Group Blog
 
All blogs
 

กลิ่นแก้วกลางใจ ตอนที่ 6


ก ลิ่ น แ ก้ ว ก ล า ง ใ จ


บทประพันธ์ นันทวรรณ รุ่งวงศ์พาณิชย์
กมลชนก ยวดยง เรียบเรียงจากบทโทรทัศน์



ตอนที่ 6



ผ้าม่านเนื้อดีบางเบาสีขาวถูกรวบไปด้านหนึ่ง แสงแดดที่ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาทำให้พระพายมองเห็นบรรยากาศภายในห้องได้ชัดเจนขึ้น ผ้าปูเตียงสีขาวสลับด้วยลายดอกไม้สีชมพูเล็กๆ ทำให้ห้องนี้ดูสวยหวาน สมเป็นห้องนอนของผู้หญิง พระพายยิ้ม เกิดความประทับใจในห้องนี้ขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล

“ห้องนี้สวยจัง สีหวานยังกับห้องของเด็กผู้หญิง”
แต้มที่ถือกระเป๋าเดินมาส่งพระพายที่ห้อง มองหน้าเธออย่างแปลกใจ

“ อ้าว คุณไม่เคยมาหรือครับ ไหนใครบอกว่านี่เป็นบ้านคุณ”
“บ้านฉัน?” พระพายงง ลืมไปว่าตอนนี้ตนคืออาโป

“ครับ…ก็บ้านของคุณอาโป”
พระพายนึกได้ รีบบอกทันที
“อ้อจ๊ะ บ้านคุณอาโป … คุณอาโปก็ฉันเอง” พระพายตอบ พลางหัวเราะเจื่อนๆกลบเกลื่อน

แต้มมองพระพายด้วยสายตางงๆก่อนจะออกไป พระพายถอนใจ เธอต้องอยู่ที่บ้านหลังนี้อีกนานเท่าใดหนอ...พระพายหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาจะโทรหาอาโปแต่ก็ไม่มีสัญญาณ นี่เธอถูกตัดขาดจากโลกภายนอกจริงๆหรือ....

เธอกวาดสายตาไปรอบๆห้อง แล้วก็ต้องไปหยุดที่รูปวาดฝีมืออรชุน เป็นรูปชายหนุ่มและเด็กหญิงตัวเล็กๆเล่นก่อปราสาททรายร่วมกัน
“ พ่อกับลูก...”

พระพายมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกผูกพัน สีหน้าขมวดยุ่งผ่อนคลายลง เธอค่อยๆเอื้อมมือไปสัมผัสที่รูปนั้นอย่างแผ่วเบา พระพายหารู้ไม่ว่าแท้จริงแล้ว บ้านกลิ่นแก้วคือบ้านที่อรชุนสร้างไว้ให้จิตตาและลูก เขาตัดสิ้นใจสร้างมันขึ้น เมื่อแปดปีก่อนหลังจากจิตตาตัดสินใจพาลูกน้อยกลับไปใช้ชีวิตที่ต่างประเทศ

ทุกอณูของบ้านสีขาวหลังนี้จึงสร้างขึ้นด้วยความรัก ความคิดถึงที่อรชุนมีต่อจิตตาและลูก
เป็นบ้านในฝัน ที่พวกเขาสามคนพ่อแม่ลูก ... ไม่มีโอกาสได้อยู่ร่วมกันในชีวิตจริง !

ที่สวนหลังบ้าน อรชุนปลูกต้นแก้วไว้เป็นซุ้มเคียงคู่กันสองซุ้ม อรชุนและจิตตามีสัญญาใจต่อกันว่า ถ้าใครคนหนึ่งตายไป อีกคนต้องเอาเถ้ากระดูกมาฝังไว้ที่ใต้ต้นแก้ว แม้ไม่อยู่ด้วยกันในชาตินี้ เขาและเธอจะไม่ยอมแยกจากกันในชาติอื่นๆ !

ไม่มีใครรู้ประวัติของบ้านกลิ่นแก้วนี้นอกจากจิตตาเพียงคนเดียวเท่านั้น และห้องที่พระพายเข้ามาอยู่นี้ก็คือห้องที่อรชุนสร้างไว้ให้กับลูกสาวของตน....นั่นก็คือพระพาย

อรชุนใช้การวาดภาพเป็นการระบายความคิดถึงจิตตาและลูก วันหนึ่งที่เขาคิดถึงลูกรักสุดหัวใจ เขาจินตนาการว่าได้เล่นก่อปราสาททรายกับลูกสาวตัวน้อยบนชายหาดหน้าบ้านหลังนี้จริงๆ แต่เมื่อมันเป็นได้เพียงจินตนาการ อรชุนมองหาดทรายขาวที่ว่างเปล่าอย่างเศร้าใจ เขาค่อยๆจรดปากกาเขียนคำจารึกไว้ที่ภาพวาด

“เม็ดทรายทั้งหาด ลูกนับได้ไหม...ความคิดถึงที่พ่อมีให้ มากกว่าเม็ดทรายทั้งหมดที่มี...
รักและคิดถึงลูกทุกวันเวลา....พ่อ”

พระพายอ่านข้อความที่อยู่บนภาพนั้นด้วยความรู้สึกซาบซึ้ง และอบอุ่นใจอย่างประหลาด คงเป็นเพราะสายใยความเป็นพ่อ-ลูกนั่นเอง แต่เธอไม่มีทางรู้ ตราบใดที่ไม่เคยรู้ประวัติที่แท้จริงของตนเอง

“ใครกันนะ ไม่ลงชื่อ ...คุณคงรักลูกมากเลยนะคะ พระพายอยากรู้จังว่าคุณเป็นใคร”

พระพายอดที่จะเก็บความสงสัยเรื่องที่มาของบ้านกลิ่นแก้วไม่ได้ เธอรู้สึกว่าบ้านหลังนี้มีเสน่ห์อะไรบางอย่างที่ชวนให้ค้นหา พระพายจึงไปสอบถามที่ของบ้านกับถวิลซึ่งเป็นคนจากหมู่บ้านชาวประมงที่มารับจ้างดูแลบ้านกลิ่นแก้ว

“หวินไม่เคยเห็นหน้าเจ้าของบ้านหลังนี้หรอกฮะ แต่คนที่หมู่บ้านหวินน่ะ เล่าว่าบ้านหลังนี้สร้างขึ้นโดยชายลึกลับคนหนึ่งที่มาจากกรุงเทพ ไม่รู้ว่าหนีหนี้หรือมีเรื่องอะไรรึเปล่าถึงต้องหนีมาไกลถึงขนาดนี้”

สาวหล่อว่าไปนั่น
“สร้างบ้านเสียใหญ่โตสวยงาม แต่ก็แปลก ไม่ยักมีใครมาอยู่สักคน จะมีแต่ชายลึกลับคนนั้นคนเดียวแหละฮะ”
“ทำไมไม่มีใครมากับเขาล่ะ”

“พวกผู้ใหญ่บอกหวินว่า เขาชอบเดินสำรวจรอบบ้านอยู่คนเดียว หรือบางวันก็นั่งมองทะเลตั้งแต่เช้าจรดเย็น บางคนบอกว่าเขากำลังรอเมียและลูกที่สัญญาว่าจะเดินทางมาหา แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครมาหาเขาสักคน”

พระพายถอนใจเศร้ากับสิ่งที่ได้ฟัง
“น่าสงสารจัง...มิน่าล่ะเขาถึงเขียนกลอนแบบนั้น” พระพายพูดประโยคหลังกับตัวเองถวิลจึงไม่ได้ยิน

ถวิลมองซ้ายมองขวาเลิ่กลั่ก ก่อนจะกระซิบถามพระพายอย่างตื่นเต้น
“แต่คุณรู้ไหม มีมุมหนึ่งในบ้านหลังนี้ที่...น่ากลัวสุดยอดเลยฮะ.... คุณอยากดูไหม?”

ซุ้มต้นแก้วที่ใบแก้วเขียวสดตัดกับสีขาวของดอกแก้วที่ออกดอกบานสะพรั่ง ทำให้พระ
พายอดที่จะยิ้มชื่นชมกับภาพตรงหน้ามิได้ ผิดกับถวิลที่เอาแต่มองรอบตัวตลอดเวลาอย่างหวาดระแวง

“ตรงนี้แหล่ะฮะ “ หล่อนกระซิบบอกพระพาย
“สวยจัง ดูสิ ดอกแก้วบานสะพรั่งเลย”

พระพายทำท่าจะเดินเข้าไปชื่นชมความงามของซุ้มต้นแก้วนี้ใกล้ๆ แต่ก็ถูกถวิลดึงตัวกลับไป

“โอ้ คุณหนูอย่าเข้าไปใกล้ฮะ “
ถวิลเล่าต่อด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“ต้นไม้สองต้นนี้แหล่ะฮะที่เขาว่ากันว่ามีคนเอาเถ้ากระดูกชายลึกลับคนนั้นมาโปรยไว้”
พระพายงง

“หมายความว่าผู้ชายคนนั้นตายไปแล้วหรือ” พระพายขมวดคิ้ว สงสัย คิดในใจ
“ชักสงสัยแล้วสิ ผู้ชายคนนั้นเกี่ยวอะไรกับคุณหญิงจิตตา”

“พอตกดึกนะฮะ ชอบมีคนเห็นร่างขาวๆเดินท่อมๆอยู่แถวนี้ อูย...พูดแล้วขนลุก แมนอย่างหวินยังไม่กล้ามาแถวนี้เลยฮะ”

ถวิลพูดไปก็ทำท่าขนลุกไป พระพายมองแล้วขำ ได้แต่กลั้นยิ้ม เธอไม่กลัวในสิ่งที่ถวิลเล่าสักนิด อาจเป็นเพราะสายสัมพันธ์ความเป็นพ่อลูกที่ทำให้พระพายเดินเข้าไปใกล้ๆซุ้มต้นแก้วนั้นราวกับถูกมนต์ขลัง ถวิลเลิ่กลั่ก จะตามเข้าไปก็ไม่กล้า ได้แต่กวักมือเรียกให้กลับมา

“โธ่...คุณอาโป ออกมาเถอะ “
พระพายทำเฉย เธอไม่ใช่อาโปสักหน่อย และอีกอย่าง ตรงนี้ก็ไม่น่ากลัวสักนิด

ทันทีที่พระพายเอื้อมมือไปแตะดอกแก้วก็เกิดลมวูบหนึ่งพัดมา พาเอาดอกแก้วโชยปลิวไปทั่วบริเวณ
ถวิลหน้าตื่น ใจไม่ดี “เฮ้ย ลมอะไรวะ”

แต่พระพายไม่รู้สึกกลัวสักนิด เธอกลับรู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด พระพายสูดกลิ่นหอมของดอกแก้วอย่างสุขใจ พระพายอธิษฐาน
“ถ้ามีเถ้ากระดูกที่โปรยอยู่ตรงนี้จริงๆ ขอให้ท่านคุ้มครองพระพาย ขอให้พระพายผ่านเรื่องเลวร้ายในชีวิตไปได้อย่างตลอดรอดฝั่งนะคะ”

พระพายนั่งมองดอกแก้วที่อยู่รอบๆตัวอย่างมีความสุข ในเวลานี้ ที่สวนหย่อมในอาณาเขตสุรเยนทร์ จิตตากำลังยืนมองต้นแก้วที่ออกดอกสะพรั่งอยู่เช่นกัน

“พี่อรชุนพบลูกแล้วใช่ไหมคะ ลูก...กลับไปบ้านของเราแล้วนะ”

สองพ่อลูกได้พบกัน...ตามที่จิตตาคาดไว้แล้วจริงๆ เรื่องเถ้ากระดูกใต้ซุ้มกลิ่นแก้วที่ถวิลเล่ามิใช่เพียงแค่ตำนาน เพราะเมื่ออรชุนตาย จิตตาได้จ้างคนไปแอบสับเปลี่ยนโถอัฐิของอรชุนในวันเผาศพ และนำอัฐิทั้งหมดไปโปรยไว้ใต้ซุ้มดอกแก้วจริงๆ

จิตตาคิดถึงทั้งพ่อ ทั้งลูกจับใจ
“ จิตตาฝากลูกด้วยนะคะ แล้ววันหนึ่งจิตตาจะตามไป...”

----------------------------------------------------------------------

“เซอร์ไพร้ส ! “
เสียงของจอนนี่ดังขึ้นอย่างเริงร่า เจ้าของเสียงที่ว่าขับรถสปอร์ตหรูสีดำ ราคาแพงลิบลับเลี้ยวเข้ามาหาอาโปที่ใต้ตึกคอนโดหรูกลางเมืองพัทยาที่อาโปใช้เป็นรังรักกับจอนนี่

อาโปเห็นรถแล้วกรี๊ดสนั่น
“ว้าว รถสวยจัง รถใครคะ”
“ผมซื้อให้อาโป”

“เงินคุณหรือ “ แสงที่ติดตามอาโปมาด้วยรีบถาม เพราะตั้งแต่หนีมาอยู่ที่นี่ จอนนี่ไม่เคยออกค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น แถมอาโปยังให้สิทธิ์จอนนี่ในการถือกระเป๋าเงินให้อีกต่างหาก

จอนนี่หยิบบัตรเครดิตคืนให้อาโป
“ผมซื้อให้อาโปนะ ซื้อให้อาโปก็ต้องเงินอาโปสิครับ”

จอนนี่หมายความอย่างนั้นจริงๆ ซื้อให้ ไม่ได้บอกว่าจะออกเงินให้สักหน่อย แสงไม่พอใจเป็นอย่างมากที่จอนนี่เอาเงินอาโปไปซื้อของสุรุ่ยสุร่าย แต่อาโปกลับไม่คิดอย่างนั้น หล่อนโผกระโดดกอดจอนนี่อย่างดีใจ

“จอนนี่ดีกับอาโปจังเลย รู้ใจอาโปไปหมด”
แสงอยากจะโต้แย้ง แต่ก็ถูกอาโปลากขึ้นรถไปเสียก่อน
“ ไปค่ะนม ไปเที่ยวกัน”

ระหว่างทาง นมแสงหน้าเครียด คิดจะเตือนอาโปเรื่องการใช้จ่าย เพราะคิดว่าจอนนี่เหมือนจะมาปอกลอกจากอาโปท่าเดียว แต่เมื่อนมแสงพูดไปแล้ว อาโปทำหน้าเหวอ...เหมือนได้ฟังเรื่องสิ่งประหลาดนอกโลก

“คุมรายจ่าย นมแสงหมายถึงคำนี้จริงๆหรือ คุมรายจ่ายเนี่ยนะ”
“คุณหนูทำเหมือนไม่เข้าใจภาษาไทยคำนี้ คืออย่างนี้นะคะ…”

นมแสงตั้งท่าจะอธิบาย แต่ก็ถูกอาโปตัดบท
“ไม่ใช่ไม่เข้าใจความหมาย ที่ไม่เข้าใจคือ คนอย่างอาโป สุรเยนทร์ ต้องใช้คำๆนี้เมื่อไหร่กัน นมแสงอย่าพูดอะไรที่หยาบคายทำลายบรรยากาศอย่างนี้อีกนะคะ”

นมแสงนิ่งอึ้ง พูดอะไรไม่ออก หล่อนจำต้องยอมรับว่าที่อาโปมีนิสัยเย่อหยิ่ง มั่นใจ และเอาแต่ใจตัวเองอย่างร้ายกาจขนาดนี้เป็นเพราะการเลี้ยงดูอย่างอย่างตามใจของหล่อนเอง

แต่หล่อนก็รักอาโปเหมือนลูกในไส้ บางทีแสงอยากจะคิดว่าหล่อนรักอาโปมากกว่าคุณหญิงจิตตาด้วยซ้ำ และหล่อนก็ดูออกว่าจอนนี่ไม่ใช่ผู้ชายที่ดี จอนนี่เข้ามาเพื่อหวังปอกลอกอาโป แต่เมื่อคนที่หล่อนรักรักเขาไปแล้ว หล่อนจะทำอย่างไรได้ นอกจากคอยเตือนอยู่ห่างๆเท่านั้น

เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นทำลายบรรยากาศอีก อาโปกำลังมีความสุขกับจอนนี่ใครโทรมาขัดความสุขของหล่อนนะ แต่เมื่อหล่อนเห็นว่าเป็นแม่ จำต้องรับอย่างเสียไม่ได้

“ลูกแม่ ถึงที่เกาะแล้วใช่ไหม”
“เรียบร้อยแล้วค่ะ” อาโอตอบเสียงห้วน
“เจออัสนีหรือยังจ๊ะ”
“เจอแล้ว !”

