Group Blog
 
All blogs
 

Thailand Open 2006 Part I

ปีนี้เป็นปีที่ 4 แล้วที่ฉันไปดู ไทยแลนด์ โอเพ่น(สะสมบัตรติดต่อกันครบ 4 ปี BEC Tero จะมีรางวัลให้มั๊ยนะ) ซื้อบัตรดูเองด้วยนะ เรียกว่าพยายามสนับสนุนรายการแข่งขันเทนนิสที่คนไทยจัดแบบเต็มกำลังทรัพย์เลย วันลาที่เหลือเผื่อไว้ใช้ก็หมดพอดีๆ (ลาครึ่งวันบ่ายไป 4 วัน ดีนะช่วงนี้งานไม่เยอะ) แต่ก็เล่นเอาเกือบป่วยไปเลย เพราะตื่นเช้าไปทำงาน เที่ยงซิ่งไปเมืองทอง นั่งดูจนดึก แถมเจอฝนทุกวัน กลับบ้านต้องเอารูปใส่ space แบ่งปันเพื่อนประเทศอื่นๆที่ไม่ได้ดูการแข่งขันกว่าจะนอนบางวันตี 2 ทำไปได้เรา มาทบทวนซิว่าได้อะไรกลับมาบ้าง

วันอังคารที่ 26 วันแรกของการแข่งขันรอบ Main draw วันนี้เผื่อไว้เหมือนกัน เดาว่า Marat คงแข่งคู่ แต่นึกว่าลงตอนเย็นที่ไหนได้ ลงบ่าย เลยรีบยื่นใบลาเพิ่มเติม ดีเหมือนกันรายการตอนบ่ายน่าดูกว่าเยอะ ได้ดู ฟอร์ม Ginepri นิดนึง และดีนะที่ไป ไม่งั้นคงอดดู JC เป้นแน่แท้ ใจคอพี่จะไม่ตั้งใจเล่นซักนิดหรือไง ตกรอบแรกไปซะได้ โอเค วันนี้ Zverev เสริฟดีล่ะ แต่ถ้าพี่ตั้งใจเล่นกว่านี้คงไม่ต้องรีบกลับบ้านก่อนสุวรรณภูมิเปิดแน่ๆ
กลับไปที่เป้าหมายหลักของเรา คราวก่อน(ปี 2004) เราพลาดไม่ได้มาดู Marat แข่งคู่ ทั้งๆที่ลงคอร์ท 1 ซึ่งเราจะได้ดูแบบใกล้ชิดมากๆ คราวนี้เลยไปเฝ้าล่วงหน้า ที่นั่งในคอร์ท 1 เต็มเอี้ยด (อย่างว่าขณะนั้นเซ็นเตอร์ คอร์ทไม่มีการแข่งขันจนกว่าจะค่ำ) สาวๆมารอ นั่งหน้าแจ่มเป็นพืด (เราก็เป็นหนึ่งในนั้นนี่นา - -a) Marat นิสัยไม่ดีเลย ให้ Kohlmann และ Waske มารอตั้งพักใหญ่กว่าคุณชายจะส่งพ่อ Lopez เป็นทัพหน้ามารายงานตัว พอ Marat โผล่หน้ามาปุ๊บเสียงร้องกรี๊ดก็ดังสนั่น เรารอนานไปหน่อยกล้องเลยเข้า sleep mode ยกมาถ่ายตอนเดินไม่ทัน - - แม็ทนี้นึกว่าจะไม่ชนะซะแล้ว เพราะทางฝั่งเยอรมันดูจะเป็นมืออาชีพเล่นคู่มากว่าฝั่งสเปน (ขอเรียกตามภาษาที่เค้าใช้สื่อสาร) พลิกล็อกอย่างแรง ชนะไป 6:2, 6:4 ชนิดคนดูไม่ต้องลุ้นมาก พอแข่งเสร็จปุ๊บ ชาวประชาก็วิ่งกรูเกรียวชนิดประชิดตัว Marat เบียดเค้าจนตัวแทบแบนเพื่อนขอลายเซ็นต์ เห็นแล้วสงสาร เราเลยถอยออกกลับออกมา Tennis Magazine ฉบับเก่าปี 2000 ตอน Marat ได้แชมป์เลยว่างเปล่าต่อไป (จริงๆเกือบได้เหมือนกัน รอเป็นคิวถัดไป แต่ Marat หันไปทางอื่นก่อน สงสัยเห็นภาพในอดีตอันรุ่งเรืองของตัวเองเลยแสลงใจ เมินหนี )



