Group Blog
 
All blogs
 

กลิ่นแก้วกลางใจ ตอนที่ 21 - 22


ก ลิ่ น แ ก้ ว ก ล า ง ใ จ


บทประพันธ์ นันทวรรณ รุ่งวงศ์พาณิชย์
กมลชนก ยวดยง เรียบเรียงจากบทโทรทัศน์


ตอนที่ 21


“ได้ดอกไม้สวยๆพวกนี้ไปแต่งห้อง จอนนี่ต้องอารมณ์ดีแน่เลย “

อาโปมองดอกไม้ช่อสวยในมืออย่างมีความสุข หลายวันที่ผ่านมาเธอติดธุระทางธุรกิจมากมายจนไม่มีเวลามาหาเขา อาโปซื้อดอกไม้และข้าวของมาให้เขามากมายเพื่อให้เขาอารมณ์ดี แต่แล้วอาโปก็ต้องตกใจเมื่อเปิดประตูเข้าไปพบจอนนี่อยู่กับผู้หญิงอื่น !

อาโปมองจอนนี่ด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่ข้างในแสนเจ็บปวด
อาโปจำได้ดีเมื่อครั้งที่จอนนี่หอบเอาเงินเธอหนีไป เธอให้อภัยเขา เพราะจอนนี่อธิบายทุกอย่างจนเธอหายสงสัย

“คุณบอกว่าคุณหนีมาเฟียจนติดต่ออาโปไม่ได้ คุณบอกว่าคุณรักที่ตัวอาโป ไม่ใช่เงินทอง คุณบอกว่าคุณมีอาโปคนเดียวไม่เคยมีใคร ทุกๆเหตุผลมีแต่คนโง่ที่เชื่อ ... และคุณหนูอาโปก็เลือกที่จะโง่ !”

จอนนี่กลัวอาโปจะทิ้ง รีบอธิบาย
“อาโป...ผมไม่ได้หลอกคุณนะ ผมรักคุณ เด็กนั่นก็แค่ทางผ่าน แค่ของเล่นชั่วคราว”

“ที่ผ่านมา อาโปต้องหาข้อดีของคุณ ที่มีอยู่น้อยเหลือเกิน เพื่อมาหลอกตัวเองให้รักคุณ...เพื่อที่จะรักคุณเท่านั้น”

อาโปกล่าวด้วยสีหน้านิ่งเฉย จอนนี่แปลกใจกับท่าทีสงบนิ่ง ไม่โวยวายของอาโป เธอนิ่งจนเขาชักกลัว

จอนนี่จำใจคุกเข่า ตีหน้าเศร้า สำนึกผิด
“ผมขอโทษ ผมขอโทษ ผมขอโอกาสแก้ตัวใหม่ เชื่อผมอีกครั้งได้ไหม”

อาโปมองคนรักที่อยู่ตรงหน้าด้วยดวงหน้าเฉยเมย

“ผู้ชายของอาโปต้องรักอาโปคนเดียว ต้องสนใจ และคิดถึงอาโปคนเดียวตลอดเวลา อาโปให้คุณไปเต็มร้อย อาโปก็อยากได้จากคุณเต็มร้อยเหมือนกัน แต่ถ้าอาโปไม่ได้... ระหว่างเราจบกันแค่นี้ ! “

จอนนี่นิ่งอึ้งไป เป็นไปได้อย่างไรที่เธอตัดสัมพันธ์กับเขา อาโปไม่เคยใช้ไม้แข็งกับเขาเช่นนี้
อาโปมองจอนนี่อย่างอาลัยอาวรณ์ครั้งสุดท้าย ใช่ว่าเธอจะไม่รักเขา แต่การกระทำของเขาแสดงให้เธอเห็นแล้วว่าจอนนี่ไม่ได้รักเธอสักนิดเดียว

อาโปกลั้นน้ำตาแล้วสะบัดหน้าไปจากเขาอย่างเข้มแข็ง…สมกับเป็นอาโป สุรเยนทร์
แสง หัวเราะออกมาเสียงดังอย่างสะใจ

“ฮะฮะฮ่า ฮะฮะฮ่า ! ขอหัวเราะอย่างไม่มีเหตุผลหน่อยได้ไหม โฮ้ย ฮะฮะฮ่า! สวรรค์มีตา สวรรค์มีตา !

