Welcome to Fu*king heRE >>

Chapter of "Fly" # จากอดีตสู่ปัจจุบัน



ก่อนที่จะมาเป็น Fly ในวันนี้..พวกเขาสั่งสมประสบการณ์ ด้านดนตรีร่วมกันมานาน เริ่มจากการตั้งวงและเล่นดนตรี อยู่ที่เชียงใหม่ เมื่อมีโอกาสจึงเข้ามาเล่นในกรุงเทพฯ เล่นดนตรี อยู่ที่ผับชื่อ "นิวเคลียส"ได้ปีกว่า ก่อนที่จะย้ายไป เล่นที่โคล่า มิวสิคฮอล อีก 2 ปี หลังจากนั้นจึงย้ายไปเล่นที่ ผับในเชียงใหม่อีกครั้ง ก่อนจะกลับมาเล่นประจำที่ Hollywood Place และทำเพลง เดโมไปเสนอค่ายเทป

ปี 2539 Fly มีงานอัลบั้มแรกที่ชื่อว่า "12 ปีก" ออกมาสร้าง กระแส และพลิกสไตล์วงดนตรีร็อคในเมืองไทย ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ของแฟชั่น ภาพลักษณ์ รวมไปถึงเสียงร้องและดนตรีที่เป็นแบบฉบับ ของพวกเขา ต่อมาต้นปี 2540 พวกเขาได้นำเพลงจากอัลบั้มแรกมา เรียบเรียงใหม่และนำเสนอในแนวอะคูสติก ตามชื่ออัลบั้ม ว่า "Fly Acoustic" "แมลงเพลง" เป็นอัลบั้มที่ตามมา ในปี 2541 และล่าสุด ปี 2543 อัลบั้มต้อนรับสหัสวรรษ "Fly 2 K" ก็ออกมา อัลบั้มชุดนี้ได้รวมเอาจุดเด่นจากทุก ชุดมาไว้ด้วยกัน ทำให้เพลงมีความหลากหลาย แต่ก็ไม่ลืม ที่จะรักษาความเป็น Fly ไว้อย่างชัดเจน

จุดเด่นของ Fly นอกจากดนตรีที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งพวกเขา มีส่วนในการเขียน ทำนองและเรียบเรียงเองเกือบทุกเพลงก็คือ แนวคิดในการ นำสำนวน สุภาษิตไทยมาใช้เปรียบเทียบใน เนื้อหาเพลง ได้อย่างกลมกลืน เช่น เพลง "บัวช้ำน้ำขุ่น" "แม่งูเอ๋ย" และ"ชาวนากับงูเห่า" ทั้งนี้ต้องยกความดีให้กับคนเขียน เพลงซึ่งล้วนแต่เป็นนักแต่งเพลงแนวหน้าของเมืองไทย เสน่ห์อีกอย่างของพวกเขา คือ การแสดงบนเวทีคอนเสิร์ต ที่มีลักษณะเฉพาะตัว โดยเฉพาะน้ำเสียงและลีลาการร้อง ที่เป็นเอกลักษณ์ของ "อี๊ด" นักร้องนำของวง ล่าสุด Fly ได้ร่วมงานกับหลายศิลปินในอัลบั้ม " Rock For Life" และ "ลงเอย" พี่น้องร้องเพลง อัสนี-วสันต์ อีกด้วย และเป็นหนึ่งในศิลปินไทยที่เข้าร่วมคอนเสิร์ต Asia 2000 Music Festival ที่ประเทศไทย จัดร่วมกับญี่ปุ่น ที่เดอะมอลล์ บางกะปิ เมื่อเดือนพฤษภาคม 2543

Fly กลุ่มนักดนตรีตัวจริง..ที่ประกอบไปด้วยสมาชิก 6 คน คือ อี๊ด แจ็ค วิน ชาลี เท็น และ อ๊อฟ

เมษายน 2544 วง Fly กลับมาอีกครั้งพร้อมอัลบั้ม Flyman กับมุมมองสนุกๆที่มองสังคมไทยในปัจจุบัน เต็มไปด้วยเส้นสาย และการพึ่งพา การจะมีเพื่อนสักคนก็ต้องเป็นคนใหญ่คนโต โดยในเพลงก็คือเหล่ายอดมนุษย์ซูเปอร์ฮีโร่ที่พวกเขาชื่นชอบนั่นเอง แนวดนตรียังคงความสนุกไว้เหมือนเดิม อย่าง "ฟลายแมน (เพื่อนแบทแมน)" ที่ชื่อแปลกแต่นำเสนอได้ลึกซึ้งและสนุกสนาน "มาลงที่ผมดีกว่า" ก็สะท้อนมุมมองสไตล์คนบ้าๆบวมได้ดีทีเดียว เพลงช้าจะเพิ่มสีสันให้กับอัลบัมได้มากมาย และติดอันดับหนึ่งในหลายๆคลื่นวิทยุ อย่าง "หน้าสวยใจเสือ" ที่สื่ออารมณ์น้อยใจแต่ไร้ทางสู้ (โอ้ว) ได้น่าเห็นใจ และเพลง "รักไม่รักดูที่อะไร" ก็อีกเช่นกัน นอกจากนั้นยังมี "บอกผมทำไม" เพลงย้อนยุค 70 ที่ฟังง่าย เป็นอีกสีสันของอัลบั้มนี้

แม้ว่าปัจจุบันนี้ "อี๊ด" นักร้องนำ มาหันตัวเองไปทำงานเพลงลูกทุ่งซะแล้ว แต่วง Fly ก็ยังคงเดินหน้าต่อไป แม้สรรหานักร้องนำคนใหม่ "เอ็ด" กับอัลบัมที่คุณภาพคับถ้วยยิ่งกว่าเก่า "Modifly" ได้ออกวางแผนช่วงปี 2547 และสร้างความฮือฮาไปกับ MV ที่ดูประหลาดๆ บวกกับเพลงที่เรียกได้ว่าพัฒนาจากที่ผ่านมามากทีเดียว Line กีต้าร์มีลูกเล่นมากกว่าเดิม กลองที่ตีจังหวะหนักกว่าเดิม การเดินเบสที่ผสมกับจังหวะกลองได้ลงตัว นอกจากนั้นเสียงร้องก็นักร้องนำคนใหม่ยังละม้ายคล้ายพี่อี๊ดเราอย่างกะแกะกันมา งานชุดนี้จึงเป็นอัลบัมคุณภาพอีกอัลบัมของวงการเพลงไทยในปีนั้นเลยทีเดียว ....