ผลพลอยได้จากการมารอดู Marat คือการได้เจอ Tim Henman ชนิดยืนห่างไปไม่เกิน 15 ฟุต เผลอร้องกี๊ด กี๊ด กี๊ด (ร้องแบบนี้จริงๆนะ) ออกมาเบาๆ Tim ซ้อมอยู่ข้างๆคอร์ท 1 ใกล้มาก แต่กล้องเรามันซูมได้น้อยเต็มทน เสียดายจัง Tim ตัวจริงดูดีกว่าในทีวีมากมาย ทั้งสูง ทั้งหนา (กำลังดี) บุคลิกดี ซ้อมและคุยเล่นอย่างอารมณ์ดีกับนักกีฬาคนอื่น น่ารักจริงๆ ดูมา 4 ปี เจอมาทั้ง Roger Andy และ Marat ไม่มีใครทำให้ทึ่งได้ขนาดนี้ เล่นเอาคนฟอร์มจัดอย่างเราเก็บอาการไม่อยู่



กลับบ้านเร็วหน่อยวันนี้เพราะขี้เกียจดูคู่เย็น Ljubicic ไม่ใช่ JC ไม่ตกรอบแรกแน่ๆ ถึงปุ๊บก็โหลดรูปเข้า space ที่ MSN ทันที แล้วทำลิงก์ให้ที่เว็บ fansite ของ Marat ได้รับเสียงตอบรับดีมากเพราะวันนี้แข่งคอร์ทเล็กไม่มีช่างภาพอาชีพไปดู พวกเค้าเลยต้องอาศัยกล้องเรา เพื่อนๆต่างบ่นเรื่อง Marat ตัดผมแฮะ (ไอ้เรากลับไม่ได้นึกถึงเรื่องนี้) ร้องกันแต่ “I like curl hair.”, “I don’t like bold look.” แหมดูเรียบร้อยออก สะอาดดีด้วย



พุธ 27 : วันนี้มีแต่รายการน่าดูทั้งนั้น เริ่มด้วย Tim กับ Murray ตามด้วย Marat กับ Kevin Kim และจะไปให้กำลังใจดนัยต่อ ตอนเย็นตั้งใจจะดู Murray สองพี่น้องแล้วไปต่อที่ ภราดร VS Lopez กับคู่ James Blake
ดีใจมากที่ Tim ชนะ เฮ้อ ขนาด 2 เซ็ตรวด 6:2, 6:4 เรายังลุ้นแทบแย่ ยังต่อด้วยเด็กบ้า Marat ที่ยังคงเป็น Roller Coaster ไม่เปลี่ยนแปลง นั่งภาวนาให้วันนี้เส้นทางรถไฟเหาะอยู่และจบลงแบบสูงๆ อยากดูไปหลายๆแม็ท ในที่สุดก็ชนะจนได้ 2:6, 6:1, 6:4 เฮ้อ เอาเถอะแม็ทแรก เครื่องยังฝืด เซ็ตแรกก็ต้องจูนคอร์ท ซักหน่อย พรุ่งนี้ไม่เอาแล้วนะ



เพราะเด็กบ้าเล่นเพลงยาว เลยไปดูดนัยเผด็จศึกไม่ทัน รู้แต่ว่าชนะ 6:3, 6:0 แหมผลงานน่าประทับใจ ด้าน Jamie-Andy Murray แข่งกับ Ginepri-Dancevic ได้อย่างสูสีมากๆ ต้องตัดสินกันด้วยการดวล 10 แต้ม (ศัพท์ทางการเรียกอะไรนะ เดี๋ยวไปค้น) Ginepri เวลาใส่เสื้อมีแขนดูไม่ค่อยเป็นเค้าเท่าไหร่แฮะ ในที่สุดพี่น้อง Murray เฉือนชนะหวุดหวิดที่ 3:6, 7:6(7), 10:0 (ชอบตอนจบที่สองพี่น้องกอดกันจัง เสียดายถ่ายรูปไม่ทัน)




 

Create Date : 04 ตุลาคม 2549    
Last Update : 21 มกราคม 2550 0:43:10 น.
Counter : 555 Pageviews.  

