|
เครื่องปลูกกล้วยไม้
แบ่งเป็น ๒ กลุ่ม คือ
๑. ชนิดที่ดูดซับน้ำได้มาก เหมาะสำหรับใช้ปลูกในแหล่งที่มีฝนตกน้อย ต้องรดน้ำทั้งเกือบตลอดปีเพื่อช่วยเก็บความชื้นโดยเฉพาะในฤดูแล้ง ได้แก่ กาบมะพร้าว ออสมันด้าควรเลือกใช้กาบที่แก่จัด ซึ่งจะผุช้ากว่ากาบจากผลไม่แก่ใช้งานได้ดีในช่วง ๒ ปีแรก หลังจากนั้นจะเริ่มผุ กาบมะพร้าวเมื่อผุจะอมน้ำ เกิดตระไคร่ และเชื้อราทำให้ผุเร็วยิ่งขึ้น และมีการสะสมของแร่ธาตุ และปุ๋ยที่รดมากเกินไป ทำให้เป็นพิษต่อระบบราก
๒. ชนิดที่ดูดซับน้ำได้น้อย สำหรับกล้วยไม้ที่ชอบเครื่องปลูกที่แห้งเร็ว ถ้าเครื่องปลูกอมน้ำ จะทำให้เน่าได้ง่าย หรือเหมาะสำหรับการปลูกในท้องถิ่นที่มีฝนตกชุก เครื่องปลูกนี้ได้แก่ ถ่าน เศษกระถางดินเผา หิน หินภูเขาไฟ หรือปลูกลงในกระถางเปล่า
*การปลูกกล้วยไม้ในภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคอีสาน บริเวณที่ไม่มีฝนตกชุกติดต่อกันนานหลายวัน ควรใช้กาบมะพร้าว ถ้าเป็นที่ฝนตกชุกมาก ควรจัดวางให้กาบมะพร้าวระเหยน้ำได้มาก หรือทำหลังคากันฝน หรือเลือกใช้เครื่องปลูกชนิดอื่นที่ไม่อมน้ำ
เครื่องปลูกที่นิยมใช้ ได้แก่ ออสมันด้า กาบมะพร้าว โฟม ถ่าน ทรายหยาบ และหินเกล็ด อิฐหัก หรือ เศษกระถางดินเผา
Create Date : 19 กุมภาพันธ์ 2550 | | |
Last Update : 19 กุมภาพันธ์ 2550 15:41:44 น. |
Counter : 934 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
เครื่องปลูกกับระบบราก
การเลือกใช้เครื่องปลูกนั้น ต้องเลือกให้เหมาะสมกับระบบรากของกล้วยไม้ ดังนี้
๑. กล้วยไม้อากาศ ( Epiphytic Orchid ) เป็นต้นที่พบเกาะอยู่บนคบไม้ หรือบนแผ่นหิน มี ๒ ประเภท คือ
๑.๑ รากอากาศ - มีรากขนาดใหญ่ยาว อาจยาวได้มากกว่าเมตร รากออกจากข้อตามลำต้น ได้แก่ กล้วยไม้สกุลแวนด้า ช้าง เอื้องกุหลาบ เข็ม พบเกาะบนคบไม้สูง รากย้อยลงมากกลางอากาศมีเพียงบางรากที่เกาะกับต้นไม้เพื่อยึดต้นไม่ให้ร่วงลงมา การปลูกกล้วยไม้เหล่านี้ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องปลูก ปลูกต้นในกระเช้าไม้ หรือพลาสติก หรือผูกให้ห้อยอยู่กลางอากาศ รดน้ำ และปุ๋ยให้พอเหมาะ รากจะออกมาจำนวนมาก และต้นเจริญเติบโตได้ดี
๑.๒ รากกึ่งอากาศ - รากมีขนาดเล็กกว่ารากอากาศ รากออกจากเหง้าที่แนบชิดกิ่งไม้ หรือเครื่องปลูก ได้แก่ สกุลหวายออนซิเดียม แคทลียา รากจะเจริญลงไปในเครื่องปลูกเนื่องจากต้องการความชื้นมากกว่ารากอากาศ จึงต้องปลูกบนกาบมะพร้าว หรือ ถ่าน