แสงเดินตามอาโปกลับไปที่รถอย่างอารมณ์ดี
“โชคดีนะคะที่วันนี้คุณหนูได้เห็นธาตุแท้ของไอ้ชั่วเนี่ยสักที แสงดีใจจริงๆค่ะที่เห็นคุณหนูเข้มแข็ง คุณหนูตัดใจจากมันได้แล้วใช่ไหมคะ”

แล้วแม่นมก็ต้องตกใจที่เห็นอาโปน้ำตาไหลเป็นทาง
“คุณหนู !”

อาโปอ่อนแอ ร้องไห้อย่างน่าสงสาร ผิดกับคุณหนูผู้มาดมั่นเมื่อสักครู่อย่างสิ้นเชิง
“นมขา … อาโป สุรเยนทร์ จะร้องไห้แค่วันนี้วันเดียว แค่วันนี้วันเดียวเท่านั้น “

อาโปโผเข้ากอดแสงแน่น ร้องไห้ออกมาอย่างสุดเสียใจ เธอปฏิญาณในใจ ...ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เธอเสียน้ำตาให้เขา !

วันรุ่งขึ้นอาโปก็ทำได้อย่างที่พูดจริงๆ เธอไปทำงานตามปกติ อารมณ์เสียใจแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธ หงุดหงิด เธออารมณ์เสียใส่คนรอบข้างตลอดเวลา แต่คนที่ได้รับผลกระทบนี้มาก
ที่สุดคงจะเป็นอัสนี ความห่วงใยของอัสนีทำให้อาโปรำคาญถึงขนาดไล่เขาด้วยการขว้างหินอ่อนที่ทับกระดาษใส่เขา

อัสนีหัวแตก อาโปรีบพาเขาไปรักษาที่โรงพยาบาล จิตตาโกรธมากที่อาโปมีพฤติกรรมก้าวร้าว เธอต่อว่าลูกสาวว่าทำเกินไป แต่อัสนีกลับออกรับแทนว่า อาโปไม่ได้ทำอะไร ที่เขาเจ็บตัวเพราะความซุ่มซ่ามของตัวเอง

อาโปทนความเป็นสุภาพบุรุษแสนดีของอัสนีไม่ไหว จึงเอ่ยปากถามอย่างหงุดหงิดใจ
“คุณเลือกจะปกป้องฉัน ทั้งๆที่ไม่ได้ขอ ฉันคงไม่ต้องขอบคุณคุณใช่ไหม”

“ไม่ต้องหรอกครับ ผมตั้งใจและเต็มใจที่จะให้เรื่องเป็นแบบนี้”
อัสนีตอบอย่างจริงใจมิได้ประชด อาโปเริ่มรู้สึกผิดที่ทำตัวไม่ดี

“เจ็บมากไหม” เธอเห็นแผลของเขาแล้วอดสงสารไม่ได้ อัสนียิ้มออกมาได้ทันที เป็นยิ้มแรกที่อาโปเห็นหลังเกิดเรื่อง

“แค่คุณถามก็หายเจ็บแล้วล่ะ”
อาโปเริ่มหมดความอดทน โวยขึ้นมา ไม่เข้าใจผู้ชายตรงหน้าเสียจริงๆ

“คุณนี่บ้าหรือโง่กันแน่ คุณก็รู้ว่าฉันเปลี่ยนไป ไม่เหมือนคนที่เกาะ คุณก็ยังดักดาน จมปลักอยู่ที่ฉัน เอางี้ไหม เราหย่ากัน แอบไปหย่าก็ได้ คุณจะได้เป็นอิสระ ไม่ต้องมาทนผู้หญิงอารมณ์ร้ายอย่างฉัน”