--------------
>> พี่แจ็คมือกีต้าร์ของวงได้ออกอัลบัมเดี่ยว ที่โชว์กีต้าร์แจ๋วๆ โดยใช้ชื่อว่า "Jackula 1" แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร
>> พี่อี๊ดนอกจากจะร้องเพลงแล้ว ยังเล่นกลองเก่งอีกด้วย
----------------------------------




 

Create Date : 06 ตุลาคม 2549    
Last Update : 6 ตุลาคม 2549 21:48:36 น.
Counter : 4222 Pageviews.  

เผ็ดร้อนไปกับ Red Hot Chili Peppers !!!



Red Hot Chili Peppers เป็นวงร็อคชั้นดีจากคาลิฟอร์เนีย แต่โชคร้ายที่ในยุคแรก ๆ ของวงต้องเข้าไปพัวพันกับยาเสพติดตั้งแต่ต้นทศวรรษ 80 แต่ในปัจจุบันวงนี้กลายเป็นวงปลอดยา และบ้าโยคะแทน แกนหลักของวงคือ แอนโธนี่ คีดิส นักร้องนำ กับ ไมเคิล บัลซารี่ มือเบส Red Hot Chili Peppers เป็นวงจากยุค 80 ที่มีแนวทางของตัวเองอย่างเด่นชัด ๆ เพลงออกมาในแนวไฮบริด ร็อคผสมผสานพังค์ ฟังค์ แร็พ และ เมทัลเข้าด้วยกัน ซึ่งในสมัยนั้นถือเป็นเรื่องที่ใหม่มาก นอกจากนี้ยังมีลีลาการแสดงสดบนเวที ที่โลดโผน อิทธิพลของพวกเขาเห็นได้ชัดในงานของวงอย่าง Living Colour, Faith No More ไปจนถึง Linkin Park

เรื่องราวของ Red Hot Chili Peppers เริ่มต้นกันในช่วงต่อระหว่างยุค 70 และ 80 ตอนนั้นเด็กหนุ่ม 3 คน แอนโธนี่ คีดิส, ไมเคิล บัลซารี่ และ ฮิลเลล สโลแว็ค ยังเป็นนักเรียนอยู่ไฮสคูล แฟร์แฟ็กซ์ในคาลิฟอร์เนีย ในขณะที่ ไมเคิล และ ฮิลเลล ฉายแววนักเป่าทรัมเป็ตและมือกีตาร์ที่ดี แอนโธนี่ ก็ดูจะไปได้สวยกับเรื่องของโคลงกลอน บทกวี ไปจนถึงการแสดง ช่วงที่ ฮิลเลล สอน ไมเคิล เล่นเบสทั้งคู่ก็ยุให้
แอนโธนี่ เอาบทกวีมาใส่ในดนตรีที่พวกเขาเล่น งานของพวกเขาได้รับอิทธิพลจากวงพั้งค์ในแอลเอ (Black Flag, Germs, X ฯลฯ) กับวงฟั้งค์ (Parliament, Sly & The Family Stone ฯลฯ) ทั้ง 3 กับมือกลองคนใหม่ แจ็ค ไอออนส์ เคยใช้ชื่อวงหลายวงไม่ว่าจะเป็น Anthym ไปจนถึงวงชื่อยาว ๆ อย่าง Tony Flow And The Miraculously Majestic Masters Of Mayhem ที่ตระเวนเล่นโชว์ตามบาร์อะโกโก้ บนถนนซันเซ็ตในช่วงต้นยุค 80 ซึ่งกลายเป็นที่ให้พวกเขาได้พัฒนาลูกเล่นทางดนตรี และลีลาการเอ็นเตอร์เทน
บนเวที ที่กลายเป็นเอกลักษณ์ของวงได้เป็นอย่างดี (รวมถึงการขึ้นเวทีชนิดเกือบนู้ด ดีว่ายังเหลือถุงเท้าไว้ข้างกันอุจาด)

พอถึงปี 1983 ไมเคิล เริ่มเปลี่ยนมาใช้ชื่อ ฟลี ส่วนวงดนตรีก็ตัดชื่อยาว ๆ เหลือแค่ Red Hot Chili Peppers วงการเพลงเริ่มพูดถึงพวกเขา ในฐานะคลื่นลูกใหม่ที่น่าสนใจ แต่ถึง EMI จะคว้าตัวมาเข้าสังกัดในเวลาต่อมา แอนโธนี่ กับ ฟลี ก็ต้องแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เมื่อ ฮิลเลล และ แจ็ค ขอแยกตัวไปเอาดีกับวงดนตรีอีกวง ที่ทั้งคู่ก็เป็นสมาชิกอยู่ด้วยเหมือนกันคือวง What Is This หลังจากได้ตัว แจ็ค เชอร์แมน กับ คลิฟ มาร์ติเนซ มาเล่นกีตาร์กับเบสแทน Red Hot Chili Peppers ถึงได้ออกอัลบั้มแรกชื่อเดียวกับชื่อวงในปี 1984 อัลบั้มชุดนี้ได้รับผลกระทบ จากการเปลี่ยนแปลงสมาชิกกระทันหัน ทำให้ออกมาแห้ง ๆ ไม่ฟังดูเร้าใจเหมือนบรรยากาศบนเวที แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม Red Hot Chili Peppers ก็ยังสร้างฐานแฟนเพลงได้ไม่เลว โดยเฉพาะในแวดวงนักศึกษา

หลังจาก What Is This ออกอัลบั้มชื่อเดียวกับชื่อวงในปี 1985 ก็แตกวง ทั้ง ฮิลเลล และ แจ็ค กลับมาอยู่กับ Red Hot Chili Peppers ตามเดิม ทั้งหมดบันทึกเสียงอัลบั้ม Freaky Styley กับโปรดิวเซอร์ จอร์จ คลินตัน ผลที่ได้พัฒนาจากชุดก่อนก็จริง แต่ฟังแล้วก็ยังไม่ได้บรรยากาศมันส์ จากการแสดงสดของวง แต่ปัญหานี้ก็จบลงใน The Uplift Mofo Party Plan อัลบั้มชุดต่อมาที่ออกเมื่อปี 1987 ที่สามารถเข้าอันดับในอเมริกาได้ด้วย