จิตตาแปลกใจเล็กน้อย ทำไมลูกกระแทกเสียงกับตนแบบนี้
“ทำไมทำเสียงอย่างนั้นล่ะ ยังโกรธแม่อยู่หรือลูก”

อาโปหงุดหงิด อารมณ์เสีย อยากจู๋จี๋กับจอนนี่ต่อ ใจจะขาด
“อาโปไม่ใช่เด็กแล้วนะ ไม่ต้องโทรมาเช็คทุกวันหรอกค่ะ …รำคาญ ! “

จิตตานิ่งอึ้งไป ก่อนจะพยายามสอนอาโปดีๆอย่างอดทน
“ลูกรำคาญแม่ได้ แต่คนเป็นพ่อเป็นแม่ ต่อให้เหนื่อยยังไงก็ไม่มีสิทธิ์รำคาญลูก
เพราะฉะนั้น ต่อให้หนูพูดกับแม่แย่แค่ไหน วันพรุ่งนี้วันมะรืนนี้ แม่ก็จะโทรมาอีก ! “

อาโปรู้สึกผิดขึ้นมาบ้าง เสียงอ่อนลง
“อาโปขอโทษ เอาเป็นว่าอาโปสบายดีก็แล้วกันนะคะ”

“แม่อยากไปเยี่ยมลูกจัง”
“อย่านะคะ “ อาโปห้ามขึ้นอย่างรวดเร็ว จิตตาแปลกใจ อาโปรีบหาทางแก้ตัว

“เอ่อ...อย่าเสียเวลาเดินทางเลยค่ะ อาโปอยู่ได้ แม่สัญญานะคะว่าจะไม่ไปเยี่ยม …
สัญญาสิคะ”
จิตตางง “ทำไมล่ะจ๊ะ”

“ก็...ถ้าอาโปเห็นคุณแม่ ก็จะกลับไปเป็นคนอ่อนแอคนเดิมอีก ขอเวลาอาโปหน่อย ไม่นานหรอกค่ะ เข้าใจไหมคะ”
จิตตาถอนใจ
“งั้นก็ได้จ้ะ แม่รักลูกนะจ๊ะ”

อาโปรีบกล่าวอำลาและวางสายอย่างรวดเร็ว เจ้าหล่อนกลัวเหลือเกินว่าแม่จะตามไปที่บ้านกลิ่นแก้ว

“คงไม่หรอกมั้ง ... “ มารดาหล่อนน่าจะพูดรู้เรื่อง หล่อนคิดเช่นนั้น หรือถ้าไปจริงก็เจอ
แต่ยายพระพายนั่นแหละ หล่อนไม่อยู่เสียอย่าง ใครจะทำไม ?!

-------------------------------------------------------------------------

โต๊ะอาหารขนาดกลางที่ปูด้วยผ้าลูกไม้ขาวสะอาดตามีกับข้าว 4-5 ชนิดจัดเตรียมไว้พร้อม แก้วน้ำ จาน ช้อนส้อมจัดอย่างเข้าชุดเตรียมไว้ 2 ที่

“ช่วงเวลาแห่งความสนุก อิ่มหนำสำราญ เบิกบานฤทัยมาถึงแล้วคร้าบ... “

แต้มประกาศพร้อมเข็นรถเข็นพาอัสนีเข้ามายังส่วนนี้อย่างรวดเร็ว ลูกน้องพยายามสร้างบรรยากาศให้ตลกเฮฮาเผื่อว่าเจ้านายซึ่งอารมณ์บูดเรื่องคุณผู้หญิงจะอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง แต่คนที่ฟังแล้วหงุดหงิดกลับเป็นถวิลเสียเอง

“พี่แต้มนี่ ชอบพูดกับนายเป็นเด็กๆอยู่เรื่อย” สาวหล่อหันมองอัสนี “ลูกผู้ชายอย่างเราไม่ชอบใช่ไหมฮะ ....ไอ้พี่แต้ม ไม่รู้เรื่อง! “

อัสนีไม่มีทีท่าสนใจคำพูดของถวิลสักนิด เขาพยายามฟังเสียงพระพาย เมื่อไม่ได้ยินจึงถามขึ้น

“ แล้วเมียสุดที่รักฉันล่ะ”
“ฉันอยู่นี่ค่ะ”

พระพายเดินเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าเรียบเฉย นั่งลงที่เก้าอี้ของตนเอง ทำท่าจะตักข้าวทานอย่างไม่สนใจอัสนีแม้แต่น้อย

แต้มแกล้งแซวนายอีก
“ วันนี้นายจะทานข้าวสองต่อสองกับคุณอาโปเหรอครับ “

อัสนียังคงสีหน้าเรียบเฉย
“ใครว่า ฉันจะให้เขาป้อนข้าวฉันแทนแกต่างหาก”

อัสนีหันหน้าไปทางพระพาย พูดชัดเจน “เมียที่ดีน่ะ ต้องคอยปรนนิบัติผัว รู้ไหม ! “
พระพายรู้ว่าอัสนีกวนประสาทแต่ก็พยายามนิ่งเงียบ ข่มใจไม่โต้ตอบ ถวิลเป็นห่วงพระพาย รีบบอก

“แต่ว่า คุณอาโปยังไม่ได้ทานข้าวเหมือนกันนะฮะ”
“ช่างเขาประไร เมียที่ดีน่ะต้องให้ผัวกินก่อน ตัวเองกินทีหลัง ถ้าอดทนแค่นี้ไม่ได้ ก็ไม่ต้องทำไรแล้ว” อัสนีพูดด้วยน้ำเสียงยียวนเต็มที่

พระพายลอยหน้าลอยตาตอบกลับบ้าง
“ฉันทานทีหลังคุณก็ได้ค่ะ เพราะอย่างน้อยฉันก็ช่วยเหลือตัวเองได้ ไม่ต้องงอมืองอเท้ารอให้ใครมาป้อน”

อัสนีได้ยินก็ฉุนขาด นี่หล่อนหาว่าเขาพิการช่วยเหลือตัวเองไม่ได้งั้นเหรอ อัสนีหยิบจับอะไรตรงหน้าได้ก็เขวี้ยงใส่พระพายทันที เปรี้ยง ! เปรี้ยง ! เปรี้ยง !

“นี่เธอกล้าด่าฉันเหรอ หา ! เก่งนักเหรอ เก่งนักใช่ไหม”

พระพายหลบสิ่งของจากอัสนีได้ เธอสงบนิ่งไม่โต้ตอบจนอัสนีเป็นฝ่ายเหนื่อย หยุดอาละวาดไปเอง อัสนีฮึดฮัด เขาจะทำยังไงกับยายไฮโซจอมอวดเก่งคนนี้ดีนะ แล้วอัสนีก็เกิดความคิด

“ ดี ถ้าเก่งจริง เก่งให้ตลอดนะ ไอ้หวิน ต่อไปแกไม่ต้องทำงานบ้านแล้วนะโว้ย งานทุกอย่างในบ้านหลังนี้เป็นหน้าที่ของเมียฉัน”

สองคนใช้มองหน้ากันอย่างตกใจ
“หา คุณหนูอาโปเนี่ยเหรอฮะ เธอจะทำได้หรือฮะ”

อัสนียิ้มอย่างผู้ชนะ คิดว่าพระพายเป็นเพียงคุณหนูเหยาะแหยะ คงจะทนความลำบากไม่ไหว เจองานหนักเข้าไปต้องตายแน่ๆ

พระพายนิ่งเงียบ ผู้ชายตาบอดที่อยู่ตรงหน้า ต้องการไล่หล่อนออกไปจากเกาะนี้ ออกไปจากบ้านหลังนี้ และนี่คือแผนที่สองของเขา !!




 

Create Date : 09 มิถุนายน 2550    
Last Update : 9 มิถุนายน 2550 13:33:30 น.
Counter : 769 Pageviews.  

กลิ่นแก้วกลางใจ ตอนที่ 5


ก ลิ่ น แ ก้ ว ก ล า ง ใ จ


บทประพันธ์ นันทวรรณ รุ่งวงศ์พาณิชย์
เรียบเรียงจากบทโทรทัศน์ กมลชนก ยวดยง



ตอนที่ 5




กว่าเรือสปีดโบทที่พระพายนั่งมาจะมาจอดเทียบท่า ก็เป็นเวลาเย็นใกล้ค่ำเต็มที แต้มกระวีกระวาดช่วยพระพายถือของ พาเดินนำเข้าไปยังบ้านกลิ่นแก้ว

ทันทีที่ทั้งสองเดินเข้ามาในบ้าน ไฟของบ้านกลิ่นแก้วก็ดับพรึ่บลง พระพายชะงักไปเล็กน้อย แต้มเองก็แปลกใจเช่นกัน

“เอ้า ดับขึ้นมาได้ยังไง ...ขายหน้าจริงๆ “
แล้วแต้มก็หน้าตื่น นึกห่วงอัสนี กลัวจะไปหกล้มหกลุกที่ไหน
“ตายแล้ว นายอยู่คนเดียว เดี๋ยวผมมานะครับ”

แต้มทิ้งข้าวของ ไม่รอคำตอบจากพระพาย วิ่งจู๊ดหายเข้าบ้านไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้พระพายยืนอยู่ในความมืด เธอมองไปรอบๆตัวก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไปในบ้านที่ทั้งเงียบ ทั้งมืดวังเวงเพียงลำพัง

แท้จริงแล้ว สาเหตุที่บ้านกลิ่นแก้วมืดสนิท เป็นเพราะอัสนีสั่งให้ถวิล เด็กรับใช้หญิงทอมบอยสับคัตเอาท์ลงนั่นเอง อัสนีให้เหตุผลแก่แต้ม และถวิลว่า

“ยายนั่น คิดอยากจะมาอยู่กับฉันเพราะหวังสมบัติ ก็ต้องเจอแบบนี้ … ฉันอยู่ในโลกมืด ยายนั่นก็ต้องอยู่ในโลกมืดเหมือนกัน !”

“ปัง !!”
เสียงประตูหน้าบ้านที่ถูกลมพัดปิดโครมใหญ่ ทำเอาพระพายสะดุ้งเฮือก
ลมที่ไหนพัด?

“หึ หึ หึ...” เสียงหัวเราะในลำคอของอัสนีลอยมาตามลม พระพายหันมองรอบตัวหาที่มาของเสียง แต่ก็ไม่เจอใคร พระพายชักหวาดๆเสียแล้ว

เสียงหัวเราะของใครกัน...ใช่คนรึเปล่า ขอให้เป็นคนเถอะ
ความคิดของพระพายสะดุดลงทันทีเมื่อเสียงของอัสนีดังขึ้น

“สวัสดีคุณหนูอาโป ยินดีต้อนรับสู่โลกมืดของฉัน”
อัสนีกล่าวทักทายด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น พระพายจำเสียงได้ทันที

“ คุณอัสนี …”
อัสนีขยับล้อรถเข็นให้เคลื่อนตัวออกมาจากเงามืด เพื่อเผชิญหน้ากับพระพาย

“ในที่สุดฉันก็ไม่ต้องอยู่คนเดียวอีกต่อไป ฉันดีใจจริงๆที่เธอยอมแต่งงานกับฉัน ก็อย่างว่านะ ฉันรวย มีเงินให้เธอถลุงเพียบเลยล่ะ กะอีแค่ตาบอดนิดหน่อยคนอย่างเธอคงไม่ถือสา”

อัสนีแค่นหัวเราะ ดูถูกพระพายเต็มที่ แต้มและถวิลที่แอบซุ่มดูอยู่มองการกระทำของอัสนีอย่างไม่เข้าใจ ไม่กล้าที่จะเปิดเผยตัวออกไปเพราะอัสนีห้ามไว้

“ไหน...เธออยู่ไหนล่ะ มาให้ฉันกอดรับขวัญในฐานะภรรยาหน่อยสิ “

อัสนีใช้ความรวดเร็วจับเสียงลมหายใจพระพาย เขาเอื้อมมือไปคว้าตัวพระพายที่อยู่ใกล้ๆมานั่งตัก พระพายหน้าตื่นทำอะไรไม่ถูก อัสนีก้มหน้ามาแนบชิด

“ สามีภรรยาเวลาเจอกันเขาต้องทำยังไงนะ”
อัสนีทำท่าจะหอมแก้ม พระพายรีบเบี่ยงหน้าหนี ดิ้นรนให้หลุดจากอ้อมกอดอัสนี

“นี่ปล่อยนะ คนบ้า…ฉันไม่ใช่…”
พระพายเกือบหลุดปากพูดคำว่า”ภรรยา” ออกมา แต่นึกได้ว่าตนต้องสวมรอยเป็นอาโป จึงรีบเปลี่ยนเรื่องพูดทันที

“เอ้อ คุณอัสนีคะ ดิฉันแต่งงานกับคุณเพราะเงื่อนไขที่พินัยกรรมระบุไว้ต่างหาก คุณควรให้เกียรติฉันบ้าง”

พระพายยังคงอยู่ในอ้อมกอดอัสนี เขาหยุดแกล้งเธอ เปลี่ยนมาตั้งใจฟังทันที
“เอ๊ะ เสียงนี้...”

เสียงพระพายฟังดูคุ้นหูอัสนี อัสนีเคยได้ยินเสียงพระพายปลอบใจที่โรงพยาบาล แต่ตอนนี้เขาจำไม่ได้ถนัดนัก

พระพายนิ่งเงียบ กลัวอัสนีจำตนได้ อัสนียังคงครุ่นคิด
“ฉันเคยได้ยินที่ไหน...”

“นึกว่าฉันเป็นจิ้งจก เป็นแจกัน เป็นเอ้อ เป็นสายลม….ใช่ๆ เป็นสายลมนี่ล่ะเหมาะ เป็นสายลมที่หวังดี ช่วยให้เจ้าชายสายฟ้าอย่างคุณ กลับมาเข้มแข็งขึ้นใหม่ แบบนี้ดีไหมคะ”

อัสนีรู้สึกสับสน...ผู้หญิงคนนั้น...หรือว่าจะเป็นอาโป
“นี่เธอคือ ... “

พระพายหน้าตื่น กลัวอัสนีจับได้ รีบโกหกออกไป
“เราไม่เคยเจอกันหรอกค่ะ ... อาโปไม่เคยไปเยี่ยมคุณ”

อัสนีแค่นยิ้ม จริงสินะ ผู้หญิงดีๆอย่างนั้นไม่ใกล้เคียงอาโปสักนิด อาโปที่เขารู้จักไม่วันทำดีกับใครแน่ อัสนีพูดเย้ย

“นั่นสินะ คนอย่างเธอ ฉันลืมไปได้ยังไง ฮึ...ยายอาโปตัวจริง ทั้งเอาแต่ใจตัวเอง ทั้งขี้โวยวาย แล้วนี่เอาแฟนกุ๊ยของเธอไปทิ้งไว้ไหนล่ะ”

“แฟน ??” พระพายพยายามนึกว่าใครกัน“คุณจอนนี่น่ะหรือ”
“อ้อ ชื่อจอนนี่ ท่าทางรักกันมากนี่ เขายอมให้คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงไม่ทราบ”
“ฉัน เอ้อ เลิกกับเขาแล้ว”

พระพายแก้ตัวไปจนได้ แล้วก็คิดได้ว่าตนยังนั่งอยู่บนตักอัสนี พระพายดิ้นรนจากอ้อมกอดของอัสนีอีกครั้ง
“เอ๊ะนี่คุณจะปล่อยฉันได้หรือยัง”

อัสนีหมั่นไส้ กระชับกอดพระพายแน่นขึ้น
“เลิกกันแล้ว ฮึ ประเภทรักง่ายหน่ายเร็วสินะ ครบสูตรสาวไฮโซใจแตกจริงๆเลยคุณนี่ ถ้าอย่างนั้น วันแรกของการเป็นสามีภรรยาของเรา คุณคงไม่รู้สึกลำบากใจนักหรอกใช่ไหม “

อัสนีพูดจบก็ก้มลงหอมแก้มพระพายฟอดใหญ่ พระพายตะลึง
“ นี่คุณ…คนบ้า …นี่ปล่อยฉันนะ”

พระพายดิ้นรนหาอิสรภาพ อัสนีคิดว่าอาโปคนนี้กำลังเล่นตัว เขาโอบรัดพระพายแน่นขึ้น ไม่ยอมแพ้เช่นกัน

“ประสบการณ์เยอะก็ดีไปอย่าง จะได้ไม่ต้องเสียเวลาสอน ไอ้ความเป็นสามีภรรยาที่ว่า เรามาเริ่มกันเลยไหมล่ะ “

“อย่านะ อย๊า “
พระพายร้องอย่างตกใจที่จู่ๆอัสนีก็ล๊อกตัวเธอไว้แน่น เขาโน้มหน้าเข้าใกล้เธอหวังจะจูบ พระพายรวบรวมเรี่ยวแรงที่มีทั้งหมดผลักอัสนีออกและลุกขึ้นจากตักของอัสนีอย่างเร็ว

“เพี๊ยะ...”
พระพายตบหน้าเรียกสติให้อัสนี !

“คนชั่ว ฉันมาที่นี่เพื่อมาดูแลคุณ ในฐานะที่คุณเป็นคนป่วย ฉันไม่ได้มาเพื่อ …เพื่ออะไรแบบนี้สักหน่อย คุณทำแบบนี้กับฉันไม่ได้นะ”

อัสนีแค่นยิ้ม ยายนี่เล่นละครเก่งจริงๆ
“อ๋อ พวกชอบสร้างภาพ ยังไงก็ขอรักษาภาพคุณหนูตระกูลดีไว้หน่อย เอาเถอะ วันนี้
คงยังไม่พร้อม งั้นฉันพาไปพักผ่อนก่อนแล้วกัน….เข็นรถให้ฉันหน่อย ฉันจะพาไปที่ห้องของเธอ”

พระพายยืนงง อัสนีเห็นรถยังไม่ขยับก็สั่งอีกครั้งอย่างหงุดหงิดใจ
“มาเข็นสิ เร็ว! “

พระพายเข็นรถเข็นให้อัสนีอย่างกล้าๆกลัวๆ เธอมองบรรยากาศภายในบ้านที่มืดมัวอย่างแปลกใจ
“ทำไมคุณอยู่มืดๆแบบนี้ ไฟยังไม่ติดอีกเหรอคะ แล้วแต้ม...”

“ในเมื่อผมต้องอยู่ในความมืด คุณก็อย่าหวังจะได้เห็นแสงสว่างในบ้านหลังนี้“
พระพายอึ้งไปกับความคิดดุดันของอัสนี

อัสนีลองสัมผัสผนังข้างทาง รู้สึกว่าใช่ห้องนี้แน่แล้วจึงบอกกับพระพาย
“นี่ห้องของคุณ… เชิญ”

พระพายมองเข้าไปในห้อง ไม่เห็นอะไรนอกจากความมืด แต่ก็จำใจเดินเข้าไป แล้วหล่อนก็ชนเข้ากับกล่องลังและข้าวของมากมายในห้อง พระพายแปลกใจมาก
“อย่างกับห้องเก็บของ”

แต่ยังไม่ทันที่พระพายจะคิดอะไรต่อ ประตูห้องก็ปิดอย่างรวดเร็ว เธอถลาเข้าไปดึงประตู
ให้เปิดออก แต่ก็ไม่เป็นผล พระพายทุบประตูเป็นการใหญ่

“เอ๊ะ คุณอัสนี เปิดประตูให้ฉันเดี๋ยวนี้นะ เปิด! คุณคิดจะทำอะไร จับฉันมาขังในห้องนี้ทำไม “

อัสนียิ้มอย่างสะใจที่แกล้งยัยคุณหนูอาโปตัวแสบได้สำเร็จ เขาสั่งให้แต้ม และถวิลจัดการใส่กุญแจล็อคห้องนี้อย่างแน่นหนา ทั้งสองไม่อยากทำ แต่ก็ไม่กล้าขัดใจ

“ถ้าคิดว่ามาอยู่ที่นี่แล้วจะได้เป็นคุณนาย มีขี้ข้าคอยรับใช้ มีชีวิตสุขสบาย ฉันก็เสียใจด้วยนะเพราะเธอคิดผิด คนที่จะอยู่กับเธอในห้องนั้นน่ะมีแต่หนู จิ้งจก แมลงสาบเท่านั้นแหละ”

เสียงหนูร้องจี๊ดๆและวิ่งพล่านดังขึ้น พระพายหน้าเสีย เธอไม่ได้กลัวสัตว์ร่วมโลกพวกนี้ แต่เธอกลัวผู้ที่ลาโลกไปแล้วมากกว่า แล้วอัสนีก็ขู่เธอได้ตรงจุด

“ หรือถ้าโชคดี คืนนี้อาจมีวิญญาณชาวประมงแถวนี้มาอยู่เป็นเพื่อนเธอก็ได้ ฮ่าๆๆ”
“คุณหลอกฉัน” พระพายรีบเถียงกลับ “คิดว่าฉันกลัวเหรอ นี่ คุณปล่อยฉันออกไปเดี๋ยวนี้นะ คุณไม่มีสิทธิ์ทำกับฉันแบบนี้”

อัสนีได้ยินแล้วก็โกรธขึ้นมาทันที
“ทำไมจะไม่มี นี่ล่ะคือบทลงโทษแรกสำหรับคนที่ทำลายชีวิตฉันจนย่อยยับอย่างเธอ”

พระพายนิ่วหน้า ไม่เข้าใจที่อัสนีพูด
“ฉันเนี่ยนะ ฉันทำอะไร? สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด คุณทำตัวเองทั้งนั้น…”

อัสนีโกรธจัด ยัยบ้านี่โทษเขางั้นเหรอ? เขาทุบประตูห้องอย่างแรง โวยวาย

“ก็ไม่ใช่เพราะเธอเหรอหา ชีวิตฉันถึงพังแบบนี้ ผู้หญิงอย่างเธอมันตัวซวย เพราะเธอฉันถึงทะเลาะกับพ่อ เพราะเธอฉันถึงรถคว่ำ พ่อฉันต้องตาย และที่ฉันต้องตาบอดก็เพราะเธอ...ฉันเกลียดเธออาโป ทั้งเกลียดทั้งขยะแขยง ได้ยินไหม ! “

พระพายนิ่งอึ้ง เธอรู้ซึ้งแล้วว่าทำไมอัสนีถึงโกรธเกลียดอาโปนักหนา แต่คนรับกรรมดันเป็นเธอนี่สิ พระพายทิ้งตัวลงนั่งครุ่นคิดหาวิธีที่จะออกไปจากห้องอย่างกลุ้มใจ

เข็มสั้นจากนาฬิกาแขวนผนังเลื่อนเข้าใกล้เลข 10 มากขึ้นทุกที เกือบจะสี่ทุ่มแล้ว ตั้งแต่ช่วงบ่ายจนถึงเวลานี้ยังไม่มีอาหารตกถึงท้องพระพายสักนิด พระพายนั่งในห้องอย่างคนหมดแรง อัสนีซ้ำเติมภรรยาสุดที่รักด้วยการตักอาหารมานั่งทานหน้าห้องเพื่อเยาะเย้ยให้หล่อนหิวเล่น พระพายสุดจะเจ็บใจ เธอต้องหาวิธีออกไปจากห้องนี้ให้ได้ !

-------------------------------------------------------------------------

วันใหม่ บรรยากาศริมทะเลยามเช้าที่หาดหน้าบ้านกลิ่นแก้วช่างแสนสดใส

แต้ม และถวิลตื่นแต่เช้า ทั้งสองต้องช่วยกันลงครัวทำอาหารเช้าให้อัสนี ถวิลหยิบผักต้นหอม ผักชีมาเตรียมเพราะหล่อนทำเป็นแค่นั้น งานบ้านของผู้หญิงสาวหล่ออย่างหล่อน ทำเป็นเสียเมื่อไหร่ แต้มจำใจต้องรับหน้าที่พ่อครัวใหญ่ไปโดยปริยาย

แต้มเปิดตู้เย็นหาเนื้อปลาทะเลมาทำข้าวต้มปลาให้คุณๆ แล้วก็ต้องดีใจที่เห็นปลิงทะเลในตู้เย็นด้วย แต้มหยิบออกมาอย่างตื่นเต้น
“ อุ๊ย บนเกาะนี่มีของดีๆอย่างปลิงทะเลด้วยหรือ”

“คุณหญิงจิตตาแม่คุณหนูอาโป ให้คนเรือบนฝั่งซื้อของดีๆมาให้เพียบเลย บอกว่าเป็นของชอบคุณหนูอาโป “ ถวิลตอบอย่างไม่ละสายตาจากงานที่ทำอยู่ตรงหน้า

แต้มถอนใจ
“โถ....คงห่วงลูกสาวว่าจะไม่มีของอร่อยกิน ถ้าเขารู้ว่าไม่ใช่แค่ของไม่อร่อย แต่ข้าวเปล่าๆยังไม่ได้ตกถึงท้องเลย เขาจะว่าไงก็ไม่รู้นะ”

ถวิลชักจะกลุ้มบ้าง
“ นั่นสิ ถ้าคุณหนูอาโปตายไปจริงๆ เราสองคนจะถูกตำรวจจับไหมฮะ”

เสียงจากพระพายที่มายืนแอบฟังทั้งสองคนคุยกันนานแล้ว ตอบคำถามแทนแต้ม
“ ไม่ใช่ถูกตำรวจจับเฉยๆนะ ฉันจะกลายร่างเป็นผีมาหลอกเธอสองคนด้วย ! “

แต้มพยักหน้าหงึกหงัก เห็นด้วยอย่างมาก ไม่เฉลียวใจสักนิดว่าใครเป็นคนตอบคำถาม
“ก็นั่นน่ะสิ โดนทั้งตำรวจจับ โดนทั้งผีหลอก…”

แต่แล้วแต้มก็ต้องทำหน้างง เมื่อกี้เขาไม่ได้พูด ถวิลเองก็ไม่ได้พูด แต่เสียงผู้หญิงคนนั้น....
แต้มหันมองตามเสียง เขาสะดุ้งสุดตัวเมื่อเห็นพระพายยืนอยู่ที่มุมห้อง

“เหวอ ออกมาได้ยังไง”
ถวิลทำเครื่องครัวหล่นจากมือ ตกใจ
“คุณอาโป !! “

เสียงเปิดประตูห้อง และฝีเท้าคนเดินเข้าไปใกล้ทำให้อัสนีที่นั่งอยู่ในห้องทักขึ้น
“เช้านี้ฉันสดชื่นจริงๆว่ะ ไม่รู้ป่านนี้เมียสุดที่รักของฉันเป็นไงมั่ง ร้องไห้จนน้ำหมดตัวไปรึยังไม่รู้ ฮึๆ “

อัสนีหัวเราะอย่างสะใจ วันนี้เขาอารมณ์ดีเป็นพิเศษ พระพายมองอัสนียิ้มๆ เธอก้มลงกระซิบที่ข้างหูอัสนี อย่างผู้มีชัย
“ไม่หรอกค่ะ แผนตื้นๆแค่นั้น ทำอะไรฉันไม่ได้หรอก! “

อัสนีหันขวับไปหาเสียงพระพายอย่างตกใจ
“เธอ...” ยัยนี่ออกมาได้อย่างไร

“ค่ะ ฉันเอง คิดว่าฉันจะยอมให้คุณแกล้งเล่นฝ่ายเดียวงั้นเหรอคะ “
พระพายเล่าอย่างสบายๆ
“ก็เหนื่อยอยู่เหมือนกัน แต่พระเจ้าไม่เคยเข้าข้างคนชั่วอยู่แล้ว…คุณว่าไหม”

เมื่อคืนนี้เองที่พระพายเจอไฟฉายในห้องเก็บของ เธอใช้แสงไฟช่วยหาอุปกรณ์ที่จะพาเธอออกไปได้ แล้วพระพายก็เจอไขควง เธอใช้ไขควงค่อยๆงัดประตูห้องออกมาได้สำเร็จ

พระพายมองอัสนียิ้มๆ
“แต่ฉันไม่ถือโกรธคุณหรอกนะ ถือซะว่าเป็นการต้อนรับน้องใหม่เข้าบ้าน….ว่าแต่ว่า ฉันมีของฝากจากห้องนั้นมาให้คุณด้วยนะ”

อัสนีงง
“ของฝาก … ฝากอะไร”

พระพายก้มลงไปกระซิบข้างหูอัสนี
“น้องหนูมิกกี้เมาส์ ตัวโตอ้วนพี ดิ้นดุ๊กดิ๊ก….เขาอยากทำความรู้จักกับคุณ ! “

อัสนีหน้าตื่น เขากลัว..ไม่ใช่ เขาไม่ชอบสัตว์ที่สกปรกอย่างนั้นเอามากๆทีเดียว
“เธอจะทำอะไร ? “

พระพายไม่ตอบ แต่กลับดึงคอปกเสื้ออัสนีด้านหลังขึ้น พร้อมหย่อนปลิงทะเลลงไปอย่างรวดเร็ว อัสนีเสียวสันหลังวาบ เขารู้สึกได้ถึงสิ่งแปลกปลอมที่ดิ้นไปมาที่หลังเขา อัสนีกระเด้งลุกจากเก้าอี้ ดิ้นพราด พยายามสะบัดเอาปลิงทะเลออกจากเสื้อด้วยความขยะแขยง

“หนู ! หนู! ...เอามันออกไป เธอมันบ้า กล้าดียังไงหา ถึงทำกับฉันแบบนี้ เอามันออกไปจากฉันเดี๋ยวนี้ เร็วสิ เอาออกไป! “

แต้มที่แอบฟังอยู่หน้าห้อง หน้าเศร้าสงสารนายที่ถูกแกล้ง
“โธ่...เจ้านายของแต้ม”

แต่ถวิลเชียร์พระพายเต็มที่ หัวเราะอารมณ์ดี
“โห คุณหนูอาโปนี่ใช่ย่อย บ้านของเราท่าจะไม่เงียบเหงาแล้วล่ะพี่แต้ม”

พระพายเดินไปเปิดม่านให้ห้องอัสนีสว่างไสว ไม่สนใจอัสนีที่กำลังโวยวายสักนิด พระพายกวาดสายตาไปรอบๆห้อง ดูความเป็นอยู่ของอัสนี

“โธ่...มิกกี้เม้าส์ตัวเล็กนิดเดียว กลัวด้วยหรือ ดูไม่เหมือนคนปากเก่งที่โวยวายฉันอยู่เมื่อคืนเลยนะ”
”อี๊ เอามันออกไป มันดิ้นใหญ่แล้วไม่เห็นหรือ ….”

พระพายหันกลับมาเห็นอัสนียืนเต้นเร่าๆ สะบัดแข้งสะบัดขาโวยวายก็มองอย่างแปลกใจ
“อ้าว คุณยืนได้ เดินได้ ขาไม่ได้เป็นอะไรหรอกเหรอ แล้วคุณนั่งรถเข็นทำไมเนี่ย ? “

“ไอ้แต้ม ไอ้หวิน อยู่ไหน ช่วยฉันด้วย...ช่วยด้วยโว้ย เอามันออกไปที”

พระพายยิ้มสะใจ เดินไปเปิดประตูให้แต้ม,ถวิลเข้ามา แต้มปราดเข้าไปหาอัสนีทันที
“นาย ใจเย็นนะครับ ไอ้แต้มอยู่นี่ “

ถวิลช่วยพูดอีกแรง “นายใจเย็นก่อนนะฮะ มันไม่ใช่หนูหรอกฮะ ปลิงทะเลน่ะ”
อัสนีหยุดดิ้น หยุดโวยวายทันที แค่ปลิงทะเลหรือ

“หนอย ยายอาโป มานี่นะ” อัสนีคิดจะเล่นงานพระพายที่ทำเขากลัว เขาเอื้อมมือสะเปะสะปะควานหาตัวพระพาย แค่พระพายขยับหนี เขาก็สะดุดชนของในห้อง ล้มลง
“โอ๊ย…”

พระพายเดินไปใกล้เขา แต่ไม่ได้ช่วย
“สมน้ำหน้า !!” พระพายบอกอย่างสะใจ

“ฉันแค่จะมาบอกคุณว่าฉันไม่กลัวคุณหรอก ในเมื่อคุณร้ายกับฉัน ฉันก็จะร้ายกับคุณ เราจะอยู่กันอย่างตาต่อตา ฟันต่อฟัน เพราะฉะนั้นอย่ามาแกล้งฉันอีก !!”

