If you tremble with indignation at every injustice.Then you are a comrade of mine.
Group Blog
 
All Blogs
 

ซิดนีย์-ออสเตรเลีย(Sydney-Australia)


ออสเตรเลียมีชื่อประเทศอย่างเป็นทางการว่า
“เครือรัฐออสเตรเลีย” (Commonwealth of Australia) ประเทศออสเตรเลียเคยเป็นอาณานิคมของประเทศอังกฤษมาก่อน   ปัจจุบันเป็นประเทศในเครือจักรภพ  และออสเตรเลียเป็นประเทศเดียวในโลกที่เป็นเจ้าของทวีปด้วย   ทวีปออสเตรเลียเป็นทวีปที่เล็กที่สุด  เรื่องของทวีปแล้วแต่บทเรียนในแต่ละประเทศว่าจะแบ่งเป็นกี่ทวีป  บ้างก็ว่า 4 บ้างก็ว่า 5 ,6 และ 7   แต่ที่เป็นที่ยอมรับกันและในประเทศไทยสอนกันมาคือมี 7 ทวีป ได้แก่ แอฟริกา แอนตาร์กติกา เอเชีย ยุโรป อเมริกาเหนือ ออสเตรเลีย และอเมริกาใต้
 
ประวัติศาสตร์นั้นนักโบราณคดีเชื่อว่ามนุษย์กลุ่มแรกที่อาศัยอยู่ในออสเตรเลียนั้นคือ ชาวอะบอริจินนิส(Aborigines) ซึ่งอพพยพมาจากดินโดนีเซียเมื่อ 50,000 ปีก่อน  ชาวอะบอริจินผิวจะสีดำ ผมหยิก เป็นชนพื้นเมืองของออสเตรเลีย  เมื่อชาวยุโรปเข้ามาลักษณะก็คล้าย ๆ กับอเมริกาที่มีชาวพื่นเมืองเป็นอินเดียแดงการ  ค้นพบออสเตรเลียของชาวยุโรปครั้งแรกที่มีการบันทึกไว้ เกิดขึ้นในปีพ.ศ. 2149 เป็นเรือของชาวดัตช์ โดยกัปตัน Willem Janszoon ไม่ใช่กัปตัน Jack Sparro เมื่อค้นพบก็มีการทำแผนที่ชายฝั่งส่วนหนึ่งของออสเตรเลีย ระหว่างปีพ.ศ. 2149 หลังจากนั้นอีกร้อยกว่าปี พ.ศ. 2313 มีเรือของชาวยุโรปประมาณ 54 ลำจากหลายชาติเดินทางมาที่ออสเตรเลีย ซึ่งรู้จักในขณะนั้นว่านิวฮอลแลนด์ ในปี ค.ศ. 1770 ตรงกับ พ.ศ. 2313 เจมส์ คุก เดินทางมาสำรวจออสเตรเลียและทำแผนที่ชายฝั่งตะวันออกของออสเตรเลีย และได้ประกาศให้เป็นส่วนหนึ่งของสหราชอาณาจักร ให้ชื่อว่านิวเซาท์เวลส์ ต่อมาสหราชอาณาจักรใช้ประเทศออสเตรเลียเป็นอาณานิคมสำหรับนักโทษ (penal colony) ยุคนั้นคงเป็นยุคของการล่าอาณานิคม ฝูงเรือแรกเดินทางมาถึงออสเตรเลียที่อ่าวซิดนีย์ในปีพ.ศ. 2330 ในวันที่ 26 มกราคม (ค.ศ. 1788) ตรงกับรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอิศรสุนทรฯ พระพุทธเลิศหล้านภาลัย (ร.2 ของไทย) ดังนั้นภูมิใจได้อย่างหนึ่งว่าประเทศไทยเรามีประวัติศาสตร์ชาติพันธ์ที่ยาวนามกว่าออสเตรเลียเยอะ  กลับเข้ามาเรื่องของประวัติออสเตรเลียต่อครับ หลังจากที่นักโทษจากอังกฤษเข้ามาอาศัยอยู่ก็ตามมาด้วยครอบครัวทหาร  และเริ่มมีผู้อพยพจากชาติอื่น ๆ เข้ามาในปี พ.ศ. 2336  บนเกาะแทสมาเนีย(รุ่นพี่บอกว่าสวยมาก  แต่ยังไม่เคยไป) ในปี พ.ศ. 2357 (ค.ศ. 1814) นักเดินเรือชาวอังกฤษชื่อ Mathew Flinders ผู้ทำแผนที่ออสเตรเลีย และได้เสนอให้เรียกชื่อเกาะแห่งนี้ว่า “ออสเตรเลีย” ต่อมาสหราชอาณาจักรประกาศสิทธิในฝั่งตะวันตกในปีพ.ศ. 2372

นั่นเป็นประวัติคร่าว ๆ ของออสเตรเลีย  แต่ที่แน่ ๆ คือคนไทยจะเดินทางเข้าประเทศออสเตรเลียต้องขอวีซ่าเข้าประเทศ  เพราะแน่นอน 1 เหรียญออสเตรเลียประมาณ 25 บาทบ้านเราประกอบกับคนไทยเยอะแยะเดินเหยียบกันตาย  ร้านอาหารไทยเต็มไปหมด   หากไม่มีการขอวีซ่าคาดว่าพี่ไทยหลายคนคนหนีการเมืองวุ่นวายไปขุดทองกันที่โน่นเต็มไปหมด   แต่จากประสบการณ์ตนเองที่มีโอกาสได้ทำงานที่โน่นมาระยะหนึ่ง  ขอนั่งยันนอนยัน ตีลังกายัน  ว่าไม่มีทองในขุดแล้ว โอกาสทางการทำงานของชนต่างชาติก็ไม่เท่ากับพลเมืองของเค้า  ส่วนเรื่องของการขอวีซ่านั้นสำหรับผมว่าออสเตรเลียขอไม่ยากครับ   การให้บริการผ่าน Outsource ทำให้การบริการดีมากท่านสามารถดูรายละเอียดการขอวีซ่าได้ที่
//www.vfs-au.net/thai/forms/ThaiInformationSheet5VisitorJuly06.pdf

การจะขอวีซ่าเข้าประเทศใดนั้นผมว่าหลักสำคัญมีอยู่แค่เพียง 2 ข้อ คือ
1. ท่านมีทุนทรัพย์เพียงพอที่จะดำรงชีวิตอยู่ระหว่างที่ท่านอยู่ในประเทศนั้น ๆ คำว่าทุนทรัพย์ไม่ว่าจะเป็นของท่านเองหรือผู้อุปถัมป์  อันจะก่อให้เกิดภาระกับรัฐบาลของประเทศนั้นๆ
2. ท่านแสดงให้สถานทูตเห็นว่าท่านมีความผูกพันกับถิ่นที่อยู่ของท่าน  กล่าวคือท่านจะไม่เป็นผู้หลบหนีเข้าเมืองถาวร (โรบินฮู้ต)
3. ท่านไม่เป็นผู้ที่จะไปสร้างความวุ่นวายหรือสร้างความไม่สงบ หรือเป็นอันตรายกับประชากรของประเทศที่ท่านจะไป กล่าวคือ ท่านไม่ได้มีคดีทางอาชญากรรม   เป็นผู้ก่อการร้าย หรือเป็นพวกต้องสงสัยว่าจะไปทำมิดีมิร้ายกับประชากรของประเทศที่ท่านจะไป

ผมว่าหลักง่าย ๆ เท่านี้ท่านก็มีสิทธิ์ที่จะได้รับอนุมัติวีซ่าเข้าประเทศแล้ว  ส่วนรายละเอียดปลีกย่อยก็ว่ากันไป  แล้วแต่ประสบการณ์และการพบเจอของแต่ละท่านครับ   บางครั้งอ่านแล้วก็ปวดหัวเพราะแต่ละคนมีวิถีที่แตกต่างกันจะใช้เป็นบรรทัดฐานหาได้ไม่(เชื่อผม)

Free TextEditor
ออสเตรเลียเป็นประเทศกว้างใหญ่ ภูมิประเทศมีความหลากหลายทางชีวภาพ และมีเส้นทางให้ท่องเที่ยวมากมายแต่ที่เป็นที่นิยมของชาวไทย และย่านประเทศเพื่อนบ้านได้แก่ ซิดนีย์ โกลด์โคสต์ บริสเบน เมลเบิร์น หรือทางตะวันตก เช่น เพิร์ธ เกาะเล็ก ๆ ของออสเตรเลียที่ไม่ควรมองข้าม คือ แทสมาเนีย ออสเตรเลียแบ่งเขตการปกครองเป็น 6 รัฐ และ 2 เขตการปกครอง คือ
รัฐนิวเซาท์เวลส์ เมืองหลวง คือ ซิดนีย์
รัฐควีสแลนด์ เมืองหลวง คือ บริสเบน
รัฐวิกตอเรีย เมืองหลวง คือ เมลเบิร์น
รัฐแทสมาเนีย เมืองหลวง คือ โฮบาร์ต
รัฐออสเตรเลียใต้ เมืองหลวง คือ อะเดเลค
รัฐออสเตรเลียตะวันตก เมืองหลวง คือ เพิร์ธ
เขตนอร์เทิร์นเทอริทอรี เมืองหลวง คือ ดาวิน
เขตนครหลวงออสเตรเลีย ที่ตั้งกรุงแคนเบอร์ร่า เมืองหลวงของประเทศ หลายคนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นซิดนีย์

เมื่อลงสนามบิน Kingford Smith เป็นสนามบินของเมืองซิดนีย์สนามบินอยู่ห่างจากตัวเมืองไม่มากเหมือนสุวรรณภูมิสามารถเดินทางเข้าเมืองได้ด้วย รถเมล์ Airport Express Bus คล้ายบ้านเรา หรือสามารถเดินทางโดยรถซัตเติลบัสซึ่งคล้าย ๆ กับ Taxi แต่มีผู้โดยสาร 2-4 คนบริการส่งในเขตกลางเมือง เช่น Kings Cross , Harbourและไชน่าทาวร์ แต่หากไปเที่ยวชั่วคราวแนะนำให้ซื้อ Sydney Pass ใช้ได้กับพาหนะทั้งรถเมล์ เฟอร์รี่ รถราง Airport Express Bus คล้าย ๆ กับ Autoput ของฮ่องกง ราคาตั้งแต่ 90-120 AUD. ขึ้นอยู่กับจำนวนวัน

สถานที่ท่องเที่ยวในซิดนีย์

-โรงอุปรากรซิดนีย์(Sydney Opera House) เป็นเอกลักษณ์ของซิดนีย์ก็ว่าได้เปรียบกับวัดพระแก้วบ้านเราว่าหากมาซิดนีย์แล้วไม่ได้มาเยือนก็ถือว่ามาไม่ถึง ซิดนีย์โอเปร่าเฮ้าส์สร้างจากเงินสลากกินแบ่งรัฐบาล(หวยนั่นเอง) แฮะ ๆ ไม่น่าเชื่อใช้ไม๊ครับว่าบ้านเค้าก็ไม่เหมือนบ้านเรา ดีนะไม่มีกองทุนหมู่บ้านเหมือนกัน ผู้ออกแบบเป็นชาวเดนมาร์กชื่อ Joern Utzon ชนะการออกแบบแต่ทิ้งงานไปกลุ่มสถาปนิกออสเตรเลียจึงรวมตัวกันสร้างจนเสร็จในปี ค.ศ. 1973 มีจุดชมวิวที่สวยงามสามารถเข้าชมภายในอาคารได้เป็นรอบ ๆ ระหว่าง 9.00-16.00 น. รายละเอียดสามารถเข้าไปดูได้ที //www.sydneyoperahouse.com

- ฮาร์เบอร์บริดจ์(Harbour Bridge) และ การชมวิวบนสะพาน(Bridge Climb) เป็นสะพานข้ามอ่าวหน้าเมืองซิดนีย์ คือ สัญลักษณ์อย่างหนึ่งของเมืองซิดนีย์ ฮาร์เบอร์บริดจ์เป็นสะพานโครงเหล็กที่มีช่วงกลางระหว่างตอม่อทั้ง 2 ข้างยาวที่สุดในโลก อยู่บนสะพานสามารถมองเห็นซิดนีย์โอเปร่าเฮ้าส์ได้และสวยงามมาก นอกจากนั้นยังมีการเปิดให้นักท่องเที่ยวไต่ขึ้นบนสะพานได้ด้วย(แต่เค้ามีเซฟตี้อย่างดีครับ ไม่ต้องห่วง แต่สนนราคาค่อนข้างแพงประมาณ 155 AUD เป็นเงินไทยก็ประมาณ 3,800 บาท)

- ย่านเดอะร็อคส์(The Rocks) เป็นถิ่นที่อยู่แรกของชาวยุโรปที่ตั้งถิ่นฐานที่ออสเตรเลีย เป็นย่านเก่าแก่ มีอาคารเก่าแก่และอนุรักษ์ไว้เช่นย่านท่าพระจันทร์บ้านเรา

- พิพิธภัณฑ์ศิลปะนิวเวเซ้าท์เวลส์(Art Gallery of New South Wales) เป็นที่จัดแสดงศิลปะเอเซีย และอะบอริจิน ที่สำคัญคือเข้าชมฟรี

- ซิตี้เซ็นเตอร์(City Centre) เป็นย่านใจการเมืองซิดนีย์ ซึ่งเป็นย่านธุรกิจ การค้า ห้างสรรพสินค้า และร้านสินค้าแบรนด์เนมชื่อดัง คล้าย ๆ กับสีลมบ้านเราก็ไม่ผิดต่างกันแต่ไม่ยักกะพบอาโกโก้ แบบพัฒน์พงศ์บ้านเรา

- ดาร์ลิงฮาร์เบอร์(Darling Harbour) อยู่ด้านตะวันตกของอ่าวซิดนีย์ ย่านนี้เป็นย่านบันเทิงและแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ เป็นที่ตั้งของ Exhibition Centre และ Sydney Aquarium และพิพิธภัณฑ์เรือ(National Manitime Museum) และ Powerhouse Museum การเดินทางสามารถเดินทางด้านรถรางรอบเมืองได้

- ย่านคนจีน เยาวราชซิดนีย์(China Town) คล้าย ๆ เยาวราชบ้านเราอยู่ไม่ห่างจากดาร์ลิงฮาร์เบอร์เท่าไรสามารถนั่งไฟฟ้าไปได้ เป็นย่านคนจีนในออสเตรเลีย สินค้าจีนต่าง ๆ อาหารจีน มีซุ้มประตูมังกรอยู่หัวท้ายถนน

- ตลาดปลาซิดนีย์(Sydney Fish Market) เป็นตลาดอาหารทะเลที่สำคัญของซิดนีย์ นอกจากนั้นยังมีร้านอาหารทะเล บรรยากาศแถวนี้น่านั่งมากครับ แต่ราคาอาหารใช่ว่าจะถูกนะครับ แถวนั้นก็มีชาวประมงเอาปลามาขายสด ๆ ที่แปลกใจคือทำมาชาวประมงเค้าหน้าตามีตังค์จัง ไม่เหมือนชาวประมงบ้านเราที่ต้องต่อสู้กับความยากจน เพราะอะไรตอบไม่ได้เหมือนกัน ถามผมคงจะเป็นโครงสร้างทางสังคมประมาณ 50% ส่วนอีก 50% น่าจะเป็นนโยบายรัฐบาลและการไม่ฉ้อราชบังหลวงมากจนเกินไป

- ย่านคิงส์ครอส(Kings Cross) เป็นย่านธุรกิจแสงสีเปรียบได้กับ พัฒน์พงศ์ บ้านเราก็ว่าได้ มีร้าน Adult Shop ด้วย มีโรงแรมมากมายย่านนี้ รวมถึงแหล่งการบันเทิงราตรี นอกจากนั้นยังมีภัตคารและร้านอาหารรวมทั้งแหล่งสินค้าชั้นนำ คนเยอะมากครับที่ถนนคิงส์ครอสถ้าผมอยู่ทุกวันคงเบื่อ ถนนหลักคือ Darlinghurst

- สวนสัตว์ทารองก้า(Taronga Zoo) มาออสเตรเลียไม่ได้ดูหมีโคอาล่า(Koala Bear) จริง ๆ มันควรอ่านเคาล่ามากกว่า แต่ผมเรียกตามที่บ้านเราเรียกดีกว่า นอกจากนั้นอีกสัตว์หนึ่งที่เป็นสัญลักษณ์ของออสเตรเลียคือจิงโจ หรือ Kangaroo ซึ่งเป็นภาษาอะบอริจินิส
***Koala ภาษาอะบอริจิน แปลว่า ไม่กินน้ำ ส่วน Kangaroo แปลว่า อะไร

- ฟ็อกซ์สตูดิโอ(Fox Studios) เป็นโรงถ่ายภาพยนต์ ค่อนข้างที่จะอลังการและลงทุนเยอะแต่ โดยส่วนตัวไม่ใคร่ที่อยากจะเห็นและ ไม่เคยเข้าไปก็เลยไม่รู้ว่าจะเล่าอะไร แต่โดยรวม ๆ คงเหมือนกับยูนิเวอร์แซลสตูดิโอของ USA (ซึ่งก็ไม่เคยไปอีกเหมือนกัน)



>
ซิดนีย์ เป็นเมืองหลวงของรัฐนิวเซาธ์เวลส์ ประเทศออสเตรเลีย เปรียบกันว่าซิดนีย์ก็เหมือนกรุงเทพฯ ส่วนเมลเบิลก็เหมือนเชียงใหม่


วีซ่าเข้าประเทศไม่ใช่เรื่องยาก หากเขียนในสิ่งที่เป็นจริงและสามารถตรวจสอบได้ มีทุนทรัพย์เพียงพอ หน้าที่การงานมั่นคง และสำคัญแสดงให้เห็นว่าจะไม่ไปก่อความวุ่นวาย หรือเป็นภาระกับรัฐบาลบ้านเค้า


โรงอุปรากรซิดนีย์ หรือ ซิดนีย์โอเปราเฮาส์ (Sydney Opera House)
ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์กรยูเนสโก้ในปี 2550 ประเภทมรดกทางวัฒนธรรม



สะพานข้ามอ้าว Harbour Bridge สัญลักษณ์ของซิดนีย์อยู่กลางสะพานสามารถมองเห็นซิดนีย์โอเปร่าเฮ้าส์ได้ วิวบนสะพานสวยงามมากมลพิษไม่เยอะเหมือนสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาบ้านเรา


รถไฟรางเดี่ยว(Monorail) วิ่งรอบเมือง มีความสูงประมาณตึก 2 ชั้นใช้เวลาวิ่งรอบละ 12 นาที ข้าราชการ กทม.บ้านเราดูงานหลายครั้ง แต่ กทม.ยังไม่เกิด คาดว่าจะวิเคราะห์ความเหมาะสมระบบฝังเมืองของ กทม.


อีกหนึ่งขนส่งสาธารณะของซิดนีย์เรียกว่ารถ Tramway หรือรถเมล์รางเป็นรถเมล์ที่วิ่งโดยผ่านราง วิ่งระหว่างเชอร์คูลาร์คีย์กับดาร์ลิงฮาร์เบอร์ รถจะออกทุก ๆ 15 นาที (9.30-18.00 น.)


Chian Town เยาวราชออสเตรเลีย จีนเป็นประเทศใหญ่ครั้งหนึ่งเคยแล้งแค้น อดอยาก ภัยสงคราม การปฎิวัติภายในต่าง ๆ ทำให้ประชาชนอบพยบย้ายถิ่นฐานไปทั่วโลกไม่เว้นแม้แต่ซิดนีย์


Kings Cross เป็นย่านไฟแดงหรือย่านชีวิตราตรีของซิดนีย์ คนไทยอาศัยอยู่ย่านนี้มากมาย ทั้งประกอบอาชีพ ร้านอาหารไทยมากมาย นักศึกษา คนเหล่านี้เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศไทยในอนาคต เพียงแต่รู้จักนำสิ่งดี ๆ ของออสเตรเลียมาพัฒนาบ้านเรา ไม่ใช่กลับมาแล้วเท้าไม่ติดดิน


Fish Market เป็นอีกที่หนึ่งที่ไม่ควรพลาดหากมาซิดนีย์ ไม่ใช่ไปดูอาหารทะเลหรือของทะเลอย่างเดียว แต่ได้เห็นชีวิตของชาวซิดนีย์อีกแง่มุมหนึ่งแล้วคำว่าชาวประมงในสายตาท่านจะเปลี่ยนไป


มาออสเตรเลียไม่เห็นหมีโคอาลาถือว่ามาไม่ถึง Koala ภาษาอะบอริจิน จริง ๆ ต้องอ่านว่า"เคาล่า" แปลว่า ไม่กินน้ำ ชื่อทางวิทยาศาสตร์คือ Phascolarctos cinereus แต่อย่าคิดว่าจะพบง่ายเพราะเป็นพียงแค่สัญลักษณ์ของประเทศ เช่น จีน=หมีแพนด้า,ไทย=ช้าง,อเมริกา=นกอินทรีย์ แต่จะพบตัวจริง ๆ ไม่ง่ายต้องไปสถานที่เค้าเลี้ยงไว้เช่น สวนสัตว์




 

Create Date : 26 ตุลาคม 2551    
Last Update : 10 ธันวาคม 2551 16:12:18 น.
Counter : 7137 Pageviews.  