Dennis Bergkamp, The Love of My Life

เดนนิสอาจไม่ใช่นักเตะที่คนดูบอลเป็นครั้งคราวหรือคนไม่เคยดูบอลจะรู้จักเหมือน ซีเนอร์ดีน ซีดาน หรือ โรนัลโด้
แต่ถ้าคุณเป็นแฟนบอลขนานแท้ล่ะก็ ชื่อนี้ไม่รู้จักไม่ได้แน่ๆ

เมื่อก่อนฉันจะดูบอล 4 ปีครั้งเท่านั้น
แต่ France 98 ทำให้ติด Premierleague ไม่สิ จริงๆแล้ว Dennis Bergkamp ต่างหากล่ะ
แน่นอนคนจำนวนมากติดใจ เดนนิสจากการยิงประตูทีมอาร์เจนตินาด้วยลีลาอันสุดยอด (ผ่านลูกโดย Frank De Boer) ฉันก็เป็นหนึ่งในนั้น ประกอบกับที่บ้านเป็นแฟนทีมอาร์เซนอลมาหลายสิบปี ข้อมูลความยอดเยี่ยมของเดนนิส และวีรกรรมที่ทำให้เป็นกองหน้า ที่โดนใบแดงใบเหลืองนับไม่ถ้วน (IceBerg คนนี้ไม่ยักเย็นอย่างชื่อแฮะ) ก็ถูกถ่ายทอดลงสมอง

ช่างดูมีเสน่ห์ ทำให้ต้องลองดูบอลอังกฤษซักตั้ง

บอกความลับอย่างนึง อยู่บ้านฉันไม่เรียกเดนนิสหรือเบิร์กแค้มป์นะ เรียก "อาเฮีย" หรือ "ตั้วเฮีย" (เดนนิสได้ยินคงงงงง) เพราะตอนอยู่ในสนาม ถ้าเพื่อนถูกฝ่ายตรงข้ามเหยียบแล้วไม่ได้รับความยุติธรรม กองหน้าอย่างเดนนิสจะเข้าแก้แค้นแทนเพื่อน โดยเฉพาะเพื่อนรุ่นน้องอยู่เนืองๆ (อย่างว่าปี 98 เค้าก็อายุไม่น้อยแล้วจะอ่อนกว่าก็แต่ 4ผู้เฒ่ากองหลังของทีมเท่านั้น)
เหมือนจะบอกว่า "เด็กๆน้องๆข้า ใครห้ามแตะ" ฉันเลยแซวว่าทำตัวเป็นพี่ใหญ่แฮะ เรียกไปเรียกมาจนติดปากมา 8 ปี
Marc Overmars ซี้ปึกเค้าเลยเป็น "ยี่เฮีย" ในบ้านข้าพเจ้าไปอีกคน

ตอนนั้น คลั่งทีมมากๆ ใช้เวลาไม่กี่เดือนทำความรู้จักกับทีมและลีกไม่ว่าอาร์เซนอลจะแข่งแม็ทเล็กแม็ทใหญ่แค่ไหน ขอเพียงถ่ายทอดสด ตี 2 ตี 3 ก็จะตื่นมาดู ความชอบฟุตบอลจริงจังขึ้น จากเดิมที่รู้จักเดวิด เบคแฮมเพราะเป็นแฟนของพอร์ช สไปซ์ ก็กลายเป็นรู้จักวิกตอเรีย เบคแฮม ในนามภรรยาของนักเตะแมนยูผู้โด่งดัง

