกับอัตราการผ่าคลอดเลย... เอ แล้วคุณหมอแกยังติดอยู่กับข้อมูลโบราณแบบนี้จะดีเหรอนี่ เล่นเอาแอบวิตกไปนิดนึงเหมือนกัน

ช่วงนี้ไอ้ตัวเล็กไม่ค่อยปลุกเราตอนกลางคืนแล้ว ดีจริงๆ ได้หลับสบายมากขึ้น แล้วก็ไม่เห็นต้องลุกไปฉี่บ่อยมากอยากที่เค้าว่ากัน แค่คืนละ 2 ครั้งเอง เทียบกับโดนตัวเล็กถีบทั้งคืนแล้วกระจอกมาก

แต่ตอนกลางวันมีปวดท้องเตือนวันละหลายครั้ง มันก็ปวดพอสมควร บางทีต้องสูดหายใจลึกๆ บางทีก็ตัวงอไปเลย แต่ที่ปวดบางทีเป็นเพราะไอ้ตัวเล็กมันออกกำลังกายด้วย เหมือนพยายามเหยียดตัว เอาหัวโหม่งข้างล่าง แล้วก็เอาเท้าถีบช่องอกเรา... โดนแบบนี้ทีก็ต้องร้องซี้ดที




 

Create Date : 17 ธันวาคม 2551   
Last Update : 17 ธันวาคม 2551 0:58:47 น.   
Counter : 855 Pageviews.  

36W อุลตร้าซาว

เมื่อวันจันทร์เราไปทำอุลตร้าซาวอีกแล้ว หมอสั่งให้ไปทำเพราะว่าเป็นเบาหวาน คิดว่าครั้งนี้คงเป็นครั้งสุดท้ายก่อนคลอด

คราวนี้เจ้าหน้าที่ใจดีพรินท์รูปออกมาให้หลายรูป แต่ว่าที่พอดูรู้เรื่องมีอยู่แค่ 3-4 รูปเอง


รูปนี้เป็นส่วนนึงของหน้า เห็นจมูกกับปาก เหมือนโผล่มาจากเสื้อแบบมีฮู้ด แล้วก็มีมือบังตา ที่จริงตอนถ่ายเห็นตัวเล็กขยับปากกินน้ำคร่ำใหญ่เลยด้วย


รูปนี้คล้ายๆรูปแรก เห็นจมูกปาก แล้วก็นิ้วก้อย

นอกจากถ่ายรูปหน้าแล้วเจ้าหน้าที่ก็วัดขนาดอวัยวะต่างๆด้วย ได้เห็นหัวใจ 4 ห้องเต้นตุบๆ หัวใจตอนนี้มีรูปร่างเหมือนหัวใจผู้ใหญ่เลย ทำให้นึกไปถึงตอนที่ไปทำอุลตร้าซาวตอน 7W ตอนนั้นหัวใจเป็นแค่จุดเล็กๆกระพริบๆ พ่อกับแม่มองไม่เห็นด้วยซ้ำ ได้แต่เชื่อพยาบาลว่าหัวใจเต้นอยู่ (กร๊าก)

หลังจากที่เจ้าหน้าที่วัดอะไรๆเสร็จ เครื่องก็คำนวณน้ำหนักออกมาว่าประมาณ 6 ปอนด์กับ 3 ออนซ์ (ประมาณ 2800 กรัม) แต่ความคลาดเคลื่อนค่อนข้างมาก น้ำหนักจริงอาจจะมากกว่าหรือน้อยกว่านี้ถึง 15 ออนซ์ สรุปแล้วอยู่ในช่วง 2400-3200 กรัม

ได้เห็นหน้านิดๆแบบนี้ยิ่งรู้สึกอยากเจอหน้าเร็วๆมากขึ้นอีก ตื่นเต้นดีจัง

ส่วนตัวเราช่วงนี้เดินไม่ค่อยไหวแล้ว เพราะเด็กเอาหัวลงมาต่ำ เดินแล้วรู้สึกหน่วงๆถ่วงๆบอกไม่ถูก แต่ก็ยังเหลืออีกตั้งหลายอาทิตย์




 

Create Date : 10 ธันวาคม 2551   
Last Update : 10 ธันวาคม 2551 8:13:46 น.   
Counter : 1224 Pageviews.  

ลูกโป่งบอกลาง?