“หลายวันนี้ผมคิดเรื่องหย่าอยู่เหมือนกัน” อัสนีพูดด้วยใบหน้าเรียบเฉย ทำเอาอาโปอึ้งไปเหมือนกัน
“จริงหรือ”

“ทบทวนอยู่หลายครั้ง แต่ที่สุดก็ทำไม่ได้ ไม่ใช่เพราะกลัวว่าจะกระทบธุรกิจ แต่เป็นเพราะ …มีบางครั้งในชีวิต ที่เรามองไม่เห็นคนอื่น โลกของเรามีคนเพียงคนเดียว… และไม่มีใครแทนที่คนๆนั้น”

อัสนีจ้องมองอาโปด้วยสายตารักใคร่อย่างที่เขาไม่เคยใช้มันมองใคร จนอาโปอดที่จะหวั่นไหวตามไปด้วยไม่ได้ จริงสินะ...เธอต้องการผู้ชายที่รักเธอคนเดียว สนใจ และคิดถึงเธอคนเดียว...หรือว่าเขาคนนี้คือคนที่เหมาะสมกับเธอมากที่สุด

“คุณเป็นคนแบบนี้จริงๆหรือ…จริงสินะ ที่ผ่านมาคุณก็มีฉันคนเดียวจริงๆ”
เธอมองเขาอย่างพินิจพิจารณาเป็นครั้งแรก ดวงตาอ่อนโยนขึ้น

"ถ้าอย่างนั้นฉันถามอะไรหน่อยสิ ถ้าฉันไม่มีวันกลับไปเป็นเหมือนคนที่เกาะ… ฉันกลายเป็นอาโป จอมวีน เอาแต่ใจตัวเองและต้องการคนเอาใจตลอดเวลา คุณจะทำยังไง”

“ผมบอกไปแล้ว หัวใจผมเลือกไปแล้วที่จะรักแต่คนชื่ออาโป สุรเยนทร์ คุณอยากทำอะไรก็ทำไปเถอะ เอาเป็นว่าต่อไปนี้ ผมจะปล่อยให้คุณมีอิสระมากขึ้น จะไม่ตามตอแยเหมือนเมื่อก่อน คุณจะได้สบายใจขึ้น”

อัสนีเหมือนจะเดินจากไป อาโปตัดสินใจเรียกเขาไว้
“เดี๋ยว …”

อัสนีหยุดหันมามอง อาโปเดินตรงเข้าไปหาเขาเพื่อปรับความเข้าใจ
“ที่ผ่านมา ฉันยอมรับว่าฉัน…หลงผิดไป เอาเป็นว่าต่อไปนี้ เรามาเริ่มต้นใหม่แล้วกัน ถ้าคุณให้เวลาฉัน ฉันจะพยายาม แต่ได้เท่าไหร่ ฉันคงไม่รับประกัน”

อัสนีมองหน้าอาโปอย่างครุ่นคิด
“ผมไม่เคยเข้าใจเลยว่าคุณมีอะไรในใจนักหนา แต่เอาเถอะ แค่คุณรับปากว่าจะพยายาม ผมก็พอใจแล้ว” เขายื่นมือไปหาเธอเพื่อจับมือทำสัญญา

“ตกลงเราจะลืมเรื่องที่เกาะ ลืมเรื่องทุกอย่างแล้วมาเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ โอเคไหม”
อาโปยื่นมือไปจับมือเขาตอบ พร้อมส่งยิ้มหวานให้

“ตกลงค่ะ”
ทั้งสองยิ้มกว้างให้แก่กัน .....
ทั้งสองคนไม่รู้เลยว่าพระพายที่บังเอิญผ่านมาหยุดฟังถึงกับอึ้งไปทันที

ตกลงเราจะลืมเรื่องที่เกาะ ลืมเรื่องทุกอย่างแล้วมาเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่
เธอได้ยินสิ่งอัสนีพูดชัดเจนทุกคำ หัวใจเธอเจ็บราวกับถูกมีดปัก น้ำตาเจ้ากรรมล้นทะลักออกมาอย่างมิอาจกลั้น ....เขาไม่รักอาโปที่เกาะแล้วหรือ?