ราชอาณาจักรไทยจงเจริญ ประชาคมโลกจงเจริญ


Free TextEditor

สำหรับผมแล้วการเดินทางต่างประเทศแต่ละครั้งผมไม่ได้มองแค่ในเรื่องการท่องเที่ยว  เพราะโดยส่วนตัวของผมไม่ค่อยชอบเสียเวลากับเรื่องของการเที่ยวเตร่สักเท่าไร  หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งว่าไม่ค่อยมีอารมณ์ร่วมกับพวกสาระความบันเทิง  เพราะรู้สึกว่าชีวิตคนเราสั้นเราไม่ควรใช้ชีวิตไปกับความบันเทิงให้มากนัก  ควรใช้ชีวิตกับการทำงานช่วยเหลือสังคม คนที่อ่อนแอกว่า   และการพัฒนาประเทศชาติ    ทุกครั้งที่ผมท่องเที่ยวผมจึงพยายามมองหาโอกาส  ดูความเจริญของนานาอารยประเทศเพื่อนำกลับมาพัฒนาบ้านเมืองเราให้เจริญและมีวิธีคิดให้เท่าทันประเทศนั้น ๆ รวมถึงการแข่งขันกันในประชาคมโลกด้วย    หากประเทศเราไม่มีการปรับตัวเรื่องการบริหารจัดการ การพัฒนาด้านบุคลากร  วิธีคิด หรือแม้กระทั่งวินัย  และการเคารพกฎหมายของประชาชน  ความสามัคคีภายในประเทศ   คงเป็นการยากที่จะแข่งขันหรือต่อสู้กับประเทศที่มีความเข็มแข็งเหล่านั้นในประชาคมโลก  นั่นคือเหตุผลหนึ่งที่ผมยินยอมที่จะนำเงินไทยไปทิ้งต่างประเทศเพราะผมมีวิธีคิดของผมเช่นนี้   ผมไม่ใช่คนเที่ยวต่างประเทศที่ใช้เงินไทยซึ่งมีค่าเงินที่ต่ำกว่าไปใช้จ่ายอย่างบ้าคลั่งเพื่อให้ประเทศขาดดุลทางการค้า   นอกจากนั้นผมชอบเดินทางไปเพื่อการได้สัมผัสกับสถานที่ ที่มีมนต์ขังที่ยิ่งใหญ่  รวมถึงการศึกษาประวัติศาสตร์ความเป็นมาของประเทศหรือสถานที่นั้นๆและศึกษาสถานที่และเทศกาลสำคัญทางศาสนา   ส่วนหนึ่งก็เพื่อเติมไฟให้กับตัวเองอีกวิธีหนึ่ง




 

Create Date : 25 ตุลาคม 2551    
Last Update : 12 มีนาคม 2552 1:33:20 น.
Counter : 1318 Pageviews.  

กทม.-มุกดาหาร-สะหวันนะเขต-เว้-ดานัง-ฮอยอัน-นาตรัง-ดาลัด-โฮจิมิน


- เมื่อประมาณปลายเดือน เม.ย. ที่ผ่านมาผมได้มีโอกาสท่องเที่ยวที่ประเทศเวียดนามโดยใช้การเดินทางทางรถยนต์ จำได้ว่าคุณเทพชัย หย่องเคยทำสารคดีการเดินทางเส้นทางนี้ทางช่อง 9 อสมท. เมื่อไม่นานมานี้ ปกติผมค่อนข้างไม่ชอบเดินทางข้ามประเทศด้วยรถยนต์หรือรถไฟเพราะรู้สึกว่าเหนื่อยและเสียเวลาอาจจะเป็นเพราะติดกับการใช้ชีวิตอยู่กับการทำงานซึ่งเห็นว่าเวลาเป็นสิ่งสำคัญมาก และผมว่าหลายท่านคงคิดเหมือนกันว่า 2 สิ่งที่เป็นปัจจัยสำคัญด้านการท่องเที่ยวคือ งบประมาณ และเวลา ยกเว้นแต่ท่านจะขายดาวเทียมได้และขอลี้ภัยทางการเมือง ท่านจะมีทั้งเงินและเวลา แต่ในเมื่อเราต้องการพักผ่อนท่องเที่ยวอย่างจริงจัง ทำไมเราต้องยึดติดกับเวลาด้วย นั่นจึงเป็นที่มาของการเดินทางท่องเที่ยวทริปนี้โดยเดินทางโดยรถยนต์ บขส.จาก กทม.-มุกดาหาร-สะหวันนะเขต-เว้-ดานัง-ฮอยอัน-นาตรัง-ดาลัด-โฮจิมิน(ไซ่ง่อน)และขึ้นเครื่องกลับจากโฮจิมิน ขอบอกว่าการเดินทางทั้งหมดนั้นโดยรถยนต์ตลอดทางครับนั่งกันเมื่อยหลังไปหมดเลย เมื่อตอนเดินทางรู้สึกลำบากมากแต่เมื่อกลับมาแล้วรู้สึกว่าเป็นประสบการณ์ที่คุ้มค่ามากและทำให้อยากที่จะเดินทางโดยรถยนต์ และรถไฟท่องเที่ยวข้ามประเทศอีก ไม่ว่าจะเป็นหาดใหญ่-มาเลย์-สิงคโปร์ หรือแม้กระทั่ง เส้นทาง R3A คุนหมิง-ลาว-เชียงราย หรือเส้นทางรถไฟที่ยาวที่สุดในโลกอย่างสาย Trans-Siberia ด้านล่างเป็นเรื่องราวการเดินทางของผมครับ คงไม่ละเอียดขนาดเป็นการรีวิวแต่เป็นเพียงแค่ทริปหนึ่งของการเดินทางที่อยากแชร์ประสบการณ์ในการเดินทางครั้งนี้ไว้ในมุมหนึ่งของความรู้สึกกับการเดินทางหลายพันกิโลด้วยรถยนต์ข้าม 3 ประเทศ ไทย ลาวและเวียดนาม

ช่วงนี้น้ำมันแพง ค่าแรงถูก แถมด้วยข้าวปลาอาหารก็ราคาสูงไปด้วย ผมขออนุญาติท่านผู้อ่านพักเรื่องเครียด ๆ พาเที่ยวแบบประหยัด(แต่ไม่ถึงกับอดอยาก) โดยมีเส้นทางการเดินทางท่องเที่ยวคือนั่งรถ Busจาก กทม.-มุกดาหาร-สะหวันนะเขต-เว้-ดานัง-ฮอยอัน-นาตรัง-ดาลัด แล้วมาขึ้นเครื่องบินกลับที่ไซ่ง่อน(โฮจิมิน) โดยใช้วเลา 7 วัน 6 คืน ซึ่งมีเป้าหมายอย่างเดียวว่าจะบินออกจากโฮจิมินในวันที่ 5 พ.ค. ด้วยเที่ยวบินของ Thai Air Asia เวลา 17.55 น.เท่านั้นที่เหลือเป็นเรื่องของค่ำไหน นอนนั่นเพราะผมเชื่อว่าเส้นทางเส้นนี้จะเป็นหนึ่งในเส้นทางหลักด้านการขนส่งและท่องเที่ยวที่สำคัญน้อง ๆ เส้นทาง R3A คุนหมิง-ลาว-เชียงราย จึงอยากจะศึกษาเส้นทางดังกล่าว ทำได้หรือไม่ได้อย่างไร มาติดตามกันครับ ก่อนอื่นเรามารู้จักประเทศเวียดนามคร่าว ๆ กันซะหน่อย
เวียดนาม (Vietnam) หรือชื่อทางการคือ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม (Socialist Republic of Vietnam) เป็นประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีพรมแดนติดกับประเทศจีน ทางทิศเหนือ ประเทศลาว และประเทศกัมพูชา ทางทิศตะวันตก และอ่าวตังเกี๋ย ทะเลจีนใต้ ทางทิศตะวันออก ผมแบ่งประวัติศาสตร์เวียดนาม(ด้วยตัวเองนะครับ) เป็น 4 ช่วง คือช่วงราชวงศ์เก่า ราชวงศ์ใหม่ ยุคที่ตกอยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศส และยุคสงครามเวียดนาม ยุคประวัติศาสตร์ยุคแรกและตกอยู่ภายใต้การปกครองของจีน และต่อมาราชวงศ์ใหม่และมีการย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่กรุงฮานอย จนถึงสมัย ราชวงศ์เหงวียน (พ.ศ. 2345-2488) องค์ชายเหงวียนแอ๋งหรือจักรพรรดิยาลอง จักรพรรดิพระองค์แรกของราชวงศ์เหงวียนเริ่มฟื้นฟูประเทศ เวียดนามมีอาณาเขตใกล้เคียงกับปัจจุบัน ดินแดนภาคใต้ขยายไปถึงปากแม่น้ำโขงและชายฝั่งอ่าวไทย ทรงรักษาสัมพันธ์กับชาวตะวันตกโดยเฉพาะฝรั่งเศสที่ช่วยรบกับพวกเตยเซิน นายช่างฝรั่งเศสช่วยออกแบบพระราชวังที่เว้และป้อมปราการเมืองไซ่ง่อน ราชวงศ์เหงวียนรุ่งเรืองที่สุดในสมัยจักรพรรดิมินหมั่ง จักรพรรดิองค์ที่สอง ทรงเปลี่ยนชื่อประเทศเป็น ด่ายนาม ขยายแสนานุภาพไปยังลาวและกัมพูชา ผนวกกัมพูชาฝั่งตะวันออก ทำสงครามกับสยามหรือประเทศไทยของเราต่อเนื่องเกือบยี่สิบปี แต่ภายหลังต้องถอนตัวจากกัมพูชาหลังถูกชาวกัมพูชาต่อต้านอย่างรุนแรง สมัยนั้นเวียดนามเริ่มใช้นโยบายต่อต้านการเผยแพร่คริสต์ศาสนาของบาทหลวงชาวตะวันตก มีการจับกุมและประหารบาทหลวงชาวตะวันตกอย่างต่อเนื่อง รวมถึงชาวเวียดนามที่นับถือคริสต์ศาสนา จนถึงรัชกาลจักรพรรดิองค์ที่ 4 คือจักรพรรดิตึดึ๊ก ทรงต่อต้านชาวคริสต์อย่างรุนแรงต่อไป จนในที่สุดบาทหลวงชาวฝรั่งเศสขอความช่วยเหลือจากรัฐบาลของตนให้ช่วยคุ้มครอง พ.ศ. 2401 เรือรบฝรั่งเศสเข้ามาถึงน่านน้ำเมืองดานัง (หรือตูราน) ฐานทัพเรือใกล้เมืองหลวงเว้ นำไปสู่การสู้รบกันของทั้งฝ่าย กองทัพเรือเวียดนามถูกทำลายเกือบทั้งหมด ต่อมากองกำลังฝรั่งเศสบุกโจมตีดินแดนภาคใต้ จักรพรรดิตึดึ๊กยอมสงบศึกและมอบดินแดนภาคใต้ 6 จังหวัดให้แก่ฝรั่งเศส ชาวเวียดนามเริ่มต่อต้านการยึดครองของฝรั่งเศสแต่ไม่อาจต่อสู้กับแสนยานุภาพที่เหนือกว่าได้ จนในปี 2428 จักรพรรดิห่ามงี นำการต่อต้านฝรั่งเศสแต่ต้องพ่ายแพ้ กองทหารฝรั่งเศสยึดพระราชวังและกรุงเว้ได้ จักรพรรดิเสด็จหนีแต่ถูกจับได้และถูกเนรเทศไปยังแอลจีเรีย ฝรั่งเศสจึงเข้าควบคุมเวียดนามอย่างจริงจังมากขึ้นและแบ่งเวียดนามออกเป็น 3 ส่วน คืออาณานิคมโคชินจีน ในภาคใต้ เขตอารักขาอันนาม และที่ดินในเวียดนามตกเป็นของชาวฝรั่งเศสจำนวนมาก ชาวฝรั่งเศสเริ่มอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในเวียดนาม ขณะเดียวกันก็ส่งเสริมการศึกษาและวัฒนธรรมฝรั่งเศสให้แพร่หลายในเวียดนาม ชาวเวียดนามส่วนหนึ่งได้รับการศึกษาแบบใหม่และเริ่มต้องการอิสระในการทำงานและมีส่วนร่วมในการปกครองประเทศ นำไปสู่การก่อตัวของกลุ่มชาตินิยมต่าง ๆ ที่เข้มแข็งที่สุดคือพรรคคอมมิวนิสต์ที่ตั้งขึ้นโดยโฮจิมินห์ ในปี 2473 และต่อมาปรับเปลี่ยนเป็น กลุ่มเวียดมินห์ ได้นำชาวนาก่อการต่อต้านฝรั่งเศสในชนบท พ.ศ. 2488 โฮจิมินห์รับมอบอำนาจจากจักรพรรดิบ๋าวได๋และรับตำแหน่งประธานาธิบดีคนแรก แต่หลังจากนั้นฝรั่งเศส กลับเข้ามาขับไล่รัฐบาลของโฮจิมินห์และไม่ยอมรับเอกราชของเวียดนาม นำไปสู่สงครามจนฝนที่สุดฝรั่งเศสพ่ายแพ้แก่กองกำลังเวียดมินห์ที่ค่ายเดียนเบียนฟู ในปี 2497 และมีการทำสนธิสัญญาเจนีวา ยอมรับเอกราชของเวียดนามแต่สหรัฐอเมริกาและชาวเวียดนามในภาคใต้บางส่วนไม่ต้องการรวมตัวกับรัฐบาลของโฮจิมินห์ ต่อมาได้ก่อตั้งดินแดนเวียดนามภาคใต้เป็นอีกประเทศหนึ่ง คือ สาธารณรัฐเวียดนาม หรือเวียดนามใต้ มีเมืองหลวงคือ ไซ่ง่อน ปัจจุบันคือโฮจิมิน แต่หลายท่านก็ยังเรียกไซ่ง่อนอยู่เมืองนี้จึงมี 2 ชื่อไปโดยปริยาย คงเหมือนกับบางกอกกับกรุงเทพฯเช่นบ้านเราถึงแม้จะเปลี่ยนเป็นกรุงเทพฯแต่ทั่วโลกก็ยังรู้จักในชื่อ Bangkok มากกว่า กลับเข้ามาเรื่องเวียดนามครับเมื่อมีการแบ่งเวียดนามออกเป็น 2 ประเทศ โดยใช้เส้นละติจูดที่ 17 องศาเหนือแบ่งแยกกับเวียดนามส่วนเหนือใต้การปกครองของโฮจิมินห์ (เวียดนามเหนือ) สงครามเวียดนาม เวียดนามเหนือไม่ยอมรับสถานภาพของเวียดนามใต้ ขณะที่สหรัฐอเมริกาได้ให้การช่วยเหลือทางทหารแก่เวียดนามใต้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงการส่งทหารมาประจำในเวียดนามใต้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เวียดนามเหนือประกาศทำสงครามเพื่อขับไล่และ "ปลดปล่อย" เวียดนามใต้จากสหรัฐอเมริกาและรวมเข้าเป็นประเทศเดียวกัน พร้อมให้การสนับสนุนกลุ่มชาวเวียดนามใต้ที่ต่อต้านสหรัฐอเมริกา (เวียดกง) ในการทำสงคราม การรบส่วนใหญ่กลายเป็นการรบระหว่างทหารอเมริกันและพันธมิตรจากต่างประเทศ กับกองกำลังเวียดกงและเวียดนามเหนือ ทั้งในชนบทและการโจมตีในเมือง แม้สหรัฐอเมริกาได้ทุ่มเทแสนยานุภาพอย่างเต็มที่แต่ก็ไม่อาจทำให่สงครามยุติลงได้ หลังการรุกโจมตีครั้งใหญ่ของเวียดนามเหนือและเวียดกงในปี 2511 ที่เมืองเว้ และเมืองหลักอื่น ๆ ในเวียดนามใต้ สหรัฐอเมริกาเริ่มเตรียมการถอนกำลังจากเวียดนามใต้และให้เวียดนามใต้ทำสงครามโดยลำพัง สหรัฐอเมริกาถอนทหารจากเวียดนามใต้อย่างเป็นทางการในปี 2516 กองกำลังเวียดนามเหนือและเวียดกงจึงสามารถรุกเข้ายึดไซ่ง่อนและเวียดนามใต้ได้ทั้งหมดในปี 2518 การรวมเวียดนามทั้งสองส่วนเข้าด้วยกันเกิดขึ้นในวันที่ 2 กรกฎาคม 2519 และเปลี่ยนชื่อประเทศเป็น สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม นั่นแหละครับประวัติคร่าว ๆ ของประเทศนี้ จะสังเกตได้ว่าประวัติศาสตร์ของเวียดนามช่วงเวลารบกับอเมริกา มีความเกี่ยวพันธ์และเวลาใกล้เคียงกับช่วง 14 ตุลา 16 และ 15 ต.คง 19 ความเกี่ยวข้องโยงใยกับทฤษฎีดอมิโน่ของคอมมิวนิตส์ที่คิดจะครองโลกเมื่อก่อนประเทศไทยก็มีพรรคคอมมิวนิตส์แห่งประเทศไทย แต่ผมขอไม่กล่าวถึงแล้วกันครับเดี๋ยวจะยาว เรามาว่าเรื่องท่องเที่ยวกันดีกว่า


29 เม.ย. ผมเริ่มออกเดินทางจาก กทม.เพื่อไปจังหวัดมุกดาหารโดยออกจากขนส่งหมอชิตเวลา 20.45 น.ด้วยรถ บขส. VIP ค่ารถ 760 บาท ใช้เวลาเดินทางก็ประมาณ 10 ชม.ก็ถึง จ.มุกดาหารผมไม่ได้นั่งรถ บขส.มาหลายปีมากต้องขอชื่นชมทาง บขส.ว่ามีการปรับปรุงการให้บริการ และคุณภาพรวม ถึงคุณภาพการให้บริการอย่างเป็นมาตรฐาน รวมไปถึงอาหารที่แจก ผ้าห่มอย่างดีที่ผ่านการซักจากซินไฉ่ฮั่ว จึงขอชื่นชม บขส. มา ณ โอกาสนี้