ฉันเฝ้าดูทีมอาร์เซนอล จากทีมที่มีกองหลังแข็งแกร่งที่สุดในลีก มีกองหน้าเร็วปานจรวดอย่างนิโคลา อาเนลกา มีตัวใต่เส้นดีๆอย่างมาร์ค โอเวอร์มาร์ส ลูกส่งทะลุช่องไปยังจุดนัดพบ เครื่องหมายการค้าของทีม ค่อยๆเปลี่ยนเป็นกองหลังที่ด้อยลงบ้าง แต่มีทีมเวิร์คและทีมบุกที่น่าดูที่สุด และกองหน้าที่คมที่สุดอย่างเทียรี่ อองรีในพรีเมียร์ลีก ในปี 2002
ก่อนที่สมาชิกดังๆในทีมจะหมุนเปลี่ยนออกไป จนปีนี้อาร์เซนอลใช้ผู้เล่นเด็กๆอย่างเชส ฟาบิกัส หรือ ฟาน เปอร์ซี พาทีมเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศใน UEFA Champion League
แน่นอนเดนนิสอยู่เคียงข้างทีมตลอดมา

ฉันนึกว่าเดนนิสคงจะเลิกเล่นไปตั้งแต่หลายปีก่อน หลังจากที่ประกาศเลิกเล่นทีมชาติฮอลแลนด์อย่างเป็นทางการหลังบอล EURO 2000 ที่เบลเยี่ยม-ฮอลแลนด์เป็นเจ้าภาพ ก็แหม บอลโลกปี 2002 จัดตั้งไกลถึง เกาหลีใต้-ญี่ปุ่น กว่าเดนนิสจะนั่งเรือ หรือรถไฟไปถึง คงเหนื่อยเกินไปสำหรับ Non-Flying Dutchman คนนี้

แม้จะแอบภาวนา แต่ไม่เคยมั่นใจว่าเดนนิสจะอยู่กับอาร์เซนอลจนครบ 10 ปี

ไม่นึกว่าปีที่ 11จะมาถึง และไม่นึกว่าเดนนิสจะได้รับเกียรติอันยิ่งใหญ่จากทีม และผู้คนรอบข้างมากขนาดนี้ ใน "Dennis Bergkamp Testimonial Match" เมื่อคืนวันเสาร์ที่ 22 กรกฎาคมที่ผ่านมา
แม็ทเกียรติยศของเดนนิสเป็นแม็ทแรก แม็ทเปิดสนาม Emiretes Stadiam สนามใหม่เอี่ยมของทีมอาร์เซนอล ที่จะเริ่มใช้อย่างเป็นทางการในฤดูกาล 2006-2007
งานนี้สำหรับแฟนของทีมอาร์เซนอลเพียง 8 ปี อย่างฉัน เหมือนเป็นการทบทวนความทรงจำครั้งใหญ่ เพราะอดีตสมาชิกในทีมที่มาร่วมลงเล่นล้วนเป็นคนคุ้นหน้าของฉันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นประตูจอมเก๋าอย่างซีแมน กองหลังอย่างดิกซั่น คีโอน โบวด์ วินเทอร์เบิร์น หรือคู่กลางสุดเท่ห์อย่างเปอร์ตี เวียร่า กองหน้าคู่หูของเดนนิสอย่างเอียนไรท์ หรืออองรี ยังไม่ลืมพาร์เลอร์ เอดู คานู กรีมองดี ยูชนี่ ฟาน บรองฮอสท์ แมนนิงเกอร์ และเกลน เฮลเดอร์ รวมถึงเด็กเยาวชนของทีมที่มาลงแข่งในครึ่งแรก และคนที่ชั้นรอคอย มาร์ค โอเวอร์มาร์ส



ที่ทำให้แม็ทนี้คลาสสิคกว่าเดิมคงเป็นเพราะทีมที่มาร่วมเป็นเกียรติกับเดนนิสคือ Ajax Amsterdam ทีมที่สร้างพื้นฐานอันยอดเยี่ยมและพัฒนาทักษะอันสุดยอดให้เดนนิส ผู้เล่นฝ่าย Ajax ไม่ได้น้อยหน้าทีมอาร์เซนอลเลย หลายคนเป็นเพื่อนร่วมทีมกับเดนนิสมาตั้งแต่ครั้งโบราณ ไม่ว่าจะเป็นสองฝาแฝด แฟรงก์และโรนัลด์ เดอบัวร์ เอดก้าร์ ดาวิด เอดวิน ฟานเดอซาร์ (ที่ยอมโดดแม็ทอุ่นเครื่องของแมนยูเพื่อเดนนิส) วิม ยอง ยาฟ สตัมป์ อารอน วินเทอร์



