เรียนภาษาญี่ปุ่นด้วยตัวเอง2 เรียนแบบนี้หรือแบบไหน
เคยเขียนบอลกนี้ไว้เมื่อหลายปีก่อนค่ะ สมัยเปิดเพจใหม่ๆ มีเพื่อนๆมากด 60-70ไลค์ ก็ดีใจแทบแย่แล้ว ตอนนี้ 5,000กว่าไลค์แล้ว ก็เลยอยากแก้ไขปรับปรุงข้อมูลให้ปัจจุบันขึ้นน่ะค่ะ
แนะนำการเรียนภาษาญี่ปุ่นด้วยตัวเอง ก่อนอื่นต้องขอเกริ่นพื้นเพของเจ้าของบลอกนะคะ ตอนนี้อายุ 26 ปีค่ะ สละโสดให้หนุ่มปักกิ่งไปเรียบร้อยแล้ว เคยเป็นล่ามภาษาจีน1ปี ปัจจุบันสอนภาษาญี่ปุ่นให้กับนักศึกษาฝึกงานประเทศญี่ปุ่นเข้าปีที่4แล้วค่ะ เดิมเป็นลูกมังกรเมืองสี่แคว เกิด-โต-ศึกษาจบม.ปลายศิลป์ภาษาจีน ที่นั่นค่ะ ถึงแม้ชีวิตจะผกผันให้ต้องมาเป็นลูกสิงค์ทอง ม.เปลวเทียนให้แสงฯ แต่ก็ยังสนใจและรักภาษาจีนอยู่ ก็เลยหาเรียนเสริมตามสถาบันภาษาที่มีอยู่มากมายในกรุงเทพ แถมยังพลัดผรูได้ทำงานโรงเรียนสอนภาษากับเจ้านายใต้หวัน ทำให้ใช้ภาษาจีนที่เรียนสื่อสารได้ดีขึ้นระดับนึง ... หลังจากนั้นจึงเริ่งเรียนภาษาญี่ปุ่นค่ะ ที่อยากทำบลอกนี้ขึ้นมาเพราะ เคยเขียนบลอกเรียนภาษาญี่ปุ่นด้วยตนเองไว้ครั้งนึง แล้วได้รับคอมเม้นมากกว่าที่คาดไว้ ทุกคอมเม้นเป็นกำลังใจ ยามเราเหนื่อย เราท้อ ได้อย่างดี ขอบคุณทุกคอมเม้นจริงๆ ค่ะ มีบางส่วนฝากเมลและขอคำแนะนำเรามา แต่เราก็ไม่มีเวลามาตอบและคุยด้วยกันเลยซักที (จริงๆก็อยากมีเพื่อนเรียนที่ด้วยตนเองเยอะๆนะคะ จะได้แชร์ความรู้กัน) ก็เลยอยากสละเวลามาเขียนแนะนำเอาไว้ตรงนี้เลย (จริงๆจะว่าแนะนำอย่างเดียวก็ไม่ใช่ ออกแนวแฉเรื่องของตัวเองมากกว่า ) ถือซะว่าเป็นงานอดิเรกด้วยแหละ ชอบเขียนค่ะ ส่วนจะเชื่อไม่เชื่อก็โปรดใช้วิจรณญานในการรับชมนะคะ เพราะไม่ใช่คนที่เก่งภาษาญี่ปุ่นที่สุด เป็นเพียงแค่คนที่รักและทุ่มเทให้กับภาษาญี่ปุ่นอย่างสุดชีวิตเท่านั้นเองค่ะ
แรงบัลดาลใจในการเรียนภาษาญี่ปุ่น ตอนที่เรียนภาษาจีนน่ะไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่า แค่อยากพูดอีกภาษาได้ เท่ห์ๆ วันนึงเมื่อ8ปีที่แล้วเรานั่งอ่านคู่มือลักษณะนามภาษาจีนบนบีทีเอส มีหนุ่มวัยกลางคนข้างๆแอบมองเราอ่านอะไร แล้วชวนเราคุยว่า เรียนภาษาญี่ปุ่นอยู่หรอ ดีนะ งานภาษาญี่ปุ่นเงินเดือนสูง เราก็บอก เอ่อ...