พระพายพูดจบก็เดินออกไป ทิ้งให้อัสนีแค้นใจอยู่เพียงลำพัง คอยดูเถอะ เขาจะต้องเอาคืน ! คอยดูต่อไปแล้วกัน ฮึ่ม !!





 

Create Date : 05 มิถุนายน 2550    
Last Update : 5 มิถุนายน 2550 23:59:36 น.
Counter : 559 Pageviews.  

กลิ่นแก้วกลางใจ ตอนที่ 4


ก ลิ่ น แ ก้ ว ก ล า ง ใ จ


บทประพันธ์ นันทวรรณ รุ่งวงศ์พาณิชย์
เรียบเรียงจากบทโทรทัศน์ กมลชนก ยวดยง



ตอนที่ 4



อัสนีค่อยๆลืมตาขึ้นมองทุกอย่างรอบๆตัว เขานิ่วหน้าสงสัยว่าทำไมมันถึงได้มืดสนิทเช่นนี้
“ทำไมมันมืดอย่างนี้...นี่ที่ไหนกัน..”

เขาพยายามคลำหาทางเดิน แต่ดูเหมือนเขาจะเจอแต่ความว่างเปล่า อัสนีแปลกใจตัวเอง
“ทำไมเรามองไม่เห็นเลย...”

อัสนีพยายามเพ่งมองออกไปในความมืด จู่ๆอัคคีที่หน้าขมึงตึง เลือดอาบไปทั้งหน้าก็โผล่พรวดมาตรงหน้าอย่างเร็ว !
อัสนีตกใจแทบสิ้นสติ
“ พ่อ! “

อัสนีผวาไปทั้งร่าง เขาตะโกนเรียกพ่อสุดเสียง... ภานุ จิตตาและเมษาพุ่งตรงมาที่เตียงคนไข้ทันที ภานุรีบเข้าไปจับเนื้อจับตัวอัสนีเพื่อเรียกสติ

“อัสนี หลานอา...นี่อาเองนะ ได้ยินเสียงอาไหม”
แท้จริงแล้วเมื่อครู่เป็นเพียงฝันร้ายของอัสนีเท่านั้น

“อาภานุ...นี่มันเกิดอะไรขึ้นครับ...ทำไมผมมองไม่เห็นใครเลย แล้วพ่อล่ะครับ พ่ออยู่ไหน...ผมอยากคุยกับพ่อ เมื่อกี๊ผมฝันถึงพ่อ”

ภานุมองหลานชาย...อัสนีอยู่ในชุดคนไข้โรงพยาบาล ตามเนื้อตัวมีร่องรอยบาดแผลขีดข่วนและรอยฟกช้ำ แต่ที่สำคัญ ดวงตาของอัสนีตอนนี้มีผ้าพันแผลปิดอยู่ !

ภานุเศร้าไปทันทีที่อัสนีถามถึงพี่ชาย
“ว่ายังไงล่ะครับ พ่อ พ่อผมอยู่ไหน พ่อ...เปิดไฟให้ผมหน่อยผมมองไม่เห็น พ่อ....”

อัสนีมองไปรอบๆตัว ยกมือไขว่คว้าพาพ่อ ภานุ จิตตา เมษามองอย่างสลดใจ ภานุตัดสินใจบอกความจริงกับหลาน
“อัสนี…ฟังอาให้ดีนะ พี่อัคคีไปสบายแล้ว เขาหมดห่วงแล้วนะ...”

อัสนีตกใจ “ อาว่าอะไรนะครับ”
“พ่อแกน่ะ...เขาไปสบายแล้ว แกขับรถอัดก๊อปปี้กับเสาไฟฟ้า เอ้อ มันเกิดขึ้นทันที พี่เขาคงไม่ทรมานหรอก ส่วนแก แขนหัก และมีเศษกระจกฝังที่ดวงตาทั้งสองข้าง ทำให้เอ่อ … มองไม่เห็น “

อัสนีช็อค อ้าปากค้าง พ่อเขาตายแล้ว และตอนนี้เขากลายเป็นคนตาบอด อัสนีคาดไม่ถึง ทุกอย่างหนักหนาเกินกว่าจะรับไหว

“ไม่...ไม่จริง พ่อผมยังไม่ตาย...นี่เป็นแค่ฝันร้าย พอผมตื่นขึ้นมาทุกอย่างก็จะเหมือนเดิม แค่ฝันร้าย แค่ฝันร้าย ...”

อัสนีพูดท่องวนซ้ำไปมา เขาอยากจะคิดว่านี่เป็นแค่ความฝัน เขาต้องการตื่นจากฝันร้ายเดี๋ยวนี้ …จิตตาเห็นแล้วสงสารอัสนีจับใจ เข้าไปกอดปลอบประโลม

“หลานอา…ทุกอย่างเป็นความจริง อัสนีต้องยอมรับความจริงนะลูก”
อัสนีหันขวับไปทางจิตตาทันที
“เสียงนี้...คนพวกนั้นใช่ไหม...”

อัสนีค่อยๆปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดได้ ความทรงจำทั้งหมดกลับคืน อาโป ลูกสาวของอาผู้หญิงคนนี้ที่ทำให้เขาโมโห ทะเลาะกับพ่อ จนทำให้พ่อตาย ...ทำพ่อเขาตายแล้วยังมีหน้ามาเยี่ยมอีกหรือ อัสนีผลักจิตตาอย่างแรง พลางคว้าสิ่งของที่โต๊ะหัวเตียงที่พอจะหยิบได้ขว้างใส่ไปทางจิตตา

“ไป ! ออกไป...ออกไปให้หมด ไป! ไอ้คนเฮงซวย เพราะผมโมโหพวกคุณ ผมถึงขับรถเร็ว เพราะพวกคุณ พ่อผมถึงตาย...ไป ออก ไป !!! “

อัสนีฟาดงวงฟาดงา ขว้างปาสิ่งของใกล้ตัวทุกสะเปะสะปะ ภานุพยายามห้ามปราม
“ เฮ้ย หยุด...แกเป็นบ้าไปแล้วหรือ พยาบาล คุณพยาบาลไปไหนกันหมด”

ภานุร้องเรียกให้คนช่วย พยาบาลพากันกรูเข้ามาจับอัสนีไว้ แต่อัสนียังคงอาละวาดอย่างหนัก ทำใจไม่ได้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

“จากผลการตรวจ เศษกระจกรถที่เกิดขึ้นจากอุบัติเหตุ เข้าไปฝังอยู่ในกระจกตาทั้งสองข้าง ทำให้การรับภาพมีปัญหาครับ”

หมอเจ้าของไข้แจ้งแก่ญาติของอัสนีเช่นนั้น อัสนีกลายมาเป็นชายตาบอด เขามีโอกาสกลับมามองเห็นอีกครั้งถ้าได้รับบริจาคอวัยวะ ซึ่งต้องใช้เวลารออย่างน้อย 6 เดือนถึง 1ปี แต่ที่สำคัญที่สุด ตอนนี้สภาพจิตใจอัสนีย่ำแย่สาหัส เขาอาละวาด ไม่ให้ความร่วมมือในการรักษาใดๆทั้งสิ้น

-------------------------------------------------

พระพายที่ถูกทิ้งให้เฝ้าไข้อัสนี มองคู่ปรับเก่าอย่างสงสาร
“เทวดาก็มีวันต้องตกสวรรค์สินะ น่าสงสารจัง”

พระพายสังเกตเห็นว่าอัสนีเอาแต่นอนเฉย แต่หัวคิ้วขมวดเคร่งเครียด มือกำแน่น เหงื่อพราวบนใบหน้า พระพายแปลกใจ ทำไมอัสนีถึงเป็นเช่นนี้

อัสนีหน้าเครียด เฝ้าครุ่นคิดถึงอีกข่าวร้ายที่เขาเพิ่งได้รับรู้
เมื่อเช้านี้เองที่เลขาฯของพ่อเขามาเยี่ยม เลขาหนุ่มนำโทรศัพท์มือถือของอัคคีมาคืนให้แก่อัสนี

“มือถือพ่องั้นเหรอ ...คุณเปิดดูสิว่ามีข้อความจากผมถึงท่านไหม แล้วท่านเปิดดูรึยัง?
เลขาทำตามความประสงค์ของอัสนี แต่ก็ต้องบอกเสียงอ่อย

“ข้อความเสียงจากคุณใช่ไหมครับ เอ่อ...ท่านยังไม่ได้เปิดดูเลยครับ มือถือท่านเสียวันนั้นพอดี เราส่งซ่อมไป เพิ่งได้มาวันนี้เอง “
อัสนีช็อค คำพูดของพ่อและเขายังก้องอยู่ในหู

“พ่ออยากบอกว่าพ่อขอโทษ …. เวลาที่เหลือต่อไปนี้ ให้โอกาสพ่อนะ เรามาเริ่มต้นกันใหม่ เรามาเริ่มต้นกันอีกครั้งนะลูก”
“พ่อครับ คืนนั้นผมไม่ได้หลับ ตกลงครับ เราจะเริ่มต้นกันใหม่”

อัสนีเสียใจมากที่เขากับพ่อต้องจากกันทั้งที่ยังเข้าใจกันผิดอยู่ อัสนีเขวี้ยงข้าวของ เริ่มอาละวาดอีกครั้ง

“ทำไมต้องเป็นแบบนี้ ทำไมวันนั้น ฉันถึงไม่หันไปบอกเขาว่าฉันได้ยิน ฉันเข้าใจและฉันก็รักพ่อ ทำไมฉันไม่ทำแบบนั้น ฉันมันโง่ ฉันมันแย่ แย่จริงๆ “

อัสนีคบกรามแน่น กำมือแน่นอย่างเจ็บปวด พระพายทนไม่ไหว เข้าไปพูดปลอบประโลม
“คุณเกร็งไปทั้งตัว เหงื่อแตก ขมวดคิ้ว ทำไมไม่ร้องไห้ออกมาล่ะคะ”

อัสนีหันหน้าไปหาเจ้าของเสียงอย่างแปลกใจ
“เธอเป็นใคร เสียงใคร”

พระพายอึกอักเล็กน้อย ก่อนจะตอบออกไป
“อย่าคิดว่าฉันเป็นใครเลยค่ะ การมองไม่เห็นก็ดีไปอย่าง เวลาที่เราอยากร้องไห้ เราจะได้ไม่ต้องอายเขา เพราะเราไม่รู้ว่าเขาเป็นใครไงคะ”

“ฉันไม่ได้อยากร้องไห้” อัสนีเสียงเข้ม
“น้ำตาช่วยให้ดวงตาชุ่มชื้น ช่วยป้องกันดวงตาอักเสบ ช่วยล้างสิ่งระคายเคืองที่รบกวนตาและ….รบกวนใจ”

“น้ำตาเป็นเครื่องหมายของความอ่อนแอ” อัสนีเถียงกลับอย่างเร็ว พระพายยังไม่ยอมแพ้
“ถ้าเราไม่เคยรู้จักความอ่อนแอ แล้วเราจะรู้จักความเข้มแข็งได้ยังไง ฉันบอกแล้วไงคะ ว่าคุณไม่ต้องนึกว่าฉันเป็นใครก็ได้ นึกว่าฉันเป็นจิ้งจก เป็นแจกัน เป็นเอ้อ เป็นสายลม...”

พระพายนึกถึงชื่อตัวเอง
“ใช่ๆ เป็นสายลมนี่ล่ะเหมาะ เป็นสายลมที่หวังดี ช่วยให้เจ้าชายสายฟ้าอย่างคุณ กลับมาเข้มแข็งขึ้นใหม่ แบบนี้ดีไหมคะ”

อัสนีแทบจะหมดความอดทน ต้องการกำลังใจอย่างมาก
“ถ้าคุณเป็นสายลมจริงๆก็เข้ามาใกล้ๆผมหน่อย”

พระพายเดินเข้าไปใกล้เตียง ลังเลเล็กน้อยที่จะสัมผัสตัวอัสนี แต่สุดท้ายก็แตะแขนอัสนีเบาๆให้รู้ว่าเธออยู่ตรงนี้ อัสนีหันหน้าไปหาพระพาย

“สายลมไม่มีปากใช่ไหม สายลมไม่มีตา มองอะไรก็ไม่เห็น สายลมไม่มีสมอง จำอะไรก็ไม่ได้ ถ้างั้น อย่าบอกใครนะ ว่าสายฟ้าอย่างผมไม่เคยเข้มแข็งเลย เวลาอย่างนี้ ผมอยากร้องไห้ที่สุด…อยากร้องไห้จริงๆ”

อัสนีร้องไห้ออกมาอย่างสุดกลั้น เขาดึงพระพายเข้ามากอดอย่างคนหาที่พึ่งพระพายตัวแข็งทำอะไรไม่ถูก เกิดมายังไม่เคยมีใครกอดเธอมาก่อน จะสะบัดตัวออกก็ไม่กล้า

พระพายมองบุคคลที่อยู่แนบชิดเธอยามนี้ เขาร้องไห้สะอื้นอย่างน่าสงสาร พระพายค่อยๆเอื้อมมือกอดตอบอย่างปลอบประโลม สงสารอัสนีจับใจ

------------------------------------------------------

กิจการผ้าไหมของธีรนัยระส่ำขึ้นมาทันทีเมื่ออัคคีตาย แถมผู้บริหารคนใหม่ก็กลายเป็นคนพิการ ภานุจึงให้อัสนีเซ็นยกอำนาจในการบริหารงานทั้งหมดให้เขาดูแล ภานุเริงร่าเป็นอย่างมากที่ทุกอย่างเป็นไปตามที่เขาต้องการ ถึงจะไม่ทั้งหมดก็เถอะ

ไม่มีใครสงสัยสักนิดว่าแท้จริงแล้ว ภานุเป็นอยู่เบื้องหลังเรื่องราวอุบัติเหตุทั้งหมด เขาอยากกุมอำนาจของธีรนัยมานานแล้ว แต่เมื่อพินัยกรรมระบุยกสมบัติให้อัสนี เขาจึงต้องกำจัดหลานรักไปให้พ้นทาง

ภานุจ้างคนไปตัดสายเบรกรถของอัสนี ! นั่นคือต้นเหตุที่แท้จริงของอุบัติเหตุครั้งนี้ !
ถึงแม้ว่าอัสนีจะไม่ตาย แต่ก็ตาบอด อำนาจในการบริหารธีรนัยตกมาอยู่กับภานุสมใจ

ภานุจัดการให้อัสนีและอาโปจดทะเบียนสมรสกัน และส่งตัวหลานรักไปพักฟื้นที่”บ้านกลิ่นแก้ว” บ้านพักตากอากาศของฝ่ายหญิง การที่อัสนีไปอยู่เกาะไม่ได้รับรู้อะไร ดูจะทำให้ตำแหน่งของตนมั่นคงขึ้น !