และที่ถือว่าเป็นเกียรติแก่เดนนิสที่สุด คือเป็นการลงเล่นของระดับตำนานอย่างโยฮัน ครัฟท์ มาโก แวน บาสเท่น และ แฟรงก์ ไรการ์ด คงไม่มีใครนึกฝันว่าจะได้เห็นการลีลาอันสุดยอดของครัฟท์ในวัย 59 ปีอีกครั้ง



ฉันว่าเดนนิสของฉันคงไม่มีวันลืมวันนี้ไปจนชั่วชีวิต
วันที่ใครๆ ที่รัก และชื่นชมเดนนิสมารวมตัวกัน เพื่อร่วมร่ำลาชีวิตนักฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่
รับรองว่าฉันจะไม่มีวันลืมวันนี้ และไม่มีวันลืม "เดนนิส เบิร์กแค้มป์" เช่นกัน

For The Love of My Life...Dennis Bergkamp






 

Create Date : 24 กรกฎาคม 2549    
Last Update : 24 กรกฎาคม 2549 13:01:54 น.
Counter : 1026 Pageviews.  

WM2006, Finale in Berlin

ใช่แล้ว เรากำลังพูดถึงการแข่งขันที่ตอนนี้ทุกคนทุ่มความสนใจให้อยู่ เพียงแต่เราเรียกแบบเยอรมัน Weltmeisterschaft

วางแผนมานานกว่า 4 ปี ที่จะไปเชียร์ทีมรักของเรา "เยอรมัน" กับคนเยอรมัน ที่เยอรมัน ทั้งเราทั้งทีมอยู่บนแผ่นดินเดียวกัน...แผ่นดินเยอรมัน

และแล้วความตั้งใจของเราก็เป็นจริง เราเหยียบมิวนิคเพียงหนึ่งวันก่อนแม็ทเปิดสนาม แมเรียนพลาสท์ จตุรัสชื่อดังของเมืองมิวนิคคราคร่ำไปด้วยแฟนๆนานาๆชาติ ที่แต่งตัวสีสันจัดจ้านสุดใจมานำร่องอาการบอลโลกฟีเวอร์ วันรุ่งขึ้น วันแข่งขันจริงแฟนๆคึกคักมากกว่าเดิม ใส่เสื้อทีมของตนออกจากบ้านแต่เช้าไปเป็นกลุ่มๆ ตะโกนทักทายกันด้วยเพลงเชียร์ประจำชาติที่เราฟังไม่รู้เรื่อง สตาร์ทกันแต่หัววันขนาดนั้น เดี๋ยวเวลาจริงก็หมดแรงพอดี แต่ไม่แฮะ ยิ่งเย็นยิ่งคึก โดยเฉพาะก่อนแข่งประมาณ 1 ชั่วโมง เราพยายามแทรกตัวเข้าไปใน U-Bahn ท่ามกลางแฟนๆที่มุ่งหน้าไปโอลิมเปีย สเตเดียม (เค้าเปิดการแข่งขันกันที่อไลแอนซ์ สเตเดียม แต่ที่นี่มีทีวีจอยักษ์ให้เข้าไปเชียร์ได้) แออัดยัดทะนานเต็มตู้รถไฟ เราถูกอัดติดประตูพอดี ชาวมิวนิคร้องเพลงชนิด Non-Stop มิหนำซ้ำยังกระโดดตึงๆๆอยู่บนรถไฟอีกต่างหาก แสนจะสนุกและมันส์จริงๆ อยากร้องตามแต่เสียดายที่ร้องไม่เป็น กว่าจะมาถึงสเตเดียมได้แสนยาก กลับต้องพบว่าคนเต็มสนามแล้วและปิดไม่ให้เข้าเพิ่มจึงต้องสลายตัวไปหาที่ดูใหม่ เชอะ ไปแมเรียนพลาสท์ก็ได้ เมื่อวานเห็นตั้งทีวีจอใหญ่พอตัว แต่เฮ้ย เก็บหมดเกลี้ยงเลยทั้งเวทีและทีวี (สันนิษฐานว่ากำลังตำรวจไม่พอ จึงไม่อยากจัดที่ชุมนุมเป็นเป้าใหญ่) โธ่ แล้วชั้นจะไปดูที่ไหนเนี่ย อีก 10 นาทีเองนะ รีบดิ่งกลับไปแถวที่พักซึ่งเป็นย่านที่มีผับมากมาย โชคดีทันฟังเพลงชาติเยอรมันพอดี(วู๊ว) ร้านสองข้างทางของถนนต่างตั้งทีวีเป็นจุดๆ โต๊ะหน้าทีวีต่างถูกจับจองจนหมด เราได้แต่ยืนดูหลังแนวโต๊ะพร้อมกับหลบจักรยานที่ผ่านไปผ่านมา(เลนริมฟุตบาทเค้าจะจัดเป็นทางของรถจักรยาน) 90 นาทีเต็ม