นี่ภาษาจีนค่ะ เค้าก็อ่ะทำไมไม่เรียนภาษาญี่ปุ่นล่ะ บริษัทญี่ปุ่นรับคนไทยเยอะ เงินเดือนสูงมากๆ เราก็ ค่ะ ไม่ได้พูดอะไรต่อ คิดในใจ แค่ ตานี่..จะมาชวนคุยเราคุยทำไมเนี่ย แล้วก้ไม่ได้ติดใจเรื่องที่เค้าพูดอีก จนมาวันนึงรู้จักกับล่ามญี่ปุ่นคนนึง พูดจีนได้ดี ภาษาญี่ปุ่นก็เก่งมาก เราทึ่งในความสามารถของเค้า อยากเก่งเหมือนเค้า มีคนแนะนำมาด้วยว่า คนจีนเรียนภาษาญี่ปุ่นเร็ว เราเองมีความรู้จีนค่อนข้างดี มันก็น่าจะเรียนง่ายเป็นเร็วเหมือนกัน หลายๆเหตุผลที่ว่ามาก็ค่อยๆทำให้เราอยากเรียนภาษาญี่ปุ่น แต่ตอนนั้นรู้สึกว่าค่าเรียนมันแพง พยายามเจียดตังแต่ก็ไม่พอ พ่อแม่ก็ไม่มีเงินมากองให้ ก็เลยหาตามเน็ทมีพี่ๆใจดีๆ มาเขียนสอนภาษาญี่ปุ่นมากมาย หาหนังสือมาอ่านเรื่อยๆ แล้วค่อยๆอินกับภาษาญี่ปุ่นเรื่อยๆ รู้สึกสนุก ที่เห็นความต่างระหว่างอักษรจีน และคันจิของญี่ปุ่น เพลินไปกับการได้อ่านได้รู้วัฒนธรรม ประเพณีของเค้า ทำให้ทุกครั้งที่หยิบหนังสือขึ้นมาอ่านเกิดจากความอยากอ่านอยากรู้ของตัวเองล้วนๆ และก็เรียนเองด้วยความสุขมาตลอดค่ะ
อุปสรรค์ที่ต้องสู้ เราพื้นเพเป็นเด็กรากหญ้าต่างจังหวัด ฐานะไม่นับว่าดี โชคดีเท่าไหร่แล้วที่พ่อแม่มีปัญญาพอส่งเรียน จากความลำบาก ทำให้เรามีลัษณะนิสัยวาดฝัน ไขว้คว้า ทะเยอะทยาน ไม่อยากจะเป็นแบบนั้นไปตลอดชีวิต (เกิดที่ต่ำ แต่ใฝ่ที่สูงอ่ะ ว่าง่ายๆโน๊ะ) แม่และครูพร่ำสอนมาตลอดว่า ถ้าเราตั้งใจเรียนโตขึ้นจะสบาย ก็เลยกลายเป็นเด็กค่อนข้างจะรักเรียน รู้ว่าตัวเองถนัดศิลปะและภาษา สนใจภาษาอังกฤษบ้าง จีนบ้าง ก็คิดแบบเด็กๆมาเองตลอดล่ะค่ะว่า ถ้าเรียนภาษาต่างประเทศซักวันเราคงได้ไปต่างประเทศกับเค้าบ้างล่ะ แต่ก็อีกแหละค่ะ เข้าสู่วงการการศึกษาภาษาต่างประเทศ ก็ได้เจอคนต่างๆมากมาย อดน้อยเนื้อต่ำใจไม่ได้ ว่าทำไมเราไม่มีเงินเข้าเรียนคอร์สของสถาบันดังๆบ้างนะ ทำไม่พ่อแม่ไม่ส่งไปเรียนภาษาซัมเมอร์ หรือส่งไปเรียนต่อประเทศนู้นนี้ เหมือนคนอื่นๆ นะ ยอมรับว่าน้อยใจค่ะ ที่ขาดโอกาศดีๆเหมือนคนอื่น