หลังจากที่พวกเขาออก EP รวม 5 เพลงที่ชื่อ The Abbey Road ขณะที่แฟน ๆ กำลังเริ่มติดใจงานของพวกเขามากขึ้นเรื่อย ๆ ฮิลเลล สโลแว็ค มือกีต้าร์เสียชีวิตเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 1988 เพราะเสพเฮโรอินเกินขนาด ช่วงนั้น แจ็ค โทษว่าวงเป็นต้นเหตุ และลาออกจากวงอีกเป็นครั้งที่ 2 แอนโธนี่ (ที่กำลังเลิกยาอยู่) และ ฟลี ตัดสินใจเดินหน้าต่อไป พวกเขาได้ แบล็คเบิร์ด แม็คไนต์ มือกีตาร์ของ Parliament กับ ดี.เอช. เพลิโกร อดีตมือกลอง Dead Kennedys แต่ก็ไม่ได้ผลอย่างที่คิด ดี.เอช.แนะนำให้ จอห์น ฟรัชชานเต้ แฟนเพลง Red Hot Chili Peppers อายุแค่ 18 ที่เคยมาแจมกันเล่น ๆ ที่บ้านของ ฟลี บนถนนแฟร์แฟ็กซ์ ปรากฏว่าฝีมือกีตาร์เข้ากับซาวด์ของวงได้เป็นอย่างดี รวมทั้งยังได้ แช้ด สมิธ มาร่วมงานในฐานะมือกลอง Mother's Milk อัลบั้มแรกของ Red Hot Chili Peppers โฉมใหม่ออกมาในปี 1989 ฮิตทันทีหลังจากที่ MTV ให้ความสนใจอัลบั้มชุดนี้ โดยเฉพาะเพลง Higher Ground ที่เป็นการเอาเพลงเก่าของ สตีวี่ วันเดอร์ รวมทั้ง Fire ของ จิมี่ เฮนดริกซ์ มาคัฟเวอร์ใหม่ ทำให้คว้าได้รางวัลแผ่นเสียงทองคำในปี 1990

Red Hot Chili Peppers รู้ตัวว่าหลายคนกำลังจับตามองอัลบั้มชุดต่อไป เลยย้ายไปทำงานกับ ริค รูบิน ระดับท็อปจากค่าย Def Jam ผลลัพธ์ที่ได้คืออัลบั้มที่ประสบความสำเร็จที่สุดของวง Blood Sugar Sex Magik ซึ่งเป็นอัลบั้มแรกภายใต้สังกัดวอร์เนอร์อีกด้วย ดังทันทีที่ออกขายในเดือนกันยายน 1991 ยอดขายเฉพาะที่อเมริกาก็เกือบ 9 ล้านแผ่นเข้าไปแล้ว มีเพลงฮิตอย่าง Give It Away รวมทั้ง Top 10 แผ่นแรกของวงเพลง Under The Bridge รวมอยู่ด้วย ดูเหมือนทุกอย่างกำลังไปด้วยดี แต่แล้วปัญหาแบบเดิมก็มาเยือนอีกครั้ง เมื่อ จอห์น ฟรูชานเต้ เดินตามรอย ฮิลเลล ติดเฮโรอินขนาดหนัก จากแรก ๆ ที่สูบเฉพาะกัญชาเท่านั้น จนต้องออกจากวงไประหว่างการทัวร์เอเซียต้นปี 1992 ตอนนั้นเขาถึงขั้นหมดสภาพที่ห้องพักในโรงแรมที่โตเกียว ก่อนจะบินไปทัวร์ต่อที่ออสเตรเลีย Red Hot Chili Peppers ได้ตัว เอริค มาร์แชล มาแทนที่ ทันเวลาขึ้นเวทีในฐานะวงเฮดไลน์ของงานลอลลาพาลูซ่า 2 ในช่วงซัมเมอร์ปีนั้น

ทันทีที่ Red Hot Chili Peppers เริ่มงานชุดที่ 6 ก็รู้ทันทีว่า
เอริค ไม่เหมาะกับวง เลยให้ เจสซี่ โทเบียส มาแทน แต่ยังไม่ทันได้บันทึกเสียงด้วยกัน เจสซี่ ก็มาลาออกไปซะอีก เดฟ นาวาร์โร่ อดีตมือ
กีต้าร์ Jane's Addiction เข้ามาแทน ตอนนั้นแหละถึงเพิ่งจะได้ ทำอัลบั้มใหม่ One Hot Minute ออกขายในปี 1995 ที่ทิ้งช่วง จากชุดที่ถึง 4 ปีเต็ม ถึงจะได้แผ่นเสียงทองคำ และค้างอยู่ในอันดับเพลงถึงเกือบปี แต่ความสำเร็จและซาวด์ดนตรีของอัลบั้มนี้ ก็ยังเทียบกับชุดที่แล้วไม่ติดอยู่ดี หลังจากทัวร์โปรโมตอัลบั้ม 1 ปีที่เต็มไปด้วยปัญหาจบลง Red Hot Chili Peppers ก็เบรคขอเวลาพัก ระหว่างที่พัก ฟลี ก็ไปออกทัวร์กับ เดฟ ในวง Jane's Addiction

ปี 1997 สถานการณ์ Red Hot Chili Peppers ดูไม่ค่อยดีเอาซะเลย วงเก่าของ เดฟ ที่กลับมารวมตัวกันอีกครั้งในฤดูใบไม้ร่วงปี 1997 ไม่มีเพลงใหม่ไม่มีใครได้เห็นสมาชิกของวง อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน แล้วจู่ ๆ ก็มีข่าวว่า Red Hot Chili Peppers จะขึ้นเวทีการกุศล Tebetan Freedom Concert แต่ก็ถอนตัวไปในที่สุดเพราะไม่ค่อยมีเวลาซ้อมร่วมกัน แต่ก็ประกาศคอนเสิร์ตใหม่ขึ้นมาแทน ในเดือนกรกฎาคมที่ฮาวายกับอลาสก้า ที่ต่อมาทางวงขอเลื่อนเป็นเดือนกันยายน แต่พอถึงเดือนกันยายน แอนโธนี่ เกิดประสบอุบัติ
เหตุมอเตอร์ไซค์คว่ำ สิงหาคมก่อนหน้านั้น ตอนไปเล่นคอนเสิร์ตที่เทศกาลดนตรี Mount Fuji ก็ปรากฏว่าแย่เหมือนกัน ดันเจอพายุ
เฮอริเคนเข้าให้ ตอนที่เล่นไปได้ครึ่งเซ็ตเท่านั้น ฟลี เคยสรุปง่าย ๆ ว่าปี 1997 เป็นปีที่ไม่มีอะไรดี วงจะแตกเอาล่ะไม่ว่า เพราะ เดฟ ออกทัวร์กับ Jane's Addiction ได้ไม่นานก็เกิดเบื่อเลยลาออกจาก Jane's Addiction ในวันที่ 3 เมษายน 1998 แต่ก็ไม่ได้กลับมาร่วมงานกับ Red Hot Chili Peppers เขาบอก แอนโธนี่ ว่า จอห์น ฟรูชานเต้ เท่านั้นที่เหมาะกับตำแหน่งมือกีตาร์ของ Red Hot Chili Peppers จากนั้น เดฟ ก็หันไปทำอัลบั้มเดี่ยวชื่อ Spread โดยเรียกตัว แช้ด ไปช่วยตีกลองให้