ที่ยืนลุ้นเยอรมันที่รัก เดี๋ยวนำ เดี๋ยวเสมอ จนชนะด้วยสกอร์ 4:2 เย่ๆๆๆๆ เย้ๆๆๆๆๆ ไม่มีอะไรจะสนุกไปกว่านี้อีกแล้ว ชาวเมืองที่อยู่สองด้านของถนน ต่างลงมายึดทางเดินรถจนหมด ธงชาติสีดำ แดง เหลืองปลิวไสวตลอดถนน ยาวไปถึงแมเรียนพลาสท์(ระยะประมาณสยามไปถนนวิทยุ) คนขับก็ดูจะรู้หน้าที่ รถที่ออกมาวิ่งส่วนใหญ่จะเป็นแฟนบอลที่นั่งมาเต็มคันรถ ไขกระจกลง โบกธง ตะโกนและกดแตรทักทายคนอื่นๆ ไม่รู้จะบรรยายความสนุกและความดีใจยังไงให้ทุกคนเข้าใจเราได้ แค่สองวันที่เยอรมัน เราก็รู้สึกคุ้มค่าตั๋วเครื่องบินแล้ว




แฟนๆทีมอื่นไม่ต้องเสียใจ ใช่แต่เยอรมันที่เราไปเชียร์ หลายวันต่อมาเราก็ร่อนเร่มาถึงเบอร์ลิน ให้บังเอิญเป็นวันที่บราซิลลงสนามเป็นแม็ทแรก ทั้งเมืองถูกแทนที่ด้วยสีเขียวเหลืองหรือตาหมากรุกแดง (ค่อนไปทางอย่างแรกมากกว่า) สาวๆแซมบ้าแต่งตัวกันสุดฤทธิ์ ธงชาติบราซิลเต็มท้องถนนจนชักสงสัยว่าข้าพเจ้าอยู่ในเบอร์ลินหรืออยู่ในเซาเ ปาโลกันแน่


กองเชียร์โครแอ็ตที่นี่ก็มีไม่น้อยแซมเป็นกลุ่มใหญ่ๆ จุดเชียร์ของเบอร์ลินอยู่หลังประตูบรานเดนเบิร์ก ซึ่งปิดถนนตลอดแนวเพื่อจัดเป็นลานให้แฟนๆมาร่วมชมทีวีจอยักษ์(มาก)หลายจอ จอหน้าสุดจะมีเวทีใต้จอด้วย คนจะไปออกันแน่นมาก ยิ่งวันนี้นะ แทบเกิดการจลาจลเลย ธงชาติของบราซิลออกจะวาดได้ยาก ถ้าเปรียบทียบกับตอนที่วาดธงชาติเยอรมันบนแก้มของตัวเองเมื่อหลายวันก่อน มิน่าตามร้านถึงมีสติกเกอร์ขาย ใช่แล้วที่นี่จะมีร้านขายอุปกรณ์เชียร์สารพัดรูปแบบ ทั้งหมวกแบบมีเขา มีเปีย(ของสวีเดนน่ารักมากๆ เปียสีน้ำเงินเหลือง) มีพู่ หรือปลายแหลม หรือวิกหลากชนิด ผมหยิก ผมตรง ทรงโมฮอว์ก สีระบายหน้าก็มีทั้งแบบจานสี แบบแท่ง ถ้าเป็นธงชาติชนิดแถบสีธรรมดาจะมีแบบวาดทีเดียวได้ครบทุกสีเลย หรือแบบสติกเกอร์สำหรับประเทศวาดยากๆ นี่ยังไม่รวมพวก ที่คาดผม แตร ธงหรือแม้แต่ต่างหูแบบต่างๆนะ แหมถ้านักกีฬาอาชีพของไทยเรารุ่งๆ น่าจะมีร้านขายของแบบนี้แถวๆสยามบ้าง ท่าจะขายดี