กล้วยไม้ป่าสกุลหวาย ควรหุ้มรากด้วยกาบมะพร้าว ก่อนปลูกลงในกระถาง หรือเกาะบนท่อนไม้โดยรัดโคนต้นไม้ และรากให้ชิดกับท่อนไม้ เมื่อรากเกาะเครื่องปลูกดีแล้ว จึงเริ่มเจริญเติบโตและออกดอก
กล้วยไม้ดิน (Ground Orchid ) เจริญได้ดีในเครื่องปลูกที่ใช้ดิน รากของกล้วยไม้ดินคล้ายรากว่านสี่ทิศ บางชนิดมีรากขนอ่อนตามธรรมชาติพบกล้วยไม้ดินขึ้นบนกองใบไม้ผุ แผ่นหิน หรือซอกหิน หรือพบบนพื้นป่าที่มีใบไม้ผุผสมดินร่วนปนทรายบนแผ่นหินที่มีการระบายน้ำดีมาก นักกล้วยไม้บางคนได้จัดแบ่งให้รองเท้านารีเป็นพวกรากกึ่งดิน เพราะมีรากขนาดใหญ่กว่า และจัดพวกช้างผสมโขลง คาลันเธ ว่านน้ำทอง เป็นพวกรากดิน
กล้วยไม้ดินเหล่านี้ จะขึ้นอยู่บนแผ่นหิน หรือซอกหิน หลังฝนตกถึงน้ำไม่ขังแต่พวกอินทรีย์วัตถุจะช่วยเก็บความชื้นไว้ได้ การปลูกต้องเลือกเครื่องปลูกที่ระบายน้ำดีร่วนซุย เช่นทรายหยาบ ถ่านแกลบสำหรับรองเท้านารีที่มีแหล่งกำเนิดบนเขาหินปูน ควรใส่หินเกล็ด เศษหินปูนผสมลงไป ส่วนกระถางที่ใช้ต้องเก็บความชื้นได้ดี และระบายน้ำได้ดี การวางบนโต๊ะจึงเหมาะที่สุด
Create Date : 19 กุมภาพันธ์ 2550 | | |
Last Update : 19 กุมภาพันธ์ 2550 15:32:44 น. |
Counter : 311 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
น้ำ เรื่องง่ายๆ ที่ต้องรู้
ต้นกล้วยไม้มีน้ำเป็นส่วนประกอบร้อยละ ๙๐ และน้ำเป็นส่วนสำคัญในทุกกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโต ทั้งการสร้าง และลำเลียงอาหารไปใช้ในการสร้างต้น ใบ ราก และดอก
คุณภาพน้ำ น้ำที่ใช้รดกล้วยไม้ควรเป็นน้ำสะอาด แบ่งน้ำดังนี้ ค่ากรดด่าง (pH) ควรอยู่ระหว่าง pH 6 7 น้ำฝน - ใช้ได้ดี น้ำประปา - ใช้ได้ดี ควรทิ้งไว้กลางแดด ๒ วัน เพื่อลดปริมาณคลอรีน น้ำจากคลอง แม่น้ำ - ใช้ได้ดี แต่ควรทำให้ตกตะกอนทำให้ใสเสียก่อน น้ำบาดาล น้ำจากน้ำตก - ใช้ได้ไม่ดี เพราะมีปริมาณเกลือแร่สูง โดยเฉพาะมีเกลือแคลเซียม และโซเดียมในปริมาณสูง ซึ่งเป็นพิษต่อกล้วยไม้
การให้น้ำ รดน้ำในช่วงเช้าก่อนแดดจัด ประมาณ ๖:๐๐ ๙:๐๐ นาฬิกา วันละ ๑ ครั้ง ถ้าวันไหน อากาศร้อน หรือแห้งมากๆ อาจรดน้ำครั้งที่ ๒ ในตอนบ่าย-เย็น เพิ่มอีก รดน้ำให้เปียกชุ่มทั้งใบ ต้น ราก และเครื่องปลูก ( รดน้ำอย่าให้โดนดอก ดอกจะได้อยู่กับเรานาน ๆ) ในฤดูฝน ถ้าเครื่องปลูกยังเปียกชุ่มอยู่ไม่จำเป็นต้องรดน้ำ ปลูกในปริมาณน้อยไม่กี่ต้น ใช้บัวรดน้ำ หรือฉีดพ่นน้ำประปาจากสายยางโดยตรง อย่าฉีดแรง เพราะจะทำให้กล้วยไม้ช้ำ หรือกระเด็นออกจากเครื่องปลูกได้ ปลูกจำนวนมาก ให้ใช้เครื่องปั้มน้ำ ต่อสายยาง และติดหัวฉีดให้น้ำกระจายแผ่ออกอย่างทั่วถึง