ความลำบากสอนเราให้แกร่งได้ เราเป็นคนชอบมองข้างหน้า มองไกล มองสูงค่ะ เราไม่เคยดูถูกคนที่อยู่ในสภาพที่แย่กว่าเรา เราไม่เคยคิดว่าตัวเองดี-สวย-รวยหรือเก่งกว่าคนอื่น แต่เรามักจะมองคนที่สูงกว่า ดีกว่า เก่งกว่าเรา เพราะถ้าไปดูถูกคนอื่น มัวแต่ทะนงตัวเอง ตัวเราเองแหละที่เสียหาย เราจะนิ่งกับที่ ไม่ไขว่คว้าขวนขวาย แต่ถ้ามองขึ้นไปข้างบนอีกขั้นนึง เราจะเห็นอะไรที่กว้างออกไป แล้วพยายามถีบตัวเองขึ้นไป ยอมรับว่า เคยร้องไห้ อิจฉา โทษพ่อโทษแม่ โทษชะตาชีวิตตัวเอง พร่ำถามตัวเองว่าทำไมไม่เกิดมารวย สวย ฉลาด มีโอกาศดีๆอย่างคนนั้นคนนี้ แต่ตอนนี้เราไม่คิดอย่างนั้นแล้วหล่ะค่ะ ยอมรับที่ตัวเองเป็นให้ได้ก่อน มองหาปัญหาอุปสรรค์ และหนทางแก้ไข สู้กับมันค่ะ (ออกแนวธรรมมะแล้ว55) จนๆก็ดีอีกแบบ คนรวยมาแต่เกิด มีเงินมากจะใช้จะจ่ายก็ไม่ต้องคิด เรานั้นเงินน้อยต้องคิดมากกว่าคนอื่น ก็ดีฝึกให้เรามีสติ และรอบครอบได้ดีเลยค่ะ ไม่ฉลาด ก็ต้องอึดต้องขยัน จำคำศัพท์ไม่ได้ก็คัดก็เขียน อ่านและท่องให้มากกว่าคนอื่น คนที่เค้าฉลาดดีเก่งแล้ว เค้าอยู่เฉยๆได้ ถ้าเราไม่อยากอยู่กับที่เราต้องออกแรงก้าว เวลาที่เผลอไปทำเรื่องไร้สาระอย่างอื่นก็ฉุกคิดขึ้นมาบ้างว่า ตอนนี้คนอื่นเค้าได้ไปเรียนต่างประเทศ ได้นั่งอ้าปากรอครูมาป้อนในห้องเรียนสบายๆ แล้วเราทำไรอยู่ ด้อยโอกาศกว่าคนอื่นเค้า ก็ต้องขยันกว่าคนอื่นเค้าซิ อีกอย่างนั่งอ่านหนังสือ จำศัพท์ร้อยคำพันคำ คัดอักษรสิบหน้าร้อยหน้า ถามว่าเหงื่อออก เลือดออกซักหยดมั๊ย คิดถึงพ่อแม่เราซิ งานหนัก มือด้านหน้าดำ เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย เลี้ยงเราจนป่านนี้ ขณะที่เรานั่งห้องแอร์เรียนสบายๆ พ่อแม่เราทนร้อนทนหนาวอยู่ข้างนอกนะ เราจะอยู่เฉยๆได้ไง
ก้าวเอง ทีละก้าว มาจนถึงวันนี้ คิดว่าอยากเรียนภาษาญี่ปุ่นก็เริ่มเองทันทีเลยค่ะ - สิ่งแรกที่ทำไม่ได้หาครูสอน หรือหาที่เรียนหรอกนะคะ (ก็แบบว่ารู้ว่ายังไงก็ไม่มีเงินจ่ายน่ะ) ที่ทำคือ เสิร์ทหาในกูเกิลว่า เรียนภาษาญี่ปุ่น สอนภาญี่ปุ่นพื้นฐานเจออะไรก็ปริ้นออกมาอ่านค่ะ พอรู้หลักกว้างๆของภาษาญี่ปุ่น ก็หัดคัดฮิรางานะ อะอิอุเอะโอะ สองวันสามวันก็พอจะจำได้หมด เร็วมั๊ยค่ะ ความจริงมันช้ามากต่างหาก ลองคิดดูว่าเราคัดเราจำ และอยู่กับมันทั้งวัน ก่อนหลังอาหารสามมื้อ และก่อนหลังนอนเลยทีเดียว ถ้าเทียบกับคนเข้าเรียนในชั้น และคิดเป็นชั่วโมงก็ปาเข้าไปเกือบครึ่งคอร์สเลยค่ะ เราไม่ได้จัดเวลาอ่านให้ตัวเองว่าจะอ่านอาทิตย์ละกีวัน วันละกี่ชั่วโมง เราไม่ชอบการที่ อยู่เฉยๆรอเวลาเปิดตำราเรียน พอหมดเวลาเรียนที่ใครบางคนกำหนดไว้ก็ปิด วางไว้เฉยๆ ถึงเวลาก็เปิดใหม่ เราอ่านเราเรียนตามใจเราค่ะ ใจเราชอบใจเราสนุกกับมัน เราก็อ่านได้ทั้งวันเลย - หาตำราเรียนดีๆซักชุด (คือเข้าใจเองว่าตำราดีๆในที่นี้มันต้องไม่เป็นแบบเล่มเดียวจบ หรือเร่งรัดเป็นเร็วอะไรทำนองนั้น ถ้าตั้งใจจะเรียนจริงในระยะยาว มันก็น่าจะมีหนังสือที่มีเนื้อหาหลายบท หลายซีรี่มากพอให้เราเรียนได้ต่อไปนานๆโน๊ะ) ภาษาไม่ได้เรียนกัน 30 -40 ชั่วโมงแล้วเป็นจริงซักหน่อยนี่โน๊ะ กว่าจะพูดภาษาไทยได้ฉะๆอย่าทุกวันนี้ กว่าจะเขียนภาษาไทยลื่นไปได้เรื่อยๆอย่างทุกวันนี้ เราเองก็คนไทยยังใช้เวลาเป็น10-20ปีเลยโน๊ะ ฉนั้นเรียนภาษาต้องเตรียมเวลาให้เค้าด้วย ...กลับเข้าเรื่องหนังสือ หนังสือชุดที่เราเห็นว่าเหมาะที่สุดก็ มินะโน๊ะนิฮองโกะ ค่ะ มีเป็นซีรี่ นอกจากตำราเรียนที่มีวางขายตามร้านหนังสือทั่วไปแล้ว ยังมี ชุดแบบฝึกหัดการอ่าน การเขียน การฟัง ในไทยเริ่มพิมพ์จำหน่ายแล้ว... เราก็แนะนำตำราเรียนของ มินะโน๊ะนิฮองโกะ นี่แหละค่ะในนั้นมีแบบฝึกหัดให้ทำอยู่บ้าง แต่จริงๆเราเราไม่ได้ใช้หนังสือเล่มนี้เรียนหรอกนะคะ เราใช้ของจีน ค่ะ เพราะไม่อยากลืมภาษาจีน อีกอย่าง ก็หาโหลด พวกMP3 DVD และสื่อการเรียนที่มากับหนังสือชุดนี้ได้ง่ายตามเว็บจีน เราคิดว่าเรียนด้วยตนเองสื่อการเรียนต่างๆนั้นสำคัญมาก เราต้องฟังเยอะๆ ทำแบบฝึกหัดมากๆ พอได้หนังสือที่เหมาะกับตัวเองแล้ว ก็เริ่มจำที่คำศัพท์ เราจำในรูปของตัวคันจิไปเลย เพราะเขียนอักษรจีนได้ สำหรับคนส่วนใหญ่ที่ไม่เคยเรียนภาษาจีน ถ้าอยากเรียนคันจิไปด้วยก็ควรเริ่มจากตัวง่ายๆ ขีดน้อยๆก่อน แต่สังเกตุว่า ถ้าเรียนข้างนอกส่วนใหญ่ เค้าจะเอาตัวคันจิไว้เรียนกันทีหลัง เอาคำศัพท์ส่วนนึงให้ได้ก่อน อย่างงั้นก็ได้ เพราะไวยกรณ์ก็เข้าใจยากอยู่แล้ว ยัดคันจิไปแต่แรกอาจงงแล้วท้อได้ แต่หากเรียนจากตำราลักษณะอย่างที่ว่าด้วยตนเองแล้ว เริ่มบทแรก จำคำศัพท์ อ่านบทสนทนา จุดประสงค์ของบทสนทนาในแต่ละบทนั้น จะแทรกรูปประโยคหรือไวยกรณ์หลักสำคัญไว้ประมาณ 4-5 ข้อ หากเราอ่านบทสนทนาซ้ำๆจนจำได้ก็จะดีมาก หลังจากนั้นก็ลองแต่งประโยคแทนที่คำศัพท์ที่เรียนมาแล้วดู (จะหาใครมาตรวจให้ ทีนี้ก้คิดกันอีกทีละกันค่ะ...