พร้อมกันนั้นก็มีน.ส.พ.แอลเอ ไทม์ส ก็ลงข่าวว่ามีคนเห็น จอห์น ฟรูชานเต้ นอนซมแบบคนขี้ยาชาโต มาร์มองต์ มีอาการของขี้ยาขั้นโคม่าไม่ว่าจะเป็นฟันหัก ผมร่วง เล็บหัก ผิวหนังเป็นแผลเกรอะกรัง แต่ปากก็ยังบอกว่าเขาไม่กลัวตาย และไม่แคร์ว่าจะอยู่หรือเป็น (เขาให้สัมภาษณ์ย้อนหลังว่าตอนนั้นไม่มีเพื่อนเหลืออยู่เลย รู้สึกเต็มใจและภูมิใจที่จะเป็นขี้ยา คิดว่ามันทำให้เขามีความสุข) ก่อนหน้านี้ช่วงที่ลาออกจากวงไป จอห์น ออกอัลบั้มเดี่ยวของตัวเองมา 2 ชุด ท่ามกลางข่าวลือที่ว่าเขาถังแตกกลายเป็นคนจรจัด แถมยังติดยาอย่างรุนแรงพร้อมจะ OD ทุกเมื่อ ชุดแรก Niandra LaDes And Usually Just A T-Shirt ในปี 1995 ที่โปรดิวซ์และออกขายกับสังกัด American ของ ริค รูบิน อัลบั้มนี้แบ่งเป็น 2 ส่วน 12 เพลงจาก Niandra Lades ได้อิทธิพลจาก ซิด แบร์เร็ตต์ และ Captain Beefheart มีดาราหนุ่ม ริเวอร์ ฟีนิกซ์ เพื่อนซี้มาช่วยร้องให้ด้วย
ในเพลง Bought Your Soul แต่เสียงที่อยู่ในอัลบั้มเอามาใส่
เอฟเฟ็คท์เพลย์แบ็ค ส่วนอีก 12 เพลงใน Usually Just a T-Shirt ส่วนใหญ่จะเป็นงานบรรเลงในแนวไซเคเดลิค มีเอฟเฟ็คท์กีตาร์เล่นย้อนหลังเพียบ (อัลบั้มนี้นำมาออกขายใหม่ในปี 1999) ชุดที่ 2 Smile From The Streets You Hold ในปี 1997 กับสังกัด Birdman โปรดิวซ์โดย จิมมี่ บอยล์ ชุดนี้เป็นเหมือนอัลบั้มรวมเพลงมากกว่า บางเพลงอย่าง A Fall Through The Ground บันทึกเสียงไว้ตั้งแต่ปี 1988 บางเพลงก็เพิ่งทำเสร็จ (จอห์น ให้สัมภาษณ์ในเวลาต่อมาว่าที่จริงตอนออกจากวงแล้ว เขาเลิกทำเพลงแต่หันมาวาดรูปแทน อัลบั้มเดี่ยวทั้ง 2 ชุดนี้ขุดเอาเพลงเก่าหรือทำขึ้นใหม่เพื่อหาเงินมาซื้อยาเท่านั้น) แต่ก็มีงานดี ๆ รวมอยู่ในอัลบั้มนี้อย่างเพลง
I May Again Know John รวมทั้ง The Big Takeover งานเก่าของ Bad Brains งานเดี่ยวของ จอห์น อาจจะออกมาสุดโต่งแบบ ซิด แบร์เร็ตต์ แต่ จอห์น ก็ใส่ความเป็นตัวของตัวเองลงไปด้วย โดยรวมแล้วงานทั้ง 2 ชุดค่อนข้างออกมา lo-fi บันทึกเสียงจากเครื่อง 4 แทร็คที่บ้านเขาเอง

แต่แล้ว จอห์น ก็ตัดสินใจพลิกชะตาตัวเองจนได้ หลังจากอาการติดยาวิกฤติถึงขั้นเกือบตาย แต่ก็เข้ารับการบำบัดอย่างจริงจัง จนเลิกยาได้สำเร็จ ในช่วงที่ Red Hot Chili ถึงจุดตกต่ำเมื่อปี 1997 แอนโธนี่ ก็เคยไปเยี่ยม จอห์น ครั้งหนึ่ง เมื่อ จอห์น ออกจากโรงพยาบาล ฟลี รู้ข่าว ก็ชวนเขากลับมาเข้าวง ตอนนั้นมือกีตาร์อย่าง จอห์น ไม่มีแม้แต่กีตาร์ติดตัว เริ่มต้นจากศูนย์รับคำเพื่อนเก่ากลับไปเข้าวง Red Hot Chili Peppers เหมือนเดิมในฤดูใบไม้ผลิปี 1998

ปี 1999 Californication อัลบั้มรียูเนียนของวงบันทึกที่เสียงเสร็จภายใน 3 สัปดาห์กับ ริค รูบิน ออกวางขาย ทำให้ชื่อของ Red Hot Chili Peppers กลับมาผงาดในเวทีอัลเทอร์เนทีฟ ร็อคอีกครั้ง นอกจากจะมีเพลงในแนวพั้งค์ฟั้งค์ ที่เป็นแนวถนัดของวงแล้ว ยังมีงานป๊อปคุณภาพอย่าง Scar Tissue มาช่วยขยายฐานแฟนเพลงได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ รวมทั้งตัว แอนโธนี่ เองก็พัฒนาเสียงร้องตัวเองได้ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

ก่อนออกทัวร์โปรโมตอัลบั้ม Californication Red Hot Chili Peppers ก็ไปช่วยในฐานะแขกรับเชิญให้อัลบั้ม Psychotic Friends Nuttwerx ของวง Fishbone ด้วย ในระหว่างทัวร์ครั้งนี้นี่เองที่ทางวงเกิดมีเรื่องกับ เดฟ เพราะพวกเขาไม่ยอมเล่นเพลงจากอัลบั้ม One Hot Minute เลย ทำให้แฟน ๆ รวมทั้ง เดฟ มือกีตาร์ในชุดนั้นเกิดไม่พอใจ นอกจากนี้ แอนโธนี่ ยังมีเรื่องกับ ไมค์ แพ็ตตัน นักร้องนำของ Mr.Bungle (อดีตนักร้องนำของ Faith No More) ด้วย เมื่อปฏิเสธที่จะออกทัวร์ยุโรปร่วมกับ Mr.Bungle ไมค์ เลยโต้ตอบด้วยการออกคอนเสิร์ตแบบทริบิวต์ประชด Red Hot Chili Peppers บนเวที Mr.Bungle จะล้อเลียน Red Hot Chili Peppers ไม่ว่าจะเป็นลีลาการแสดงสด รวมทั้งแกล้งทำเป็นกำลังฉีดเฮโรอิน ในปี 1999 อีกเหมือนกันที่พวกเขาโชคร้าย เป็นวงเฮดไลน์ในเทศกาลดนตรี Woodstock 99 เจอจราจลในงานอย่างจัง แต่การทัวร์ของพวกเขากับ Foo Fighters และ Pearl Jam ในปีถัดไปราบรื่นด้วยดี