30 เม.ย. เมื่อเดินทางถึงมุกดาหารก็เช้าตรู่ประมาณ 6 โมงกว่า แต่จะมีรถจากมุกดาหารในเที่ยวแรกเวลา 8.30 น. ดังนั้นจึงเป็นการเหมาะที่จะจัดการเรื่องอาหารเช้าให้เสร็จเรียบร้อยซะที่ฝั่งไทยเพราะคิดว่าคงต้องเดินทางอีกนาน ตั๋วรถเพื่อเดินทางไปประเทศลาว(สะหวันนะเขต) และผ่านด่านลาวบาว(Lao Bao) และต่อไปที่เมืองเว้ประเทศเวียดนามสามารถซื้อได้ที่เคาร์เตอร์ขายตั๋วของ บขส.ที่ จ.มุกดาหารได้เลย(ซึ่งผมเช็คแล้ว เมื่อไปถึงว่าราคาถูกกว่าไปซื้อที่สะหวันนะเขตด้วย) การเดินทางโดยการข้ามสะพานมิตรภาพไทยลาว ต้องผ่านด่าน ตม.ของไทยและลาวซึ่งไม่ได้ยากเย็นอะไร แต่สิ่งที่ผมมีความสงสัยคือทาง ตม.ลาวจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียม 40 บาททั้งขาเข้าและออกและไม่มีการออกใบเสร็จ(ก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร) แต่เพื่อความสะดวกและต้องการมาท่องเที่ยวอย่าถามดีกว่า หากเรามองก็น่าเห็นใจว่าคนที่ผ่านด่านนี้ส่วนใหญ่จะมุ่งหน้าสู่เวียดนามอาจจะต้องเป็นการบ้านที่หนักหนาของรัฐบาลลาวก็ได้ในภาวะที่เวียดนามมาแรงทั้งเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว รถบัสมาสุดทางที่ จ.สะหวันนะเขตก็ประมาณ 9 โมงกว่า รถบัสที่เราจองมาเพื่อไปเว้จะออกจากสะหวันนะเขตมุ่งสู่เว้เวลา 10.00 น. ผมไม่เลือกที่จะพักที่สะหวันนะเขตเพราะต้องการเดินทางสู่เมืองเว้ให้ทันก่อนค่ำ เพราะเท่าที่ดูแผนการท่องเที่ยวของแขวงสะหวันนะเขตแล้ว ผมว่าเที่ยวในมุกดาหาร หรือ นครพนมบ้านเราดีกว่าจึงขอผ่านไป การเดินทางจากสะหวันนะเขต เข้าประเทศเวียดนามที่ด่านลาวบาวมุ่งสู่เมืองเว้นั้นต้องใช้เวลาประมาณ 7 ชม.ต้องผ่าน ตม.ขาออกของลาว และผ่าน ตม.ขาเข้าของเวียดนาม ดังนั้นจึงขึ้นลง ๆ อยู่ตลอดเวลา หากไม่นับที่จำนวนผู้เดินทางแล้วกระบวนการต่าง ๆ ไม่ยาก ผมว่าออกทางรถยนต์ง่ายกว่าเครื่องบินด้วยซ้ำ ในความคิดส่วนตัวของผมคือเจ้าหน้าที่ ตม.เป็นเจ้าหน้าที่อยู่ท้องถิ่นทำให้ความเกี้ยวกราดมีไม่มากเท่าท่าท่าอากาศยาน รถแวะทานอาหารระหว่างทางหนึ่งครั้ง และแวะเข้าห้องน้ำตามสะดวกทั้งคนขับคนนั่งดูเป็นมิตรดีครับสภาพรถก็ไม่เลวเกินไปนักปรับอากาศ เนื่องจากเที่ยวที่ผมเดินทางคนน้อยจึงเลือกที่นั่งตามอัธยาศัย พอข้ามจากลาวสู่เวียดนามก็จะพบกับด่านที่อลังการคือ LAO BAO International Border เริ่มเข้าพื้นที่เวียดนามจริง ๆ ผมรู้สึกได้ทันทีเพราะวันนี้เป็นวันที่เวียดนามชนะอเมริกาเพราะอเมริกาถอนทหารคนสุดท้ายจากเวียดนาม เราจึงเห็นทุกบ้าน(ผมใช้คำว่าทุกบ้าน) เพราะมันทุกบ้านจริง ๆ ประดับธงชาติเวียดนาม หากเป็นสถานที่ราชการจะมีสัญลักษณ์ค้อน เคียวและ รูป ฯพณฯ โฮจิมิน ที่หน้าบ้าน ผมขนลุกทันที ขนลุกกับบรรยากาศ ขนลุกกับความเป็นชาติ และขนลุก ๆ ว่าเป็นประเทศเพื่อนบ้าน และเป็นคู่แข่งทางเศรษฐกิจที่สำคัญของเรา หากมีความเป็นชาติขนาดนี้ในขณะที่บ้านเรายังถกเถียงกันว่าจะแก้รัฐธรรมนูญหรือไม่แก้อย่างนี้จะไม่ให้ขนลุกได้อย่างไรครับ พี่น้องครับ กว่าจะมาถึงเว้ก็ค่ำแล้วประมาณ 6 โมงจึงตัดสินใจว่าจะพักที่เว้สัก 1 คืน ผมหันไปถามคนขับรถซึ่งเป็นชาวลาวว่าจากท่ารถเดินทางไปในเมืองไกลไม๊ คนขับก็แสดงไมตรีจิตเป็นอย่างดีตอบว่าผมเป็นคนลาวคุณพูดภาษาเวียดได้ไม๊ ผมขับรถมาถึงอย่างเดียวแล้วก็กลับไม่เคยไปไหน (โอ้โฮ พี่เล่นงี้ผมก็จบแล้วครับ) แต่ไม่ยากหรอกครับถ้าในกระเป๋าเรามีเงิน มีมอเตอร์ไซด์มาเสนอว่าจะพาเราไปโรงแรมด้วยการถามว่า Moto Moto Hotel Hotel Cheap price ตัดสินใจว่าค่ำแล้วขี้เกียจเดินบอกราคามาประมาณ 15,000 ดอง(ค่าเงินประมาณ 500 ดอง = 1 บาท) ราคาก็ประมาณ 30 บาท Ok หน่า พอมอเตอร์ไซด์จอดลงผมก็พบได้ว่าเราหาโรงแรมไม่ยากแน่เพราะมีคนมาเสนอแทบจะเรียกว่าดึงไปเลย โดยจริง ๆ แล้วก็คือพวกมอไซด์วินแถวนั้นหาลูกค้าให้โรงแรมเค้าบอกถ้าไปดูโรงแรมกับเค้านั่งรถฟรี ผมดูแล้วยังไงเราก็ต้องหาที่พักจึงนั่งมอไซด์ของเค้าไปโดยพาไปที่โรงแรมชื่อว่า HOA THIEN ซึ่งจากการดูสภาพห้องแล้วก็อยู่ในเกณฑ์ใช้ได้ราคาคืนละ 25 USD(1 USD=31)ตก 775บาท ก็ไม่แพงมากนักแวะไปดูโรงแรมข้าง ๆ บอก 22 USD ถูกกว่าแต่ห้องเล็กมากจึงตัดสินใจมากพักที่โรงแรมเดิม หลังจากจัดการเก็บของอาบน้ำเรียบร้อยหาอาหารเย็นรัปทานก็ตัดสินใจจะเดินทางกันต่อไปดานังและพักที่ดานัง 1 คืน โดยอาศัย Open Tour และหากใครเที่ยวที่เวียดนามก็คงต้องรู้จัก Shin Café ซึ่งเราก็ไม่พลาดที่จะจองผ่าน Shin แต่ปรากฏว่า Open Tour เต็มแล้วดังนั้นจึงเป็นการบังคับให้เราต้องอยู่เว้อีกหนึ่งคืน และเลือกต้องข้ามดานังเป็นเพียงทางผ่านเพื่อไปพักที่ฮอยอันเลย ดังนั้นจึงเลือกซื้อ Open Tour ที่จะเที่ยวในวันรุ่งขึ้นและหากเป็นส่วนตัวของผมแล้วการมาถึงเว้ถ้าไม่ได้ไป DMZ เห็นที่ว่าจะมาไม่ถึง DMZ คืออะไร DMZ คือพื้นที่ปลอดทหารสมัยสงครามเวียดนามที่เวียดนามแบ่งออกเป็น 2 ประเทศคือเวียดนามเหนือ และเวียดนามใต้ DMZ คือพื้นที่แบ่งระหว่างเวียดนามทั้งออกเป็น 2 ประเทศ เวียดนามเหนือนั้นปกครองในระบบคอมมิวนิสต์ ส่วนเวียดนามใต้ปกครองแบบประชาธิปไตย โดยอเมริกาให้การช่วยเหลือเพราะอเมริกาต้องการที่จะหยุดยั้งทฤษฎีดอมิโน่ ตามที่เราเคยได้ยินว่าเวียดนามนั้นขุดรูสู่ ใช้หลักคอมมิวนิสต์ คือ เองมาข้าหนี เองถอยข้าตี เองหนีข้าซ้ำ ทฤษฎีการต่อสู้แบบสงครามกองโจร และสู้เพื่อชาติ สู้เพื่ออุดมการณ์ และการสละได้แม้แต่ชีวิต ใครที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามย่อมต้องกลัวเป็นธรรมดา อเมริกามีอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัยยังไม่สามารถต้านทานไว้ได้ มาถึงตรงนี้เราต้องรู้จักกับ เวียดมิน และเวียดกง ผมอธิบายง่าย ๆ เวียดมินคือเวียดนามเหนือที่เป็นคอมมิวนิสต์ ส่วนเวียดกงคือพวกเวียดนามใต้ที่จับอาวุธขึ้นสู้กับอเมริกา อย่างนี้เข้าใจง่าย จริง ๆ ในเว้ยังมีปราสาทราชวังที่สวยงามซึ่งเป็นของกษัตริย์ที่ครองเว้ตั้งแต่โบราณให้ทำการท่องเที่ยวอีกมากแต่เนื่องจากเวลาที่จำกัดคงได้แค่นั่งรถผ่านไม่ได้เข้าไปเที่ยวชม นั่นก็เป็นสิ่งที่น่าเสียดาย ส่วนคืนนี้คงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าเดินเที่ยวในเมืองและเดินสำรวจโรงแรมว่ามีถูกกว่าที่เราพักหรือไม่ เผื่อว่าจะได้เปลี่ยนโรงแรมในคืนต่อไป เดินสำรวจแล้วพบว่าโรงแรม A-Dong 2 อยู่ที่ถนนดอยชุง(Doi Cung) ทำไมเชื่อเหมือนเกาหลีไม่รู้ผมอ่านถูกเปล่า เดินเข้าไปถามสาวเวียดนามที่อยู่ที่เคาร์เตอร์เธอบอก 20 USD ดูห้องแล้วสภาพพอ ๆ กับโรงแรมที่เราพักราคาถูกกว่า 5 USD เจ้าของน่ารักกว่าแล้วมีเหตุผลอะไรที่จะไม่เปลี่ยนโรงแรม ดังนั้นจองไว้เลยครับการจองก็ง่ายคือ เขียนชื่อไว้ในสมุด ผมถามเธอว่าต้องมัดจำหรือไม่เธอตอบว่าไม่ต้องแต่คุณมาจริง ๆ นะ ผมบอกกับเธอว่าโรงแรมเดิมผมนอน 25 USD ของคุณ 20 USD มีเหตุผลอะไรที่ผมจะไม่มา โดยเฉพาะคุณน่ารักอย่างนี้(อันนี้คิดในใจนะครับไม่ได้บอก) ผมให้เบอร์โทรของผม (เปิดบริการข้ามแดนไว้) ผมบอกเธอว่าถ้าพรุ่งนี้เกิน 6 โมงเย็นผมยังมาไม่ถึงคุณสามารถโทร Confirm ผมได้เพราะเราซื้อ Daily Tour ไว้อาจจะกลับมา Late ก็ได้ จากนั้นก็เดินเล่นในเมืองหาอาหารพื้นเมืองรัปทาน วันนี้เป็นวันชัยชนะของเวียดนามจึงเห็นสภาพบ้านเมือง ผู้คน และการเฉลิมฉลองอย่างครึกคัก แต่เราก็คงต้องนอนเพราะเหนื่อยมากับการเดินทางและเพลียมาก พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้าอีก

1 พ.ค. ประมาณ 7 โมงเช้ารถ Open Tour ของ Shin Café ก็มารับเราที่โรงแรมเราเลือกเช็กบิลแล้วฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรม Open Tour ของ Shin Café จะเป็นทัวร์ราคาที่ย่อมเยาหากเป็น Open Tour เช่นนี้จึงมักไม่ค่อยรวมค่าอาหาร และค่าเข้าชมต่าง ๆ แต่เนื่องจากระบบการขนส่งมวลชนในเวียดนามสำหรับนักท่องเที่ยวยังไม่ดีแบบบ้านเราหรือเช่นที่ ฮ่องกง มาเก๊า เซินเจิ้น หรือไทยเรา ดังนั้นวิธีง่ายที่สุดคือซื้อ Open Tour เพราะหากเวลาที่จำกัดการท่องเที่ยวด้วยตัวเองต้องหาข้อมูลและทำการบ้านมาเยอะมาก และอาจจะต้องใช้เวลาที่มากกว่า ในทางกลับกันการเที่ยวกับ Open Tour ข้อเสียก็มีคือถูกมัดมือชก คุณต้องไปทุกที่ตามโปรแกรมแม้คุณไม่ยากไปหรือไม่อยากอยู่เพราะเป็นทัวร์สาธารณะ แต่สำหรับผม ๆ ชอบตรงที่มีหลายเชื้อชาติอยู่ในรถทำให้ได้ฟังการสนทนาและวิถีของแต่ละชาติแต่ละภาษาบางที่ก็ฟังไม่ออกหรอกแต่ดูลักษณะท่าทางการ Action หรือพฤษติกรรมของแต่ละชนชาตินั้นสามารถสร้างองค์ความรู้ในกับเราได้ทางหนึ่ง เมื่อเราขึ้นรถได้ไม่นานทางรถก็แวะรับไก๊ด์ท้องถิ่นซึ่งก็อธิบายว่าวันนี้เราจะไปไหนกัน ไก๊ด์แจ้งว่าจะไปเส้นทางหลวงหมายเลข 1 และหมายเลข 9 เมือง ดองฮา(Dong Ha) ซึ่งสมัยสงครามถูกอเมริกาทิ้งระเบิดทั้งเมืองจนไม่เหลืออะไรแม้แต่ป่าไม้ เพราะอเมริกาพี่เล่นใช้สารเคมีที่เรียกว่าฝนเหลืองต้นไม้อยู่ไม่ได้ ตายหมด และ สะพาน Hien Luong รวมถึงแม่น้ำ Ben Hai ซึ่งแบ่งระหว่างเวียดนามเหนือและใต้หรือที่เรียกว่า DMZ ฐาน Khe Sanh Combat Base ที่อเมริกาใช้เป็นที่ตั้งฐานทัพและจุดพักเติมน้ำมันเครื่องบินเพื่อทิ้งระเบิด ไฮไล้ที่สำคัญคงเป็นอุโมงวินม๊อก(Vinh Moc Tunnel) และพิพิธพัณฑ์ วินม๊อก ซึ่งเก็บสิ่งของที่เป็นประวัติศาสตร์ของสงครามเวียดนาม ซึ่งอุโมงค์วินม๊อกนั้นจะใช้เพื่อเป็นที่อยู่อาศัย หลบภัย ไม่ได้ใช้เพื่อการต่อสู้แบบอุโมงกู๋จีที่ไซ่ง่อน ในความรู้สึกส่วนตัวของผมสงครามเวียดนามสร้างความบอบช้ำ สูญเสียและน้ำตาให้กับประชาชนและประเทศเวียดนามในอดีต แต่ปัจจุบันคนทุกมุมโลกก็แวะมาท่องเที่ยวเพื่อดูสิ่งที่ผ่านมา ศึกษาประวัติศาสตร์ นั่นคงเป็นการมองโลกในแง่ดีที่สุด ขากลับจะผ่านอนุสาวรีย์ที่เค้าเรียกว่าอนุเสาวรีย์แม่อุ่มลูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกว่าเมื่อผู้ชายซึ่งเป็นหัวหน้าครอบครัวออกไปรบเพื่อชาติภรรยาและลูกก็ยังรอคอยการกลับมาของผู้ซึ่งเป็นบิดา บางคนได้กลับ บางคนไปแล้วไม่ได้กลับมา ครอบครัวก็ต้องต่อสู้ชีวิตต่อไปโดยลำพัก และเพื่อนักรบผู้ชายหมด ก็ต้องใช้นักรบผู้หญิงกับเด็ก เห็นไม๊ครับว่าประเทศหนึ่งจะสร้างประเทศได้นั้น ต้องผ่านความเจ็บปวดเพียงใด นั่นเป็นที่มาของอนุสาวรีย์ทหารหญิงเวียดนามที่ตั้งตะหง่านอยู่และเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่ควรต้องแวะ การเรียนรู้ประวัติศาสตร์จากการท่องเที่ยวนั้นก็เป็นสิ่งที่ดีครับ จากการเที่ยวทุกที่ทุกประเทศย่อมมีประวัติศาสตร์ และวิถีความเชื่อ วัฒนธรรมที่แตกต่างกันออกไป ขากลับไก๊ด์ท้องถิ่นบอกกับเราว่าเวียดนามไม่มีคอมมิวนิสต์แล้ว ประเทศยู หรือที่ฝรั่งเศส อังกฤษ อเมริกา เป็นอย่างไร มีอะไรทุกวันนี้เราก็เป็นอย่างนั้น........เอ! สิ่งที่ไก๊ด์กล่าวนั้นจะเป็นสิ่งดีหรือไม่ดีกับประเทศกันแน่หนอ ทัวร์แวะส่งเราประมาณ 5 โมงเย็นจึงไปรับกระเป๋าที่ฝากไว้ที่โรงแรม HOA THIEN เพื่อเปลี่ยนไปพักโรงแรม A Dong2 ตามที่เราจองไว้เมื่อวาน เมื่อเก็บของที่โรงแรมใหม่เรียบร้อย ก็ออกไปรัปทานอาหารเย็นและจองตั๋วเรือเพื่อล่องแม่น้ำน้ำหอม(Perfume River) ชมดนตรีพื้นเมืองของเวียดนามในเมืองเว้ ตลอดทางคุณสามารถเห็นรถสามล้อชักชวนให้นั่งเที่ยวรอบเมือง รวมถึงพาไปสถานที่ ๆ หลายท่านที่เป็นสุภาพบุรุษปรารถนาคือ Vietnam Lady,Vietnam Young Lady แต่ผมอยากเก็บเมืองเว้ไว้ในความสวยงามของประวัติศาสตร์ ชีวิตผู้คน ความสวยงามของดนตรีและอาหารพื้นเมือง และการต่อสู้มากกว่า จึงตอบไปว่าคอมเบียก หรือไม่ แล้วเดินไปลงเรือเพื่อชมแม่น้ำน้ำหอม จริง ๆ เสียใจอยู่นิดเดียวที่โฆษณากับเราว่าจะใช้เวลา 1 ชม.แต่เอาเข้าจริงแล้วแล่นไปนิดเดียวแล้วก็จอด ให้ชมดนตรีพื้นเมือง (ซึ่งผมฟังภาษาไม่ออก แต่พอรับรู้ได้ถึงความอิ่มเอมของผู้ร้อง ทำให้ซึมซับได้ถึงความรื่นรมย์) ก่อนกลับมาการลอยกระทงลงในสายน้ำคล้าย ๆ กับการลอยกระทงบ้านเรา คงcopy มาเพราะเห็นสวยดี(จึงนำมาหลอกชาวยุโรป แต่สำหรับผมบาย เพราะลอยกระทงเราอลังการกว่าเยอะ จึงไม่ได้เข้าร่วมลอยด้วย เปิดโอกาสให้ชาวเวียดนามและยุโรป หรือชาติอืนสนุกกันไป) เรือมาส่งเราที่ฝั่ง โดยเราเลือกเดินต่อในสวนสาธารณะริมน้ำ รัปทานขนมหวาน แล้วก็กลับโรงแรมเพื่อเตรียมเดินทางสู่ฮอยอันในวันรุ่งขึ้น

2 พ.ค. เรา Check Out และรอรถของ Shin Café มารับเราที่โรงแรมอาจจะ Late นิดหน่อยแต่ก็ถือว่าอยู่ในเวลาที่ไม่น่าเกลียด การเดินทางจากเว้ไปฮอยอันนั้นประมาณ 140 กม. หากเป็นบ้านเราคงใช้เวลาเดินทางเพียง 1.30 ชม. แต่เมื่อเราไปกับทัวร์ต้องใช้เวลา 4 ชม. เนื่องด้วยทั้งการขับรถในเวียดนามซึ่งมีการจำกัดความเร็ว และการแวะสถานที่ต่าง ๆ ที่นักท่องเที่ยวควรจะได้ชม หรือควรจะได้เลือกซื้อสินค้า หรืออาหาร ของที่ระลึก อันนี้ทัวร์ทุกที่แทบจะในโลกคงคล้ายกัน(ก็เค้าทำธุรกิจนี่) โดยเราจะมีแวะที่ชายหาดแลงโค(Lang Co Beach) ซึ่งผมว่าเป็นชายหาดที่สวยและยังมีวิถีชีวิตประมงพื้นบ้านอยู่โดยที่ยังไม่มีนักท่องเที่ยวมากนัก รถวิ่งผ่าน Marble Mountain จนผ่านอุโมงลอดที่เจาะผ่านภูเขาเข้าเมืองดานัง และสุดทางที่ฮอยอัน คนไทยจะรู้จักฮอยอันจากละคร “ฮอยอัน ฉันรักเธอ” ที่พระเอกแทน(แดน-วรเดช) หนีการแต่งงานไปอยู่ที่ฮอยอันและถูกวัยรุ่นเวียดนามทำร้าย แล้วมีเฮืองมาย(เจนนี่เทียน) คอยให้การช่วยเหลือไว้จนเป็นตำนานรักที่ลือเลื่องและทำให้คนไทยหลั่งไหลไปฮอยอัน แต่จริง ๆ แล้วฮอยอันเป็นเมืองท่าที่สำคัญในอดีตเนื่องจากมีชาวยุโรปเดินเรือมาพบเข้า และชาวจีน ญี่ปุ่นจะนำเรือมาเทียบท่าที่เมืองนี้เนื่องจากกระแสลมจะพัดเข้ามาที่ฮอยอัน ฮอยอันเคยถูกภัยธรรมชาติจากพายุจนพินาศและได้ถูกสร้างใหม่โลกได้รับอิทธิพลจากพ่อค้าจีนต่อมา เมืองท่าปัจจุบันเปลี่ยนเป็นเมืองดานัง ฮอยอันได้รับการเลือกเป็นมรดกโลกในวันที่ 4 ธ.ค. 2542 ผู้คนจากทั่วโลกจึงหลั่งไหลมาฮอยอันเหมือนลมทะเลที่พัดเข้าหาฝั่ง และท่านใดคาดหวังว่าจะได้เห็นเมืองเก่าที่รักษาขนมธรรมเนียมประเพณีเดิมของเวียดนามไว้ แต่ต้องขอบอกว่าปัจจุบันเมืองดังกล่าวเหลือน้อยแล้วครับวาดภาพเป็นตลาดน้ำดำเนินบ้านเราก็แล้วกันครับไม่มีแล้วตลาดน้ำจริง ๆที่จะนำของมาค้าขายแลกเปลี่ยนกัน เมืองเก่าเหลือในส่วนที่เป็นมรดกโลก และที่ต้องชื่นชมรัฐบาลเวียดนามคือให้เด็กนักเรียน นักศึกษาต้องแต่ชุดอ้าวญายซึ่งเป็นชุดประจำชาติซึ่งสร้างเอกลักษณ์ และสร้างความตื่นตา ตื่นใจให้นักท่องเที่ยวได้อย่างดี ฮอยอันเป็นเมืองมรดกโลกดังนั้นระบบการบริหารจัดการหรือการเข้าชมจึงเป็นมาตรฐาน การหาโรงแรมที่ฮอยอันนั้นไม่ยากเพราะมีโรงแรมมากมายหลายแห่งให้เลือก เดินก็เจออย่ากจะนอนแบบไหนตามสะดวกราคาอยู่ที่ประมาณ 15-25 USD ขึ้นอยู่กับการตกแต่งและสิ่งอำนวยความสะดวก ช่วงที่เราไปมีโรงแรมเปิดใหม่ฝั่งตรงข้ามฮอยอัน ชื่อว่าอันฮอย(An Hoi) ใหม่และน่าอยู่จึงตัดสินใจพักที่นี่ด้วยราคาคืนละ 15 USD. (ประมาณ 465 บาท) เลือกเช่ามอเตอร์ไซด์ขี่เที่ยวชมเมือง ชายหาด และทุ่งนา และที่ผมชอบมากที่ ฮอยอันคือวิถีชีวิตของผู้คน ที่หอบจักรยาน มอเตอร์ไซด์ ข้ามเรือข้ามฝากเพื่อเดินทางกลับบ้าน ซึ่งดูเป็นการรักษาชีวิตดั่งเดิมไว้ จนผมรู้สึกเสียดายว่าเมื่อทุนต่างชาติเข้ามา นักท่องเที่ยวเข้ามามากมาย รัฐบาลลงทุนด้านความศิวิไลซ์ในการสร้างความเจริญ วิถีชีวิตเหล่านี้จะต้องหายไปในไม่ช้า ก็เร็ว เช่นบางเมืองในเวียดนามไม่มีการแต่งชุดประจำชาติกันแล้ว เพราะไม่ทันสมัย ไม่คล่องตัว และอีกสิ่งหนึ่งที่ผมชอบมากที่ฮอยอันคือเบียร์สดแก้วละ 4,000 ดอง(8 บาท) ดื่มกันสนุกไปเลย ในร้านหรู ๆ บรรยากาศดี ๆ ก็ราคานี้ ดังนั้นท่านที่ชอบดื่มและวิถีชีวิตที่ไม่เร่งร้อน เมืองนี้แหละครับที่เป็นสวรรค์สำหรับท่าน เมื่อทานเบียร์แล้วตบท้ายด้วยเคาเหลา(Cao Lau) อย่าคิดว่าจะเป็นเหมือนเกาเหลาบ้านเรานะครับ มันพ้องเสียงเพราะคำว่า “เกาเหลา”บ้านเราคือมันไม่มีเส้น ที่เค้าชอบแซวนักการเมืองบางท่านว่าเกาเหลากัน แสดงว่าไม่กินเส้นกัน แต่ที่ฮอยอันเคาเหลาคือก๋วยเตี๋ยวแห้งที่มีเส้น และที่ต้องแนะนำคือ Mr.Hung-Cao Lau อยู่ในย่านตลาดเมืองเก่ารับรองว่าเจ้าของร้าน Mr.Hung อัธยาศัยดีพูดได้หลายภาษาด้วย ทั้งอังกฤษ ญี่ปุ่น และไทย เมื่อท้องอิ่มแล้วก็นอนหลับฝันดี