เฮ่อๆ) แล้วก็ทำแบบฝึกหัดทบทวน มอบหมายการบ้านให้ตัวเอง อยากทำมากแค่ไหนก็ตามใจเลยค่ะ อย่าลืมเทสตัวเองก่อนที่จะขึ้นบทใหม่ด้วยนะคะ เราติ๊งต๊องถึงขนาดถามเองตอบเอง สั่งการบ้านตัวเอง ทำเอง ตรวจเอง พูดอยู่คนเดียว สอนตัวเอง อธิบายให้ฟังเอง บางทีก็อัดเสียงไว้ ฟังเองก่อนนอนขำๆ ก็สนุกดีค่ะ ลองทำดูนะคะ ^^ - ถ้าเป็นคนที่ชอบขวนขวายใฝ่รู้ ก็เปิดเน็ทดูบ่อยๆ เราบ่อยสุดๆ คือเปิดหาของโหลด สื่อการเรียน เพลงบ้าง หนังบ้าง เว็บจีนมีเยอะมากค่ะ สื่อการเรียนภาษาญี่ปุ่นโหลดฟรีไม่อั้น อ่านจากที่เป็นภาษาอังกฤษบ้าง จีนบ้าง ความรู้เราก็จะกว้างออกไปอีก จะได้ไม่ลืมภาษาอังกฤษและจีนด้วย สมัยเรียนมหาลัยมีเวลาเราก็จะไปห้องสมุดเจเอฟค่ะ สมัคร100แต่มีหนังสือดีๆให้ยืมมาก็อปปี้เยอะเลย (งบน้อยคะต้องเข้าใจอย่าว่างั้นงี้เลยค่ะ เฮ่อๆ) บางทีก็นั่งอ่านหนังสือเย็นๆที่นั่น ได้เห็นคนเก่งๆ ขยันๆ เยอะ คนญี่ปุ่นก็เดินกันขวักไขว่ สร้างบรรยากาศ และแรงกระตุ้นในการเรียนให้กับตนเองดีค่ะ ถ้าใครเป็นเด็กรามลอง เปิดหาตารางเรียนดูในเว็บ แล้วก็ไปลองนั่งเนียนดู ลองเรียนดูค่ะ เราเคยทำค่ะ ลองดูดีๆบางวิชาจะมีครูญี่ปุ่นสอน เราถึงเป็นนักศึกษาราม แต่ไม่ได้เรียนเอกเค้า ก็ยังไปนั่งเรียน ว่างไม่ว่าง ฝนจะตกแดดจะร้อนก็จะไปให้ได้ เพราะชอบครูญี่ปุ่นอยู่คนนึง น่ารัก และตั้งใจสอนมากๆ เราเข้าเรียนทุกครั้ง ครูเค้าก็เข้าสอนทุกครั้งตรงเวลามากด้วย ไม่เหมือนอ.คณะเราเลยโน๊ะ แฮ่ะๆ
เมื่อคิดจะลองดึกีบภาษาญี่ปุ่น หลังจากเรียนได้ปีครึ่ง ไปสอบวัดระดับและลองดีเอาผลไปยื่นสมัครงาน ล่ามเลยค่ะ เค้าคงเห็นคะแนนสวยหรูก็รีบโทรนัดสัมภาษณ์ ในใจก็รู้ตัวเองดีนะคะ เราแค่สนทนาทั่วไปได้ ยังสนทนาเรื่องงานหรือธุรกิจอะไรไม่ได้ แต่ในเมื่อเราก็มีผลญ.สอบตามที่เค้ากำหนด และเงาของใบป.ญ.ที่ใกล้จะมาถึง (ตอนนั้นยังไม่จบ ว่าง่ายๆ) อีกอย่างคิดไปเองว่า คงเรียนรู้เอาจากงานได้ สัมภาษณ์ครั้งแรกก็ไม่ผ่านตามที่หลายคนเดาไว้ ...