ข้อควรระวัง รดน้ำช่วงบ่าย-เย็น ก่อนที่จะรดน้ำ ควรเปิดน้ำไล่น้ำอุ่นที่ค้างอยู่ในสายยาง หรือท่อน้ำก่อน เพราะน้ำที่ร้อนเกินไปจะทำอันตรายกับกล้วยไม้ได้ ถ้าฝนทิ้งช่วงนาน ซาแลนที่คลุมหลังคาจะมีฝุ่นจับเยอะ เมื่อฝนตก น้ำฝนจะชะล้างฝุ่น สิ่งสกปรกซึ่งเป็นพิษ ลงมาเกาะที่ใบกล้วยไม้ ให้รีบรดน้ำอีกครั้งเพื่อล้างสิ่งสกปรกออก
Create Date : 19 กุมภาพันธ์ 2550 | | |
Last Update : 20 กุมภาพันธ์ 2550 16:10:53 น. |
Counter : 238 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
ปุ๋ยกับชนิดของกล้วยไม้
กล้วยไม้แต่ละขนิดตอบสนองต่อการรับปุ๋ยต่างกัน ดังนี้
๑. พันธุ์กล้วยไม้ กล้วยไม้ป่า ต้องการปุ๋ยเจือจางเดือนละครั้ง กล้วยไม้ลูกผสม ต้องการปุ๋ยปริมาณมาก ถ้าเป็นต้นที่มีการเจริญเติบโตตลอดปี และดอกดก ยิ่งต้องการปุ๋ยมาก ถ้าได้รับปุ๋ยไม่เพียงพอ ต้นจะโตช้า และออกดอกน้อย ช่อดอกไม่สมบูรณ์
๒. อายุต้น ลูกกล้วยไม้ ต้องใช้ปุ๋ยสูตรที่ช่วยให้ต้นมีการเจริญเติบโตดี หรือมี N: ไนโตรเจน สูง(สูตรหน้าสูง) กล้วยไม้รุ่น ใกล้ออกดอก ใช้สูตรที่เร่งให้ต้นโต ออกดอก ต้องมีธาตุอาหารครบในปริมาณเท่ากัน(สูตรเสมอ) กล้วยไม้ออกดอกแล้ว ต้นมีขนาดใหญ่ พร้อมที่จะออกดอกใหม่ตลอด ขณะเดียวกันต้องมีการเจริญเติบโตทางต้นด้วย ต้องให้ปุ๋ยทั้งเร่งการออกดอก(สูตรกลางสูง) และการเจริญเติบโตทางต้น
๓. ขนาดต้น ต้นไม้ที่โตเต็มที่แล้ว แต่ขนาดต้นไม่เท่ากัน ต้องการปริมาณปุ๋ยต่างกัน - ต้นเล็ก ต้องการปุ๋ยน้อย - ต้นใหญ่ กอใหญ่ ต้องการปุ๋ยมาก
๔. วัฏจักรการเจริญเติบโต การให้ปุ๋ยควรพิจารณาจากวัฏจักรการเจริญเติบโตของกล้วยไม้แต่ละชนิด - พวกออกดอกตามฤดูกาล ปีละครั้ง ได้แก่พวกกล้วยไม้ป่า หรือลูกผสมบางชนิด กล้วยไม้เหล่านี้เกือบตลอดปีจะมีการเจริญเติบโตทางต้น และใบควรให้ปุ๋ยดังนี้ ปุ๋ยสูตรเสมอ ๒๑-๒๑-๒๑ เพื่อการเจริญเติบโตตลอดปี หรือช่วงกล้วยไม้พักตัว ปุ๋ยสูตรเร่งดอก(กลางสูง) ๑๐-๕๑-๑๗ เมื่ออยู่ในช่วงก่อนผลิตุ่มดอก จึงสลับใช้ปุ๋ยกลางสูง หลังจากผลิดอก ก็สลับมาใช้สูตรเสมอเหมือนเดิม