13 กุมภาพันธ์ 2001 จอห์น ออกอัลบั้มเดี่ยวชุดที่ 3 To Record Only Water For Ten Days แค่ฟังงานจากอัลบั้มนี้ก็เข้าใจได้ว่าเป็นอัลบั้มของคนเลิกยาได้แล้วจริง ๆ จอห์น แต่ง บันทึกและโปรดิวซ์อัลบั้มนี้ด้วยตัวเองทั้งหมด ซาวด์โดยรวมมีโฟกัสและฟังง่ายกว่าเดิม ขนาดปกอัลบั้มก็ยังคลีนกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด ใครที่เคยชอบ 2 ชุดก่อนหน้านี้ของ จอห์น มีสิทธิผิดหวัง

Red Hot Chili Peppers กลับเข้าสตูดิโออีกครั้งในเดือนพฤศจิกายน 2001 เพื่อทำอัลบั้มชุดที่ 8 By The Way ที่ออกมาอาละวาดวงการในฤดูร้อนปี 2002 ในขณะที่เพลงแบบแร็พเมทัลกำลังอยู่ในกระแส Red Hot Chili Peppers กลับมาพร้อมความแตกต่าง งานชุดนี้เพลงฟังง่ายสไตล์ฟั้งค์ป๊อป ไม่สากหูเหมือนงานที่สร้างชื่อให้วงในยุคแรก เครื่องสานและเสียงประสานเข้ามามีบทบาทแทนที่เสียงเบสแรง ๆ ที่เคยเป็นเครื่องหมายการค้าของวง แต่ยังคงสปิริตเดิม ๆ ยังคงไว้ได้อย่างดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสปิริตในการใช้ชีวิต ความรักที่มีต่อเพื่อนมนุษย์ และเรื่องราวความใคร่ตามสไตล์ของ Red Hot Chili Peppers นอกจากนี้ จอห์น ยังเพิ่มบทบาทมากขึ้น ด้วยการเล่นเมลโลทรอน, เปียโน และร้องประสาน ซิงเกิ้ลแรก By The Way มีสัดส่วนของทิศทางดนตรีทั้งใหม่ และเก่าของวงได้เป็นอย่างดี เพลงนี้เหมาะมากที่จะสรุปความเป็น Red Hot Chili Peppers ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน

นอกจากนี้ จอห์น ก็กำลังทำอัลบั้มเดี่ยวชุดที่ 4 คราวนี้ร่วมงานกับ
แองเจลีโน จอช คลิงฮอฟเฟอร์ หนุ่มวัย 21 อดีตวง Bicycle Thief อัลบั้มชุดนี้ จอห์น บอกว่าจะออกมาอบอุ่นกว่างานเดี่ยวที่ผ่านมาของเขา จะบันทึกเสียงในสตูดิโอจริง ๆ แทนที่จะเป็นในบ้าน มีเอ็นจิเนียร์มานั่งคุมจริง งานชุดนี้อาจจะไม่ได้ใช้ชื่อของ จอห์น อาจจะออกมาภายใต้ชื่อวงอะไรซักวง ซึ่งคงต้องติดตามข่าวกันต่อไป


ทราบหรือไม่

Under the Bridge เพลงฮิตที่สุดเพลงหนึ่งของ Red Hot Chili Peppers เป็นเพลงที่ แอนโธนี่ แต่งไว้ในยุคมืด ช่วงที่เขาติดยาอย่างหนัก เมื่อ All Saints หยิบมาร้องใหม่ แอนโธนี่ รู้สึกขำดีเพราะสาว ๆ All Saints ดูน่ารักน่าเอ็นดูเกินกว่าที่จะเข้าใจความหมายของเพลงจริง ๆ แอนโธนี่ ยอมรับว่าในปี 1997 ที่ขับมอเตอร์
ไซค์ล้ม บาดเจ็บขนาดต้องอยู่ในห้องผ่าตัดถึง 5 ชั่วโมง กินยาแก้ปวดที่หมอให้มาจนเกือบเลยเถิดไปติดยาใหม่อีกรอบ แต่ปัจจุบันทุกคนในวงเลิกยาได้หมดแล้ว หันมาเล่นโยะคะกันทั้งวง ขนาดทัวร์ยังเอาเสื่อโยคะติดตัวกันไปเลย ตัว แอนโธนี่ เองกลายเป็นหนุ่มรักธรรมชาติสุขภาพดีดื่มชากินโสม

ก่อนขึ้นเวที จอห์น มีวิธีอุ่นเครื่องด้วยการยืนในแบบ tai chi ประมาณ 45 นาที หรือไม่ก็เล่นกีตาร์คลอไปตามเพลงโปรดของเขา

Californication เพลงที่มีเนื้อหาดีที่สุดของวงอีกเพลง ได้แรงบันดาลใจจากตอนที่ แอนโธนี่ มาเที่ยวเมืองไทยบ้านเรานี่แหละ ช่วงนั้น Red Hot Chili Peppers เพิ่งผิดหวังจากการร่วมงานกับ
เดฟ นาร์วาโร่ เป็นช่วงที่เหมือนกับวงจะแตก แอนโธนี่ เลยแวะมาเที่ยวพักผ่อนที่ทางใต้ของเมืองไทย เขาชอบทะเลอันดามัน ชอบอาหารไทย เขาบอกว่าเวลามาเที่ยวประเทศโลกที่ 3 แถวอินโดนีเซีย, บอร์เนียว, อินเดีย หรือ เมืองไทย จะเห็นอิทธิพลของคาลิฟอร์เนียมาก ๆ ทั้งในแง่บวกและลบ ทั้งที่อยู่กันคนละโยชน์ ช่วงที่เดินป่าอยู่เขาก็ร้องฮัมเนื้อเพลงไปเรื่อยเปื่อยคนเดียว ตอนนั้นยังไม่เป็นเพลง แต่เมื่อ จอห์น กลับมาเข้าวงเหมือนเดิม เพลงนี้เป็นเพลงแรกที่ แอนโธนี่ เริ่มลงมือ แต่ก็เสร็จเป็นเพลงสุดท้าย เพราะ แอนโธนี่ ตั้งใจมากที่จะทำเพลงนี้ให้เสร็จ ในที่สุดก็กลายเป็นไตเติ้ลแทร็คชุด Californication อย่างที่เราเห็น