ตอบได้บ้าง ดำน้ำบ้าง แถมยังโดนเหน็บแนมกลับ แสบมากเลยค่ะ (รู้สึกแสบก็อีตอนกลับมานอนคิดทบทวนว่าวันนี้ทำอะไรไปบ้าง เพราะตอนเค้าว่ามายิ้มอย่างเดียว รู้มันแปลว่าไร แต่ไม่รู้ยังว่าเค้าหลอกด่า เฮ่อๆ) ว่าไปก็จริงอย่าที่เค้าพูดค่ะว่า ความรู้เราแค่เด็กประถม ความรู้แค่นี้ ยากมากนะ ไม่มีทางเป็นล่ามได้ สนใจฝ่ายผลิตมั้ยล่ะโรงงานเรามีอยู่นะ เค้าถามว่าเรียนญี่ปุ่นที่ไหน นานเท่าไหร่ ก็ตอบไปซื่อๆ ว่าเรียนเองค่ะ เรียนมา1ปีกว่าแล้ว ถ้าไม่เป็นเราคงรู้สึกว่า ปีนึงมันน้อยมาก เรียนเองด้วย คงไม่ได้อะไรมากนอกจารความรู้ที่มาจากการมั่วเอาเอง แต่ตัวเราเองอ่ะเราเข้าใจว่า ตลอด1ปีที่ผ่านมาน่ะ เราอยู่กับภาษาญี่ปุ่นทุกวัน บางวันอ่าน ท่อง คัด เล่นกับคำศัพท์ทั้งวันยังมี ถ้าจะคิดเป็นชั่วโมงแบบที่คอร์สข้างนอกคิด ก็ได้หลายปีเลยทีเดียว เราพยายามหาหนังสือเสริมอ่าน ขวนขวายหาสื่อการเรียนที่หลากหลาย จากแหล่งต่างๆ เราไม่เคยอยู่นิ่งๆรอคนมาป้อน ไม่เคยรอถึงเวลาเรียนถึงคิดจะเปิดหนังสือ เราแอคทีฟกับมันมาตลอด ที่เราตอบไปอย่างนั้นเราตอบด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้จะแสร้งทำเป็นเก่ง เพื่อให้ได้งานเลย ถ้าเค้ามองไม่เห็นความพากเพรียรของเรา ก้ไม่เป็นไร เราไม่เสียใจที่ไม่ได้งานนั้น คำพูดของเค้าก้ไม่ได้ทำให้เราท้อแท้ แต่การสัมภาษณ์ครั้งนั้นกลับเป็นบทเรียนดีๆ เป็นแรงกระตุ้นให้วันนึงเราต้องลบคำสบประมาทนั้นให้ได้
ปัญหาใหญ่ของคนเรียนด้วยตัวเอง ก็คือฟังไม่ออกพูดไม่ได้นี่แหละค่ะ ถ้าพูดไม่ได้เราก็ไม่สามารถสื่อแสองความรู้ที่เรามีอยู่ ออกมาให้คนอื่นเค้าเห็นได้ เพราะเราไม่มีครู หรือเพื่อนๆ ที่จะฝึกสนทนา หรือทำกิจกรรมด้วยกัน ซ้ำร้ายยังอยู่ในไทยบรรยากาศแบบไทยๆ ถ้าไม่เข้าไปในแหล่งคนญี่ปุ่น ก็ไม่จำเป็นที่ได้ใช้ภาษาญี่ปุ่นเลย หลังจากอกหักจากการสัมภาษณ์ครั้งนั้น ก็เป็นอันว่ารับรู้และตระหนักถึงข้อเสียของตนเองดี งั้นก็จำลองแวดล้อมเราให้เป็นญี่ปุ่น ไหนๆบ้าคนเดียวมานานแล้ว บ้าขึ้นอีกนิดก็ไม่เห็นจะเป็นไร เราโหลดเพลงโหลดหนังภาษาญี่ปุ่น มาดูเป็นประจำค่ะ ฟังไม่รู้เรื่องก็ฟังเข้าไป ใครพูดอะไรก็พอส แล้วพูดตาม บ้าบอคนเดียว คนอื่นดูด้วยไม่ได้หรอกค่ะ ฮ่าๆ (หนังส่วนมากจะใช้ภาษาเพื่อนๆ บ้านๆ ไม่เป็นทางการ ก็เลยทำให้ฟังไม่รู้เรื่อง แต่มันก็จำเป็นที่เราต้องศึกษารูปประโยคเหล่านี้ แน่นนอนเราเอาประโยคห้วนๆแบบนั้นไปพูดในที่ทำงานคงไม่น่ารักในสายตาคนญ.