เมื่อสองสามวันก่อนเกิดเรื่องประหลาดที่่บ้านเราอีกแล้ว

คือที่บ้านมีพวงลูกโป่งไมล่าร์ที่เป็นสีเงินๆเขียนว่า It's a boy! ซึ่งเราเอาติดกลับบ้านมาจากงานเบบี้ชาวเว่อร์ตั้งแต่ต้นเดือนที่แล้ว จนป่านนี้มันก็ยังลอยดีอยู่ พวกเราก็ทิ้งมันให้ลอยอยู่ติดเพดานห้องนั่งเล่นที่ชั้นสอง มันก็อยู่แถวๆตรงนั้นมาตลอดไม่ได้ลอยไปไหน

แต่ที่นี้เมื่ออาทิตย์ที่แล้วอีริคกลับบ้านมาตอนเย็น เดินขึ้นไปห้องนอนซึ่งอยู่ชั้นสาม ถึงได้เห็นว่าไอ้พวงลูกโป่งนี้มันขึ้นมาจอดอยู่ที่พื้นอยู่ตรงข้างเตียงนอนเราตรงฝั่งอีริค แถมยังอยู่ติดกับโต๊ะที่อีริควางนาฬิกาข้อมือที่มีเรื่องประหลาดไปเมื่อคราวก่อน(อ่านได้ี่ ที่นี่)

ที่ประหลาดก็คือ มันขึ้นมาอยู่ในห้องนอนเราได้ยังไง ในเมื่อมันต้องเลี้ยวทั้งหมด 4 ครั้งจากตำแหน่งที่มันเคยอยู่ แถมต้องขึ้นบันไดด้วย จะว่าลมพัดก็ไม่นาใช่ เพราะว่าช่วงนี้อากาศหนาวเราก็ปิดหน้าต่างไว้ตลอด ถ้าจะมีก็คือลมจากฮีทเตอร์ที่เปิดทิ้งไว้ทั้งวัน แต่บริเวณบันไดก็ไม่มีช่องลมฮีทเตอร์ มันก็ไม่น่าจะลอยมาได้ตลอดทาง แล้วก็อย่างที่เล่าไปแล้วนั่นแหละ มันอยู่ที่เดิมของมันมาได้ตั้งเกือบเดือน ทำไมอยู่ๆถึงได้ลอยมาเยี่ยมห้องนอนเราแบบนี้

เป็นอันว่าแอบขนลุกขนพองกันเล็กน้อย อีริคบอกว่าอาจจะเป็นลางว่าเบบี้กำลังจะมาใช้ห้องนอนเราแล้ว ส่วนอาดัมน้องของอีริคมั่นใจว่าเป็นคุณพ่อที่เสียไปแล้ว(ที่มาเล่นนาฬิกาคราวที่แล้ว)มาบอกใบ้ว่าจะช่วยปกป้องดูแลพวกเรา และการที่ลูกโป่งไปงไปอยู่่่ฝั่งอีริคแสดงว่าเป็นวิญญาณญาิติฝั่งอีริคกับเล่นคำว่า on your side ที่แปลว่าจะช่วยกัน... เราบอกว่าหรือจะแปลว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับเรา แล้วอีริคต้องดูแลลูกคนเดียว ลูกโป่งถึงไปอยู๋ข้างเค้า อีริคบอกว่าพูดไรไม่รู้ ไม่ดีนะ... อ่าวก็ต้องลองคิดดูหลายๆแบบไง จริงๆคือเราไม่อยากให้มีเรื่องพวกนี้ในบ้านเล้ยยยย สยอง

-------
เล่าเรื่องไปหาหมอมาดีกว่า

เดี๋ยวนี้ต้องไปทุกอาทิตย์แล้วเพราะชักใกล้วันคลอดมากขึ้น หมอชมว่าคุมอาหารได้ดี น้ำตาลไม่ค่อยกระฉูดทั้งๆที่ไม่ได้ใช้อินซูลิน ดีใจ๊ดีใจ แล้วคุณหมอก็คลำท้องเราแล้วคอนเฟิร์มว่าเด็กเอาหัวลงแล้ว เราก็ดีใจอีก อย่างน้อยก็มีเหตุผลให้ต้องผ่าคลอดน้อยลงไปอีกหนึ่งเรื่อง

แล้วคุณหมอวัดท้องเรา แล้วก็บอกว่าเด็กตัวขนาดมาตรฐาน(ฝรั่ง)เปี๊ยบเลย แต่ว่าพอมาอยู่ในตัวเราซึ่งสูงแค่ 150 ซม.ก็กลายเป็นค่อนข้างใหญ่นะ... เฮ้อ นึกแล้วเชียว... แต่คุณหมอบอกว่าถ้าต่อไปนี้คุมน้ำหนักไม่ให้ขึ้นเลย ก็คงจะไม่เป็นไร

โหย จะคุมน้ำหนักยังไงละเนี่ย เราก็ขึ้นอาทิตย์ละครึ่งกิโลมาตั้งแต่ 13W โน่นแน่ะ แล้วช่วงนี้ต้องคุมน้ำตาล กับเหม็นหัวหอม(ยังแอบไม่เลิกแพ้ท้องอีก) ก็กินยากมากอยู่แล้ว จะคุมได้เหรอเนี่ย เฮ้อ

วันจันทร์นี้จะไปทำอัลตร้าซาว คิดว่าคงเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว แล้วจะมาเล่าความคืบหน้าอีกทีค่ะ




 

Create Date : 07 ธันวาคม 2551   
Last Update : 7 ธันวาคม 2551 17:21:59 น.   
Counter : 459 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  

Oreo's Mama
Location :
กรุงเทพ Virginia United States

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Lilypie Second Birthday tickers
[Add Oreo's Mama's blog to your web]