รอยสักล่าสุดของ แอนโธนี่ ได้มาเมื่อกลางปี 2000 เป็นรูปเสือที่แขน หลังจากเลิกกับแฟนสาว โยฮันนา โลแกน ที่เป็นดีไซเนอร์ (แอนโธนี่ อยากมีลูกแต่ โยฮันนา ไม่อยาก) แต่ก็กลับมาดีกันอีกในปี 2002 ทั้งคู่พบกันตั้งแต่ปี 1998 จนทุกวันนี้ก็ยังไม่ลงเอยกันซะที เดี๋ยวดีเดี๋ยวเลิกตลอด เธอเป็นที่มาของหลาย ๆ เพลงใน Californication

เพลง Venice Queen แอนโธนี่ แต่งให้ กลอเรีย สก็อต คนที่เป็นทั้งเพื่อนซี้และเพื่อนที่รอดจากการติดยามาด้วยกัน เธอเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งในช่วงที่ทำอัลบั้ม Californication เหมือนกัน

กลางปี 2002 ฟลี เปิดโรงเรียนสอนดนตรี Silverlake Conservatory of Music ที่ซิลเวอร์เลคในแอลเอ เขาตั้งใจว่าเวลาว่างระหว่างทัวร์จะลงมือมาสอนเบสเอง การเรียนการสอนที่นี่เป็นแบบตัวต่อตัว ทั้งแบบ 30 นาที (ประมาณ 20 ดอลลาร์) และแบบ 1 ชั่วโมง (40 ดอลลาร์) นอกจากนี้ยังมีคลาสอื่น ๆ สนใจอยากเรียนติดต่อ Jennifer Bolger , School manager, Silverlake Conservatory of Music,3920 Sunset Boulevard; Los Angeles, CA 90029 หรือโทรศัพท์ (323) 665-3363 แฟ็กซ์ (323) 665-3176

แม้แต่มือเบสคนเก่งอย่าง ฟลี ก็ยังแอบปลื้มมือเบสคนอื่นเป็นกับเค้า อาทิ ปีเตอร์ ฮุค จากวง Joy Division และ New Order (ฟลังจากที่ ฟลี ลองหยิบงานของ Joy Division มาเล่นในปี 2000 ก็พบว่าเป็นไลน์เบสของ ปีเตอร์ ง่ายแต่คลาสสิคมาก โดยเฉพาะในเพลง She's Lost Control จากอัลบั้ม Unknown Pleasures มาก เห็นว่าไม่แน่อาจเห็นลีลาแบบ ปีเตอร์ ในงานของ Red Hot Chili Peppers ในอนาคต) รวมทั้ง ทอม เจนคินสัน จากวง Squarepusher ที่ ฟลี ไปเหมามาหมดแผงหลังจากลองได้ฟังเข้าครั้งเดียว นอกจากนี้ ฟลี ยังชอบ ซาร่า ลี ที่เล่นเบสให้อัลบั้ม League Of Gentlemen ของ โรเบิร์ต ฟริปป์ กับ บิล ลาสเวลล์ ที่เขาติดใจตั้งแต่สมัยเรียนไฮสคูล ตอนที่ไปดูในคอนเสิร์ตเมื่อปี 1980 อีกคนที่ ฟลี คิดว่าเล่นเบสเก่งมากคือ จาห์ วอบเบิล อดีต Public Image Ltd. เขาบอกว่าแอบก๊อปงานของ จาห์ อยู่บ่อย ๆ ชมว่า จาห์ มีทำนองเบสที่ง่ายแต่ยอดเยี่ยม เก่งดีที่เอาเบสไลน์แบบแร็กเก้มาใส่ในงานพั้งค์

-------------โครตยาวดีมั้ยพี่น้อง ------------------
Cradit by EOtoday




 

Create Date : 06 ตุลาคม 2549    
Last Update : 6 ตุลาคม 2549 20:42:21 น.
Counter : 1260 Pageviews.  

AC/DC Rock Forever ~



เมื่อก้าวสู่โลกดนตรี งานเพลงของ AC/DC สร้างความสั่นสะเทือน ให้กับวงการเพลงร็อค พวกเขาอาศัยการปฏิบัติตามสูตรสำเร็จ คือ ใช้การร้องเพลงด้วยเสียงอันทรงพลัง ในลักษณะกรีดร้อง และแต่งเพลงเกี่ยวกับเรื่องที่วัยรุ่นเข้าถึงได้ง่าย แม้จะมีโศกนาฏกรรมเกิดขึ้นกับเอซีดีซี เมื่อนักร้องนำเสียชีวิตไป แต่วงร็อคจากออสเตรเลียวงนี้ ก็ยังเป็นที่นิยมไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ได้ว่า วงนี้จะกลายเป็นอมตะ และได้มีผู้ทำนายไว้หลายคนว่า เอซีดีซีจะมีอิทธิพลต่อวงการเพลงเฮฟวี่เมทัล ยุคถัดมาอย่างยิ่ง

AC/DC ถือกำเนิดที่นครซิดนีย์เมื่อปี 1973 โดยผู้ก่อตั้งคือ มัลคอล์ม ยัง มือกีต้าร์ กับ แองกัส น้องชายของเขา มาร์ค เอแวนส์ มือเบส กับ ฟิลล์ รัดด์ มือกลอง ตามมาเข้าวงในปีต่อมา เช่นเดียวกับบอน สก็อตต์ นักร้องนำ ซึ่งได้ตำแหน่งร้องนำหลังจากเดฟ เอแวนส์ นักร้องนำคนเดิมไม่ยอมขึ้นเวทีเพียง 1 วัน บอน สก็อตเคยก่ออาชญากรรมคดีเล็ก ๆ มาก่อน ทำให้ภาพลักษณ์ของ AC/DC ดูเถื่อนสมใจ และภาพลักษณ์ดังกล่าว ก็เห็นได้ชัดในอัลบั้มแรกๆ ของวง แต่ AC/DC ยังไม่ประสบความสำเร็จในระดับสากล จนกระทั่งปี 1977 ซึ่งเป็นปีที่อัลบั้ม Highway To Hell ขึ้นถึงอันดับ 17 ในอันดับอัลบั้มของนิตยสารบิลบอร์ด และเพลงชื่อเดียวกันกับอัลบั้ม ก็ขึ้นถึงอันดับ 47 ในอันดับซิงเกิ้ลด้วย