3 พ.ค. เราได้ซื้อ Open Tour จากฮอยอันเพื่อไปนาตรังและไม่เลือกพักที่นาตรัง แต่จะต่อไปดาลัดเลย โดยเลือกทัวร์แบบ Night Bus คือรถนอนออกจากฮอยอันเวลา 19.00 น. เดินทางประมาณ 530 กม. จะถึงนาตรังเวลาเช้าตรู่ตีห้าเป็นรถนอนปรับอากาศ ดังนั้นวันนี้จะมีเวลาเที่ยวชมเมืองฮอยอันอีก 1 วัน สิ่งที่ขาดไม่ได้คือต้องซื้อตั๋วเข้าชมเมืองเก่า(Old Town of Hoi An)ที่เป็นมรดกโลกซึ่งยูเนสโกได้รับเป็นมรดกโลกเมื่อวันที่ 4 ธ.ค. 1999เนื่องจากเป็นเมืองที่ยังสามารถรักษาสภาพบ้านเมืองไว้ได้เหมือนเดิม โดยสามารถซื้อตั๋วและเลือกชมภายในตัวเมืองได้ว่าจะเลือกชมสถานที่ใดบ้าง เช่น สะพานญี่ปุ่น(Japan Covered Bridge) บ้านเลขที่ 101(Old Houses) หรือจะเป็นพิพิธภัณฑ์ ที่สำคัญภายในเมืองห้ามรถยนต์ และมอเตอร์ไซด์เข้าไปทำให้ยังรักษาความเป็นเมืองเก่าไว้ได้
นอกจากนั้นอีกกิจกรรมหนึ่งที่แนะนำคือ นั่งเรือเที่ยวชมปากน้ำโดยเรือของชาวบ้านที่มารับนักท่องเที่ยวราคาไม่แพงร้อยกว่าบาท เป็นรอยต่อระหว่างแม่น้ำกับทะเลหรือจะเรียกภาษาบ้านเราเรียกว่าปากอ่าว แต่หากไปหน้าร้อนแนะนำว่าให้เตรียมอุปกรณ์กันร้อนไปด้วยนะครับ เพราะอากาศฮอยอันไม่ต่างจากบ้านเราหรือที่เรียกว่าร้อนตับแตก หลังจากเที่ยวชมและถึงเวลาที่จะต้องไปขึ้น Night Bus เพื่อเดินทางไปนาตรัง(Nha Trnag) ในเวลา 1 ทุ่มและสำคัญควรหาอาหารทานให้เรียบร้อยเพราะต้องเดินทางถึง 10 ชม.(อีกแล้ว) สภาพรถสวยงาม สะอาด และสำคัญเค้าไม่ให้สวมรองเท้าขึ้นไป ผู้โดยสารทุกคนต้องนำรองเท้าใส่ถุง รัดปากแล้วเดินขึ้นรถ ก็ทำให้ยังรักษาความสะอาดไว้ได้ แต่ด้วยเส้นทางการเดินทางตลอดระยะ 500 กว่ากิโล 10 ชม. ผมแทบไม่ได้นอนเลยเพราะสภาพไม่สบายตัว ไม่ได้อาบน้ำ พอรถวิ่งขึ้นภูเขาโชเฟอร์ดันปิดแอร์อีก ก็จบซิครับท่านความร้อน ผนวกกับการขับรถบนภูเขาที่เลี้ยวไป เลี้ยวมา คนหลับได้ก็นับว่าเก่งมาก แต่ผมก็แปลกใจว่าครึ่งรถเค้าหลับกันอย่างสบาย แสดงว่าผมนอนยากกว่าเค้าซึ่งก็เป็นกรรมไป ตลอดระยะทางมียางระเบิดเป็นระยะ ๆ ซึ่งผมว่ายางคงทำงานหนักเพราะต้องขึ้น-เข้า และสำคัญสะดุดกับหินได้ยินเสียงระเบิดดังตูม แต่ยางรถมีหลายเส้นจึงไม่ทำให้รถเสียหลักและที่สำคัญสภาพเส้นทางเป็นแบบกาญจนบุรีแถบสังขละ หรือ แม่ฮ่องสอนบ้านเรา ดังนั้นท่านใดตัดสินใจดีแล้วและพร้อมจะฝากชีวิตไว้กับคนที่เราไม่รู้จักที่เป็นโชวเฟอร์ก็เรียนเชิญครับ แต่สำหรับผมไม่จำเป็นหรือมีทางเลือก(ไม่เอาอีกแล้วครับ) กว่าจะถึงนาตรังก็ปาเข้าไปเกือบ 6 โมงเช้า


4 พ.ค. เมื่อรถมาถึงโรงแรม สถานที่จอดซึ่งเป็นโรงแรมในเครือของ Shin Café ทำให้ผมรู้สึกว่า Shin Café กำลังวางแผนธุรกิจแบบ One Stop คือเมื่อรถจอดในสถานที่ใดก็จะจอดเฉพาะร้านที่อยู่ในเครือข่าย โรงแรมที่อยู่ในเครือข่าย แต่ไม่ได้บังคับว่านักท่องเที่ยวจะต้องเลือกทานอาหาร ซื้อของ หรือพักที่โรงแรมในเครือข่าย แต่หากดูด้านความสะดวก ราคา ความพร้อม ความเป็นมาตรฐานนั้นแล้วก็ไม่ควรมองข้าม นาตรังเป็นเมืองที่เหมาะกับการตากอากาศเพราะอยู่ริมทะเล การบริหารจัดการทำได้ดีมาก มีผู้คนจากทั่วสารทิศแวะเวียนมาที่นาตรัง เสียดาย ๆ จริงที่เวลาที่บีบรัดตามที่เราวางแผนมาไม่สามารถแวะพักที่นี่ได้ เพราะหากพักที่นี่การเดินทางไป โฮจิมินจะทำให้ลำบากและเสี่ยงต่อการตกเครื่องเป็นอย่างมาก จึงได้แต่แวะเดินชายหาดและเตรียมรอรถ Open Tour เพื่อเดินทางต่อไปสู่ดาลัด(Dalat) เมืองแห่งดอกไม้ และขุ่นเขา ศาสนาคริสต์ โรมันคาทอลิก นั่นแหละคือเหตุผลด้วยการที่ผมนับถือคาทอลิก ย่อมยากไปและสัมผัสเมืองแห่งศาสนาของตนเองสักครั้ง จริง ๆ แล้วชาวเวียดนามส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิกหรือบ้านเราเรียกว่าคริสตัง หลังรัปทานอาหารเช้าเสร็จก็ขึ้นรถจากนาตรัง สู่ ดาลัด ระยะทางประมาณ 240 กม.ซึ่งรถออกเวลา 8.00 น. มีแวะที่ปราสาทคล้าย ๆ กับนครวัดในเขมรมีเจดีย์ตามความเชื่อเทพเจ้าและเป็นหมู่บ้านชาวจาม(Cham Tower) ด้านล่างจะมีพิพธภัณฑ์จัดแสดงประเภทนี้เทศกาลและการบูชาเทพเจ้าของชาวจาม และร้านค้าขายของที่ระลึก ผมมาถึงดาลัดเวลาประมาณ 13.00 น. ซึ่งก็ปาไปครึ่งวันแล้วรถจอดส่งที่โรงแรมตุงชาง(Trung Cang Hotel) ซึ่งเป็นโรงแรมของ Shin Café จากการตรวจสอบห้องพักและราคานั้นไม่แพงจึงเลือกพักที่นี่ถ้าจำไม่ผิดราคาประมาณ 400 บาท โรงแรมราคา 10USD หาได้มากมายที่ดาลัดครับ เพราะดาลัดไม่ใช่เมืองท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยมนัก อาจจะเป็นเพราะตั้งอยู่ระหว่างนาตรัง กับ ไซ่ง่อน คนจะเลยไปหาด Mui Ne มากกว่า นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จึงใช้เพื่อเป็นทางผ่าน แต่รัฐบาลเองก็พยายามสนับสนุนและคาดว่าในอนาคตน่าจะเป็นเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญอีกเมืองหนึ่งดาลัดเป็นเมื่อที่มีเสน่ห์เนื่องจากตั้งอยู่บนยอดเข้า จึงมีอากาศที่เย็น ทำให้เหมาะแก่การปลูกดอกไม้เมืองหนาว นอกจากนั้นยังได้อิทธิพลของชาวฝรั่งเศสที่มาปลูกบ้านตากอากาศสมัยที่ปกครองเวียดนาม รวมถึงความสวยงามของบ้านเมือง ความสงบโดยเป็นเมืองที่ผู้คนส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์โรมันคาทอลิก ผู้คนจึงดูแล้วมีความสงบ วันอาทิตย์ก็ไปโบสถ์ ด้วยองค์ประกอบต่าง ๆ ที่กล่าวมาจึงทำให้ดาลัดเป็นเมืองที่น่าอยู่และเหมาะกับการพักผ่อนอย่างแท้จริง แต่สิ่งที่ทำให้ไม่สามารถอยู่นานเนื่องจากพรุ่งนี้เราต้องเดินทางจาก ดาลัดไปไซง่อนอีก 300 กม. 6 ชม.ซึ่งจะออกเดินทาง 7.30 น. จึงเลือกที่จะเช่ามอเตอร์ไซด์แล้วขี่ชมสถานที่ต่าง ๆ ภายในเมือง การขี่รถมอเตอร์ไซด์ในดาลัดนั้นต่างกับที่ฮอยอันอย่างสิ้นเชิง เพราะที่ดาลัดประชาชนส่วนใหญ่ใช้รถมอเตอร์ไซด์ และเป็นพื้นที่สูง การใช้เกียร์การหลบรถ สำคัญรถขับข้างขวาไม่เหมือนเมืองไทยเวลาเลี้ยวซ้ายจะงงมาก ๆ คือพอเลี้ยวแล้วจะเข้าเลนซ้ายตลอดเพราะชินกับบ้านเรา แต่ไปบ้านเขาชนสถานเดียวเพราะเลนซ้ายคือรถที่สวนทางมา นึกแล้วยังเสียว แต่ก็ผ่านมันมาได้ด้วยดี สำคัญคือต้องมีสติสูงและอย่าไปตื่นเต้นกับเสียงแตรเพราะเป็นวิถีปกติของคนที่นี่ โดยเฉพาะ 4 แยกไปต้องกลัวชะรอความเร็วลงนิดแล้วผ่านไปเลย อย่าไปเงอะงะจะรังแต่ชนเปล่า ๆ อย่าคิดว่ามีรถแล้วจะไปไหนมาไหนได้นะครับ คือสำคัญว่าไม่รู้จะไปไหนเพราะไปไม่ถูก คือมีแผนที่ก็แล้ว ถามก็แล้ว ก็หลงอยู่ดีสรุปคือก็ได้แต่ขี่วนภายในเมืองรอบแล้ว รอบเล่า ไปแวะพระราชวังกษัตริย์เบ๋าได๋(Boa Dai Summer Palace) แต่คนเฝ้าไม่พูดอะไรโบกมือไม่ให้เข้าอย่างเดียวแถมปิดประตูรั้วใส่อีก การขี่มอเตอร์ไซด์ที่เช่ามาจึงต้องจบด้วยการหาอาหารเวียดนามทานดีกว่า ว่าแล้วก็ตบท้ายด้วยแหนมเนืองของแท้ ๆ ของเวียดนาม เป็นมื้อที่เรียกความอร่อยอย่างมาก สิ่งที่ผมพบเจอแล้วรู้สึกงง ขากลับเจอฝนตกอากาศหนาวทีเดียวจึงต้องกลับมาคืนรถ และแวะอาบน้ำ อาบท่า ที่โรงแรมที่พักแล้วเดินออกไปดื่มไวน์ริมทะเลสาบ บรรยากาศดีจริง ๆ ครับ สั่งดาลัดไวน์มาดื่มราคา 160,000 ดองประมาณ 320 บาทแกล้มกับหมูผัดน้ำมันหอยพริกไทยดำ เช็คบิลออกมาเดินมาดื่มน้ำเต้าหู้ที่ขายอยู่ริมทะเลสาบคนขายเป็นผู้หญิง แต่ลูกชายถามเราว่า Where U come from แสดงว่าพูดภาษาอังกฤษได้ จึงได้คุยกับลูกชายของคนขายทราบว่าLuyen ชื่อเรียกยากมากครับผมเรียกเป็นภาษาไทยว่าเยือง แต่คงไม่ถูกต้องนัก ที่แน่ ๆ และง่าย ๆ คือเค้านักบุญเดียวกับผม คนคริสต์เราจะมีเซ็นต์เนมหรือนักบุญที่นำหน้าชื่อของเรา เช่น เปรโต เปาโล โทมัส มัสทิว ซึ่งเซ็นต์เนมของผมคือฟรังซิสโก ซึ่งบังเอิญเหมือนกับเยืองเข้าพอดี เยืองเรียนที่มหาวิทยาลัยดาลัด (Dalat University) ผมจึงทราบว่าทุกเมืองในเวียดนามจะมีมหาวิทยาลัย 1 มหาวิทยาลัยซึ่งเป็นของรัฐ และชาวเวียดนามคลั่งไคล้นักฟุตบอลไทยมากไม่ว่าจะเป็นซิสโก เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง หรือ ตะวัน ศรีปาน เยืองเป็นเจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ทำงานใน Office กลางวันทำงาน กลางคืนทำใจ เอ๊ยไม่ใช่กลางวันทำงาน เย็นเรียน และกลางคืนมาช่วยแม่ขายน้ำเต้าหู้ถึงตี 2 กว่าจะได้นอนก็ตี 3 ทำให้รู้ซึ้งถึงการทำงานของคนเวียดนาม สิ่งที่ผมชื่นชมชาวเวียดนามคือ คนเวียดนามเป็นคนขยัน ไม่ยอมงอมือ งอเท้า และทุกคนทำงานตั้งแต่ลูกเล็ก เด็กแดง รวมถึงคนแก่เฒ่า นี่กระมังจึงทำให้ GDP ของเวียดนามโตในระดับต้น ๆ ของเอเชีย นี่แหละครับค่ำคืนที่ดาลัดพอเดินกลับมาถึงที่โรงแรม หลังอาบน้ำเสร็จไฟฟ้าดับพอดี ทำให้ไม่ต้องมีกิจกรรมอะไรต่อนอกจากนอน

5 พ.ค. ตื่นเช้ามาหลังจากจ่ายค่าโรงแรมเสร็จก็เดินมารัปทานอาหารเช้าข้าง ๆ โรงแรมเป็นขนมปังสไตล์ฝรั่งเศษเมื่ออิ่มแล้วเตรียมเดินทางจากดาลัดไปไซง่อนอีก 300 กม.ใช้เวลาประมาณ 6 ชม.ซึ่งจะออกเดินทาง 7.30 น. ได้คุยกับคุณ Hieu ซึ่งดูลักษณะท่าทางแล้วน่าจะเป็นเจ้าของโรงแรม หรือไม่ก็น่าจะระดับผู้จัดการ คุณ Hien ใช้ภาษาอังกฤษได้ดีมากผมได้บอกเค้าว่าเนื่องจากผมเป็นคาทอลิก ผมอยากกลับมาที่นี่อีก เค้าจึงเอานามบัตรพร้อมเบอร์มือถือให้ผมบอกว่า “ผมก็เป็นคาทอลิก คุณมาคราวนี้เวลาคุณสำหรับดาลัดน้อยเกินไป วันหลังมาผมจะดูแลและแนะนำให้” เอาหละอย่างน้อยก็มีเจ้าของโรงแรมเป็นคนศาสนาเดียวกัน น่าจะให้ข้อมูลและไม่ถูกฟันเมื่อมาเที่ยวครั้งต่อไป แต่คงต้องหาเวลาให้มากกว่านี้จะได้สัมผัสดาลัดอย่างถึงแก่น........ลาก่อนดาลัด ผมก้าวขึ้นรถเพื่อเดินทางไปสู่ไซ่ง่อน(โฮจิมิน) เพื่อเดินทางกลับสู่ประเทศไทยตลอดระยะเวลาก็ผ่านสภาพบ้านเมืองเวียดนาม ซึ่งผมเริ่มคุ้นเคยเพราะเดินทางมาที่เวียดนามหลายครั้ง เมื่อเดินทางใกล้จะถึงโฮจิมิน พบบริษัทไทยขนาดใหญ่หลายบริษัทที่มาประกอบธุรกิจในเวียดนามไม่ว่าจะเป็น CP หรือ AMATA และเข้าสู่เมืองโฮจิมิน ผมเห็นสภาพการจราจราแล้วอดรู้สึกหวั่นใจไม่ได้ว่าเราจะเดินทางไปถึงสนามบินทันหรือไม่ ถ้าไม่ทันคงยุ่งน่าดู โฮจิมินถึงไม่ใช่เมืองหลวงแต่เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของเวียดนามหากจะมองก็คงเหมือนกับ ปักกิ่ง กับ เซียงไฮ้ ของจีน ถึงแม้ปักกิ่งจะเป็นเมืองหลวงแต่เซี่ยงไฮ้ก็เป็นเมืองที่มีความเจริญกว่า อาจจะเนื่องจากทุนต่างชาติที่เข้ามา ดังนั้นวาดภาพ กทม.เป็นอย่างไรโอจิมินก็เป็นอย่างนั้นจะต่างกันก็ในส่วนของมอเตอร์ไซด์ที่เวียดนามเค้าเยอะจริง ๆ แต่ปัจจุบันรัฐบาลก็มีการจัดระบบการจราจรแบบแบ่งช่องทางสำหรับรถยนต์ และมอเตอร์ไซด์ คราแรกกะว่าจะใช้เวลากับการเที่ยวในเมืองโฮจิมินสัก 2-3 ชม.แต่เมื่อเวลาล่วงเลยมาขนาดนี้คงไม่ต้องคิดเรื่องเที่ยวแล้ว ผมถามคนขับว่าจากที่จอดส่งเราไปถึงสนามบินกี่กีโล คนขับบอกว่า 10 Kilo 45 Minute ลงรถได้ก็เรียก Taxi บอกว่าไป Airport ถามว่า How much คนขับก็แสนใจดีบอกว่า No problem My car has miter เราได้ยินเช่นนี้ก็สบายใจยัง ๆ 10 กม.ถ้าเป็น Taxi บ้านเราก็ไม่น่าเกิน 200 บาท Taxi เวียดนามจะมาแพงกว่าบ้านเราได้อย่างไร แต่พอถึงสนามบินเห็นราคา Taxi ประมาณ 240,000 ดองก็ตกใจคิดเป็นเงินไทยประมาณ 460 บาท แต่ทำไงได้นั่งมาแล้วก็ต้องจ่ายแต่ในใจก็รู้สึกว่าแพงและมิเตอร์เค้าขึ้นเร็วมาก แต่เอาหล่ะพาเรามาส่งถึงสนามบินได้ทันเวลา และไม่ได้มีการเจรจากันก่อนก็สมควรจ่ายเค้าไป ผมขึ้นเครื่องบินจากสนามบินนานาชาติโฮจิมิน ต้องบอกครับว่าสนามบินเล็กมากเมื่อเทียบกับสุวรรณภูมิบ้านเรา อาจจะเล็กกว่าถึง 4-5 เท่าก็เป็นได้ 7 วัน 6 คืนใน 3 ประเทศ คงสามารถเติมไฟให้ตัวเองในการต่อสู้เพื่อพัฒนาประเทศเราต่อไป บางครั้งการเรียนรู้อดีตที่เจ็บปวดของเพื่อนบ้าน และการสร้างบ้าน สร้างเมืองจากความเจ็บปวด เช่น เวียดนาม ญี่ปุ่น เกาหลี ก็น่าจะเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับการท่องเที่ยวของผมทริปนี้ก็ได้ครับ Bye Bye Sai Gon