พระพายกลับไปที่พักอย่างนกปีกหัก หมดเรี่ยวแรงจะทำสิ่งใด แต่พระพายก็พยายามให้กำลังใจตนเอง

“เขาตัดสินใจเริ่มต้นใหม่ ดีแล้ว ดีจังเลย อาโปที่เกาะตายจากไปแล้ว เขาจะเริ่มต้นชีวิตด้วยกันโดยไม่มีอาโปที่เกาะอีก ไม่ต้องร้องไห้แล้วนะพระพาย หน้าที่ของเธอกำลังจะจบลงแล้ว…จะจบแล้ว”

น้ำใสๆไหลรินจากตาอย่างไม่รู้จักจบสิ้น พระพายรู้ดีว่าทำใจอย่างที่พูดไม่ได้สักนิด อัสนีกำลังจะมีความสุขกับผู้หญิงที่เขารัก เขายินดีลบเธอจากชีวิต....ยิ่งคิดพระพายก็ยิ่งเสียใจ จริงๆแล้วเธอเคยอยู่ในชีวิตเขาเสียที่ไหน ...อัสนีไม่เคยมีผู้หญิงที่ชื่อพระพายในใจสักนิด

เธอน้ำตาไหล...แล้วเหตุใดเธอถึงอยากมีเขาในใจ ไม่สามารถลบเขาไปจากใจเธอได้เสียที !!

อาโปยินยอมให้อัสนีเข้ามาใกล้ชิดสนิทสนมกับตนมากขึ้นอีกครั้ง เจ้าหล่อนสุขใจที่มีเขาตามใจ อย่างไม่มีขีดจำกัด คำหวาน คำรัก ความคิดถึงห่วงใยที่เขามีให้ ทำให้อาโป สุรเยนทร์ชินกับการเป็นผู้รับเสียแล้ว...เป็นผู้รับที่ดีเสียด้วย เพราะเมื่ออัสนีไม่เคยเรียกร้องอะไร เธอก็ไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องให้อะไรเขาเป็นการตอบแทน...

ชีวิตของคนทั้งคู่ดูจะไปได้สดใสหากไม่มีจอนนี่เข้ามาพัวพัน
“อาโป ผมอยากขอโทษเรื่องวันนั้น” เขาตัดสินใจกลับมาง้อเธออีกครั้ง

“เรื่องไหนเหรอคะ ฉันจำอะไรเกี่ยวกับคุณไม่ได้เลย” อาโปมองเขาด้วยสายตาว่างเปล่าจนจอนนี่ชักหวั่นใจ เขาเข้าไปกุมมือเธอ อ้อนวอน

“โธ่...คุณอย่าเย็นชาอย่างนี้สิครับ ผมขอโทษที่ทำให้คุณต้องเสียใจ คุณมีความสำคัญสำหรับผม เรากลับไปอยู่ด้วยกันเหมือนเดิมนะ ไม่มีคุณ ผมต้องตายแน่ “

จอนนี่ร้อนรนจนอาโปสังเวชใจ แต่ยังไม่ทันที่เธอจะตอบอะไรวิไลก็เปิดประตูห้องทำงานของเธอเข้ามา

“คุณหนูขา” เธอหันมองชายแปลกหน้าที่เข้ามาอยู่ในห้องนายสาวอย่างแปลกใจ “เอ๊ะเข้ามาได้ยังไง”

“มีธุระอะไร” อาโปหงุดหงิดที่วิไลเข้ามาขัดจังหวะ วิไลหน้าเสีย รีบรายงาน
“คุณอัสนีจะไปดูสถานที่ทำโรงงานใหม่ คุณหนูจะไปกับเธอไหมคะ”