อาโปอาละวาดอีกครั้งเมื่อรู้ว่าตนต้องระเห็จไปเป็นชาวเกาะกับอัสนี หล่อนอ้อนวอนให้จิตตาเห็นใจ หล่อนไม่อยากไปอยู่ที่เกาะนั่น แต่จิตตาไม่ใจอ่อน อาโปจึงเปลี่ยนไปขอความช่วยเหลือจากเมษาแทน

“คุณป้าขา...อาโปกราบนะคะ คุณป้าช่วยพูดกับคุณแม่เรื่องไปอยู่ที่เกาะให้อาโปได้ไหมคะ ทำยังไงก็ได้ค่ะ ให้คุณแม่เปลี่ยนใจ ไม่ส่งตัวอาโปไปอยู่กับนายอัสนีอะไรนั่น”

เมษาลอบถอนใจเพราะไม่สนใจอาโปอยู่แล้ว หล่อนสนใจแต่เรื่องของจิตตาและพระพายเท่านั้น

“ป้าก็อยากช่วยหนูนะลูก แต่เรื่องนี้มันเกี่ยวโยงกับธุรกิจเป็นพันล้าน ป้าจนปัญญาจริงๆ”

“เอาอย่างนี้ คุณหนีไปอยู่กับผม เราไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยกัน..เมืองไทยกว้างใหญ่จะตาย ไปอยู่ไกลๆ จนแม่คุณตามเราสองคนไม่เจอ ดีไหมครับ”
จอนนี่ แฟนหนุ่มของอาโปเสนอความคิดบ้าง หล่อนหยุดร้องไห้ ยิ้มออกทันที

“เป็นความคิดที่ดีมากเลยค่ะ ทำไมอาโปคิดไม่ออกนะ จอนนี่จะพาอาโปหนีจริงๆหรือคะ ไปด้วยกันนะคะนมแสง หนีไปด้วยกัน”

อาโปหันไปบอกเมษา
“คุณป้าขา คุณป้าเก็บความลับเรื่องนี้ให้อาโปด้วยนะคะ”

“แล้วนังเด็กพระพายนั่นล่ะ” เมษาชักสงสัย
“โอ๊ย อาโปจะเอามันไปให้เกะกะทำไมล่ะคะ คุณแม่ชอบมันมากก็ให้มันอยู่รับใช้คุณแม่
ไปสิคะ ไปกันเถอะ จอนนี่ นมแสง ไปจัดการเรื่องตั๋วเครื่องบินกัน”

อาโปกลับมาเริงร่าอีกครั้ง ความวิตกทุกข์ร้อนของอาโปหายไปจนหมดสิ้น บุคคลที่ทุกข์กลับกลายมาเป็นเมษานั่นเอง

คืนนั้น เมษาคุยกับรูปภาพของอรชุนอย่างหงุดหงิดใจ
“นังอาโป มันสมกับเป็นลูกโสเภณีจริงๆ ใฝ่ต่ำตามสันดานของมันไม่มีผิด ถ้านังอาโป มันไม่เอานังพระพายแล้ว คราวนี้นังพระพายก็สบายน่ะสิ นังจิตตานั่น มันใจอ่อนจะตาย”

เมษานิ่วหน้า ทำท่าเหมือนได้ยินเสียงอะไร เงี่ยหูฟัง
“ฮะ ฮะ ฮ่า” เสียงหัวเราะของอรชุนแว่วมา

เมษาหูแว่ว จ้องภาพอรชุนอย่างโกรธเกรี้ยว
“คุณอรชุน นี่คุณแอบหัวเราะใช่ไหม”

“ฮะ ฮะ ฮ่า .... ฮะ ฮะ ฮ่า” เสียงหัวเราะดังมาอย่างต่อเนื่อง
เมษาโกรธมือไม้สั่น คว้าแก้วน้ำที่อยู่บนโต๊ะสาดใส่ภาพอรชุนทันที

“ไม่หยุดใช่ไหม นี่แน่ะ....นี่นี่ ....ถึงทุกอย่างจะไม่เป็นไปตามแผนของฉัน แต่ฉันไม่มีวัน
ปล่อยนังพระพายไปมีความสุขง่ายๆหรอก ฉันจะเล่นงานมัน ฉันจะหาทางให้มันลำบาก ให้มันเจ็บปวดทุรนทุรายจนได้นั่นล่ะ ฉันต้องหาทางจนได้ !! “

เมษาใช้เวลาครุ่นคิดหาวิธีอยู่ไม่กี่วันก็คิดหาวิธีได้ หล่อนโทรศัพท์แจ้งแผนการของหล่อนกับอาโปทันที
“ อาโปหรือลูก ป้าคิดอะไรบางอย่างออกแล้ว แผนของป้า รับรองต้องถูกใจหนูกับจอนนี่แน่ๆ”

อาโปก็รับฟังแผนการของเมษาอย่างชอบใจ หล่อนเก็บของใส่กระเป๋าเดินทางเตรียมไปอยู่บ้านกลิ่นแก้วอย่างสบายอารมณ์ จิตตาดีใจมากที่ลูกรักดูเข้าใจอะไรมากขึ้น และยินยอมพร้อมใจไปอยู่ดูแลอัสนีที่เกาะ

ไม่มีใครสงสัยสักนิดว่าทำไมอาโปเข้าใจอะไรหลายอย่างง่ายดายเช่นนี้ !

“คุณแม่นัดหนูมาที่นี่ มีอะไรให้หนูรับใช้หรือคะ” พระพายยกมือไหว้เมษา รู้สึกแปลกใจที่
จู่ๆเมษาก็เรียกตนออกมาพบ

“เบื่อๆน่ะ แม่เลยขอคุณจิตตาให้หนูออกมาเที่ยวเป็นเพื่อน”
พระพายอึ้งไปชั่วขณะ เมษาเรียกตัวเองว่าแม่งั้นหรือ? ปกติมีแต่ฉัน กับ แก นี่นา...

“แม่เรียกตัวเองว่าแม่หรือคะ ...เอ่อ หนูคงได้ยินผิดไปเอง ขอโทษค่ะ
เมษายิ้มให้พระพาย ก่อนจะเอื้อมมือไปจับมือพระพายอย่างรักใคร่
“หนูได้ยินไม่ผิด ต่อไปนี้ แม่จะเรียกตัวเองว่าแม่ เรียกหนูว่าลูก...พระพายลูกแม่”

พระพายมองมือเมษาที่สัมผัสตนอยู่ พระพายอดน้ำตาคลอไม่ได้...เธอดีใจเหลือเกิน นี่คือสิ่งที่เธอรอคอยมาตลอดชีวิต ความอบอุ่นจากแม่เมษา คนๆเดียวในโลกที่พระพายทุ่มเทให้ แม้จะโดนทำร้ายอย่างไรพระพายก็ยังรักและเทิดทูนเมษาเสมอมา

เมษายิ้มให้พระพายอย่างอบอุ่น อ่อนโยน หล่อนพาพระพายเดินเลือกซื้อของ เข้าร้านนู้นออกร้านนี้โดยประกาศกับทุกคนว่า
“นี่ลูกสาวฉันเอง ...”
“นี่ลูกสาวฉัน สวยไหม ขอเสื้อผ้าดีๆที่เหมาะกับเขาสักสองสามชุดสิจ๊ะ”

พระพายหันมองแม่กับลูกสาวคู่หนึ่งกำลังนั่งหัวเราะพูดคุยกันอยู่ เสียงเมษาดังขึ้น
“เหมือนเราเลยใช่ไหม …คนที่เป็นแม่ เวลามีลูกสาว เหมือนมีเพื่อนสนิทเลยรู้ไหม”

พระพายหันมายิ้มกว้างให้เมษาที่นั่งอยู่ตรงหน้า
“วันนี้ พระพายมีความสุขที่สุดเลยค่ะ คุณแม่ขา”

“ถ้าพระพายรักแม่ พระพายทำอะไรอย่างหนึ่งให้แม่ได้ไหม”
พระพายให้คำตอบอย่างไม่รีรอ
“ได้ทุกอย่างเลยค่ะแม่ …ได้ทุกอย่างเลย”

พระพายเอามือแม่มาแนบแก้ม รักและเทิดทูนสุดชีวิต เธอไม่เอะใจสักนิดว่าเมษาจะขอร้องให้เธอช่วยเรื่องใด แล้วพระพายก็ได้รู้เมื่อถูกชายฉกรรจ์ 2 คนจับเธอไปขึ้นรถตู้เพื่อพาไปยังบ้านกลิ่นแก้ว

“ไม่ต้องกลัวนะลูกรัก รถตู้คันนี้จะพาหนูไปที่บ้านบนเกาะนั่น ไปหาอัสนีไงลูก”
เมษานำกระเป๋าเดินทางของพระพายไปใส่รถ

“นี่จ้ะกระเป๋าใส่ของของลูก ป้าแตงเขาจัดให้หนู คุณอาโปเขามีธุระที่อื่นสักพัก หนูจะต้องไปที่เกาะนั่นคนเดียว ไปทำหน้าที่ภรรยานายอัสนี...แทนคุณหนูอาโป”

“อะไรนะคะ “ พระพายไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
“หนูห้ามบอกชื่อจริงและฐานะที่แท้จริงกับใครเด็ดขาด คนอื่นทุกคนต้องรู้จักหนูในนามของอาโปเท่านั้น โดยเฉพาะคุณหญิงจิตตาต้องไม่รู้เรื่องนี้”

“แบบนี้ก็เป็นการหลอกลวงคุณจิตตาสิคะ คุณอาโปหนีไปแล้วใช่ไหมคะ ทำไมเขาถึง
หลอกลวงแม่เขาได้ลงคอ พระพายจะไปบอกคุณหญิงจิตตา”

พระพายเริ่มดิ้นรนจนสมุนเริ่มจับลำบาก เมษาตรงเข้ามาตบพระพายทันทีสองครั้ง
“นังพระพาย นังเด็กอกตัญญู ฉันเป็นแม่แกนะ ไม่ใช่นังจิตตา !

เมษาเปลี่ยนกลับไปเป็นเมษาคนเดิมทันที พระพายมองเมษาคาดไม่ถึง นึกถึงการกระทำทั้งหมดมองหน้าแม่นิ่ง…พระพายน้อยใจ น้ำตาคลอ รู้แล้วว่าวันนี้เมษาแสดงทีท่าว่ารักตนไปทำไม

“ที่คุณแม่พาหนูไปเที่ยววันนี้ ก็เพื่อจะให้หนูทำงานให้คุณแม่งั้นหรือคะ คุณแม่ทำกับหนูอย่างนี้ได้ยังไง ! “
เมษาทำเสียงอ่อนลง

“ทั้งหมดนี่ก็เพื่องานของแม่นะลูก อาโปเป็นทายาทสุรเยนทร์ เป็นลูกค้าของแม่ อีกอย่าง นายอัสนีนั่นตอนนี้ก็ไม่มีตำแหน่งอะไรแล้ว แถมยังตาบอด มันไม่รู้เรื่องหรอก นะลูกนะ ทำเพื่อแม่นะลูก”

ชายฉกรรจ์2คนไม่รอช้า รีบลากตัวพระพายขึ้นรถไปทันที เมษายืนมองผลงานของตนอย่างสะใจ หล่อนกลับไปเล่าให้อรชุนฟังอย่างสะใจ

“ที่บ้านกลางเกาะนั่น ต่อไปนี้ก็จะมีคนที่โลกลืมสองคน ถูกทิ้งอยู่ด้วยกัน ไอ้ตาบอด กับ อีลูกชู้ โฮ้ยเหมาะสมกันจริงจริ๊ง ฮะฮะฮ่า”

-------------------------------------------------------------

อัสนีนั่งพักผ่อนที่ระเบียงบ้านกลิ่นแก้วอย่างหงอยเหงา สายตาเขาที่เหม่อมองไปข้างหน้าว่างเปล่า เลื่อนลอยอย่างคนไม่รู้อนาคต เขามาอยู่บ้านกลิ่นแก้วนี้ สัปดาห์หนึ่งแล้ว บรรยากาศของทะเลไม่ได้ช่วยให้เขาสดชื่นขึ้นแต่อย่างใด

“ช่วยกันจัดห้องให้คุณผู้หญิงเร็ว”
อัสนีหน้าเข้มขึ้นทันทีเมื่อได้ยินแต้มและถวิล คนดูแลบ้านคุยกันเรื่องนี้ เขาขมวดคิ้ว ครุ่นคิด

“ยายตัวร้ายจะมาถึงบ้านวันนี้หรือ”
ภาพหญิงสาวเย่อหญิง ขี้โวยวาย จอมมารยาแว่บเข้ามาในความคิดอัสนีทันที เขาขบกรามแน่นด้วยความโกรธ

“ยายผู้หญิงเหลวแหลก เธอคือคนที่ทำให้ฉันโมโหจนขับรถพาพ่อไปตาย …เพราะเธอทำให้ฉันตาบอด ทำให้ชีวิตของฉันหมดสิ้นทุกอย่าง …”

อัสนีกำมัดแน่น แววตาเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น
“เธอกับฉันได้เจอดีกันแน่ !!”

อัสนีดวงตาวาว อีกไม่กี่นาทีข้างหน้า ยายอาโปจะมาถึง ยายนั่นจะได้รับการต้อนรับที่สาสมที่สุด !!




 

Create Date : 02 มิถุนายน 2550    
Last Update : 2 มิถุนายน 2550 11:50:38 น.
Counter : 916 Pageviews.  

กลิ่นแก้วกลางใจ ตอนที่ 3


ก ลิ่ น แ ก้ ว ก ล า ง ใ จ



บทประพันธ์ นันทวรรณ รุ่งวงศ์พาณิชย์
เรียบเรียงจากบทโทรทัศน์ กมลชนก ยวดยง



ตอนที่ 3



“ เก็บเสื้อผ้าของแกเดี๋ยวนี้ เร็วสิ ! “
สิ้นเสียงสั่งของเมษา พระพายก็ถูกเสื้อผ้าอีกกองเขวี้ยงใส่ พระพายหน้าเศร้า ใบหน้าสวยๆมีน้ำตาไหลเป็นทาง แต่เมษาไม่สนใจ โยนเสื้อผ้าใส่เธออย่างไม่ใยดี

พระพายรู้ข่าวร้ายว่าแม่เมษายกเธอให้กับอาโปเพื่อเป็นคนรับใช้ประจำตัวเสียแล้ว เธอจะไม่ได้อยู่กับแม่เมษาคนที่เธอรักสุดหัวใจ พระพายใจเสีย เข้าไปอ้อนวอนเมษา

“ หนูไม่อยากไปอยู่บ้านคนอื่น คุณแม่อย่าให้หนูไปไหนเลยนะคะ พระพายอยากอยู่กับคุณแม่ ถ้าหนูไม่อยู่ เกิดคุณแม่ไม่สบายขึ้นมา ใครจะดูแลล่ะคะ”

“ฉันอยู่ของฉันได้ แกไม่ต้องมายุ่ง...เก็บข้าวเก็บของเร็วเข้า ชักช้าจริง”
พระพายยังไม่ละความพยายาม
“แต่หนูห่วงคุณแม่จริงๆนะคะ”

เมษาสุดจะทน สะบัดมือตบเปรี้ยงเข้าให้ !
หล่อนอารมณ์ไม่ดีตั้งแต่กลับมาจากบ้านของจิตตา

เรื่องราวความรักอรชุนและจิตตาทำให้หล่อนเจ็บปวดสาหัส เมษานำความแค้นทั้งหมดมาลงที่พระพาย เลือดเนื้อเชื้อไขสองคนนั่นต้องเจ็บยิ่งกว่า! เมษาไม่รอช้าที่จะส่งตัวทายาทแท้จริงของสุรเยนทร์ไปเป็นคนใช้ในบ้านของตัวเอง !

พระพายจำใจย้ายเข้าไปอยู่ที่บ้านจิตตา อาโปออกฤทธิ์เอาแต่ใจตัวเองสารพัด พระพายต้องทนกับความเอาแต่ใจของอาโป และความเจ้าอารมณ์ของนมแสง

เมษาเฝ้ามองทุกอย่างด้วยรอยยิ้ม พระพายต้องคอยปรนนิบัติลูกโสเภณี ถูกจิกใช้ให้เป็นคนใช้ในบ้านของแม่แท้ๆ บนกองเงินกองทองที่ควรจะเป็นของตนเอง หล่อนสะใจยิ่งนัก !