แน่ๆ แต่คนญี่ปุ่นด้วยกันเองเค้าพูดกันแบบนั้น เราต้องฟังให้ออก อีกอย่างในข้อสอบระดับกลางๆก็มีออกด้วย) แต่วิธีที่แน่นนอนและเห็นผลที่สุดที่จะทำให้คนเรียนด้วยตนเองพูดญี่ปุ่นได้ คือหาเพื่อนหรือแฟนคนญี่ปุ่น หลังจากอกหักจากการสัมภาษณ์ครั้งนั้น ถ้าไม่ได้งานที่ทำอยู่นี่ก่อน ก็ว่าจะหาเพื่อนญี่ปุ่นซักสองสามคนเหมือนกันค่ะ แต่พอมาทำงานไกลจากกรุงเทพด้วย ไม่ค่อยมีเวลาด้วย ทักษะการพูดช่วงนี้ก็เลยถดถอยไม่ค่อยก้าวหน้า
เราไม่มีคำแนะนำดีๆอะไรอีกแล้วค่ะ ทั้งหมดทั้งปวงนี้แค่อยากสื่อความว่า การที่จะประสบความสำเร็จในการเรียนภาษาญี่ปุ่นได้นั้น มันขึ้นอยู่กับความตั้งใจ และพลังในตัวเอง มากกว่า เห็นเยอะค่ะที่ประเภทอยากเรียนอ่ะ มีเงินจ้างครูมาสอนอ่ะ ก็ล่าหาเบอร์โทรไปถาม คุณจะสอนฉันคุณจบจากที่ไหน คุณเรียนกี่ปี คุณระดับอะไร เคยไปญี่ปุ่นหรือป่าว ทำไมคะ ทำไมไม่เอาเวลาที่เสียไปกับการที่เลือกคนมาสอน มาเริ่มลงมือเองเลยล่ะคะ หาข้อมูลด้วยตัวเอง หาสมุดปากกามาหัดคัดเลย เชื่อในความสามารถของตนเองค่ะ คิดว่าเราเองก็โตแล้วเราทำได้...แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามีครูสอนนั้นไม่ดีนะ ดีมากๆเลยล่ะคะ ถ้าเรามีโอกาสมีเงินกว่านี้เราก็อยากจ้างครูมาสอนเหมือนกัน แต่ก็อาศัยลักจำจากเค้ามาเรื่อยๆแหล่ะค่ะ นิสัยพื้นฐานของคนเรียนก็สำคัญ ถ้าเป็นคนใฝ่รู้ ขวนขวาย อึด และทนต่อความยากลำบากได้ ก็เหมาะเรียนภาษา สำหรับเราเองก็ยังไม่ถือว่าตัวเองประสบความสำเร็จแล้วหรอกค่ะ อีกไกลกว่าจะถึงเป้าหมายที่ตัวเองตั้งไว้ แต่เราก็ดีใจที่วันนั้นเรากล้าก้าว ก้าวออกมาจากคำว่าศูนย์ ก้าวผ่านมาจากวันที่ไม่รู้ภาษาญี่ปุ่นซักตัว มายืนอยู่จุดนี้ได้ด้วยแรงกายตัวเอง และกำลังใจเล็กๆจากคนรอบข้าง ถึงจะเคยพลาดเคยแพ้มาบ้าง แต่ที่ยิ้มสู้ต่อไปได้อย่างทุกวันนี้ ก็เพราะถือคติดีๆ เหล่านี้ ท่องมันไว้ค่ะ คอมเม้นเล้กน้อยทั้งติ ทั้งชม เป็นกำลังใจให้เราสู้ได้อย่างดีเลยค่ะ ขอบคุณเพื่อนๆ ทุกคนค่ะ
Create Date : 29 เมษายน 2553 | | |
Last Update : 24 มกราคม 2558 13:34:21 น. |
Counter : 10960 Pageviews. |
| |
|
|
|