“อากาศร้อนอย่างนี้เนี่ยนะ” อาโปโวยลั่น แต่พอเห็นจอนนี่ก็คิดแกล้ง เจ้าหล่อนเปลี่ยนคำพูดใหม่ทันที “ความจริงก็ดีเหมือนกัน เรื่องใหญ่ๆอย่างนี้ภรรยาควรอยู่เคียงข้างสามี”

“อาโป ! “ เขามองเธออย่างตกใจ ไม่คิดว่าอาโปจะกล้าพูดอย่างนี้
“คุณจะทิ้งผมไปคบไอ้หมอนั่นหรือ”

วิไลเห็นว่าไม่ควรอยู่จึงรีบออกไป ปล่อยทั้งทั้งสองเคลียร์กัน อาโปแกล้งเล่าถึงอัสนีด้วยสีหน้ามีความสุข แกล้งให้จอนนี่เจ็บเล่น

อัสนี คือผู้ชายที่ทุ่มเท รักและคิดถึงฉันตลอดเวลา คุณเทียบเขาไม่ติดเลยล่ะ”
เจ้าหล่อนสะใจชะมัดที่เห็นจอนนี่หน้าซีดราวไก่ต้ม เธอลุกขึ้น ตัดบท

“ เรื่องที่คุณจะบอกฉันมีแค่นี้ใช่ไหมคะ เอาเป็นว่าฉันรับทราบแล้วกัน” อาโปหยิบกระเป๋าถือแล้วรีบเดินออกไป ปล่อยให้จอนนี่มองตามอย่างแค้นใจเพียงลำพัง

“โธ่โว้ย ! “
จอนนี่หงุดหงิดใจอย่างมาก จู่ๆเจ้าหล่อนสลัดเขาทิ้งอย่างคนไม่มีเยื่อใยอย่างนี้ได้อย่างไร ...สักวันเถอะ เขาต้องกลับไปเป็นชายเดียวในหัวใจของอาโปให้ได้ คอยดู ! จอนนี่ปฏิญาณกับตนเองเช่นนั้น


อัสนีพาอาโปไปดูโรงงานที่ภานุบอกว่าน่าสนใจ สมควรที่จะซื้อเพื่อตั้งโรงงานแห่งใหม่ แต่เมื่อไปถึงแล้วก็ต้องแปลกใจที่มันเป็นเพียงโรงงานร้าง เก่าแก่ เปลี่ยว และห่างไกลผู้คน

“อาภานุคิดอะไรของเขา จะให้เอาที่แบบนี้มาเป็นโรงงานหรือ “ เขาไม่สงสัยเลยสักนิดว่าแท้จริงแล้วเป็นแผนการที่ภานุต้องการจะหลอกอัสนีไปฆ่า

เมื่อเช้านี้เองที่อัสนีระแคะระคายเรื่องตัวเลขบัญชีรายรับจ่ายช่วงที่ภานุเป็นผู้บริหาร เขาต้องการให้ภานุหาคำตอบที่ชัดเจนมาอธิบาย ผู้เป็นอารู้สึกหงุดหงิดใจ ทั้งยังกลัวจะถูกจับได้ เลยวางแผนให้หลานรักมาที่แห่งนี้ เพื่อกำจัดเขาไปให้พ้นทาง

“ลงไปดูสักหน่อยแล้วกัน” อัสนีชวนอาโปลงไปดูสถานที่ข้างใน เจ้าหล่อนจำใจลงไปกับเขา แต่เมื่อหล่อนยิ่งเห็นสภาพก็ยิ่งเบ้หน้าด้วยความไม่ชอบใจ

“เก่าเก็บผุพังซะขนาดนี้จะไหวเหรอคะ อาโปว่าเราไปซื้อที่ดินเปล่าแล้วสร้างโรงงานใหม่ยังดีกว่า”