หากแต่สิ่งหนึ่งที่เมษาพลาดไปคือการที่ทำให้สองแม่ลูกมาพบกัน สายใยความผูกพันของความเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขเริ่มทำงานทีละเล็กละน้อย

พระพายรู้สึกอบอุ่นทุกครั้งเวลาที่อยู่ใกล้จิตตา จิตตาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมตนจึงรักและเมตตาพระพายมากกว่าเด็กในบ้านคนอื่น จนบางครั้งอาโปเริ่มจะอิจฉาพระพาย

วันนี้ นมแสงเกณฑ์บรรดาสาวใช้ในบ้านทุกคนมาช่วยถือชุดราตรีให้อาโปเลือกใส่ไปงานปาร์ตี้ฉลองวันคล้ายวันเกิดเพื่อน แค่จะเลือกชุด อาโปถึงกับทำให้คนทั้งบ้านเวียนหัวไปกับเรื่องของเธอ เจ้าหล่อนกวาดสายตามองชุดทั้งหมดอย่างไม่พอใจ

“ไม่ใช่ค่ะ ไม่มีตัวไหนใช่เลย อาโปบอกว่าให้หยิบเดรสที่อาโปซื้อจากปารีสไงคะ”
“เอ่อ...คุณหนูซื้อเสื้อผ้ากลับมาตั้งหลายสิบตัว แล้วมันตัวไหนกันล่ะคะ” พระพายถามอย่างสุภาพ อาโปฟังแล้วแสนจะหงุดหงิดใจ

“โอย ทำไมคนพวกนี้เข้าใจอะไรยากจังคะนม อาโปพูดจนเจ็บคอไปหมดแล้ว”
แล้วเจ้าหล่อนก็ไอค่อกแค่กราวกับจะไม่สบายไปจริงๆ นมแสงเป็นเดือดเป็นร้อนแทน รีบจัดการให้ทันที

“นี่แน่ะ “
นมแสงผลักพระพายกระเด็นล้มไป พระพายเจ็บ แต่พยายามอดทน

“งานแค่นี้ทำไม่ได้รึไง พวกแกก็ไปเอามาให้หมดสิ มีกี่ตัวเอามาให้หมด”
เหล่าบรรดาสาวใช้รีบพากันออกไปด้วยความกลัวนมแสง นมแสงเข้าไปปลอบอาโปที่นั่งหน้าบึ้งกระฟัดกระเฟียดอยู่คนเดียว

“คืนนี้อาโปต้องสวยที่สุดนะคะ อาโปไม่ยอม”
“โถ...ไม่มีใครสวยเกินคุณหนูของนมอยู่แล้วค่ะ เชื่อนมนะคะ”

อาโปรับฟังอย่างพอใจ อารมณ์ที่ขุ่นมัวเริ่มดีขึ้น
จิตตามองอาโป วันนี้เธอมีเรื่องต้องคุยกับลูก แต่ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร เสียงอ่านพินัยกรรมในที่ประชุมเมื่อตอนกลางวัน ยังดังก้องหู

“พินัยกรรมระบุว่าเมื่อทายาทของ”สุรเยนทร์” ซึ่งก็คือคุณหนูอาโปบรรลุนิติภาวะคุณหนูอาโปต้องแต่งงานกับ ทายาทของ”ธีรนัย” ลูกชายของคุณอัคคี ซึ่งก็คือคุณอัสนี ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งปฏิเสธก็จะถูกขับออกจากกองมรดกและตำแหน่งบริหารทุกอย่างในกิจการไหมไทย”

เมษาผู้เป็นทนายความฝ่ายจิตตาอ่านข้อตกลงนี้ให้คณะกรรมการทั้งสองบริษัทฟัง
ทั้งจิตตาและอัคคีมีสีหน้าหนักใจไม่แพ้กัน

“ผมว่ามันล้าสมัยเกินไป “
“พี่อัคคีหมายถึงการเปลี่ยนแปลงข้อผูกมัดเรื่องการแต่งงานค่ะ เราสองคนในฐานะของพ่อแม่อัสนีและอาโป รู้สึกลำบากใจมาก”

อัคคีและจิตตาต่างหาเหตุผลมาอธิบายให้คณะกรรมการฟัง ทุกคนอภิปรายกันอย่างหนักในเรื่องนี้ ภานุเป็นคนแรกที่เห็นชอบในการเปลี่ยนแปลงพินัยกรรมฉบับนี้เพราะเขาหวังอยู่เสมอว่าจะได้กุมอำนาจบริหารทั้งหมดของบริษัท แต่แล้วภานุก็ต้องผิดหวัง เมื่อคณะกรรมการให้ข้อสรุปว่า

“ที่บริษัทของเราเจริญรุ่งเรืองขนาดนี้เพราะอาศัยการผลิตชั้นเยี่ยมของธีรนัย และการจัดจำหน่ายชั้นยอดของสุรเยนทร์ ให้เกี่ยวดองทางสายเลือดแบบนี้ผมว่าเหมาะดีแล้ว ถ้าคุณทั้งสองไม่ตกลง อำนาจการบริหารจะถูกเปลี่ยนมือไปสู่คนกลางทันที....เพื่อพวกเราทุกคน ให้คุณอัสนีและหนูอาโปแต่งงานกันเถอะครับ”

-----------------------------------------------

ที่บ้านอัสนี ความขัดแย้งเพิ่งเริ่มต้น...
“อะไรนะครับ พ่อจะบังคับให้ผมแต่งงานเพื่อบริษัทบ้านั่นเหรอ ไม่มีทาง ผมบอกเลยว่าไม่มีทาง !! “

อัสนีโวยวายเกรี้ยวกราดอย่างที่อัคคีคิดไว้ไม่มีผิด
“จู่ๆพ่อจะให้ผมแต่งงานกับใครก็ไม่รู้ หน้าตาเขาเป็นยังไงผมยังไม่รู้เลย...ยิ่งถ้ายอมมาแต่งงานกับผมตามข้อตกลงบ้าบอคอแตกนั่น สงสัยหนีไม่พ้นคนปัญญาอ่อนชัวร์”

“นี่...แกหยุดพูดจาเลอะเทอะได้แล้ว ถ้าแกอยากพบเขา เดี๋ยวฉันจะนัดทานข้าวให้”
“ไม่ครับ ถึงยังไงผมก็ไม่มีวันยอมทำตามพินัยกรรมบ้าบอนั่นเด็ดขาด”

อัสนีมองพ่อด้วยสายตาเจ็บช้ำ
“ไอ้บริษัทนั่นเอาพ่อไปจากชีวิตผมแล้ว ยังไม่พอรึไง นี่จะเอาชีวิตผมทั้งชีวิตไปด้วย มันยิ่งใหญ่มาจากไหนกัน ! ”

ความน้อยใจในอดีตเหมือนเป็นน้ำมันที่เติมให้ควาฒโกรธของอัสนีลุกโชติกว่าเดิม เขาหันรีหันขวาง จะทำอย่างไรให้สาแก่ใจดี ใช่แล้ว...อัสนีปรี่เข้าไปดึงกรอบใส่ผ้าไหมเก่าแก่ที่ใส่กรอบแขวนโชว์ขว้างลงกับพื้นเปรี้ยงๆ ด้วยความแค้น

“เฮอะ ผ้าไหมอันทรงคุณค่า... เฮอะ กิจการผ้าไหมที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศ ธีรนัยและสุรเยนทร์ต้องเกี่ยวดองกัน โว้ยๆ ผมไม่สนใจหรอก พ่อได้ยินไหมว่าผมไม่สนใจ ทั้งปู่ย่าตาทวดหรือใครหน้าไหนก็ไม่มีสิทธิ์มาบังคับผมทั้งนั้น ! ”

อัสนีอาละวาดเหมือนคนบ้าคลั่ง อัคคีพยายามห้าม
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ แกจะทำบ้าอะไร...ฉันบอกให้หยุด หยุด! นี่แน่ะ ! “

แรงหนักๆจากฝ่ามือของอัคคีที่ปะทะเข้าที่แก้มซ้ายของเขา เรียกสติกลับคืนมาให้อัสนีเป็นอย่างดี อัสนีนิ่งอึ้ง หันมองพ่ออย่างเสียใจ
“ผมเกลียดพ่อ !! ได้ยินไหม ผมเกลียดพ่อ !!

อัสนีเดินออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว อัคคีรู้สึกผิดมาก มองมือตัวเองอย่างเสียใจความสัมพันธ์พ่อ-ลูกเลวร้ายลงไปอีก

ทางด้านสุรเยนทร์ จิตตาบอกข่าวเรื่องการแต่งงานแบบคลุมถุงชนกับอาโปอย่างจำใจ อาโปใช้น้ำตาต่อรองให้แม่ใจอ่อน

“ คุณแม่ใจร้าย...คุณแม่ไม่รักอาโปเลย ฮือๆๆๆๆ คุณแม่จะบังคับให้อาโปแต่งงานกับใครที่ไหนก็ไม่รู้”

จิตตาพยายามใจแข็งสุดความสามารถ
“อาโปอยากแต่งงานกับคนที่อาโปรัก ทำไมคุณแม่ไม่ถามสักคำว่าหัวใจของอาโปมี... “
“คุณหนู” แสงรีบปรามอาโปไม่ให้พูดถึงคนรักที่อาโปแอบคบตอนอยู่ต่างประเทศ

“แม่ให้หนูแต่งวันนี้พรุ่งนี้เสียเมื่อไหร่ แค่นัดไปทานข้าวด้วยกันเฉยๆ ฝ่ายนู้นเขาจะตกลงหรือเปล่า ยังไม่รู้เลย”
อาโปเห็นจิตตายังไม่เปลี่ยนใจก็เปลี่ยนทีท่า แกล้งปวดหัว ปวดท้อง อาเจียนอย่างคนไม่สบายหนัก แต่จิตตาก็ยังใจแข็ง ไม่เปลี่ยนใจ

“ไม่ว่าจะออกฤทธิ์ยังไง พรุ่งนี้ลูกก็ต้องไปทานข้าวกับคู่หมั้นของหนูอยู่ดี เข้าใจที่แม่พูดนะ”

อาโปโกรธมากที่แม่ไม่เปลี่ยนใจ เจ้าหล่อนกรี๊ดสนั่น นี่จิตตายังเป็นแม่ของตนอยู่รึเปล่านะ ทำไมถึงบังคับจิตใจตนเช่นนี้ เห็นทีอาโปต้องแผลงฤทธิ์มากกว่านี้เสียแล้ว ระดับอาโป สุรเยนทร์ มีหรือจะทำตามใจใคร

แล้วอาโปก็ทำอย่างที่หล่อนคิดจริงๆ หญิงสาวหนีการนัดบอดกับอัสนีไปหา “จอนนี่” คนรักของหล่อนที่เพิ่งบินกลับมาประเทศไทย

ฝ่ายอัสนีเอง ถึงแม้เขาจะยังไม่มีคนรัก แต่ยังไงเสียเขาก็ไม่ยอมแต่งงานโดยปราศจากความรักแน่นอน อัสนีคิดจะตกลงกับอาโปเป็นการส่วนตัวว่าให้ร่วมมือกันปฏิเสธการแต่งงาน แค่นี้ผู้ใหญ่ก็บังคับอะไรต่อไปไม่ได้

เมื่อแต้มได้เบอร์โทรศัพท์ของอาโปมา อัสนีไม่รีรอสักนิดที่จะโทรไปเจรจาหาแนวร่วม
“ฮัลโหล อาโปพูดค่ะ”

อัสนีหรี่ตา คาดคะเนนิสัยอาโปจากเสียง โดยมีแต้มลุ้นอยู่ข้างๆ
“คุณอาโป หรือ ผมเอง …อัสนี"

อาโปหน้าเครียดขึ้นมาทันทีเมื่อรู้ว่าคนที่ตนจะต้องแต่งงานด้วยโทรมา เขาคงดีใจล่ะสิที่จะได้แต่งงานกับหญิงสาวที่เพียบพร้อมหมดทุกด้านอย่างหล่อน

“คุณอาโป...ผม..”
“คุณ...นั่นคุณใช่ไหม ฉันขอบอกไว้ก่อนเลยนะ ไม่ว่าคุณแม่จะบังคับฉันยังไงฉันก็จะไม่มีทางแต่งงานกับไอ้ผู้ชายบ้าสมบัติ หวังพึ่ง...”

อาโปยังต่อว่าอัสนีไม่จบ แต่ก็ถูกจอนนี่แย่งโทรศัพท์ไปเสียก่อน
“เฮ้ย เก่งจริงมาเจอกับกูตัวต่อตัวสิวะ”
อัสนีหน้าเครียดขึ้นมาทันที

“คุณเป็นใคร?”
“คนที่จะส่งแกลงนรกน่ะสิ ฟังให้ดีนะเพื่อน ฉันจะให้แกทายว่านี่เสียงอะไร”
“คลิ๊ก... “
“เสียงปืน “ อัสนีเสียงเรียบ พยายามข่มความโกรธที่กำลังแล่นขึ้นมา
“ฉลาดไม่เลวนี่ เพราะฉะนั้นถ้ารักตัวกลัวตายก็อย่ามายุ่งกับผู้หญิงของอั๊ว”

จอนนี่ไม่รีรอที่จะวางหูใส่ อัสนีโกรธมากที่ถูกอาโปทำเช่นนี้ หล่อนให้ชายคนรักข่มขู่เขาด้วยวิธีนี้หรือ อัสนีรีบบึ่งรถไปประกาศกับทุกคนว่าเขาไม่มีทางแต่งงานกับผู้หญิงน่าเกลียดอย่างอาโปแน่นอน

----------------------------------------------

“ไปพ่อ...กลับบ้าน”
ที่ร้านอาหารสถานที่นัดระหว่างอัสนีและอาโป อัสนีเดินดิ่งเข้ามากระชากแขนอัคคีให้กลับบ้าน โดยไม่สนใจจิตตา เมษา หรือภานุที่นั่งรอการมาของเขาอยู่ อัคคีขืนตัวไว้ มองลูกชายอย่างไม่เข้าใจว่าอารมณ์ไหนกัน

"เฮ้ย ไอ้บ้า จู่ๆแกเป็นอะไรของแกหา”
อัสนีหันมองจิตตา
“คุณอาจิตตา… คนที่ลูกเขาจะแต่งงานกับผมน่ะเหรอ”
อัสนีมองจิตตาด้วยสีหน้าเรียบเฉย จนอัคคีต้องเตือน

“ไอ้อัสนี ไหว้เขาซะ แล้วพูดจาดีๆกับเขาเดี๋ยวนี้”
“เอ่อ...น้องยังไม่มาเลยจ้ะ หลานนั่งรอก่อนนะ” จิตตาอึกอักเล็กน้อย เพราะติดต่ออาโปไม่ได้เลย

อัสนีแค่นหัวเราะ
“ฮึ คงมาหรอก ป่านนี้คงขึ้นสวรรค์ชั้นเจ็ดไปแล้วมั้ง”
“ไอ้บ้า แกพูดอะไรของแก”

อัสนีทนไม่ไหวกับสายตาของงงงวยจิตตา แม่ยัยปีศาจนั่นไม่รู้เรื่องของลูกสักนิดอย่างนั้นเหรอ เขาไม่เชื่อ อัสนีประกาศกับทุกคน

“พวกเขากำลังหลอกเราพ่อ ที่ลูกสาวเขาไม่มาน่ะ เพราะอยู่กับผู้ชาย ผู้หญิงที่แล่นไปหาผู้ชายถึงที่ พ่อคิดว่า จะเป็นผู้หญิงดีที่ผมควรจะแต่งงานด้วยไหม”

ทุกคนนิ่งอึ้ง จิตตาพึมพำออกมาอย่างไม่เชื่อหู
“ไม่...ไม่จริง”

“ลูกสาวเหลวแหลกอย่างนี้จะจับใส่ตระกร้าล้างน้ำให้ผมเหรอ …ไม่มีทาง ! ผมขอบอกไว้เลยนะว่าผมไม่ยอมแต่งงานกับผู้หญิงที่ชื่ออาโปเด็ดขาด”

อัสนีตะโกนใส่หน้าจิตตา
“ที่สำคัญนะ แฟนยายอาโปนั่น เอาปืนมาขู่ผม ท่าทางเหมือนพวกกุ๊ยข้างถนน ฮึ ถ้าใครอยากรอก็รอไปเถอะ ผมไม่เอาด้วยหรอก"

อัสนีพูดจบก็เดินออกไปอย่างรวดเร็ว จิตตาหน้าเสียเหมือนจะเป็นลม เมษาจึงอาสาลุกตามไปอธิบายเรื่องอาโปให้อัสนีเข้าใจ มีเพียงภานุเท่านั้นที่จิบไวน์ มองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างสบายใจ

“ฮึ งานนี้ล่ม…. ล่มไม่เป็นท่าแน่ๆ”
อำนาจในการควบคุมกิจการของธีรนัย ดูเหมือนอยู่ใกล้เขาแค่เอื้อม

ด้านหน้าร้านอาหาร เมษารีบจ้ำอ้าวตามอัสนีมาอย่างรวดเร็ว
“เดี๋ยวสิคะคุณ...เดี๋ยวก่อน...”
อัสนีหันมองเมษาอย่างหงุดหงิด คนพวกนี้อยากให้ตนแต่งงานกับยายอาโปมากนักหรือไง จะมาโกหกอะไรเขาอีกล่ะ

“ฉันว่าคุณกำลังเข้าใจอะไรผิดนะคะ หลานอาโปของดิฉันไม่ใช่ผู้หญิงอย่างที่คุณกล่าวหาแน่ๆ คุณไปได้ยินใครใส่ร้ายอาโปรึเปล่าคะ”

อัสนีแค่นยิ้ม
“ฮึ ใส่ร้ายเหรอ? ผมได้ยินทุกอย่างเต็มสองหูด้วยตัวเองนี่เลย ขอโทษนะ ที่ผมไม่ใช่ไอ้โง่ให้พวกคุณมาสนตะพายเล่น”

อัสนีเดินหนีเมษาอย่างสุดเซ็ง เมษาตามมาดึงแขนอัสนีไว้ อัสนีสะบัดแขนออกอย่างหงุดหงิด เมษาเซไปปะทะผนังอย่างแรง พระพายที่เดินเข้าร้านมาคิดว่าอัสนีทำร้ายเมษา ปราดเข้าไปตบหน้าอัสนีทันที... เปรี้ยง !