สรุปค่าใช้จ่าย :
รายละเอียด จำนวน
ค่ารถ บขส. VIP กรุงเทพฯ – มุกดาหาร 760 บาท
ค่ารถ บขส.จากมุกดาหาร – สะหวันนะเขต 50 บาท
ค่ารถจากสะหวันนะเขต - เว้ 99,000 ดอง 198 บาท
ค่าผ่านด่าน ตม.เข้า-ออก เที่ยวละ 40 บาท 80 บาท
ค่าโรงแรมที่เว้ คืนแรก HOA THIEN -25USD 775 บาท
ค่าโรงแรมที่เว้ คืนสอง A-Dong 2 - 20 USD 620 บาท
Daily Tour ที่เว้ -11 USD 341 บาท
ทัวร์ล่องเรือในแม่น้ำน้ำหอม(Perfum River Tour) 124 บาท
ค่ารถ เว้ - ฮอยอัน 4 USD. 124 บาท
ค่าโรงแรมที่เว้ คืนสามที่ฮอยอันAn Hoi - 15USD 465 บาท
ค่าตั๋วเข้าชมพิพิธภัณฑ์ฮอยอัน 80 บาท
ค่ารถฮอยอัน - นาตรัง - 6 USD. 186 บาท
ค่ารถนาตรัง - ดาลัด- 4 USD. 124 บาท
ค่าที่พักที่ดาลัด -15 USD 465 บาท
ค่ารถดาลัด - โฮจิมิน - 5 USD. 155 บาท
อาหาร 70 บาท/มื้อ(ทานแบบไม่ประหยัด) 1400 บาท
Beer & Wine 200 บาท
ค่า Taxi จากตัวเมืองโฮจิมิน - สนามบิน 15 USD. 465 บาท
ตั๋วเครื่องบิน โฮจิมิน - สุวรรณภูมิ 69.50 USD. 2,155 บาท
รวมค่าใช้จ่าย 8,767 บาท

แสดงความคิดเห็นหรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติมที่ :
E-mail : peopletribune@hotmail.com
//www.oknation.net/bloc/peopletribune


เดินทางตามเส้นสีแดง กทม.-มุกดาหาร-ออกสะหวันนะเขต-เข้าเว้ ไปดานังเข้าฮอยอัน ไปนาตรัง เข้าดาลัด และขึ้นเครื่องที่โฮจิมินกลับ กทม. เป็นการเดินทางที่สนุกมาก


สามารถซื้อตั๋วไป เว้ ได้จากสถานี บขส.ที่ จ.มุกดาหาร ได้เลยครับ สะดวกมาก


ด่าน ตม.ลาวบาวชายแดนลาว-เวียดนาม จากด่านนี้อีกประมาณ 120 กม.จะถึงเมืองเว้


สงครามเวียดนาม สิ่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั่วโลกให้หลั่งไหลมาเวียดนาม วันนี้รัฐบาลเวียดนามเปลี่ยวิกฤตเป็นโอกาส เพื่อดึงดูดเงินจากการท่องเที่ยว


อนุสาวรีย์ทหารหญิงเวียดนาม ทหารชายตายหมดจึงต้องใช้ทหารหญิง สงครามไม่มีความปราณีไม่ว่าจะเป็นเพศหญิง ชาย คนชรา หรือเด็ก แต่สิ่งหนึ่งที่ชาวเวียดนามในสมัยนั้นมีคือ ทุกคนต่อสู้เพื่อมาตุภูมิ สมัยนั้นไทยช่วยลาวรบเพื่อปกป้องทฤษฎีดอมิโน่ ของค่ายคอมมิวนิสต์



แม่น้ำหอม(Perfume River) หรือที่ชาวเวียดนามออกเสียงว่า ซงเฮือง กำเนิดมาจากบริเวณต้นน้ำที่อุดมไปด้วยดอกไม้ป่าที่ส่งกลิ่นหอมและร่วงหล่นลอยมากับสายน้ำ จึงเรียกว่าแม่น้ำน้ำหอม แม่น้ำหอมเป็นแม่น้ำสายสั้นๆ น้ำจึงไม่ลึกแต่ใสสะอาด ไหลผ่านธรรมชาติที่งดงามสองฟากฝั่ง ทั้งแมกไม้ วัดวาอาราม รวมถึงสุสานจักรพรรดิแห่งราชวงศ์เหวียน ซึ่งเป็นราชวงศ์เก่าของเวียดนาม


โรงแรมในเมืองเว้ราคาไม่แพง เป็นโรงแรม SME คล้าย ๆ กับที่ฮานอย ไม่ชอบโรงแรมนี้ก็เปลี่ยนโรงแรมราคาไม่ต่างกัน คืนละประมาณ 600-1,500 สามารถเลือกได้ตามอัธยาศัยเลือกนอน A Dong ด้วยเงื่อนไขเดียว (ลูกสาวเจ้าของสวย)


อุโมงค์วิงห์ม็อกห่างจากตัวเมืองเว้มาทางทิศเหนือราว 65 กิโลเมตร เป็นอุโมงค์ใต้ดินที่คนทั้งหมู่บ้านอาศัยอยู่เป็นเวลาหลายปีเพื่อหลบภัยจากการทิ้งระเบิดอย่างต่อเนื่องในสมัยสงครามเวียดนาม แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะพากันอพยพไปอยู่ในส่วนอื่นๆ ของประเทศ แต่ก็มีชาวบ้านจำนวนกว่า 300 คน ที่ยังอาศัยอยู่ภายในอุโมงค์คนรูแห่งนี้เป็นเวลากว่า 5 ปี นับจากปี พ.ศ. 2509-2514 อุโมงค์วิงห์ม็อกจะต่างกับอุโมงค์กูจี ที่โฮจิมิน(ไซ่ง่อน) เนื่องจากอุโมงค์กูจีใช้เพื่อการต่อสู้ แต่วิงห์ม็อกใช้เพื่อหลบภัย นี่คือภูมิปัญญาของคนเวียดนาม เล่นเอาพี่กันเองก็งงไม่เป็นท่าเหมือนกัน


ฮอยอัน : เมืองมรดกโลกริมแม่น้ำทูโบนในปี พ.ศ. 2542 องค์การยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียนเขตเมืองเก่าของฮอยอันให้เป็นมรดกโลก ด้วยเหตุผลว่าเป็นตัวอย่างของเมืองท่าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 15-19 ปัจจุบันเมืองท่าของเวียดนามเปลี่ยนไปเป็นดานัง


นักเรียนมัธยมในชุดประจำชาติ ผู้หญิงในชุดประจำชาตินั้นงดงามเสมอ แต่มีผู้หญิงบางชาติอายในประวัติศาสตร์ชาติพันธ์ตนเองไม่กล้าใส่ชุดประจำชาติ แต่ชอบใส่เสื้อแบรนด์แนมของตะวันตกรัฐบาลเวียดนามเลยให้นักเรียนมัธยมต้องใส่ชุดอ๋าวใหญ่ หรือมีการรณรงค์ให้ใส่ชุดประจำชาติ
เท่าที่ทราบ “อ๋าว” แปลว่า “เสื้อ” “ใหญ่” แปลว่า “ยาว” รวมแล้วแปลว่า “เสื้อยาว”


จากฮอยอันสามารถนั่งรถ Sleeper Bus ไปนาตรังได้ รถสะอาด ก่อนขึ้นต้องถอดรองเท้าใส่ถุง แต่รถนอนกลับนอนไม่สบายเหมือน VIP 24 ที่นั่งของเรา ยิ่งคนหลับยาก ๆ ยิ่งนอนไม่หลับเพราะตลอดทางเป็นการขับขึ้น ลงเขา แต่ถ้านับเป็นการเดินทางครั้งหนึ่งในชีวิตก็สนุกดี


นั่งรถจากฮอยอันมานาตรังก็เช้าพอดี เมืองนาตรังสะอาดและน่าอยู่มากครับ ผู้คนดูเป็นมิตรกว่าโฮจิมิน เสียดายที่ไม่ได้เที่ยวเพราะเหลือเวลาอีก 1 คืนเลยตัดสินใจที่จะไปเที่ยวดาลัดดีกว่า


ในทริปนี้ที่ผมชอบมาก ๆ คือ ดาลัดครับ เมืองแห่งสายหมอก และดอกไม้ ดาลัดเป็นเมืองที่สวยมาก อากาศเย็นสบาย ตั้งอยู่บนยอดเขา เนื่องจากเคยเป็นที่พักตากอากาศของชาวฝรั่งเศสสมัยที่ครอบครองเวียดนาม สภาพบ้านเมืองจึงเหมือนยุโรปมาก กลางเมืองเป็นทะเลสาปใหญ่รวมถึงชาวเวียดนามส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์โรมันคาทอลิก จึงมีโบสถ์คริสต์เยอะมาก ยามค่ำคืน นั่งจิบดาลัดไวน์ขวดละร้อยกว่าบาท อยู่ในอ้อมกอดของพระเจ้า "ชีวิตคนจะมีอะไรสุขเช่นนี้อีก"


ชุมชนชาวจามทางผ่านระหว่างเดินทางจากฮอยอัน มาดาลัด ชุมชนชาวจามในเวียดนามนั้นก็เหมือนชาวจามในสยามนั้น มีมาตั้งแต่สมัยอยุธยาครับ กวาดต้อนมาตั้งแต่ครั้งไทยตีเขมร ชาวจามในอยุธยาตั้งเป็นกองอาสาช่วยรบมาตลอด จนคราวเสียกรุงครั้งที่ 2 ก็ยังช่วยรบ จนเมื่อกรุงแตก


ดาลัดประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิก จึงทำให้มีโบสถ์หลายที่สถาปัตยกรรมการก่อสร้างโบสถ์จะเป็นแบบยุโรป


หากมาเวียดนามช่วง 30 เมษายนจะเป็นเทศกาลที่ชาวเวียดนามทั้งประเทศเฉลิมฉลองการรวมประเทศเวียดนาม เนื่องจากสหรัฐอเมริกาถอนทหารคนสุดท้ายจากเวียดนาม จึงเห็นการประดับธงชาติเวียดนาม หากเป็นสถานที่ราชการจะมีสัญลักษณ์ค้อน เคียวและ รูป ฯพณฯ โฮจิมิน ที่หน้าบ้าน ขนลุกจริง ๆ


สงครามเวียดนามเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของสงครามตัวแทน Nominee เกิดขึ้นสืบเนื่องจากการเรียกร้องเอกราชของขบวนการชาตินิยมเวียดมินห์ ต่อต้านอำนาจของจักรวรรดินิยมเดิมคือ ฝรั่งเศส ต่อมาเมื่อฝรั่งเศสถอนตัวสหรัฐอเมริกาเข้ามาแทนที่และสนับสนุนเวียดนามใต้ ความขัดแย้งจึงกลายสงครามตัวแทนในช่วงสงครามเย็น ระหว่างกองกำลังเวียดนามใต้นิยมประชาธิปไตยที่มีสหรัฐสนับสนุนกับกองกำลังนิยมเวียดนามเหนือนิยมลัทธิคอมมิวนิสต์ที่มีสหภาพโซเวียตหนุนหลัง


ทฤษฎีดอมิโน่(Domino Theory) เป็นทฤษฎีลัทธิความมิวนิสต์ที่จะแผ่ขยายเข้ามาในภูมิภาคเอเชีย ยุคนั้นไทยก็มีการจัดตั้งพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยในขณะที่ภายในประเทศเองก็มีความขัดแย้งทางความคิดจึงมีนักศึกษาจับอาวุธขึ้นสู้กับรัฐบาล จบลงด้วยนโยบาย 66/23 ในสมัย พล.อ.เปรม




 

Create Date : 23 ตุลาคม 2551    
Last Update : 11 มีนาคม 2552 20:32:28 น.
Counter : 9396 Pageviews.  

มาเก๊า-ฮ่องกง




เขตปกครองพิเศษมาเก๊า(Macao Special Administrative Region of the People's Republic of China) ตั้งอยู่ในเขตมณฑลกวางตุ้ง บนชายฝั่งทะเลด้านตะวันตกของสามเหลี่ยมปากแม่น้ำเพิร์ล ทิศเหนือติดกับเมือง จูไห่ของมณฑลกวางตุ้ง มาเก๊ามีดินแดน 4 ส่วน คือ คาบสมุทรมาเก๊า, เกาะไทปา, เกาะโคโลอาน และพื้นที่ถมทะเลขึ้นมาใหม่ เรียกว่า โคไท เป็นการถมทะเลเชื่อมเกาะไทปาและเกาะโคโลอาน เข้าเป็นพื้นที่เดียวกัน  มาเก๊าถูกปกครองโดยประเทศโปตุเกสมาก่อน  และเป็นอาณานิคมของยุโรปที่เก่าแก่ที่สุดของจีนตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 16 อำนาจอธิปไตยเหนือเกาะมาเก๊าได้ย้ายไปที่สาธารณรัฐประชาขนจีน มาเก๊ามีชื่อเสียงด้านอุตสาหกรรมคาสิโนแต่ในปัจจุบันมาเก๊าพยายามเปลี่ยนตัวเองให้เป็นประเทศท่องเที่ยว เช่นเดียวกับหลาย ๆ ประเทศทั่วโลกชาวไทยเราเริ่มรู้จักมาเก๊ามากขึ้น  หลังมีบริษัททัวร์จัดโปรแกรมไปมาเก๊า-ฮ่องกง และสายการบินต้นทุนต่ำเปิดเส้นทางบิน


ส่วนฮ่องกงนั้น เป็นภาษากวางตุ้ง ซึ่งมาจากภาษาจีนกลาง ว่า "เซียงก่าง" ความหมายก็ไม่เหมือนใคร หมายความว่า "ท่าเรือหอม" มีความเป็นมา สืบเนื่องมาแต่ครั้งที่กวางตุ้ง เป็นแหล่งปลูกไม้หอมชนิดหนึ่ง ส่งขายเป็นสินค้าออก โดยที่ต้องมาขนถ่ายสินค้ากัน ที่ท่าเรือน้ำลึกตอนใต้สุดของแผ่นดินจีน เมื่อราวกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 ได้มีเรือของกองทัพอังกฤษ นำโดยกัปตัน Charles Elliot (ชาร์ลส์ อีเลียต) แล่นผ่านน่านน้ำระหว่าง แหลมเกาลูนและเกาะแห่งหนึ่งที่ร่ำลือกันว่า เป็นที่หลบลมพายุของพวกโจรสลัด กัปตันอีเลียต เกิดได้กลิ่นหอมชนิดหนึ่ง จึงจอดเรือและขึ้นฝั่ง ส่งล่ามลงไปสอบถาม ได้ความว่าเป็นท่าเรือหอม ใช้ขนถ่ายไม้หอม กัปตันรับทราบด้วยความประทับใจ เมื่อกัปตันอีเลียตเดินทางกลับสู่อังกฤษและได้รับการแต่งตั้งให้ไปประจำการฝ่ายการพาณิชย์ของอังกฤษในภาคพื้นเอเซีย ซึ่งขณะนั้นเอง ประเทศอังกฤษซึ่งปกครองโดยพระนางวิกตอเรีย กำลังต้องการอาณานิคมในแถบทะเลจีนใต้ เพื่อใช้เป็นที่จัดส่งสินค้า หรือฝิ่นนั่นเอง และประจวบเหมาะพอดีกับที่ฝ่ายอังกฤษและจีน กำลังมีปัญหาเรื่องการค้าฝิ่นในแถบกวางตุ้งของจีน จนทำให้เกิดสงครามฝิ่นครั้งที่ 1 ขึ้น ในปี ค.ศ. 1839 กัปตันอีเลียตจึงตัดสินใจยกพลขึ้นบกที่ท่าเรือกลิ่นหอม และประกาศให้ดินแดนแถบนั้นเป็นของอังกฤษ ในวันที่ 26 มกราคม ค.ศ.1841 ว่ากันว่ามีเหตุการณ์ที่น่าขัน และสร้างความขายหน้าให้กับพระราชินีวิคตอเรียยิ่งนัก ที่กองทหารอังกฤษเข้ายึดเกาะที่มีแต่หินโสโครก หาประโยชน์ไม่ได้เลย กัปตันอีเลียตจึงถูกลงโทษด้วยการส่งไปเป็นกงสุลอังกฤษประจำเท็กซัสแทน ตั้งแต่นั้น จีนและอังกฤษกระทบกระทั่งกันเรื่องการค้าฝิ่นเรื่อยมา เกิดสงครามฝิ่นถึงสองครั้ง หลังสงครามฝิ่นครั้งที่สองนี่เอง อังกฤษได้บีบบังคับให้จีนทำสัญญา โดยให้อังกฤษเช่าฮ่องกงทั้งหมด เป็นเวลา 99 ปี โดยกำหนดวันหมดสัญญาไว้วันที่ 30 มิถุนายน ค.ศ. 1997

ด้วยภูมิประเทศของฮ่องกงเอง ที่เป็นเมืองท่าน้ำลึก เหมาะแก่การจอดเรือสินค้าขนาดใหญ่ จึงทำให้ฮ่องกงกลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญของโลก 
ผู้สำเร็จราชการคนแรกที่มาประจำยังเกาะฮ่องกง ท่านลอร์ด Palmerston เคยขนานนามเกาะแห่งนี้ไว้ว่า "หินไร้ค่า" แต่อังกฤษได้ช่วยวางรากฐานการศึกษา การปกครอง และผังเมืองให้ฮ่องกงเป็นอย่างดี เพียง ชั่วพริบตาเดียว ฮ่องกงได้กลับกลายเป็นศูนย์กลางพาณิชย์และยังเป็นประตูเปิดสู่ประเทศจีน ปลายศตวรรษที่ 19 ดินแดงตอนปลายคราบสมุทรเกาลูนก็ตกเป็นอาณานิคม และอังกฤษยังได้สิทธิเช่าเขตนิวเทอริทอรี่ส์ เป็นเวลา 99 ปี ซึ่งอังกฤษได้ทำพิธีส่งคืนเกาะฮ่องกง ให้แก่จีนเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 1997 ไปเรียบร้อย ทั้งนี้เคยมีการเจรจาระหว่างอังกฤษโดย นางมาร์กาเร็ต แทตเชอร์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น กับ นายเติ้งเสี่ยวผิง ผู้นำฝ่ายจีน เพื่อเจรจาขอเช่าเกาะฮ่องกงต่อ แต่ได้รับการปฏิเสธ และในปีเดียวกันนั้น วันที่ 26 กันยายน ผู้นำทั้งสองจึงเปิดเจรจาอีกครั้งและลงนามในสัญญา โดยมีสาระสำคัญว่า อังกฤษจะยอมส่งมอบคืนเกาะฮ่องกงให้กับจีน และจีนได้ให้สัญญาว่าจะยอมให้ฮ่องกง อยู่ในฐานะ "เขตปกครองตนเอง" ภายใน 50 ปี ปัจจุบันจีนได้มอบหมายให้มีตำแหน่งผู้ว่าการฮ่องกง และจีนได้ร่างรัฐธรรมนูญ โดยกำหนดให้รัฐบาลปักกิ่งรับผิดชอบด้านกิจการต่างประเทศ การทหาร และความมั่งคงเท่านั้น ส่วนการบริหารยังคงให้อิสระแก่ชาวฮ่องกงเหมือนเดิม อย่างไรก็ตามด้วยทำเลอันเหมาะสม เกาะฮ่องกงก็ยังมีบทบาทสำคัญยิ่งในศตวรรษที่ 21 ในฐานะเมืองท่าการค้าระหว่างประเทศ ฐานที่ตั้งสำคัญของผู้ผลิต และศูนย์กลางเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก


 


 





เดินทางโดยเครื่องบินสู่มาเก๊าแล้วนั่งเรือ Ferry ข้ามไปเกาะฮ่องกง
(ประหยัดและได้ท่องเที่ยว 2 ประเทศที่แตกต่าง) 4 คืน 5 วัน  พักฮ่องกง 2 คืน พักมาเก๊า 2 คืน



1 มี.ค. 51 เดินทางด้วยเที่ยวบิน แอร์เอเชีย  ด้วยเที่ยวบิน FD3600 ออกจากสนามบินสุวรรณภูมิเวลา 7.00 น.
 (ซึ่งจองตั๋วเครื่องบินล่วงหน้าประมาณ 3 เดือน ราคา 3 บาท) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชม.ครึ่ง   ถ้าเดินทางวันเสาร์กรุณาเผื่อเวลาสำหรับกระบวนการ ตม.ด้วยเพราะคณะทัวร์จะเดินทางวันเสาร์  อัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 4.13 บาท/HKD 10.30 น. ถึงท่าอากาศยานนานาชาติมาเก๊าผ่านพิธีการ ตม. เนื่องจากเป็นประเทศท่องเที่ยวกระบวนการจึงไม่ยุ่งยากนัก (จริง ๆ แล้วปัจจุบันทุก ๆ ประเทศก็พยายามลดขั้นตอนตรงจุดนี้เหมือนกัน) สนามบิน Macau International Airport หรือ ภาษาโปรตุเกส คือAeroportointernacional De Macau สนามบินถูกสร้างขึ้นด้วยการถมทะเลเนื่องจากประเทศมาเก๊าไม่มีพื้นที่มากนัก จึงทำให้ภูมิทัศน์สวยงามมีระบบการจัดการดีมาก   สนามบินตั้งอยู่บนเกาะไทปา 

ดังนั้นจะเดินทางไปท่าเรือ Ferry สามารถเดินทางได้ด้วยรถเมลสาย AP1 ป้ายรถเมลดูง่ายมีสายรถเมลและสถานที่ผ่านติดอยู่สามารถหมุนป้ายดูสายได้สะดวกมากสำหรับระบบขนส่งมวลชน(ค่ารถเมล 3.3 Pataka/ประมาณ 14 บาท),Taxi แต่ถ้าไม่รีบวิธีที่แนะนำคือนั่งรถบริการของโรงแรม Shuttle Bus ของโรงแรม Venetian แล้วไปลงที่โรงแรมต่อด้วยสายที่วิ่งไปท่าเรือ Ferry ได้ (ข้อสำคัญให้บริการฟรี  สามารถขึ้นได้ทุกคนไม่มีการตรวจสอบ) รถออกทุก ๆ 10 นาทีใช้เวลาประมาณ 5 นาทีจากสนามบิน-โรงแรม และประมาณ 15 นาทีจากโรงแรมไปท่าเรือ  ระหว่างเปลี่ยนรถสามารถแวะเดินเที่ยวชมภายใน Venetian ซึ่งภายในสวยงามมาก
ถึงท่าเรือNew Macau Maritime Ferry Terminal ขึ้นบันไดเลื่อนไปชั้น 2 ซื้อตั๋วเลือกเรือของบริษัท  First Ferry ค่าโดยสารเที่ยวละ 155HKDจะให้ดีแวะหยิบแผนที่มาเก๊าเผือไว้ตอนกลับจาก Tourist Information ซึ่งอยู่ชั้น 2 เหมือนกัน เที่ยวเรือออกเวลา 12.30 น.  ออกทุก 15 นาที(ไม่จำเป็นต้องขึ้นตามเที่ยวที่ระบุหากมีที่ว่างสามารถขึ้นได้เลย) ไม่จำเป็นต้องโหลดกระเป๋าลงใต้ท้องเรือเพราะจะเสียเงินอีก 20HKD ภายในเรือมีพื้นที่สำหรับวางกระเป๋าอยู่ด้านหลังเรือ     

เรือใช้เวลาวิ่ง 1 ชม.โดยประมาณภายในเรือนั่งสบายมาอาหาร + เครื่องดื่มจำหน่าย  ราคาไม่แพง  ห้องน้ำสะดวก   มี TV แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวให้ฮ่องกงให้ดู  ใกล้ ๆ ถึงจะมีกล้องติดอยู่ที่หน้าเรือมองเห็นฝั่งชัดเจน   เรือ First Ferry จอดที่ท่าเรือ China Ferry Terminal ฝั่งเกาลูน  ผ่านพิธีการทางศุลกากรซึ่งฮ่องกงมีการบริหารจัดการด้านการตรวจคนเข้าเมืองเร็วมาก ๆ และง่ายไม่ยุ่งยาก(ประเด็นหนึ่งน่าจะเป็น Knowhow ซึ่งรู้อยู่แล้วว่าคนจะข้ามจากมาเก๊ามาเที่ยว  อีกอย่างผ่านพิธีการ ตม.ด้านความปลอดภัยมาจากมาเก๊าแล้ว)  เมื่อออกจากท่าเรือก็เดินไปจิมซ่าจุ่ย(Tsim Sha Tsui)  ดังนั้นเลือกพักที่ Tsim Sha Tsui จะสะดวกกว่าเพราะสามารถเดินเท้าได้   สามารถจองโรงแรมผ่าน Hotelworld.com ได้เลือกโรงแรมประเภทที่ 2-3 ดาวหรือต่ำกว่า  ใช้นอนและเก็บของอย่างเดียวมีห้องน้ำในตัว TV น้ำอุ่นและตู้เย็น 

นอกจากนั้นมีน้ำดื่มให้(แต่เป็นคูเลอร์รวมสามารถเติมมาดื่มในห้องได้)   แต่แคบมากอยู่ตามแฟตเก่า ๆ แต่ถ้ามองว่าอยู่กลางเมืองเดินทางสะดวกและไม่เรื่องมากก็สามารถอยู่ได้ เราเลือกเดินทางไปที่แรกคือ The Peak Tower Sky Terrace ซึ่งเป็นสถานที่ชมวิวที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลกของประเทศฮ่องกง  การเดินทางจากย่านที่พักจิมซาโจ่ยโดยลงรถไฟฟ้าใต้ดินขึ้นที่ท่าเรือ Central Pier ถนน Barbour View แล้วต่อรถเมลสาธารณะเปิดประทุนสายเดียวของฮ่องกง  ตรงจุดนี้เมื่อขึ้นรถไฟฟ้าพยายามเดินหาหอนาฬิกาติดท่าเรือ Pier 6 ขึ้นรถไฟฟ้าอย่างงถ้างงจะเสียเวลาเดินหาและจะหลง  ดังนั้นสอบถามคนพื้นที่ไปรถป้ายรถเมล์ 15C บอกรถเมลเปิดประทุน รถเมลใช้บัตร Octopus(บัตรปลาหมึก) ได้ไม่ต้องห่วงว่าจะลงตรงไหนเพราะมีแต่นักท่องเที่ยวดังนั้นทุกคนพยายามแย่งกันนั่งข้างบนจึงต้องพยายามเข้าคิวต้น ๆ ไปไม่ทันไม่ต้องห่วงเดี๋ยวก็มาอีกเพราะรถวิ่งวน(จราจรไม่ติดเหมือนไทย)  

ตลอดทางสามารถชมเมืองฮ่องกงก็เห็นสภาพบ้านเมืองตึกรางบ้านช่องก็ตื่นตาตื่นใจดี  เดินทางมาถึงรถราง(Peak Tram)เพื่อรอขึ้นรถรางขึ้น The Peak Tower ซึ่งเป็นจุดชมวิวที่สูงที่สุดของฮ่องกง นักท่องเที่ยวค่อนข้างเยอะทำให้ผมไม่แปลกใจเลยที่ฮ่องกงเป็นเมืองเล็กนิดเดียวแต่เป็นเมืองที่ผู้คนจากทั่วโลกชื่นชอบที่จะมาท่องเที่ยว  ท่านที่ไม่ต้องการต่อคิวสามารถซื้อบัตรขึ้นตรงถึง The Peak  Tram ได้แต่ราคาบัตรจะรวมค่าเข้าชม พิธภัณฑ์ Madame Tussauds เข้าไปด้วย   The Peak Tower นอกจากจะเป็นจุดชมเมืองฮ่องกงแล้วยังเป็นแหล่งชมปิ้ง Sport Club ร้านอาหารการกิน  และยังเป็นที่ตั้งของ Madame Tussauds(Hong Kong) ซึ่งเป็นสถานที่จัดแสดงหุ่นขี้ผึ้งรูปเหมือนคนดังค่าเข้าชม 120HKD.(แพงครับเมื่อเทียบเป็นเงินไทย) ท่านใดที่ไม่อยากเสียค่าเข้าชมสามารถถ่ายรูปกับ Super Star ที่ตั้งอยู่ด้านหน้า 1-2 รูปปั้นได้   แต่จุดที่ควรขึ้นชมคือดาดฟ้าของอาคารซึ่งตรงจุดนี้ต้องเสียค่าเข้าชม 20HKD อากาศข้างบนจะเย็นและลมแรง(ดังนั้นท่านที่แพ้อากาศหนาว+ลม ควรเตรียมอุปกรณ์กันหนาวให้พร้อม) 

เมื่อผ่านเข้าไปก็เลือกชมตามอัธยาศัย  เวลาประมาณ 8.30 น.ทุกวันจะมีการโชว์ Symphony of Life (ซึ่งเป็นการแสดงแสงสีของตึก อาคารต่าง ๆ 40 อาคารในฮ่องกง)  เป็นการแสดงแสงสีเสียงโดยแบ่งเป็น 5 ชุดได้แก่ Awakening ,Energy Heritage Partnership และ Celebration ผมดูยังไงก็แบบเดียวและอย่าคิดว่าจะตื่นตาตื่นใจเหมือนที่เห็นในทีวี  หรืออินเตอร์เนต  ถ้าไม่ใช่ช่วงเทศกาล  ส่วนขาลงเราเลือกนั่งรถเมล์สาย 15เนื่องจากต้องการแวะเที่ยวชมบันไดเลื่อนที่ยาวที่สุดที่เริ่มจากถนน Queens Road  ผมไม่รู้ว่ายาวที่สุดในโลกหรือเปล่าแต่เท่าที่สัมผัสมาขอบอกว่ามันยาวจริง ๆ เป็นสวัสดิการที่สุดยอดของรัฐบาลฮ่องกงที่มอบให้กับประชาชนที่พักอาศัยอยู่บนยอดเขาที่เป็นการเอาชนะธรรมชาติได้เป็นอย่างดี  ระหว่างทางจะเป็นประเภทร้านอาหาร ผับ บาร์ (แต่อย่าคิดว่าผับบาร์จะยิ่งใหญ่เหมือนในประเทศไทยเห็นจะไม่มี 

เพราะเราภูมิใจได้อย่างหนึ่งว่าประเทศเราพวกเรื่องไร้สาระหน่ะเราเป็นที่สุดในโลกแล้ว เช่น ผับ บาร์ อาบอบนวดใหญ่ที่สุดในโลกที่อยู่หน้าวัด ธูปยักษ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก หรือ ขนมหมอแกงใหญ่ที่สุดในโลก) กลับมาเรื่องของขึ้นบันไดเลื่อนที่ยาวที่สุด(ในโลก) ขนาดขึ้นบันไดเลื่อนยังเมื่อย ขึ้นไปถึงจุดสูงสุดแล้วจะเดินลงนั้นคงไม่ไหวเป็นแน่   เพราะฉะนั้นแนะนำให้นั่งรถเมลลงมีหลายสายเลือกได้ตามอัธยาศัย จุดบนสุดส่วนใหญ่เป็นย่านพักอาศัย จำพวกคอร์ท อพาตเม้นท์   นั่งรถเมลก็ง่าย ๆ หาลงตรงไหนก็ได้ที่มีสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน แวะทานอาหารเย็นกันสักหน่อยเพื่อความอิ่มท้องราคาอาหารเย็นก็ประมาณ 15-18HKD เลือกทานตามอัธยาศัย  น้ำประมาณ  10HKD ที่ผมชอบมากคือไอติมที่เป็นรถตู้วิ่งขายยี่ห้อ Mister Softee ไอติมโคนราคา 7HKD อร่อยมาก ๆ แต่คิดเป็นเงินไทยแล้วเกือบ 30 บาทก็ไม่แพงเมื่อเทียบกับไอติมมียี่ห้อบ้านเรา  ขึ้น MRT ที่สถานีรถไฟฟ้าจิมซาโจ่ยแวะเดินถนนนาทาน  และสำคัญต้องแวะถ่ายรูปที่หน้าสถานีตำรวจจิมซาโจ่ย(เพราะจำได้ว่าหนังฮ่องกงถ้าพวกเจ้าพ่อถูกจับลูกสมุนจะต้องยกพวกมาปิดสถานีตำรวจนี้  แต่ปัจจุบันไม่เห็นภาพแล้ว  สงบมาก) 

สำคัญคือที่โรงแรมน้ำอุ่นปิด 23.00 น. ถ้ากลับดึกก็ต้องถูกทำโทษโดยการต้องอาบน้ำธรรมดา  แต่น้ำธรรมดาบนอุณหภูมิ 15-17 องศา   ก็ต้องทำใจเหมือนอาบน้ำตู้เย็นเลย ท่านใดสามารถทนกับการไม่อาบน้ำได้ก็นอนได้เลย   แต่ผมคนนึงไม่สามารถนอนได้ถ้าไม่อาบน้ำก็ต้องรับกรรม   จบไปสำหรับวันแรกใน ฮ่องกง มาเก๊า  วันเดียวเดินทาง 3 ประเทศ (ไทย มาเก๊า ฮ่องกง)  คิดระยะทางการเดินเท้าแล้วหลายกิโล  ปวดเส้นเอ็นนอนดีกว่า



2 มี.ค. 51  วันนี้มีแผนที่จะเที่ยว 3 ที่ คือ เที่ยวชมพระใหญ่โปลิน และหมู่บ้านชาวประมง Tai O ซึ่งเป็นหมู่บ้านประวัติศาสตร์ของชาวพื้นเมืองฮ่องกง ตามด้วยสนามบินนานาชาติฮ่องกง เช็กลักก๊อก  เดินทางโดยรถไฟฟ้า MRT ที่ฮ่องกงจะเรียนว่า Sub Way ขึ้นสายอะไรก็ไม่รู้แต่ต้องต่อสายสีแดงเพื่อลงสุดสายที่สถานี Tung Chung ขึ้นจากรถไฟฟ้าก็ไม่ต้องห่วงอีกคนจะมุ่งหน้าไปที่เคเบิ้ลคาร์(มีป้ายบอกทางตลอด) เริ่มจากการขึ้นเคเบิลคาร์เพื่อขึ้นชมพระใหญ่โปลิน(Po Lin Monastery/Buddha) ขึ้นกระเช้าเคเบิลคาร์แนะนำให้ไปเช้า ๆ เพราะสายคนและคณะทัวร์จะเยอะมาก ๆ (ขอย้ำว่าเยอะมาก ๆ ) และจะเป็นผลกับท่านที่ชอบถ่ายรูปเพราะเมื่อคนเยอะก็จะเป็นขยะทางวิสัยทัศน์  ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงควรถึงเช้า ๆ เพราะไม่มีคนพวกเราไปถึงกระเช้า Cable Car และซื้อตั๋วเวลา 9.45 น.  ซึ่งบริษัทที่ได้สัปทานคือ Ngong Ping360(
www.NP360.com.hk)ราคาประมาณ 58HKD แต่ถ้าซื้อไป-กลับจะถูกกว่าประมาณ 88HKD แต่เราวางแผนว่าจะนั่งรถเมล์เพื่อไปหมู่บ้านชาวประมง   เคเบิลคาร์ยาวมากมีหลายสถานีมีจุดเช็คความปลอดภัยให้กับผู้เดินทางตลอดเวลา  ก็น่าเชื่อมั่นในระบบความปลอดภัยแต่สบายใจได้สูงขนาดนั้นเกิดอะไรขึ้นก็ไม่ทรมาน 

เมื่อถึงพระใหญ่ก็คงตามที่เห็นกันในสื่อทั่วไปมีบันไดขึ้น 268 ขั้นองค์พระทำจากทองสัมฤทธิ์น้ำหนัก 250 ตันสูง 34 เมตร(ตามที่ผมเคยอ่านมาจำได้ว่าใช้เวลาสร้าง 10 ปี) ด้านในบรรจุพรบรมสารีริกธานตุจากศรีลังกา  รอบ ๆ มีรูปนางฟ้าและเทพเจ้าต่าง ๆ ภายในเป็นพิพิธภัณฑ์(ใครชอบพวกประวัติก็น่าเข้า)   หลังจากที่เที่ยวชมพระใหญ่โปลินสักพักเราก็เลือกที่จะเดินทางลงด้วยรถเมลเพื่อเดินทางต่อไปที่หมู่บ้านชาวประมงไอโอ(Tai O) แวะทานอาหารเที่ยงกันที่นี่   สภาพหมู่บ้านสงบเงียบมากมีจำพวกของฝากจากทะเลขาย และของแห้งขาย คล้าย ๆ กับบางแสนบ้านเรา  ที่ผมชอบที่นี่มากคือเค้ามีกฎห้ามใช้รถมอเตอร์ไซด์   พาหนะในหมู่บ้านคือจักรยานซึ่งทำให้ชีวิตสงบลงมาก  สภาพชาวประมงดั่งเดิมแทบไม่มีให้เห็นแล้ว  ดูภาพรวมจริง ๆ จะเป็นการจัดฉากสำหรับการส่งเสริมการท่องเที่ยวซะมากกว่า   เราออกจากหมู่บ้านเพื่อเดินทางสู่สนามบิน เช็กลักก๊อก   ถามว่าทำไมเราต้องเดินทางไปเที่ยวสนามบิน   คำตอบก็คือสนามบินเช็กลักก๊อก  รัฐบาลฮ่องกงพยายามที่จะให้ลืมชื่อนี้แต่ให้คนทั่วโลกจดจำในชื่อสนามบินนานาชาติฮ่องกง (International Airport)   สนามบินที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลกซึ่งในเอเชียสนามบินที่มีชื่อเสียงก็เช่นชางฮีของสิงคโปร์  นาริตะของญี่ปุ่น หรืออินชอนของเกาหลีใต้ ดังนั้นหากไปเยือนฮ่องกงก็ควรไป    ซึ่งเมื่อเราเดินทางไปจากสุวรรณภูมิแล้วเราก็จะรู้สึกได้ว่าไม่ได้ยิ่งใหญ่ไปกว่าของเราเท่าไหร่อาจจะต่างกันที่ระบบการบริหารจัดการภายในสนามบิน  และความบ้าคลั่งของการทำงธุรกิจโดยการให้พื้นที่ให้เอกชนเช่าเท่านั้น    ทั้งหมาดที่กล่าวมาคือเหตุผลที่ต้องไปเยือนสักครั้งถ้าเข้ามาฮ่องกงทาง Ferry   ออกจากสนามบินนานาชาติฮ่องกงก็ค่ำมากแล้วการเดินทางจากสนามบินสะดวกมากเพราะมีระบบขนส่งมวลชนที่สะดวกคือสามารถเลือกเดินทางด้วยรถ Taxi หรือรถสาธารณะก็ได้สะดวกมากมีรถเมลเป็น 10 สายแต่ไม่มีรถไฟฟ้าผ่าน  เมื่อนั่งรถเมลเข้าเมืองก็อย่างเดียวกับวันแรกคือพยายามหาจุดที่ใกล้รถไฟฟ้าเพราะง่ายต่อการเดินทาง  

หากหลงทางอยู่ฮ่องกงไม่ยากพยายามมองหาคนที่หน้าตาเป็นคนรุ่นใหม่จะสามารถพูดอังกฤษได้ทุกคนตั้งแต่ลูกเด็กเล็กแดง(พูดดีกว่าเราเสียอีก)  โดยลงกลางเมืองเพื่อจะขึ้นรถเมล์ไปลงที่ Repulse Bay  น่าจะใช้คำนี้นะคำ Repulse ที่แปลว่า “ขับไล่หรือปฏิเสธ” ซึ่งน่าจะเป็นฐานที่มั่นทางการทหารเพื่อปกป้องมาตุภูมิเมื่ออดีตเราจะรู้ว่าถึงหรือยังให้สังเกตตึกมีรูตรงกลาง  ที่มีชื่อทางฮวงจุ้ย(เค้าว่าต้องสร้างมีรูเพื่อให้มังกรรอดผ่าน) เมื่อลงจากรถสามารถเดินลงชายหาดเลี้ยวซ้ายประมาณ 300 เมตรจะพบรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมและเทพต่าง ๆ (ทัวร์ไทยทุกเจ้าต้องมาที่นี่) เค้าว่าให้ยืนด้านหน้าเจ้าแม่กวนอิมที่เป็นวงกลมแล้วอธิฐาน  เดินข้ามสะพาน 1 รอบจะมีอายุเพิ่มขึ้น 3 ปีแต่ห้ามเดินสวนทาง   ผมจึงเลือกที่จะไม่เดินเกรงว่าจะอายุยืนขึ้นอีก(ซึ่งเป็นกรรม) วันนี้เรากลับถึงที่พักเราหน่อยอาจจะเพราะเหนื่อและร่างกายอ่อนล้ามากแล้ว  คงต้องกล่าวคำว่าราตรีสวัสดิ์