อ้อๆ ยังไม่หมด เราได้ไปเชียร์พวกพี่วีด้วย อิอิ สวีเดนไง (อยู่โน่นไม่กล้าเรียกชื่อประเทศพวกนี้ตรงๆ เดี๋ยวเค้ารู้ว่าเราพาดพิง ต้องใช้โค๊ดลับ) วันก่อนที่คนแต่งตัวเป็นบราซิลเยอะ คาดว่ามีคนเยอรมันร่วมแจมไม่น้อย แต่วันนี้ซิ คนสวีเดนเพียวๆ สังเกตได้จากรูปร่างหน้าตา (ก็เดินทัพเข้ามาเดินในเบอร์ลินล่วงหน้าหลายวันแล้วนี่ ใส่เสื้อ Sverige เดินไปมาทั่งเบอร์ลิน ไม่รู้ตัวเดิมรึเปล่า) ผมทองตาสีฟ้า ทั้งสวยทั้งหล่อเต็มลานเชียร์ ไม่น่าเชื่อว่าจะมีชาวสวีเดนที่นี่เยอะขนาดนี้แทบมองไม่เห็นชาวโปแลนด์คู่แข่งเลย เค้ามีร้องเพลงโต้ตอบใส่กันด้วยนะ เก๋ซะแม็ทนี้ยิ่งดูยิ่งเครียด ก็ยิงยังไงไม่เป็นประตูเลย แถมกองหลังหลวมมาก คนดู ยิ่งเวลาผ่านไปยิ่งเงียบเสียง มีวูดูกันนิดหน่อย (ถ้าเป็นชาวเยอรมันจะวูดูตลอด ถ้าทีมได้เตะมุม กองเชียร์จะยื่นแขนไปข้างหน้าขยับนิ้วไปมา และพึมพำคาถา วูวู เพื่อให้ทีมยิงได้ แต่สงสัยคาถาไม่ศักดิ์สิทธิ์ เพราะไม่เห็นเยอรมันจะทำประตูจากลูกตั้งเตะได้สักที) จนใกล้หมดเวลาเฟรดดี้ ลุงเบิร์กก็ยิงประตูชัยให้สวีเดนชนะโปแลนด์ไป 1:0 แฟนๆส่งเสียงยินดีกันกระหึ่มอีกครั้ง มีการสาดเบียร์ขึ้นฟ้าหลายแก้ว สนุกจัง




น่าเสียดายที่กว่าแต่ละแม็ทจะจบฟ้าก็มืดแล้ว (5 ทุ่มแล้วนี่ แต่ชอบหน้าร้อนประเทศซีกโลกบนจัง เริ่มแข่ง 3 ทุ่ม ฟ้ายังสว่างมีแดดรำไรอยู่เลย คนเส้นศูนย์สูตรอย่างเรา อดตื่นเต้นไม่ได้) กล้องดิจิตอลของเราเลยเก็บภาพได้ไม่ชัด ไม่งั้นชาวเราคงได้เห็นบรรยากาศความดีใจ (แทบบ้า) กัน

สวีเดน : โปแลนด์ เป็นแม็ทสุดท้ายที่เราได้ดูที่เยอรมันก่อนต้องกลับมามันส์กับฟุตบอลโลกต่อที่กรุงเทพ ทริปนี้คงเป็นประสบการณ์ที่หาไม่ได้ง่ายๆ ทำให้เราได้สัมผัสความคลั่งไคล้ของแฟนบอลจากทั่วทุกมุมโลก ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของกองเชียร์ไม่ว่าจะชาติไหนๆ วินาทีนี้เราเชื่ออย่างหมดใจแล้วว่า ฟุตบอลเป็นกีฬาของมวลมนุษย์ชาติจริงๆ

แล้วมาคอยดูกันว่าใคร จะไปถึง FINALE IN BERLIN




 

Create Date : 24 มิถุนายน 2549    
Last Update : 26 มิถุนายน 2549 11:53:09 น.
Counter : 520 Pageviews.  