“สำหรับการกระทำอันป่าเถื่อน ทำร้ายผู้หญิง “
“นี่ เธอตบหน้าฉันทำไม? “

อัสนีโกรธจัด จ้องหน้าพระพายราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ พระพายจ้องตอบอย่างไม่เกรงกลัว
“คุณทำร้ายคุณเมษา คอยดูนะถ้าคุณเมษาเป็นอะไร ฉันจะฟ้องตำรวจ ฉันจะเอาเรื่องคุณให้ถึงที่สุด”

อัสนีตรงเข้าบีบแขนพระพายแน่น ยายบ้านี่เป็นใครถึงได้กล้าต่อปากต่อคำกับเขาขนาดนี้ อ๋อ...เขาจำได้แล้ว นี่มันยัยคนที่ตบเขากลางงานแข่งรถนี่นา อัสนีบีบแขนพระพายแน่นกว่าเดิม

“เก่งนักเหรอ อวดดีนักใช่ไหม เธอรู้ไหม ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนตบหน้าฉันถึงสองครั้งแบบเธอ อยากลองดีกับฉันใช่ไหม”

พระพายนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ แต่ก็อดทน เถียงกลับอย่างไม่กลัว
“เกิดมาฉันก็ไม่เคยโดนใครขับรถเฉี่ยวโคลนใส่หน้าฉันสองครั้งเหมือนกัน .. ถือว่าเราสองคนหายกัน ! “

เมื่อสักครู่นี้เองที่อัสนีขับรถด้วยความเร็วสูง รถของเขาสาดโคลนเข้าที่แก้มเธอเต็มๆ พระพายจำรถสีแดงคันนั้นได้อย่างแม่นยำ
“หนอย ไอ้รถสีแดงคันนี้อีกแล้ว”

อัสนีจำเรื่องนี้ไม่ได้ เขายังจ้องพระพายอยู่ที่เดิม แต่พอเห็นหน้าอัคคี อัสนีก็เดินออกไปอย่างเร็ว อัคคีผู้พ่อวิ่งตามมาขึ้นรถหวังจะกล่อมลูกชายอีกครั้ง

อัสนีตบเกียร์รถแข่งคู่ใจอย่างแรง ก่อนจะเหยียบคันเร่งจนมิด เข็มบอกความเร็วของรถเคลื่อนสูงขึ้นเรื่อยๆ อัสนีอยากจะหนีเรื่องบ้าๆนี้ไปให้พ้น แต่อัคคียังตามมาคุยเรื่องนี้กับเขาไม่เลิก
“แกไม่ควรหนี เราต้องคุยกันให้รู้เรื่อง”

“ไม่ต้องมากล่อมให้เสียเวลา ผมไม่มีทางแต่งงานกับผู้หญิงเหลวแหลกคนนั้นเด็ดขาด”
“ถ้าแกไม่แต่ง กิจการของเราจะอยู่ยังไง ? หัดคิดกว้างๆบ้างสิ”
“อยากแต่งนัก ทำไมพ่อไม่แต่งกับเขาเสียเองล่ะ”

อัสนีหงุดหงิด เร่งความเร็วรถหนักเข้าไปอีก อัคคีชักไม่สบายใจ
“นี่แกขับรถให้ช้ากว่านี้หน่อยได้ไหม เลิกนิสัยใจร้อนเสียที”

สิ้นเสียงอัคคีก็มีรถคันหนึ่งพุ่งออกมาจากซอยตัดหน้า อัสนีหักรถหลบได้อย่างหวุดหวิด เขาบีบแตรด่าสนั่น
" โว้ย ขับรถอย่างนี้อยากตายรึไงวะ “

“นี่ แกฟังฉันอยู่รึเปล่า ฉันขอร้องล่ะ แต่งงานกับลูกสาวจิตตาซะ แล้วฉันจะไม่ยุ่งกับแกอีกเลย “
อัสนีหันมองพ่อด้วยสีหน้าเย็นชา
“ พ่อก็เหมือนเดิม พ่อรักงานมากกว่าผม ทำทุกอย่างเพื่อบริษัทนั่นมากกว่าผม”

อัคคีพยายามอธิบายให้ลูกเข้าใจ
“ไม่ใช่นะ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกัน พ่อพยายามแล้ว พ่อพยายามทำทุกอย่างให้ดีขึ้นแล้ว ! “

อัสนียิ้มเหยียด ทำไมคำพูดกับการกระทำของพ่อช่างตรงข้ามกันอย่างนี้นะ อัสนีเร่งความเร็วรถมากขึ้น แต่แล้วจู่ๆก็มีเด็กหญิงข้ามถนนตัดหน้า อัคคีตะโกนบอก
“ เฮ้ย ระวัง !”

อัสนีตกใจกลัวจะชนเด็ก เขาหักพวกมาลัยหลบและเหยียบเบรก แต่รถกลับลื่นไถลเข้าใกล้เสาไฟฟ้าอย่างเบรกไม่อยู่ อัสนีเห็นภาพเสาไฟฟ้าเข้าใกล้ตนมากขึ้น..มากขึ้น จนเกิดเสียงเปรี้ยง...
ภาพทุกอย่างจะพลิกคว่ำ แล้วดับวูบไป !




 

Create Date : 29 พฤษภาคม 2550    
Last Update : 29 พฤษภาคม 2550 23:09:59 น.
Counter : 788 Pageviews.  

กลิ่นแก้วกลางใจ ตอนที่ 2


ก ลิ่ น แ ก้ ว ก ล า ง ใ จ


บทประพันธ์ นันทวรรณ รุ่งวงศ์พาณิชย์
เรียบเรียงจากบทโทรทัศน์ กมลชนก ยวดยง



ตอนที่ 2


ที่สนามแข่งรถ พระพายนั่งอยู่ในรถที่อัสนีกำลังขับไปด้วยความเร็ว...
พระพายหลับตาปี๋ พยายามเกร็งตัวไม่ตัวเอนไปตามความเร็วของรถที่อัสนีขับอย่าง ฉวัดเฉวียดไปมา อัสนีมองทีท่าของพระพายนึกสนุก

เขาแกล้งหักพวงมาลัยเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง พระพายตกใจกรี๊ดสนั่น คว้าที่จับในรถไว้แทบไม่ทัน
“กรี๊ด...”

อัสนีหัวเราะร่า พระพายหันมาโวยวาย
“นี่คุณ หยุดนะหยุด หยุด หยุดเดี๋ยวนี้ ว้าย...”
“โฮ้ว...สนุกสุดยอด ไม่เคยสนุกอะไรแบบนี้มาก่อนเลย วู้ๆ..วู้...”

อัสนีเร่งความเร็วเข้าโค้งส่งท้าย ก่อนจะกลับเข้าไปจอดที่จุดเริ่มต้นอย่างปลอดภัย

พระพายตะเกียกตะกาย เดินโซเซลงมาจากรถ รู้สึกมึนหัว...

สาวไฮโซลูกคุณหนูทั้งหลายเข้ามาต่อว่าอัสนี ราวกับอัสนีทำผิดรุนแรง กับอีแค่พาคนใช้ขึ้นไปนั่งบนรถแทนที่จะเป็นพวกหล่อน

“ พี่อัสนี ทำแบบนี้ได้ไง นั่นมันเด็กรับใช้นะคะ”

อัสนีสะใจ หญิงสาวเหล่านี้คือสังคมชั้นสูงที่เขาคุ้นเคยมาตลอดชีวิต เย่อหยิ่งจองหอง มองคนอื่นด้อยค่า ทั้งที่ตนเองนั่นล่ะ ใช้ชีวิตไร้สาระไปวันๆกับการจ้องจับผู้ชายรวยๆ

“ร้องโวยวาย อย่างกับผมไปฆ่าใครตาย เป็นเดือดเป็นร้อนนักหรือที่คนใช้คนหนึ่ง จะได้ในสิ่งที่ไม่สมควร ถ้าแค่นี้เดือดร้อนนักล่ะก็....อืม “

อัสนีคิดวิธีตบหน้าหญิงสาวเหล่านี้ได้อีก เขามองไปทางพระพาย ที่ยังไร้เรี่ยวแรงแม้กระทั่งจะถอดหมวกกันน็อค

“เฮ้อ ช่วย ...ช่วยด้วย…”

อัสนีเดินตรงเข้าไปหาพระพาย เอื้อมมือไปเหมือนจะช่วยเหลือ แล้วเขาก็เลื่อนมือจากหมวกกันน็อคไปจับที่ต้นแขนพระพายไม่ให้หนี ก่อนจะก้มลงจูบพระพายในขณะที่ใส่หมวกอยู่
ปากของอัสนีแตะเข้าที่ปากของพระพายผ่านหมวกกันน็อค !

“เราโดนจูบ! ”
พระพายได้แต่ยืนอึ้งทำอะไรไม่ถูก

อัสนีถอนริมฝีปาก ทั้งสนามเงียบกริบไป 5 วินาทีก่อนที่สาวๆจะพากันกรี๊ดสนั่น พระพายได้สติ ทั้งโกรธและอาย

เธอถอดหมวกกันน็อคทิ้งก่อนจะเข้าไปตบหน้าอัสนีเปรี้ยงใหญ่ ! ทุกอย่างอยู่ในความเงียบอีกครั้ง

อัสนีอึ้งเพียงนิดเดียว ก่อนจะยิ้มให้พระพายอย่างไม่ถือสา
“ มือหนักดี …ใช้ได้นี่เรา ฮะฮะฮ่า”

อัสนีเดินหัวเราะร่าออกไป พระพายยืนงงกับพฤติกรรมประหลาดของอัสนี

“นังพระพาย..”
พระพายหันหน้าเมษาตามเสียงเรียก เมษาตบหน้าพระพายเปรี้ยงใหญ่ !

“สะเออะนัก ทะเยอทะยานอยากเป็นลูกคุณหนูนักหรือไง ทำไมถึงเสนอหน้าขึ้นไปนั่งรถของคุณอัสนีเขาแบบนั้น”

“พระพายพยายามห้ามแล้ว”
“ไม่ต้องมาพูดมาก เธอเป็นลูกใครบอกมา พูดมา ! “

สาวไฮโซเดินเข้ามาล้อมเอาเรื่องพระพาย มองตาเขียวปั๊ดที่บังอาจทำข้ามหน้าข้ามตา พระพายก้มหน้าก้มตาพูดอย่างจ๋อยๆ

“หนูเป็นลูกโสเภณี โตมาในบ้านเด็กกำพร้า”
“พูดอีกครั้ง ! “
“หนูเป็นลูกโสเภณี โตมาในบ้านเด็กกำพร้า...”
“ยกมือไหว้ขอโทษคุณหนูทั้งหลายเดี๋ยวนี้ ! “

พระพายเศร้าน้ำตาคลอ ยกมือไหว้สาวไฮโซเหล่านั้น รู้สึกอัดอั้นตันใจกับชาติกำเนิดของตน แต่ก็มิอาจทำอะไรได้

“ ขอโทษค่ะ...”
สาวเหล่านั้นยิ้ม อารมณ์ดีขึ้น เดินสะบัดหน้าหนีไป

พระพายคอตก รู้สึกเสียใจทุกครั้งที่เมษากล่าวถึงชาติกำเนิดของตน เพราะดูเหมือนว่าไม่เคยมีใครต้องการเธอเลยสักคน

พระพายพาลหงุดหงิดคนที่เป็นต้นเหตุทำให้เธอเสียใจอย่างช่วยไม่ได้
“เพราะคุณคนเดียว! ขออย่าได้เจอะได้เจอกันในชาตินี้อีกเลย !! “

-----------------------------------------

เสียงเพลงฮิพฮอพดังกระหึ่มเข้ามาในคฤหาสน์หลังงามของตระกูล”ธีรนัย”ก่อนที่รถสปอร์ตสีแดงคันงามที่เปิดเพลงดังลั่นนั้นจะเลี้ยวเข้ามาจอด

อัคคีมองอัสนีที่เดินเป๋ลงมาจากรถอย่างไม่ชอบใจนัก วันนี้เขานัดให้ลูกชายเข้าไปที่บริษัท หวังจะให้อัสนีช่วยแบ่งเบาภาระงานของธีรนัย อัสนีไม่โผล่ไปให้เขาเห็นหน้า แต่กลับบ้านมาในสภาพเมามาย

อัคคีกลุ้มใจ ยังไงวันนี้เขาต้องคุยกับลูกให้รู้เรื่อง
อัสนีแทบจะสร่างเมาเมื่อเสียงของอัคคีดังขึ้น
“หายหัวไปไหนมาทั้งวัน”

อัสนีไม่ได้กลัวถูกดุ แต่เขาเป็นห่วงสุขภาพของผู้เป็นพ่อมากกว่า ดึกดื่นป่านนี้ทำไมยังไม่เข้านอน แต่จะให้อัคคีหลับลงได้อย่างไรเมื่อลูกชายเป็นเช่นนี้

“คนอย่างแกสนใจอะไรบ้าง วันๆฉันก็เห็นแต่แกลอยไปลอยมา งานการไม่คิดทำ ฉันไม่ได้อยู่กับแกค้ำฟ้านะโว้ย ขืนฉันเป็นอะไรขึ้นมา แกจะอยู่ยังไง”

“โอ๊ย หนังเหนียวอย่างพ่อ...ไม่ตายง่ายๆหรอกครับ ยังมีเวลาอยู่ทำงานปั๊มเงินได้อีกเยอะ”
“แต่งานที่บริษัท ฉันกับแม่แกช่วยกันสร้างมากับมือนะ ไม่ใช่เพราะมันหรอกเหรอ ฉันถึงมีเงินส่งแกไปร่ำเรียนเมืองนอกเมืองนา “

อัสนีตาวาว เขาจำชีวิตนักเรียนประจำอันแสนว้าเหว่เงียบเหงาได้ดี...ดีกว่าความรู้ทั้งหมดที่เขามีด้วยซ้ำ

“ใช่ครับเพราะบริษัทนี้ทำให้ผมมีเงินเรียน แล้วยังทำให้ผมกลายเป็นเด็กกำพร้า โตขึ้นมาในโรงเรียนประจำตลอดยี่สิบปี เพราะบริษัทนี้แหล่ะ ผมถึงเจอหน้าพ่อปีหนึ่งไม่ถึงยี่สิบวัน “

อัคคีอึ้งไป อัสนีมองพ่อ น้ำตาคลอหน่วย
“พ่อไม่เคยรักผม ชีวิตพ่อมีแต่งาน งาน งาน ผมถามจริงเหอะ ผมเคยอยู่ในชีวิตพ่อรึเปล่า?”