แต่อัสนียังไม่ละความพยายาม “เห็นคุณอาบอกว่าข้างในมีเครื่องจักรเก่า ไปดูทางนู้นกัน
ไหมครับ”

อาโปปล่อยมือที่จับอยู่กับอัสนีทันที
“ฝุ่นท่าจะเยอะ อาโปไม่ไปได้ไหม”

อัสนีชั่งใจ เป็นห่วงไม่อยากทิ้งอาโปไว้ตามลำพัง แต่ในเมื่อเขามาถึงที่แล้วจะไม่ดูจนทั่วก็เสียเที่ยวอยู่ อัสนีตัดสินใจส่งกุญแจรถให้อาโป

“งั้นคุณกลับไปรอที่รถ เดี๋ยวผมมานะ ไม่นานหรอก”

อาโปพยักหน้าเข้าใจ ทั้งสองเดินแยกย้ายกันไปคนละทาง แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นเมื่ออัสนีถูกลอบทำร้ายจนสลบไป แต่ไม่ทันที่คนร้ายจะใช้อาวุธจัดการ พระพายก็ใช้ท่อนไม้ตีคนร้ายจนสลบไปเช่นกัน

พระพายมาได้อย่างไรไม่มีใครรู้ เธอรีบเข้าไปเขย่าตัวเรียกอัสนี
“คุณอัสนี คุณอัสนี”

อัสนีสะลึมสลือ แปลกใจในเสียงเรียกนี้ว่าเคยได้ยินที่ไหน
มันช่างคุ้นหูเสียเหลือเกิน แต่ก็ดูเหมือนเลือนลางเต็มที...

อัสนีพยายามตั้งสติใหม่ เมื่อเขาฟื้นขึ้นมาก็ต้องแปลกใจที่ได้เห็นพระพาย
“พระพาย คุณมาที่นี่ได้ยังไง” อัสนีแปลกใจมากที่เห็นพระพายที่นี่

“มีคนต้องการทำร้ายคุณ รีบหนีเถอะค่ะ” เธอไม่ตอบคำถาม ได้แต่ประคองเขาลุกขึ้นและพาออกไป

พระพายไม่อยากเสียเวลาอธิบายว่า เธอตามเขามาที่นี่เพราะอัสนีลืมกล้องถ่ายรูปที่จะนำมาบันทึกภาพโรงงานไว้ที่บริษัท เธอจึงถูกใช้ ให้นำกล้องที่ลืมมาให้เขา แต่แล้วเธอก็แอบได้ยินคนร้ายสองคน สมุนที่ไม่มีใครรู้จักของภานุ กำลังวางแผนลอบทำร้ายเขาที่หน้าโรงงาน เธอจึงเข้ามาช่วยอัสนีไว้ได้ทัน

พระพายประคองอัสนีเดินจะไปที่ทางออก แต่แล้วก็ต้องตกใจที่ได้ยินเสียงกรี๊ดสนั่นของอาโปที่ดังมาจากในโรงงานอีกด้าน

“อาโป” อัสนีหน้าตื่น เขารีบวิ่งกลับเข้าไปในโรงงานทันที
“คุณอัสนี อย่าไป เดี๋ยวก่อน”

พระพายพยายามห้ามเขาไว้ แต่เมื่อไม่ทันจึงตัดสินใจโทรศัพท์แจ้งความและขอความช่วยเหลือจากตำรวจทันที

อัสนีเข้าไปช่วยอาโปที่ถูกคนร้าย หล่อนถูกคนร้ายพวกนั้นจับเป็นตัวประกัน เขาพยายามเจรจาให้คนร้ายปล่อยตัวอาโปแต่ไม่เป็นผล พระพายที่แอบอยู่ โผล่เข้ามาช่วยเหลือด้วยไม้ท่อนหนึ่ง อัสนีรีบพาอาโปหนี