เช่น กล้วยไม้ช้าง มีการเจริญเติบโตทางใบในฤดูร้อน และฝน - กลาง/ปลายฤดูฝน ให้ปุ๋ยสูงเร่งดอก (ตัวกลางสูง) - เดือนตุลาคม พฤศจิกายน ผลิตุ่มดอกให้เห็น ให้ปุ๋ยสูตรเร่งดอก (ตัวกลางสูง) - เดือนธันวาคม กุมภาพันธ์ อากาศเย็นลงช่อดอกจะยืด และแจกดอกดอกบาน ให้ปุ๋ยสูตรเสมอ จนถึงฤดูฝนถัดไป (กล้วยไม้บางพันธุ์อาจใช้สูตรหน้าสูง ช่วงหลังจากพักตัว/ดอกร่วง สัก ๑-๒ เดือนก็ได้) กล้วยไม้หลายชนิดมีการเจริญเติบโตในช่วงฤดูฝน พักตัวและพัฒนาดอกในช่วงฤดูหนาวผลิช่อดอก และดอกบานในช่วงฤดูร้อน เช่นเอื้องกุหลาบ เข็ม กล้วยไม้สกุลหวาย
- พวกออกดอกตลอดทั้งปี ได้แก่ กล้วยไม้ลูกผสมที่คัดเลือกมาปลูกเป็นการค้าเพื่อตัดดอก หรือ ปลูกเป็นกล้วยไม้ในกระถาง บางพันธุ์ออกดอกดกมาก หลังตัดช่อดอกออกไปก็ผลิช่อดอกใหม่ บางพันธุ์ทิ้งระยะก่อนผลิช่อใหม่ กล้วยไม้เหล่านี้ต้องการปุ๋ยในปริมาณมาก ถ้าได้รับปุ๋ยไม่พอ ต้นจะไม่สมบูรณ์ออกดอกน้อยลง
กล้วยไม้สกุลแวนด้า และแวนด้าลูกผสมจะชะงักการออกดอกมากกว่า เนื่องจากมีเพียงใบที่สะสมอาหารเท่านั้น สำหรับพวกที่มีการเจริญเติบโตเป็นกอ เช่นหวาย ออนซิเดียม มีต้นหลายลำ อาหารสะสมมีมาก การขาดปุ๋ยในระยะสั้นๆ จะมีผลกระทบน้อยกว่า กล้วยไม้กลุ่มนี้ การให้ปุ๋ยสูตรเสมอ สลับสูตรเร่งดอกในช่วงก่อนออกดอก จะช่วยให้มีการเจริญเติบโตดี และออกดอกดก ดอกได้คุณภาพ
Create Date : 19 กุมภาพันธ์ 2550 | | |
Last Update : 21 กุมภาพันธ์ 2550 15:37:07 น. |
Counter : 448 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
ปุ๋ยกับโรงเรือน และสภาพแวดล้อม
สภาพแวดล้อมที่ดี คือความเข้มของแสงแดด อุณหภูมิและความชื้นที่เหมาะสม
ความเข้มของแสงแดด และการระบายอากาศ ความเข้มของแสงแดดครึ่งหนึ่งของปกติ จะเหมาะกับการเจริญเติบโตของต้นกล้วยไม้ และต้องได้แสงนานเต็มวันเพื่อการเจริญเติบโตทางต้น และการออกดอก ถ้าต้นได้รับแสงแดดเพียงพอและมีการระบายอากาศดี จะยิ่งมีประสิทธิภาพในการใช้ปุ๋ยต้นจะแข็งแรง และดอกดก
ฤดูกาล ฤดูหนาว อุณหภูมิต่ำ ต้นกล้วยไม้มีการเจริญเติบโตน้อยกว่าปกติ ถ้าต่ำกว่า ๑๐ องศา C.และความชื้นสัมพัทธ์ต่ำมาก ต้นจะฟักตัว มีหลายชนิดที่ทิ้งใบ ไม่ออกดอก ควรลดปริมาณปุ๋ยลง ฤดูร้อน เป็นช่วงที่ต้นมีการเจริญเติบโต อากาศอบอุ่นหลังผ่านช่วงอากาศหนาวเย็น ความชื่นในอากาศสูงขึ้น เหมาะกับการเจริญเติบโต ควรเร่งปุ๋ยในอัตราที่สูงกว่าปกติ ฤดูฝน เป็นช่วงที่ต้นมีการเจริญเติบโตดีมากแต่ค่อนข้างอวบน้ำ และได้รับ N: ไนโตรเจนจากน้ำฝนในรูปของไนเตรท ในปริมาณมาก ถ้าได้รับปุ๋ยมาก จะทำให้ต้นอ่อนแอ เน่าได้ง่าย
Create Date : 19 กุมภาพันธ์ 2550 | | |
Last Update : 19 กุมภาพันธ์ 2550 13:28:56 น. |
Counter : 225 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|