อัคคีจะอธิบาย แต่อัสนีไม่ฟัง
“อย่าบังคับให้ผมใช้ชีวิตแบบพ่ออีก ผมแค่อยากมีชีวิตของตนเอง สักวันหนึ่ง ผมจะมีครอบครัว จะมีลูก แล้วจะให้ความอบอุ่นกับพวกเขา ไม่ให้เขาต้องโตมาแบบผม “

อัสนีเดินออกไป อัคคียืนอึ้ง ไม่นึกว่าตนเองจะทำให้ลูกเศร้าร้าวลึกขนาดนี้

กลางดึก คืนนั้น...
อัคคีมองอัสนีที่ดวงตาหลับสนิท ลมหายใจสะท้อนสม่ำเสมออย่างรู้สึกผิด

“เวลาที่เรามีลูก พ่อแม่ทุกคนตั้งใจจะทำสิ่งที่ดีที่สุด แต่รู้ไหมพ่อแม่ก็เป็นคน บางครั้งเราก็ทำผิดพลาด พ่ออยากบอกว่าพ่อขอโทษ... เวลาที่เหลือต่อไปนี้ ให้โอกาสพ่อนะ เรามาเริ่มต้นกันใหม่ เรามาเริ่มต้นกันอีกครั้งนะลูก”

อัคคีลุกออกไปอย่างเศร้าๆ หารู้ไม่ว่าอัสนีได้ยินทุกคำพูด อัสนีลืมตาขึ้น มองดูพ่อเดินออกไป แววตาเขาอ่อนโยนลงมาก เขาเปิดมือถือ บันทึกเสียง

“พ่อครับ ผมไม่ได้หลับ ตกลงครับ .... เราจะเริ่มต้นกันใหม่”

อัสนีเขินอายเกินกว่าจะบอกกับพ่อตรงๆ เขาส่งข้อความเสียงไปให้อัคคีผ่านทางโทรศัพท์มือถือ ความสัมพันธ์พ่อ-ลูกดูเหมือนจะพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น

แต่...
อัสนีไม่รู้เลยว่าอัคคีทำโทรศัพท์ตกน้ำและเข้าศูนย์ซ่อมไปเมื่อช่วงเช้า คงต้องใช้เวลาสักหน่อยกว่าอัคคีจะได้ยินข้อความเสียงนั้น

-----------------------------------------

“อาโปลูกแม่...คิดถึงเหลือเกิน”

จิตตาตรงเข้าสวมกอดสาวน้อยในชุดชมพูช็อคกิ้งพิงค์ที่สวยเด่นสะดุดตากว่าใครๆ สาวน้อยหอมแก้มจิตตา และโอบกอดอย่างรักใคร่

“อาโปก็คิดถึงคุณแม่มากที่สุดเลยค่ะ”

“นมแสง” แม่นมส่วนตัวของอาโป เข็นรถขนกระเป๋าเดินเข้ามาหาสองแม่ลูก หลายปีที่ผ่านมา จิตตาส่งอาโปไปศึกษาเล่าเรียนในต่างแดน แต่ด้วยนิสัยรักสบายและไม่เคยอดทนต่อสิ่งใด อาโปจึงกลับมาเมืองไทยโดยไร้ปริญญาติดตัว

อีกมุมหนึ่งในสนามบิน เมษาแอบมองผลงานของตนอย่างภาคภูมิใจ จิตตาไม่เอะใจสักนิดว่าลูกรักที่เธอเฝ้าฟูมฟักไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของเธอจริงๆ เมษาคิดในใจ

“นังหน้าโง่ ประคบประหงมลูกโสเภณีนั่นอย่างกับเจ้าหญิง เพราะคิดว่าเป็นลูกของตัวเอง
ฮ่า..ฮ่า...น่าสมเพช! “

เมษาเดินตรงเข้าไปหาจิตตา ทักทายกันอย่างยิ้มแย้มเหมือนคนรู้จักสนิทสนมกันดี จิตตาแนะนำเมษากับอาโป
“อาโป นี่คุณป้าเมษา เพื่อนแม่ค่ะ”

หลายปีที่ผ่านมา เมษาสานต่อการแก้แค้นอย่างเลือดเย็น หล่อนผูกไมตรีกับจิตตาตั้งแต่ต้นปีที่แล้วเมื่อรู้ว่าจิตตาย้ายกลับมาทำงานที่เมืองไทย เพราะหลังจากจิตตาคลอดลูก เธอก็หอบหิ้วอาโปไปใช้ชีวิตอยู่ในต่างแดน

จิตตารับไมตรีของเมษาเป็นอย่างดี เธอจ้างบริษัทของเมษาให้ดูแลด้านบัญชีและกฎหมายต่างๆโดยไม่เคยรู้เลยว่าเมษาคือภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของอรชุนที่เข้ามาตีสนิทกับตนเพื่อรอวันแก้แค้น

อาโปยิ้มหวาน ไหว้เมษาอย่างงดงาม
“น่ารักจังเลยค่ะ คนนี้นี่เอง อนาคตของสุรเยนทร์ สวยก็สวย ชาติตระกูลก็ไม่มีที่ติ แถมยังเป็นทายาทคนเดียวของธุรกิจร้อยล้าน”

เมษาแกล้งชื่นชมอาโปด้วยน้ำเสียงจริงใจ อาโปยิ้ม รู้สึกถูกชะตากับเมษาไม่น้อยจึงชักชวนป้าเมษากลับไปบ้านกับเธอด้วย

--------------------------------------------------

ณ..คฤหาสถ์สุรเยนทร์ เย็นวันนั้น
เมษามองไปรอบบริเวณ ก่อนจะถามจิตตา

“ที่นี่มีแต่รูปของคุณกับหนูอาโป แล้วไม่ทราบว่าคุณพ่อของหนูอาโป...”
“เอ้อ ปรกติดิฉันลงครัวเอง วันนี้จะทำสปาเกตตี้ให้ทาน รอเดี๋ยวนะคะ”
จิตตาตัดบท เดินแยกไปยังห้องครัว เมษายิ้มเยาะ
“ไม่กล้าพูดความจริงว่าเล่นชู้กับผัวชาวบ้านล่ะสิ ฮึ! “

เมษาตามไป ทำทีเป็นลูกมือให้จิตตา หล่อนหั่นมะเขือเทศไป ถามจิตตาไป
“อาโปหน้าตาไม่เหมือนคุณ สงสัยจะหน้าตาไปทางคุณพ่อนะคะ คุณพ่อหนูอาโปเป็นคนไทยหรือเปล่าคะ”

แววตาของจิตตาวูบขึ้น แต่ท่าทียังสงบนิ่ง
“หั่นชิ้นใหญ่หน่อยก็ได้นะคะ” จิตตาเปลี่ยนเรื่องอีก

เมษาแกล้งทำเป็นคนดีเห็นอกเห็นใจ
“ฉันคงละลาบละล้วงมากเกินไป ความจริง ผู้หญิงเดี๋ยวนี้เก่งๆทั้งนั้น ถ้าได้สามีไม่ดี เลี้ยงลูกเองย่อมดีกว่า…ฉันนับถือคุณจริงๆค่ะ”

จิตตาคอแข็ง หยุดมือที่กำลังลวกเส้นสปาเก็ตตี้ทันที ไม่ชอบให้ใครว่าอรชุน
“พ่อของอาโปเป็นคนดีที่สุดเท่าที่ฉันรู้จักมาค่ะ ! “
จิตตาพูดอย่างมั่นใจ

“เขาเป็นรักแรกและรักเดียวในชีวิตของฉัน”
จิตตายิ้มมีความสุขเมื่อรำลึกถึงความรักของตนกับอรชุน
“เรารู้จักกันตั้งแต่เด็ก เขาเป็นลูกคนขับรถในบ้าน....”

เมษาฟังเรื่องราวนั้นอย่างแปลกใจ
“รู้จักกันตั้งแต่เด็กงั้นเหรอ ทำไมฉันไม่เคยรู้มาก่อน”

“ความแตกต่างกันทางสังคมน่ะค่ะ หม่อมราชวงศ์หญิง คำนำหน้าอันสูงส่งของฉัน มาพร้อมเงินทองและเกียรติยศ แต่ในเวลาเดียวกัน ก็เอาทุกอย่างจากฉันไป”

ดวงตาของจิตตาแปรเปลี่ยนเป็นความปวดร้าว ยังจำวันที่ต้องแยกจากับอรชุนได้ดี เมื่อท่านพ่อของเธอรู้ข่าวรักต่างชนชั้น

“ฉันต้องไปใช้ชีวิตอยู่ที่ต่างประเทศ ในขณะที่เขาถูกบังคับกลายๆให้แต่งงานกับผู้หญิงที่พ่อแม่เขาคิดว่าเหมาะสม”

เมษาฟังแล้วโกรธจัด หน้าแดง หล่อนกำมีดในมือแน่น ความคิดวนเวียนในหัว

“บังคับหรือ.. ไม่ ไม่จริง เขารักฉันต่างหาก เรารักกัน เรารักกัน อีบ้า ฉันเกลียดแก ฉันเกลียดแก ! “

เมษาขาดสติชั่ววูบ ถือมีดหันไปทางจิตตาด้วยแววตามาดร้าย จิตตามองทีท่าของเมษาอย่างแปลกใจ
“หั่นเสร็จแล้วหรือคะ”

เมษารู้สึกตัว รีบปรับเปลี่ยนสีหน้าทันที
“เอ้อค่ะ...แล้วเรื่องอาโป หมายความว่า คุณกับพ่อของอาโป...”
จิตตาอึ้งไป ไม่รู้จะเล่าส่วนนี้อย่างไร

ยี่สิบกว่าปีแล้ว...
หัวใจของจิตตาแทบหยุดเต้นเมื่อได้พบกับชายหนุ่มคนรักในต่างแดน เธอกับเขาถูกแยกจากกันให้อยู่คนละซีกโลก จิตตานึกไม่ถึงว่าจะได้พบอรชุนอีกครั้ง

“ตอนนี้พี่ทำงานเป็นสถาปนิก นี่พี่แวะมาประชุม”
“ได้ข่าวว่าพี่แต่งงานแล้ว” หัวใจของจิตตาวูบไป ความรักที่จิตตามีให้อรชุนไม่เคยลดน้อยลงสักวัน

อรชุนพยักหน้ารับ
“เรายังไม่มีลูก เธอเป็น....”
“ เอ้อ หญิงไม่อยากรู้ ....หญิงแค่ไม่อยากให้หัวใจตัวเองเจ็บไปมากกว่านี้ ก็เท่านั้นเอง”

อรชุนนิ่งเงียบไป...เข้าใจจิตตาดีทุกอย่าง เขามิอาจลืมเธอได้เช่นกัน
เยื่อใยรักของทั้งสองที่ไม่เคยแยกจากกันนี่เองที่ทำให้เขาและเธอทำผิดพลาด
เขาและเธอมีความสัมพันธ์กันลึกซึ้งในคืนหนึ่ง !

“เมื่อคืนนี้เป็นความผิดพลาด แต่เป็นฝันดีที่สุดของจิตตา”
อรชุนเดินเข้ามาสวมกอดจิตตาที่เหม่อมองไปนอกหน้าต่างอย่างเศร้าใจ
“พี่ขอโทษ พี่ไม่น่าเลย … พี่จะหย่ากับผู้หญิงคนนั้น”

“ไม่ได้ค่ะ ชีวิตของเราต้องดำเนินต่อไป จิตตาจะทำเหมือนเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น”
“แต่ว่าพี่กับเขา…”

“จิตตาไม่อยากรู้เรื่องผู้หญิงของพี่ ไม่อยากรับรู้อะไรทั้งนั้น อย่าบอกจิตตาเลยนะคะ พี่กลับไปที่เมืองไทย ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข จิตตาจะอยู่ที่นี่ไม่กลับไปเมืองไทยอีก เราสองคนจะจดจำสิ่งสวยงามนี้ไว้จนลมหายใจสุดท้าย…”

อรชุนใจหายวาบ
“คุณหญิง นี่หมายความว่าเราจะไม่ได้เจอกันอีกงั้นหรือ”

จิตตาหันกลับไปหาอรชุน
“ความรัก รับรู้ได้ด้วยใจ อยู่กับเราด้วยความผูกพัน ไม่จำเป็นต้องอยู่ร่วมกัน แค่ระลึกถึงกันเสมอ แค่นั้นความรักก็จะอยู่กับเราจนวันตาย” เหมือนว่าเธอจะบอกประโยคนี้กับตัวเองเช่นกัน

จิตตาน้ำตากลบหน้า อรชุนโผเข้ากอดหญิงสาวที่ตนรักสุดหัวใจ
“เราจะระลึกกันทุกวันเวลา จนลมหายใจสุดท้าย…เจ้าหญิงของผม”

จิตตาร้องไห้อย่างคนหัวใจแตกสลาย ทั้งสองกอดกันแนบแน่น พยายามจดจำทุกอย่างของกันและกันเอาไว้

เมษามองจิตตาที่นิ่งเงียบไปนานอย่างใคร่รู้ เสียงของเมษาเตือนสติให้จิตตาหยุดความคิดอดีตกลับเข้าสู่ปัจจุบัน
“ว่าไงคะ หนูอาโปเกิดขึ้นได้ยังไง คุณกับคุณพ่อหนูอาโป…เอ้อ...”


จิตตาตัดสินใจไม่เล่า
“อาหารเสร็จแล้ว ออกไปทานกันดีกว่านะคะ เอ๊ะ อาโปทำอะไรอยู่นะ สงสัยต้องไปดูหน่อยแล้ว”

จิตตาเดินออกไป เมษาตบโต๊ะด้วยความแค้นใจ
“นังเมียน้อย นังหน้าด้าน แกสมควรแล้วที่จะได้รับผลกรรมที่ทำไว้ คอยดูเถอะ แผนการฉันเสร็จสมบูรณ์เมื่อไหร่ หัวใจของแกจะเจ็บเหมือนที่ฉันเจ็บ คอยดู !! “




 

Create Date : 26 พฤษภาคม 2550    
Last Update : 2 มิถุนายน 2550 11:48:28 น.
Counter : 639 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  

แม่มดมีฤทธิ์
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 12 คน [?]




นันทวรรณ รุ่งวงศ์พาณิชย์ (บ๊วย)
นักเขียนบทละครโทรทัศน์

เจ้าของบทประพันธ์...>>>>>
ทาสรัก สวรรค์สร้าง
เพลงรักข้ามภพ
สู่แสงตะวัน อธิษฐานรัก
ดั่งดวงตะวัน เพียงผืนฟ้า
กลิ่นแก้วกลางใจ เปลวไฟในฝัน

ผลงานเขียนบท...>>>>>
บ่วง ทวิภพ สาปภูษา
ดั่งดวงตะวัน กลิ่นแก้วกลางใจ
เปลวไฟในฝัน หัวใจช็อคโกแล็ต
คลื่นรักสีคราม เล่ห์รตี

ผลงานกับละลิตา ฉันทศาสตร์โกศล ...>>>>>
ทางผ่านกามเทพ สามีตีตรา สายรุ้ง
ยอดชีวัน สามี บังเกิดเกล้า
หนึ่งในดวงใจคือเธอ สี่ไม้คาน
เลื่อมสลับลาย พรหมไม่ได้ลิขิต
ก้านกฤษณา ปลาหนีน้ำ ฯลฯ

ผลงานกับ ช่างปั้นเรื่อง...>>>>>
รักในม่านเมฆ เพียงผืนฟ้า ปิ่นมุก พลิกดินสู่ดาว อุ่นไอรัก
เบญจาคีตาความรัก รุ่งทิพย์ ต่างฟ้าตะวันเดียว
ปิ่นไพร ฯลฯ




Friends' blogs
[Add แม่มดมีฤทธิ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.