3 มี.ค. 51 วันนี้ถึงกำหนดที่จะต้องเดินทางเพื่อกลับไปมาเก๊าเราใช้เวลาช่วงเช้าวางแผนกันว่าจะCheck Out โรงแรมก่อนแล้วฝากกระเป๋าไว้แล้วไปเที่ยว Avenue of  Star และพิพิธภัณฑ์ฮ่องกง(Hong Kong Museum of History) พอดีวันนี้เป็นวันจันทร์เราเดินทางด้วยรถไฟฟ้าจึงได้พบกับชั่วโมงเร่งด่วนของฮ่องกงไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนไหวความเร่งด่วนในการก้าวเดิน  จำนวนผู้คนที่ใช้บริการขนส่งมวลชน  เห็นแล้วต้องบอกคำเดียวว่าทึ่ง ๆ ในระบบการจัดการขนส่งมวลชน  ทึ่งในความเคลื่อนไหวของผู้คน  เราเลือกไปที่แรกคือ Avenue of Star ซึ่งจะมีดารามีชื่อของฮ่องกงมาประทับลายมือและเซ็นชื่อกำกับไว้เหมือนที่ฮอลลิวู้ด  ภายหลังที่ฮ่องกงถูกส่งกลับคืนให้จีนเศรษฐีทั้งหลายรวมถึงดารา super star หลายคนโอนสัญชาติไปอยู่อเมริกาบ้าง แคนาดาบ้าง  

สามารถเดินตามป้ายเพื่อไปพิพิธภัณฑ์แห่งชาติฮ่องกงสามารถเดินไปจากย่าน Avenue of  Star ได้แต่ไกลพอสมควรผ่านสวนสาธารณะ และที่สำคัญคือพิพิธพัณฑ์ฮ่องกงซึ่งแบ่งเป็นในส่วนของประวัติประเทศ และวิทยาศาสตร์   ผมใคร่ที่จะอยากดูในส่วนของประวัติประเทศมากกว่า  เพราะโดยส่วนตัวผมชอบศึกษาประวัติศาสตร์เพราะประวัติศาสตร์จะบอกความเป็นอารยของประเทศนั้น ๆ ว่ากว่าจะสร้างประเทศ สร้างบ้านสร้างเมืองมาเค้ามีความเจ็บปวดอย่างไร ผ่านวิกฤษตการณ์อะไรมาบ้างซึ่งจริง ๆ แล้วหากเป็นฝรั่งเค้าจะให้ความสำคัญกับสิ่งนี้เป็นสิ่งแรกแต่หากเป็นคนไทยจะให้ความสำคัญกับการถ่ายรูปมากกว่านี่คือความแตกต่างของวิธีคิด 

พิพิธภัณฑ์ฮ่องกงค่าเข้าชมเพียง 10HKD เป็นเงินไทยเท่ากับ 40 บาทเท่ากับราคารน้ำ 1 ขวด   ในขณะที่ค่าครองชีพอื่น ๆ ราคาสูงแต่ค่าเข้าชมพิพิธพัณฑ์กลับราคาถูกนี่เป็นเพราะฮ่องกงต้องการให้เยาวชนสามารถเข้าชมพิพิธภัณฑ์ได้โดยสะดวก  รวมถึงดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาศึกษาประวัติศาสตร์ของประเทศตน  มีเวลาไม่พอจึงต้องเลือกชมเฉพาะในส่วนของประวัติศาสตร์ได้เพียงอย่างเดียวเนื่องจากต้องการใช้เวลากับ Hong Kong Museum of History อย่างเต็มที่  พิพิธภัณฑ์มีการบริหารจัดการเป็นอย่างดีมีเจ้าหน้าที่มากมายให้การตรวจสอบดูแล และควบคุมการเข้าชมอย่างเป็นระเบียบ  มีการจัดแบ่งเป็นเรื่องราวและสัดส่วนประกอบด้วยกัน 7 ส่วน

เริ่มตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์  ยุคหิน ยุคที่อยู่ภายใต้การปกครองของราชวงค์ของจีน 2 ราชวงศ์ วัฒนธรรมความเป็นอยู่ของชาวฮ่องกงในอดีต   และยุคที่อยู่ภายใต้การประครองของอังกฤษ และญี่ปุ่น  รวมถึงเรื่องของความก้าวหน้าของอุตสาหกรรมภาพยนตร์(ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมส่งออกของฮ่องกงที่เป็นที่ยอมรับทั่วโลก) จริง ๆ เวลาน้อยไปหน่อยที่จะได้ชื่นชมแบบเต็มที่  ได้เวลาอันควรและท้องเริ่มหิวแล้วคงต้องหาอาหารเที่ยงรัปทานและกลับไปที่โรงแรมเพื่อรับกระเป๋าเพื่อเดินทางต่อไปมาเก๊า   

จากโรงแรมที่พักย่านจิมซาโจ่ย(ถนน Na Than) สามารถเดินไปขึ้นเรือที่ท่าเรือของ First Ferry ได้เดินเท้าประมาณ 10 นาที  ถึงท่าเรือผ่านพิธีการ ตม.เรียบร้อย    ก็ได้พบน้องที่มาทำโพลสอบถามเกี่ยวกับการมาเที่ยวฮ่องกง   ที่น่าประทับใจคือเค้าสอบถามว่าเราเป็นคนชาติอะไร  พอเราบอกเป็นคนไทยเค้าก็หยิบแบบสอบถามภาษาไทยมาถามเรา   แบบสอบถามจะเป็นในส่วนของความประทับใจที่ฮ่องกง โรงแรมที่พัก เงินที่เราใช้จ่าย จำนวนเวลาที่เราพักในฮ่องกง ตอบแบบสอบถามเสร็จเค้าก็มีของที่ระลึกให้เป็นเข็มกัด   ได้ขึ้นเรือเที่ยว 16.30 น.แปลกที่ค่าเรือถูกลง 133HKD. น่าจะเป็นเกี่ยวกับเวลาหรือเป็นเพราะเที่ยวกลับ หรือด้วยเป็นเพราะวันธรรมดาอันนี้ไม่รู้  ท่านใดอยากทราบสามารถ สอบถามได้ที่ First Ferry Customer Servcie Hotline :(852)2131-8181 Hong Knog  หรือ (853)727676(Macau) 

นั่งเรือประมาณ 1 ชม.ก็ถึงเกาะมาเก๊าเมื่อขึ้นจากท่าเรือก็เหมือเดิมผ่านขั้นตอน ตม. (เค้าไม่นับยืดเวลาให้คือหักระยะเวลาที่อยู่ในฮ่องกงถือเป็นอยู่ใน Trip นี้ด้วย คือไม่นับเป็นการออกประเทศแล้วเข้าใหม่อยู่ได้อีก 1 เดือน)  ภายหลังออกจากท่าเรือก็หารถเมลเพื่อไปลงที่ Senado Square ภาษามาเก๊าจะเรียก “ซานหม่าหลง” รถเมลหาง่ายป้ายรถเมลจะมีการบอกชัดเจนว่าไปไหน  คือดูง่ายไม่หลง  แต่ปัญหาในมาเก๊าคือคนส่วนใหญ่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้แม้แต่ในคาสิโน   โรงแรม ร้านอาหาร ภาษามือเป็นอะไรที่จะเข้าใจกันได้ดีที่สุด คราแรกไปดูที่โรงแรม San Va ซี่งอยู่ย่าน Rua de Felicidade ชื่อเรียกยากมากเพราะถนนหนทาง โบสถ์ อาคารส่วนใหญ่เป็นชื่อจีนกับโปรตุเกส  แต่ไม่ค่อยพอใจเรื่องราคาจึงตัดสินใจพักอีกโรงแรมหนึ่งซึ่งถูกกว่าแต่สถาพก็แย่กว่าตามไปด้วย  ห้องเก่ามาก ถึงมากที่สุด  ห้องน้ำรวม   มาเก๊าเป็นเมืองเล็ก  ย่าน Senado Square เดินเที่ยวได้ง่ายมีแผนที่และป้ายบอกตลอดทางแวะโบร์ถโน้นโบสถ์นี้  และที่สำคัญที่ต้องไปก็คือซากประตูโบสถ์เซ็นต์ปอลที่มีชื่อไปทั่วโลก  สามารถเดินต่อไปคาสิโนต่าง ๆ หลายที่    ทุกที่ก็มักจะมีการสร้างตัวตึกให้ทำลายโชคของผู้ที่เข้าไปเสี่ยงดวง   คืนนี้เหนื่อยกันมามากแล้วสมควรแก่เวลาที่กล่าวคำว่านิทราราตรีสวัสดิ์



4 มี.ค.51  วันนี้วางแผนเที่ยววัดอาม่า รูปปั้นเจ้าแม่กวนอิม และด่านชายแดนจูไห่มณฑลกวางตุ้งประเทศจีน และเกาะไทปาพวกเราตื่นขึ้นมาแล้วหาอาหารเช้าใส่ท้องทั้งนี้เพราะรู้ว่าวันนี้คงต้องเดินทางท่องเที่ยวไปหลายที่ทั้ง ๆ ที่ร่างกายล้าเต็มที่เพราะเดินมาก และผ่านทั้งอากาศหนาวและลมแรง   แต่นั่นแหละ The show must go on ชีวิตคงต้องดำเนินต่อไป   อาหารเช้าแบบมาเก๊าผสมผสานระหว่างจีนกับโปรตุเกสอร่อยมากโดยเฉพาะขนมปัง ยิ่งผนวกกับบรรยากาศที่เป็นวิถีชีวิตชาวบ้านก็ยิ่งเพิ่มอรรถรสให้กับอาหารเช้าเป็นอย่างยิ่ง  วันนี้เราวางแผนที่จะไปวัดอาม่าเป็นที่แรกเดินไปขึ้นรถ ฝั่งตรงข้าม โรงแรมฝั่งเดียวกับ Senado  รถสาย 10,10A,2,5,9  ไปได้หมด  ค่ารถคนละ 2.5 Pakata(ค่าเงินของมาเก๊าจะอ่อนกว่าฮ่องกงนิดหน่อยประมาณ .10 ดังนั้นหากเราชำระเป็น HKD ก็จะมีเงินทอนนิดหน่อยก็ดีไปอย่าง ปล.ค่ารถในมาเก๊าที่วิ่งบนเกาะมาเก๊า ค่ารถเท่ากันตลอดสาย  และทุกสายด้วยแต่ถ้าวิ่งบนเกาะอื่นค่ารถจะแพงกว่านี้นิดหน่อย  

จะให้ดีหากจะเดินทางไปวัดอาม่าให้เดินทางเช้าหน่อยเพราะเป็นสถานที่ยอดนิยมที่ทุกคนที่มามาเก๊าส่วนใหญ่จะต้องไป  โดยเฉพาะคณะทัวร์ซึ่งจะมีผลต่อการเก็บภาพมากสำหรับท่านที่ชอการถ่ายภาพ  ด้านหน้าของวัดจะมีพิพิธภัณฑ์การเดินเรือ(Museu Maritino)แต่วันนี้เป็นวันอังคารซึ่งเป็นวันปิดทำการของพิพิธภัณฑ์ สถานที่ประเภทนี้ของมาเก๊าจะปิดวันอังคาร  รอบ ๆ วัดมีสถานที่ท่องเที่ยวคือบ้านขุนนางจีน และวิถีชีวิตชาวบ้านย่านนั้น  แต่โดยส่วนตัวผมมองว่าสถานที่เที่ยวหากอ่านเป็นชื่อ de โน่น de นี่   แต่จริง ๆ ไม่ได้มีอะไรก็คือบ้านเรือน อาคารนั่นแหละ(อย่างไปตื่นเต้นมากเมื่อยขาเปล่า ๆ) จากนั้นก็แวะไปที่อนุสาวรีย์เจ้าแม่กวนอิม  ภายในจะมีประวัติและพิพิธภัณฑ์อยู่เงียบสงบดีเพราะอย่างที่กล่าวไว้ว่าเป็นวันอังคารซึ่งหลายที่ปิด ทำให้นักท่องเที่ยวไม่มี  จึงสามารถถ่ายรูปได้ตามอัธยาศัย  ถัดจากรูปปั่นเจ้าแม่กวนอิมสามารถเดินมา ดอกบัวยักษ์ ต่อจากนั้นนั่งรถไปด่านพรมแดนจีนจู่ไห่ เมือง Shi จังวัน Sheng มณฑลกวางตุ้ง  ทำให้รู้สึกได้ว่าคนจีนนี่เยอะจริง ๆ สภาพเหมือนขนส่งหมอชิตบ้านเราแต่ผู้คนและความกว้างใหญ่มากกว่าอีก 2 เท่าตัวเห็นจะได้

การเดินทางข้ามด่านถือเป็นการข้ามประเทศจีนดังนั้นต้องทำวีซ่าเข้าประเทศจีน  ซึ่งต้องเสียค่าใช้จ่ายประมาณ 200 HKD. ซึ่งเทียบกับเวลาแค่ข้ามไปแล้วกลับมาไม่น่าจะคุ้มจึงตัดสินใจเดินทางต่อไปเที่ยว  หมู่บ้านบนเกาะไทปาน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า  จึงตัดสินใจเดินทางเกาะไทปาเพื่อเที่ยวชมวิถีชีวิตชาวบ้านนอกจากนั้นยังมีพิพิทธภัณฑ์ที่แบ่งเป็นบ้านหลัง ๆ จัดแสดงชีวิตความเป็นอยู่และวัฒนธรรมสมัยที่อยู่ภายใต้การปกครองของ  โปรตุเกส หลังรัปทานอาหารเย็นเรียบร้อยแล้วหากไม่รีบร้อนที่จะพักผ่อนนักสามารถกลับมาเดินเล่นย่าน Senado Square  หาอาหารจุกจิกรัปทานหรือจะนั่งดื่มเบียร์ก็ไม่เลว  สำหรับคืนนี้คงต้องกล่าวคำว่าราตรีสวัสอีกครั้งหนึ่งแล้วพบกันในวันสุดท้ายในมาเก๊า   คิดถึงบ้านแล้วเหมือนกัน



5 มี.ค.51  วันนี้คงไม่มีอะไรมากตื่นให้สายหน่อยเพราะคงจัดโปรแกรมอะไรมากมายไม่ได้เพราะเครื่องจะออก 16.30 น.เวลามาเก๊า จึงทำการ Check Out และเล่นมุกเดิมคือฝากกระเป๋าแล้วไปเดินเที่ยว หลังรัปทานอาหารเช้าแล้วก็เดินเล่นย่าน Senado Square ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของมาเก๊า มีตึกเก่าแก่ตั้งแต่ยุคศตวรรษที่ 19 สามารถเดินไปทางโบสถ์เซนต์ดอมินิค(St.Dominic) จนถึงประตูโบสถ์เซ็นต์ปอล(Ruins of  St.Paul) ที่ถูกไฟไหม้ สามารถขึ้นไปชั้น 2 ของประตูโบสถ์ได้เดินเข้าด้านในจะเป็นพิพิธภัณฑ์โบสถ์และเป็นที่เก็บเครื่องประกอบพิธีกรรมทางศาสนาคริสต์ที่สำคัญท่านใดไม่ใช่คริตส์ที่เป็นคาทอลิกคงจะไม่ทราบว่าแต่ละชิ้นใช้ทำอะไรและมีความหมายอย่างไร 

บังเอิญผมเป็นคาทอลิกจึงทราบทุกอย่างเพราะอุปกรณ์ประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ เหล่านั้นอยู่กับวิถีชีวิตเรามาตั้งแต่เราเกิด  ไม่ว่าจะเป็นจอกการิต(ที่ใส่โลเหล้าองุ่นที่พระสงฆ์ใช้ทำพิธีมิซาและแทนว่าเป็นโลหิตพระเยซู) หรือจะเป็นที่ใสศีลใช้สำหรับแจกจ่ายให้กับประชาชนที่ไปประกอบพิธีกรรมมิซา(ซึ่งถือว่าแทนพระกายของพระเยซู)  หลังจากชมเสร็จสามารถเดินด้านขวาซึ่งจะเป็นทางขึ้นป้อมปราการที่สร้างสมัยโปรตุเกสระหว่างทางขึ้นมีห้องน้ำสำหรับสุนัขด้วยจะเห็นว่าการจัดสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับประชาชน และความรับผิดชอบของประชาชนของมาเก๊ามีวินัยมาก  ผมเห็นเค้าจูงสุนัขมาเดินเล่นเมื่อสุนัขอุจาระกลางถนนเค้าก็เตรียมหนังสือพิมพ์มาเก็บทำให้ประเทศเค้าไม่มีการเหยียบขี้หมา(แบบ....)เมื่อขึ้นไปถึงป้อมปราการจะมีปืนใหญ่แสดงให้เห็นว่าเมื่อก่อนโปตุเกสต้องใช้ป้อมนี้เป็นจุดยุทธศาสตร์ในการปกป้องมาเก๊าจากผู้รุกรานทางทะเลเป็นแน่แต่เวลาชักจะล่วงเลยจึงกลับโรงแรมเพื่อเอากระเป๋าที่ฝากไว้และเดินทางต่อไปยังท่าเรือ Ferry

สาเหตุที่ไปที่ท่าเรือด้วยเหตุผลว่าเรารู้แล้วว่าที่ท่าเรือจะมีรถของโรงแรม Venetian ซึ่งเป็นShuttle Bus ให้บริการฟรีและกะว่าจะแวะเดินเล่นที่ Venetian เพื่อรอต่อรถ shuttle  bus ออกทุก ๆ 10 นาทีเมื่อมาถึงโรงแรม Venetian สิ่งที่ขาดไม่ได้คือต้องเข้าไปเดินภายในซึ่งจำลองเวนิชมาไว้ในภายในตัวตึกซึ่งต้องบอกว่าสร้างได้สวยจริง ๆ และมีความงดงามมากถึงแม้จะมาจากมือมนุษย์  มีเรือพายรับผู้ที่ต้องการใช้บริการ   คนพายส่วนใหญ่จะเป็นฝรั่งหรือมาเก๊าลูกครึ่งพายไปก็ร้องเพลงโอเปร่าไป   ภายในมีคาสิโนซึ่งใหญ่มาก ๆ นอกจากนั้นก็เป็นที่ Shopping Brand Name ร้านอาหารชื่อดังระดับโลก  รวมไปถึงห้องประชุมสัมมนาต่าง ๆ มากมายและใหญ่โตมาก ๆ ยิ่งได้ดูวิธีการจัดสร้างซึ่งทางโรงแรมฉายผ่านโปรเจกเตอร์แล้วยิ่งสัมผัสได้ถึงความยิ่งใหญ่ของสถานที่แห่งนี้  สมควรแก่เวลาก็ไม่รอ Shuttle Bus เพื่อเดินทางต่อไปที่สนามบินนานาชาติมาเก๊าเพื่อเดินทางกลับสู่ประเทศไทยต่อไปด้วยเที่ยวบินที่ FD3605 Macau-Bangkok ออกจากสนามบินมาเก๊าเวลา 16.30 น.จริง ๆใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชม.ครึ่งแต่เนื่องจากความต่างของเวลา 1 ชม. จึงทำให้เถึงสนามบินสุวรรณภูมิเวลา 18.20 น.