การกลับมาของ มาติน่า ฮิงกิส

หลังจากที่มาติน่าประกาศแขวนแร็กเก็ตเนื่องจากทนอาการบาดเจ็บจากการตกม้าไม่ไหว เมื่อเดือนตุลาคม 2002 นานกว่า 3 ปีแล้ว 3 ปีที่ฉันไม่สามารถตั้งใจดูเทนนิสหญิงได้อีกเลย แม้จะชอบคิม ไคลจ์สเตอร์ เอ็นดูมาเรีย ชาราโปวา แต่ไม่มีใครมีสไตล์การตีที่น่าติดใจเท่าฮิงกิสสักคน
แม้ลูกเสิร์ฟของเธอจะไม่ใช่จุดแข็ง แต่ความแม่นยำในการวางลูกที่สุดยอด กับเทคนิคการตีที่น่าประทับใจชนิดหาใครเทียบได้ยาก(โดยเฉพาะในยุคที่เทนนิสหญิงแข่งขันโดยใช้ความแข่งแกร่งของร่างกายมากขึ้น) จึงไม่น่าแปลกใจที่ฉันจะกระโดดตัวลอยด้วยความยินดีที่รู้ว่าฮิงกิสตัดสินลงแข่งขัน(อย่างจริงจัง)อีกครั้ง
มาติน่าจะประเดิมรายการแรกที่สนาม เมลเบิร์น พาร์ค กับ แกรนด์ สแลมที่เธอโปรดปรานและประสบความสำเร็จที่สุด "ออสเตรเลียน โอเพ่น" โดยจะร่วมการแข่งขันในฐานะ "ไวด์คาร์ด" (แน่ล่ะ จิงโจ้ 7 ตัว(ของแจกเฉพาะแชมป์รายการนี้) ที่บ้านเธอ คงบอกได้ว่าเธอคู่ควรกับสิทธิพิเศษนี้ขนาดไหน) ฉันหวังว่าก้าวแรกในการกลับมาของเธอจะไปได้ไกล แต่จะขนาดไหนนั้น เราคงต้องรอดู


มาตินา ฮิงกิสชนะเลิศ WTA Tour รวม 76 รายการ ทั้งประเภทเดี่ยวและคู่ ในจำนวนนี้เป็นการแข่งขันแกรนด์สแลม 14 รายการ เธอยังคงเป็นเจ้าของสถิติมือวางอันดับหนึ่งที่อายุน้อยที่สุดในโลก (16 ปี 6 เดือน) เป็น 1 ใน 5 นักเทนนิสหญิงที่สามารถครองตำแหน่งมือวางอันดับหนึ่งของโลกทั้งประเภทเดี่ยวและคู่ในเวลาเดียวกัน (โดยรักษาตำแหน่งนี้ได้ถึง 35 สัปดาห์ติดต่อกัน ระหว่าง มิถุนายน 1998 ถึง มีนาคม 2000) และเธอยังครองตำแหน่งนักเทนนิสหญิงที่ได้รับเงินรางวัลสะสมจากการแข่งขันสูงสุดเป็นอันดับ 3 ($18,345,825) รองจากสเตฟฟี่ กราฟ และมาติน่า นาฟราติโลว่า




 

Create Date : 14 ธันวาคม 2548    
Last Update : 4 กุมภาพันธ์ 2549 21:40:30 น.
Counter : 800 Pageviews.  


Nusantara
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




อยากรู้ว่าชื่ออ่านยังไงล่ะซิ
สารภาพว่าไม่รู้เหมือนกัน ออกเสียงประมาณ "นุ-สัน-ตา-ร่า" ทำนองนี้ล่ะ มันไม่ใช่ภาษาไทย ไปขโมยมาจากประเทศเพื่อนบ้านทางใต้ของเรา เพราะชอบ และเป็นคำที่ไพเราะดี
ค้นดูแล้ว คำว่า Nusantara แปลว่า the territories of Indonesia ถ้าใครรู้เพิ่มเติมก็ช่วยบอกด้วยนะ

Friends' blogs
[Add Nusantara's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.