AC/DC ประสบปัญหาครั้งใหญ่เมื่อบอน สก็อตต์เสียชีวิต เพราะโรคพิษสุราเรื้อรังเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ปี 1980 ไบรอัน จอห์นสัน รับตำแหน่งนักร้องนำคนใหม่ ทันการบันทึกเสียงอัลบั้มชุด Back In Black อัลบั้มชุดนี้ขายได้มากกว่า 10 ล้านชุดในสหรัฐอเมริกา และไต่ถึงอันดับ 4 เมื่อได้ไบรอัน มาร่วมวง AC/DC ก็ครองตำแหน่ง วงร็อคที่เป็นที่นิยมสูงสุด วงหนึ่งของโลก และประสบความสำเร็จสูงสุดจากอัลบั้ม For Those About To Rock We Salute You ซึ่งขึ้นถึงอันดับ 1 ในช่วงคริสต์มาสปี 1981 แม้แต่อัลบั้มของปี 1976 ชุด Dirty Deed Done Dirt Cheap ซึ่งออกจำหน่ายอีกครั้งในอเมริกา หลังจากเคยออกเป็นอัลบั้ม สำหรับอิมพอร์ตเพียงอย่างเดียว ก็ขึ้นถึงอันดับ 3

ตลอดยุคทศวรรษที่ 80 AC/DC ยังคงมีผลงานออกมาอย่างต่อเนื่อง แม้จะไม่ได้รับความนิยม และทำรายได้ได้ไม่ดีเท่ายุคก่อน อัลบั้ม The Rasor's Edge ที่ออกในปี 1990 เรียกคะแนนนิยมกลับมาได้อีกครั้ง และพุ่งขึ้นถึงอันดับ 2 และเพลง Moneytalks ซึ่งขึ้นถึงอันดับที่ 23 ก็กลายเป็นซิงเกิ้ล ที่ขึ้นอันดับในอเมริกาได้สูงสุดของพวกเขา อัลบั้มต่อมาซึ่งออกในปี 1995 คือ Ballbreaker ก็ขึ้นถึงอันดับ 4

และต่อมาในปี 2000 พวกเขาก็ได้กลับมาออกอัลบัมอีกใหม่ที่มีชื่อว่า Stiff Upper Lip อีกครั้ง และยังคงมีแฟนเก่าๆติดตามผลงานของวงร็อคระดับตำนานวงนี้เช่นเคย แม้ว่าผลงานจะไม่ได้รับรางวัลใดๆ แต่ชื่อเสียงของ AC/DC คงจะยังไม่แผ่วลงในอนาคตอันใกล้นี้ เพราะวงร็อครุ่นใหม่ยังคงพูดถึงและชื่นชมพวกเขาในฐานะต้นแบบแห่งความสำเร็จอยู่เสมอ

------------------------Thank EoToday-------------------




 

Create Date : 06 ตุลาคม 2549    
Last Update : 6 ตุลาคม 2549 11:36:22 น.
Counter : 565 Pageviews.  

Blackhead !! วงร็อคที่คุณอาจจะยังไม่รู้จัก



แบล็คเฮด วงร็อคที่รวมตัวกันตั้งแต่ปี 2537 ในยุคที่เพลง แนวอัลเทอเนทีฟ ได้เข้ามามีอิทธิพลสูง ในวงการเพลงไทย ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คน คือ "ปู" อานนท์ สายแสงจันทร์, "ยุ่น" วิโรจน์ เจริญพิพัฒน์สิน, "ต๋อง" สมทบ สมมีชัย และ "เอก" อภิสิทธิ์ พงษ์ชัยสิริกุล
พวกเขาออกอัลบั้มแรก ในชื่อ Mini Album : Black List ซึ่งออกวางจำหน่ายในปี 2538 ต่อมาในเดือนสิงหาคม ปีเดียวกัน อัลบั้มเต็มชุดแรกของพวกเขา จึงออก ตามมา ภายใต้ชื่อ The Album BLACKHEAD ซึ่งประสบ ความสำเร็จอย่างสูง ในฐานะวงดนตรีร็อคหน้าใหม่ นับเป็นการแจ้งเกิดอย่างเต็มตัว ของวงดนตรีหัวดำวงนี้
เพื่อเป็นการฉลองความสำเร็จ และขอบคุณแรงตอบ รับ จากคนฟังเพลง ที่ให้กับพวกเขาอย่างมากมาย ในปีถัดมา แบล็คเฮด จึงได้ออกอัลบั้มพิเศษในชื่อ Blackbonus ซึ่งมีเพลง "ยืนยัน" ในเวอร์ชั่นพิเศษที่ประสบ ความสำเร็จ อย่างสูง ในเวลาต่อมารวมอยู่ด้วย
ต่อมาพวกเขาออกอัลบั้มพิเศษ อีกชุด ในชื่อ Black Live ซึ่งบรรจุเพลงเวอร์ชั่นแสดงสด เอาไว้มากมายหลายเพลง และระหว่างการออกทัวร์คอนเสิร์ต พวกเขาก็ได้เตรียมตัว สำหรับการออกอัลบั้มชุดใหม่ ซึ่งได้ทยอย แต่งเพลงสะสม เรื่อยมา จนเรียบร้อย อัลบั้มเต็มชุดนี้ ของพวกเขาใช้ชื่อว่า "FULL FLAVOR" ซึ่งเป็นการพัฒนา ทางดนตรีครั้ง สำคัญของพวกเขา อัลบั้ม "FULL FLAVOR" ได้รับการ ยอมรับ ในวงกว้างจากทั้ง นักวิจารณ์และ ในวงการเพลง ทำให้พวกเขา ได้รับรางวัล จากงานสีสันต์อวอร์ด ครั้งที่ 10 ถึง 3 รางวัล ในปี 2540 ยอดเยี่ยม" "อัลบั้มร็อคยอดเยี่ยม" และ "เพลงร็อคยอดเยี่ยม" จากเพลง "หลอน" และด้วยความ ไม่หยุดนิ่ง ในปี 2541 แบล็คเฮดจึงได้ออกอัลบั้มพิเศษ ที่ใช้ชื่อว่า "RELAX" ออกมาอีก 1 ชุด เป็นเพลงในสไตล์ อะคูสติก ต่างจากเพลง ในอัลบั้มที่ผ่านๆ มา
ปี 2542 แบล็คเฮด ออกอัลบั้มกับค่าย มอร์มิวสิค ในชื่อว่า "PURE" Blackhead ซึ่งเป็นผลงานที่ผ่านการกลั่นกรอง มาจากประสบการณ์ทางด้านดนตรี ที่ยาวนานของพวกเขา ถ่ายทอดความหลากหลาย และเสน่ห์ที่ลุ่มลึกของดนตรีร็อค ออกมาได้อย่างสวยงาม สมกับความเป็นวงร็อคอย่างแบล็คเฮด
ปี 2546 อัลบั้ม "handmade" งานเพลงชุดล่าสุด ที่มีการเปลี่ยนแปลงมือกลองจาก"ยุ่น" มาเป็น"ไก่-Y not 7" นับเป็นการปรับเปลี่ยนในด้านซาวนด์กลอง ที่ยังคงดนตรีความเป็นแบล็คเฮดครบครัน ตอบสนองคอเพลงฮาร์ด ร็อค ขนานแท้ มีทั้งเฮฟวี่ เมทัล, ฮาร์ด คอร์ ที่มีกลิ่นอายฟังค์กี้ หรือเพลงช้าซึ้งอย่าง"เหตุผล" ที่เน้นคอร์ดสวยๆ
Handmade จึงเป็นงานเพลง"ทำมือ" ที่เน้นฝีมือ ดนตรีหนัก แรง ฟีลสด (ไม่เน้น effct มากนัก) เนื้อหาการใช้คำที่แรงขึ้น แต่ยังคงวิธีการร้องในแบบฉบับดั้งเดิมของ"ปู"