สำหรับผมแล้วการเดินทางต่างประเทศแต่ละครั้งผมไม่ได้มองแค่ในเรื่องการท่องเที่ยว  เพราะโดยส่วนตัวของผมไม่ค่อยชอบเสียเวลากับเรื่องของการเที่ยวเตร่สักเท่าไร  หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งว่าไม่ค่อยมีอารมณ์ร่วมกับพวกสาระความบันเทิง  เพราะรู้สึกว่าชีวิตคนเราสั้นเราไม่ควรใช้ชีวิตไปกับความบันเทิงให้มากนัก  ควรใช้ชีวิตกับการทำงานช่วยเหลือสังคม คนที่อ่อนแอกว่า   และการพัฒนาประเทศชาติ    ทุกครั้งที่ผมท่องเที่ยวผมจึงพยายามมองหาโอกาส  ดูความเจริญของนานาอารยประเทศเพื่อนำกลับมาพัฒนาบ้านเมืองเราให้เจริญและมีวิธีคิดให้เท่าทันประเทศนั้น ๆ รวมถึงการแข่งขันกันในสมาคมโลกด้วย    หากประเทศเราไม่มีการปรับตัวเรื่องการบริหารจัดการ การพัฒนาด้านบุคลากร  วิธีคิด หรือแม้กระทั่งวินัย  และการเคารพกฎหมายของประชาชน  ความสามัคคีภายในประเทศ   คงเป็นการยากที่จะแข่งขันหรือต่อสู้กับประเทศที่มีความเข็มแข็งเหล่านั้นในประชาคมโลก  นั่นคือเหตุผลหนึ่งที่ผมยินยอมที่จะนำเงินไทยไปทิ้งต่างประเทศเพราะผมมีวิธีคิดของผมเช่นนี้   ผมไม่ใช่คนเที่ยวต่างประเทศที่ใช้เงินไทยซึ่งมีค่าเงินที่ต่ำกว่าไปใช้จ่ายอย่างบ้าคลั่งเพื่อให้ประเทศขาดดุลทางการค้า



Free TextEditor

คำแนะนำสำหรับผู้ที่เดินทางไปมาเก๊า ฮ่องกง
1. เดินทางไปลงมาเก๊าแล้วเดินทางต่อด้วย Ferry ไป HK ค่าใช้จ่ายถูกกว่าและได้เที่ยว 2 ประเทศซึ่งมีความเหมือนที่แตกต่าง เรือนั่งสบายมีอาหารรัปทานและปลอดภัย
2. ลงจากสนามบิน สนามบิน Macau International Airport หรือ ภาษาโปรตุเกส คือ Aeroportointernacional De Macau สนามบินถูกสร้างขึ้นด้วยการถมทะเลเนื่องจากประเทศมาเก๊าไม่มีพื้นที่มากนัก จึงทำให้ภูมิทัศน์สวยงามมีระบบการจัดการดีมากสนามบินตั้งอยู่บนเกาะไทปา ดังนั้นจะเดินทางไปท่าเรือ Ferry สามารถเดินทางได้ด้วยรถเมลสาย AP1 ป้ายรถ เมลดูง่ายมีสายรถเมลและสถานที่ผ่านติดอยู่สามารถหมุนป้ายดูสายได้สะดวกมากสำหรับระบบขนส่งมวลชน(ค่ารถเมล 3.3 Pataka/ประมาณ 14 บาท),Taxi แต่ถ้าไม่รีบวิธีที่แนะนำคือนั่งรถบริการของโรงแรม shuttle
bus ของโรงแรม Venetian แล้วไปลงที่โรงแรมต่อด้วยสายที่วิ่งไปท่าเรือ Ferry ได้ (ข้อสำคัญให้บริการฟรี สามารถขึ้นได้ทุกคนไม่มีการตรวจสอบ) รถออกทุก ๆ 10 นาทีใช้เวลาประมาณ 5 นาทีจากสนามบินไปโรงแรม และประมาณ 15 นาทีจากโรงแรมไปท่าเรือ
3. ฮ่องกงใช้บัตร Octopus Card สะดวกที่สุด สามารถขึ้นรถ MRT และ รถเมลสำคัญขาลงอย่าลืมนำบัตรแตะเครื่องเพื่อให้ตัดระยะทาง(มิฉะนั้นจะถือว่าเรานั่งรถจนสุดสาย) บัตรสามารถใช้ขึ้นรถราง ซื้อไอติมได้ด้วย
4. พักโรงแรมย่าน จิมซาโจ่ย ม่อก๊ก ถนนนาธาน เดินทางสะดวกกว่า
5. ระบบขนส่งมวลชนดีมาก ป้ายรถเมลมีสถานที่ให้อ่านว่าจะไปไหน แต่ต้องรอป้ายของตัวเองเพราะรถเมลจะจอดตรงป้ายของสายตนเอง ขาลงอย่าลืมนำบัตร Autoput แตะเพื่อตัดจำนวนเงิน มิฉะนั้นระบบจะตัดเท่ากับราคาสุดสาย
6. MRT มีหลายสาย สีแดง สีเขียว สีส้ม สีม่วง สีฟ้า ดังนั้นต้องศึกษาให้ดีว่าจะลงสถานีไหน
7. ประตูแต่ละ MRT ไม่เหมือนบ้านเรา ที่ HK มีหลายประตูแต่ละประตูคนละทิศ ดังนั้นจะออกทางไหนต้องศึกษาให้ดี
8. อาหารมื้อละ 15-18 HKD.ชามใหญ่มาก(สุภาพสตรีทานได้ 2 ท่าน) เมื่อเจอร้านอาหารจะเป็นย่านของร้านอาหาร นอกย่านร้านอาหารจะหาทานยากมาก ไม่ค่อยมีร้านแบบรถเข็นริมถนนบ้านเรา
9. ค่าครองชีพมาเก๊าถูกกว่า HK 20-30%
10. ถ้าชอบความสงบน่าเที่ยวอยู่มาเก๊า ชอบความศิวิไลซ์ อยู่ HK
11. เวลามาเก๊าฮ่องกง เร็วกว่าไทย 1 ชม.

สอบถามข้อมูล มาเก๊า ฮ่องกง ได้ที่
E-mail : peopletribune@hotmail.com
//www.oknation.net/blog/peopletribune



มาเก๊ามาจากประวัติแผ่นดิน “อาม่า” องค์เทพธิดาแห่งท้องทะเลผู้ศักดิ์สิทธิ์ ตามตำนานเล่าสืบต่อกันมาว่า “อาม่า” พระนามเดิมว่า “หลิงม่า” เป็นหญิงสาวชาวฟูเจี้ยนที่วันหนึ่งเธอต้องการข้ามฝั่งมายังคาบสมุทรดอกลิลลี่ขาว หรือ “เอ้าเหมิน” ตามชื่อในภาษาจีน จึงขอโดยสารมากับเรือของชาวประมงชราคนหนึ่งซึ่งเป็นเพียงเรือลำเล็กๆ ที่ยอมให้หลิงม่า โดยสารมาด้วย ในระหว่างที่เรือล่องอยู่กลางทะเล เกิดมีพายุขึ้นอย่างรุนแรงทำให้เรือหลายลำต้องอับปาง แต่ด้วยปาฏิหาริย์ในคำสั่งฟ้าของหลิงม่าทำให้เรือที่เธอโดยสารมา เข้าถึงฝั่งได้อย่างปลอดภัย ทันทีที่หลิงม่า ก้าวเท้าขึ้นสู่ฝั่ง เธอก็ลอยขึ้นไปบนฟ้าและหายลับไป ชาวประมงทั้งหลายต่างเชื่อกันว่าเธอ คือ องค์เทพธิดาแห่งท้องทะเล นับตั้งแต่นั้นดินแดนแห่งนี้ก็ได้รับการขนานนามว่า “อ่าวของ อาม่า” หรือ “อา-หม่า-เกา” ที่เพี้ยนเสียงมาเป็น “มาเก๊า” ในปัจจุบัน

"ฮ่องกง" เป็นภาษากวางตุ้ง ซึ่งมาจากภาษาจีนกลาง ว่า "เซียงก่าง" หมายความว่า "ท่าเรือหอม" สืบเนื่องมาแต่ครั้งที่กวางตุ้ง เป็นแหล่งปลูกไม้หอม โดยที่ต้องมาขนถ่ายสินค้าที่ท่าเรือน้ำลึกตอนใต้สุดของแผ่นดินจีน


ผมชอบคำขวัญของ Air Asia ที่ว่าใคร ๆ ก็บินได้ - Every one can fly
จึงทำให้บางครั้งรู้สึกเหมือนนั่งรถทัวร์ครับ...(แต่ก็ยอมรับได้ตามเงินที่จ่าย)


เรือ Ferry ที่ข้ามจากมาเก๊าไป ฮ่องกงมี 2 บริษัท คือ First Ferry และ Star Ferry แต่ปัจจุบันมีเรือ Cotai Strip จาก Venetian ว่ง 24 ชม. ราคาแพงกว่านิดหน่อย


สนธิสัญญานานกิง มองในแง่ร้ายก็ทำให้จีนสูญเสียเอกราชบนเกาะฮ่องกงให้กับอังกฤษ แต่ถ้ามองในแง่ดีก็ทำให้ฮ่องกงมีการพัฒนาและเจริญอย่างรวดเร็วจนเป็นศูนย์กลางทางการเงินของภูมิภาคในปัจจุบัน เหรีญมี 2 ด้านเสมอ


รถเมล 15C รถเมล์เปิดประทุนสายเดียวของฮ่องกง นั่งชมเมืองอ่องกงเพื่อเดินทางสู่ถึงรถราง (Peak Tram)เพื่อชม Symphony of Life จากจุดสูงที่สุดของเมือง


บน The Peak Tower นอกจากเป็นแหล่งช้อปปิ้ง ร้านอาหาร แล้วยังเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ Madame Tussauds


พระใหญ่โปลินมีบันไดขึ้น 268 ขั้นองค์พระทำจากทองสัมฤทธิ์น้ำหนัก 250 ตันสูง 34 เมตร(ตามที่ผมเคยอ่านมาจำได้ว่าใช้เวลาสร้าง 10 ปี) ด้านในบรรจุพรบรมสารีริกธานตุจากศรีลังกา เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่หากไปฮ่องกงแล้วไม่ควรพลาด


หากดูหนังเจ้าพ่อฮ่องกงที่ฮิตในบ้านเราเมื่อหลายปีก่อน จะเป็นเจ้าพ่อได้ต้องยึดครอง 2 แหล่ง คือ มอก๊ก และ จิมซาจุ่ย


โบสถ์แม่พระสายประคำที่ฮ่องกง บ้านเราก็มีโบสถ์แม่พระสายประคำที่ จ.ราชบุรี(อยู่หลักห้า ดำเนินสะดวก)


เซนาโด้สแควร์ ย่านการค้าและจุดศูนย์กลางของชาวมาเก๊า สภาพบ้านเมืองเหมือนยุโรป อาจจะเนื่องมาจากการปกครองที่ยาวนานของโปตุเกต


ซากประตูโบสถ์เซ็นต์ปอล (Ruins of St.Paul's ) สร้างขั้นเมื่อต้นศตวรรษที่ 17 นับเป็นสถานที่ซึ่งมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ และเป็นสัญลักษณ์ประจำเมืองมาเก๊า โบสถ์แห่งนี้เคยเป็นโรงเรียนสอนศาสนาแห่งแรกของชาวตะวันตกในดินแดนตะวันออกไกล ต่อมาในปีค.ศ.1835 ได้เกิดเพลิงไหม้อย่างรุนแรง ทำให้โบสถ์เซนต์ปอลคงเหลือแค่เพียงประตู และบันไดทางเข้าด้านหน้าเท่านั้น


Venetian เป็นลาสเหมือนเวกัสแห่งเอเชีย อยู่ที่โคไท สตริป เวเนเซียน (Venetian) รีสอร์ทสไตล์อิตาเลียน เวเนเซียนมีคาสิโนที่ใหญ่มากภายใน นอกจากนั้นยังมีห้างสรรพสินค้า พลาซ่า และแหล่งอาหารชั้นเยี่ยม และที่ผมชื่นชอบคือ มีรถฟรีจากสนามบิน และท่าเรื่อเฟอร์รี่




 

Create Date : 23 ตุลาคม 2551    
Last Update : 19 พฤษภาคม 2554 11:54:46 น.
Counter : 5322 Pageviews.  

เทศกาลแห่พระเยซูดำ(Black Nazarene Procession)ที่มะนิลา






ด้านหน้าของโบสถ์เกียโป (Quiapo Church)ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระเยซูดำ(Black Nazarene)


 เทศกาลหนึ่งสำหรับชาวคาทอลิกซึ่งมีความเชื่อและมีจิตศรัทธาที่ไม่ควรพลาดครั้งหนึ่งในชีวิต คือเทศการร่วมขบวนแห่พระเยซูดำ(Black Nazarene Procession)  คำว่านาซารีน(Nazarene)น่าจะมาจากนิกายนาซารีน ซึ่งถ้าผมไม่ผิดนิกายนาซารีนก็น่าจะมาจากพระเยซูชาวนาซาแล็ต(Jesus of Nazareth)ซึ่งมาจากทางอเมริกาซึ่งส่วนใหญ่นับถือนิกายโปรแตสแตนท์  รูปแกะสลักพระเยซูดำแบกกางเขนถูกนำเข้ามาในประเทศฟิลิปปินส์ในครั้งแรกโดยคณะนักบวชออกัสตินหรือนักบุญเอากุสติโน (ซึ่งเป็นนักบุญองค์อุปถัมป์ของบิดาผู้เขียนเอง) คณะนักบวชออกัสตินได้นำรูปแกะสลักพระเยซูดำซึ่งทำด้วยไม้สีดำโดยการขนส่งทางเรือจากประเทศแม็กซิโกและมาถึงประเทศฟิลิปปินส์ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ.1606 ตรงกับ พ.ศ.2149 ถ้าเทียบกับประเทศไทยเราก็น่าจะสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย เนื่องจากกรุงศรีอยุธยาสูญเสียเอกราชแก่พม่า 2 ครั้ง ครั้งแรกใน พ.ศ. 2112 สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงกู้เอกราชคืนมาได้ใน พ.ศ. 2127 และเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 ใน พ.ศ. 2310ต่อจากนั้น 7 เดือนสมเด็จพระเจ้าตากสินได้ทรงกอบกู้กรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 และทรงสถาปนากรุงธนบุรีเป็นเมืองหลวงพระเยซูดำได้ย้ายที่ประดิษฐานมาเรื่อยตามยุคสมัยจนสถานที่ปัจจุบันคือที่โบสถ์คาทอลิกชื่อเกียโป(Quiapo Church) ในเมืองเกียโป(Quiapo) ซึ่งเป็นเมืองเก่าของกรุงมะนิลาที่มีสภาพเศรษฐกิจไม่ดีนักและชาวบ้านยังดำรงชีพด้วยการทำหัตกรรมพื้นบ้าน  ทุก ๆ วันค่ำวันศุกร์ชาวคาทอลิกนับพันจะมาจุดเทียนในการสวดภาวนาวิวอนหน้ารูปแกะสลักพระเยซูดำ  แต่นั่นยังไม่เท่ากับเทศกาลที่น่าทึ่งและเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังศรัทธาของชาวคาทอลิกทั้งฟิลิปปินส์และทั่วโลกหลั่งไหลมาในเทศการแห่พระเยซูดำ



คนไทยเราเดินทางไปฟิลิปปินส์ ไม่ต้องขอวีซ่าเข้าประเทศ ครับ
ฟิลิปปินส์ (The Philippines) หรือชื่อทางการคือ สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ (Republic of the Philippines) เป็นประเทศที่ประกอบด้วยเกาะจำนวน 7,107 เกาะ ตั้งอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก ห่างจากเอเชียแผ่นดินใหญ่ทางตะวันออกเฉียงใต้ ประมาณ 100 กม.และมีลักษณะพิเศษคือเป็นประเทศเพียงหนึ่งเดียวที่มีพรมแดนทางทะเลที่ติดต่อระหว่างกันยาวมากที่สุดในโลก นิวสเปน (พ.ศ. 2064-2441) และสหรัฐอเมริกา (พ.ศ. 2441-2489) ได้ครองฟิลิปปินส์เป็นอาณานิคมเป็นเวลา 4 ศตวรรษ และเป็นสองอิทธิพลใหญ่ที่สุดต่อวัฒนธรรมของฟิลิปปินส์

ประวัติศาสตร์
หลักฐานทางโบราณคดีและโบราณชีววิทยาบ่งบอกว่ามีมนุษย์โฮโมเซเปียนส์ เคยอาศัยอยู่ในเกาะปาลาวันตั้งแต่ประมาณ 50,000 ปีก่อน ชนเผ่าที่พูดภาษาในตระกูลออสโตรนีเซียได้เข้ามาตั้งรกรากในฟิลิปปินส์ และจัดตั้งเส้นทางเครือข่ายการค้ากับเอเชียอาคเนย์ส่วนที่เหลือทั้งหมดตั้งแต่ 5,000 ปีก่อนคริสตกาล
เฟอร์ดินันด์ มาเจลลันมาถึงหมู่เกาะฟิลิปปินส์ในปี ค.ศ. 1521 (พ.ศ. 2064) มีเกล โลเปซ เด เลกัสปี มาถึงฟิลิปปินส์ในปี ค.ศ. 1565 (พ.ศ. 2108) และตั้งชุมชนชาวสเปนขึ้น ซึ่งนำไปสู่การตั้งอาณานิคมในเวลาต่อมา หลังจากนั้น นักบวชศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกได้แปรศาสนาของชาวเกาะทั้งหมดให้หันมานับถือศาสนาคริสต์ ในช่วง 300 ปีนับจากนั้น กองทัพสเปนได้ต่อสู้กับเหตุการณ์กบฎต่าง ๆ มากมาย ทั้งจากชนพื้นเมืองและจากชาติอื่นที่พยายามเข้ามาครอบครองอาณานิคม ซึ่งได้แก่ อังกฤษ จีน ฮอลันดา ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น และโปรตุเกส สเปนสูญเสียไปมากที่สุดในช่วงที่อังกฤษเข้าครอบครองเมืองหลวงเป็นการชั่วคราวในช่วงสงครามเจ็ดปี (Seven Years' War) หมู่เกาะฟิลิปปินส์อยู่ใต้การปกครองของสเปนในฐานะอาณานิคมของสเปนใหม่ (New Spain) นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1565 (พ.ศ. 2108) ถึงปี ค.ศ. 1821 (พ.ศ. 2364) และนับจากนั้นฟิลิปปินส์ก็อยู่ใต้การปกครองของสเปนโดยตรง การเดินเรือมะนิลาแกลเลียน (Manila Galleon) จากฟิลิปปินส์ไปเม็กซิโก เริ่มต้นขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 16 และหมู่เกาะฟิลิปปินส์เปิดตัวเองเข้าสู่การค้าโลกในปี ค.ศ. 1834
การเมืองการปกครอง
ฟิลิปปินส์เคยตกเป็นอาณานิคมของสเปนและสหรัฐอเมริกา หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้รับเอกราชในวันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2489 จึงจัดการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย ตามแบบสหรัฐอเมริกา โดยมีประธานาธิบดีเป็นประมุขและเป็นหัวหน้าคณะผู้บริหารประเทศ
Republika ng Pilipinas สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ เรปูบลิกา นัง ปิลิปินัส
ธงชาติ 
คำขวัญประเทศ: Maka-Diyos, Makatao, Makakalikasan, at Makabansa
 (เพื่อพระเจ้า ประชาชน ธรรมชาติ และบ้านเมือง)
เมืองหลวง  มะนิลา
เพลงชาติ  Lupang Hinirang "ดินแดนที่ถูกเลือกสรร"
เมืองใหญ่สุด  เกซอนซิตี
ภาษาราชการ  ภาษาตากาล็อก และภาษาอังกฤษ
รัฐบาล  สาธารณรัฐเดี่ยวระบบประธานาธิบดี
ประธานาธิบดี กลอเรีย มากาลปาคาล อาโรโย
ได้รับเอกราช  จาก สเปน และ สหรัฐอเมริกา
ประกาศ  12 มิถุนายน พ.ศ. 2441
เป็นที่ยอมรับ  4 กรกฎาคม พ.ศ. 2489
รธน. ปัจจุบัน 25 มีนาคม พ.ศ. 2529
เนื้อที่   300,000 กม.² (อันดับที่ 72 ของโลก)  เป็นพี้นน้ำ0.6%
ประชากร  83,054,000 (อันดับที่ 13 ของโลก)
สกุลเงิน  เปโซฟิลิปปินส์ (PHP)
เขตเวลา  GMP+8 เร็วกว่าไทย 1 ชม.
รหัสโทรศัพท์ +63



Free TextEditor


รูปแกะสลักพระเยซูดำ(Black Nazarene) ถูกนำเข้ามาที่ประเทศฟิลิปปินส์โดยบาทหลวงนิกายเอากุสติน หรือที่คริสานิกชนไทยเรียกเอากุสติโน


ชาวฟิลิปปินส์ที่นับถือศาสนาคาทอลิกผู้มีจิตศรัทธาหลายคนร่วมพิธีเฉลิมฉลองในขบวนแห่พระรูปพระเยซูดำ(Black Nazarene) ซึ่งมีการฉลองทุกปีในวันที่ 9 ม.ค. ประชาชนล้นหลามไปทั่วเมืองเคียโป(Quiapo)ในกรุงมะนิลาประเทศฟิลิปปินส์


เรื่องของความเชื่อความศรัทธาในศาสนานั้นว่ากันไม่ได้ หลายคนยอมตายเพื่อศาสนาและความเชื่อของตนเอง แต่ชาวฟิลิปปินส์หลายหมื่นคนเข้าร่วมขบวนแห่เทศการพระเยซูดำที่ทำด้วยไม้มาอายุเก่าแก่กว่า 400 ปี และเป็นเทศกาลที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก


ประชาชนจำนวนมากเบียดเสียดกันเพื่อที่จะได้สัมผัสพระเยซูดำ ด้วยความเชื่อหลายสิ่ง เช่น การจะได้รับพร การเติมพลังให้กับชีวิต และเพื่อการไถ่โทษบาปที่ตนเองทำมาทั้งปี รวมถึงคนพิการและไม่สามารถเดินได้หวังหายจากโรคด้วยพระบุญญาธิการของพระเยซูดำ




 

Create Date : 23 ตุลาคม 2551    
Last Update : 9 กุมภาพันธ์ 2552 0:25:26 น.
Counter : 3242 Pageviews.  

1  2  3  4  

People_Trip
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




 


If you tremble with indignation at every injustice, then you are a comrade of mine. "ถ้าคุณตัวสั่นเทาด้วยความเดือดดาลทุกครั้งที่เห็นความอยุติธรรม ถ้าเช่นนั้นคุณคือสหายของเรา"






Free TextEditor
Friends' blogs
[Add People_Trip's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.