จนปัจจุบันนี้ แม้ว่าเพลงของ Blackhead จะไม่ได้รับการตอบรับที่ดีเท่าเมื่อก่อน ซึ่งเป็นเพราะปัจจุบันแนวเพลงได้เปลี่ยนกระแสนิยมไปแล้ว แต่คุณภาพด้านดนตรีของ Blackhead ก็ยังไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปตามยุคตามเวลา ยึดมั่นในความเป็นตัวของตัวเอง และมีอัลบัมล่าสุดออกมา โดยมีเพลงอย่าง "ใจร้าย" ให้ได้ซึมซับความเป็นร็อคพันธุ์แท้ได้ฟังกัน และในปี 2005 ก็ได้มี Concert ใหญ่เป็นของตัวเองครั้งแรก ชื่อว่า Real Rock Concert : 10 Years Blackhead โดยมีแขกรับเชิญดังๆมากมาย อาทิ เป๊ก วง Zeal , Mr.Saxman , ป้อม ออโต้บาน , Joeyboy เป็นต้น



-----------------------Thank Moremusic-----------------




 

Create Date : 04 ตุลาคม 2549    
Last Update : 4 ตุลาคม 2549 18:34:55 น.
Counter : 734 Pageviews.  

Guitar Hero : Zakk Wylde !!!



สำหรับแฟนเพลงเมทัลคงจะรู้จักมือกีต้าร์ผู้นี้ดีอยู่แล้ว เขามีนามว่า Zakk Wylde มือกีต้าร์ยุคหลังของ Ozzy ที่เล่นเพนโทนิกสเกลเป็นหลัก
ซาวน์ดจึงทรงพลังและดุดัน Zakk เกิดเมื่อวันที่ 14 มกราคม 1967 ที่รัฐ New Jersey , USA ตอนอายุได้เพียง 8 ขวบ เขาคลั่งไคล้
Elton John มาก แต่ก็เล่นกีต้าร์ไม่ใช่เปียโน เขาลองหัดกีต้าร์อะคูสติก แต่ก็ไม่ชอบเลยเลิกทันที หลังจากนั้นเขาก็หันไปสนใจกีฬาฟุตบอล
และกลับมาสนใจดนตรีอีกครั้งเมื่ออายุ 14 ปี .... เขาได้ไปเยี่ยมบ้านโคชของตัวเองและเห็นลูกชายของโคชนั่งเล่นกีต้าร์ไว้ผมยาวทอง นับจากนั้น
Zakk ก็หันมาเล่นกีต้าร์กับลูกโคชทุกๆวัน ขระนั้นที่วงดนตรีในดวงใจของเขาเพียงวงเดียวนั่นคือ "Black Sabbath" เขาเริ่มฝึกกีต้าร์แบบ Jazz
และเล่นเพลงของ "อัล ดิ เมโอลา" ได้แทบทุกชุด ช่วงนั้น Zakk ไม่สนใจดนตรี Blue เลย จนกระทั่ง "บิลลิ กิ๊บบอนส์" สอนศิลปะของบลูให้

Zakk เริ่มตะเวนเล่นให้วงดนตรีมากมาย จนกระทั่งได้ทำงานกับผู้เกี่ยวข้องกับ Ozzy และนี่เองเป็นจุดเริ่มต้น.... Zakk ถูกเรียกตัวไปออดิชั่น
และได้เป็นมือกีต้าร์คนใหม่ของวงแทนที่ "อี ลี" โดยเล่นในอัลปั้ม "No Rest for the Wicked" (1988) ถือเป็นงานแรกของอาชีพนี้
เขากลายเป็นขวัญใจบรร Headbangers ทั้งหลาย ด้วยฝีไม้ลายมือที่ยอดเยี่ยม ทักษะกีต้าร์กับสเกลซับซ้อน และทรงพลัง ต่อมาในปี 1991
ออกทัวร์ No More Tears เป็นงานสุดท้าย เพราะ Ozzy ประกาศอำลาวงการ Zakk จึงหันมาทำงานเดี่ยว และได้ตั้งวง Pride & Glory
และออกอัลบั้มแรกในปี 1993 แต่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร จนออชซี่กลับมาอีกครั้ง และ Zakk ก็ได้ร่วมงานในอัลบั้ม Ozzmosis
และประสบความสำเร็จไปตามคาด ที่ยอดขายค่อนข้างสูง หลังจากนั้นก็มีข่าวแย่ๆ กลายเป็นว่า ZAkk เริ่มมีคนเกลียด ..... Ozzy พยายามบอก
ให้ Zakk เข้าใจและปรับตัว ต่อมาในปี 1998 ก็กำเนิดวงที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จสูงสุด "Black label Society" ออกอัลปั้มแรกในชื่อ
Sonic Brew ในปีเดียวกัน สร้างเอกลักษณ์ของตัวเองโดยทูนสายต่ำ เล่นเสียงกดต่ำสุดๆ และสร้างชื่อเสียงกับวงนี้ได้มากมายจนถึงปัจจุบัน

-------------------Thank Metal Magazine---------------




 

Create Date : 04 ตุลาคม 2549    
Last Update : 4 ตุลาคม 2549 0:19:16 น.
Counter : 3607 Pageviews.  

1  2  

ทหารถือปูนแบกปูนไปโบกตึก
Location :
สระบุรี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




>>ยินดีต้อนรับเข้าสู่ Blog แห่งความบันเทิงนี้ครับ เพื่อนๆสามารถเลือกดูข่าวสารดนตรีได้ที่ Godslipk'S Headbangers แต่หากอยากรู้ข้อมูลของหนังใหม่ๆก็ไปที่ Movie Review ได้เลย คอบอลทั้งหลายอาจจะเลือกไปที่ Godslipk@มุมบ้าบอล ก็ได้ครับ ขอให้สนุกกับการชม Blog ทุกท่าน -=- Thank You -=-

Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add ทหารถือปูนแบกปูนไปโบกตึก's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.