ระหว่างที่ทั้งสามกำลังออกวิ่งไป คนร้ายคนหนึ่ง ใช้ปืนยิงมาที่พวกเขา
“เปรี้ยง !! “

“โอ๊ย ” อาโปร้องอย่างเจ็บปวดเมื่อกระสุนพุ่งเข้าฝังที่แขนเธอ ทั้งพระพายและอัสนีตกตะลึง
“อาโป”

เสียงไซเรนรถตำรวจดังขึ้น คนร้ายตกใจ...
อัสนีโกรธมากที่คนร้ายทำคนรักของเขาเจ็บ อัสนีฉวยจังหวะนั้น แย่งปืนจากคนร้ายมาได้และตบเข้าที่กกหูคนร้ายด้วยความแค้น คนร้ายตัดสินใจหนี !

“อาโป เป็นไงบ้าง โธ่ไม่น่าเลย”
“โอ๊ยๆๆ ฮือ นมแสง คุณแม่ ช่วยอาโปด้วย อาโปเจ็บ “
อาโปร้องครวญครางอย่างน่าเวทนา

ตำรวจมาถึงสายเกินไป คนร้ายหลบหนีไปแล้ว อาโปถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลเพื่อรับการรักษาอย่างเร่งด่วน

ทุกคนรับรู้ข่าวอาโปพ้นขีดอันตรายอย่างโล่งใจ อัสนีถือโอกาสนี้ขอบคุณพระพายและปรับความเข้าใจกับเธออีกครั้ง

“เธอกล้าหาญมากเลยนะ ผู้หญิงตัวเล็กๆ แต่ใจเด็ดเหลือเกิน ฉัน..ฉันอยากจะขอโทษที่ทำไม่ดีหรือพูดจาแย่ๆใส่เธอ...ฉันมองเธอผิดไป อย่าโกรธฉันเลย ยกโทษให้ฉันนะ”

พระพายยิ้มให้เขาแทนคำตอบ ที่จริง เธอไม่เคยโกรธเขาสักนิด อัสนีโล่งใจที่พระพายยกโทษให้ ทั้งสองรู้สึกดีต่อกันมากขึ้น

“ต่อไปนี้เธอควรพูดกับฉันได้แล้ว เธอคงลืมไป ว่าตอนนั้นเธอพูดกับฉัน เสียงของเธอทำให้ฉันได้สติ”

พระพายตกใจ....เธอเรียกชื่อเขาตอนที่เขาหมดสติไป แต่ไม่คิดว่าอัสนีจะจำได้
“ความจริงเสียงเธอเพราะนะ คุ้นหูมาก เหมือนเคยได้ยินที่ไหน”

พระพายหน้าตื่น ใจเต้นแรง กลัวว่าเขาจะจำเธอได้ เธอไม่อยากทำให้เขาสับสนอีก อัสนีไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมในหัวตัวเอง จึงคิดถึงเสียงอาโปที่เกาะ แต่เขาก็เชื่อว่าอาโปคืออาโป จึงไม่ติดใจอะไร เรื่องพระพายและอาโปที่เกาะจะมาเกี่ยวข้องกัน ช่างไร้เหตุผลในความคิดของเขา

“ช่างเถอะ ตอนนั้นหัวคงได้รับความกระทบกระเทือนน่ะ”
พระพายลอบถอนใจ อัสนียิ้มให้เธอ

“ เอาเป็นว่า เราทั้งสองคนช่วยกันลืมเรื่องในอดีตทั้งหมดแล้วเริ่มต้นทำความรู้จักกันใหม่ เป็นเจ้านายลูกน้อง เป็นเพื่อน ในแบบที่เป็นตัวของตัวเอง ไม่ต้องเกร็งใส่กัน แบบนี้ดีไหม”

หัวใจพระพายวูบไป....นั่นสิ...เธอก็เป็นได้แค่เจ้านายลูกน้อง เป็นเพื่อน ก็แค่นั้น....แค่นั้นเอง...แต่มันก็ดีกว่า”ไม่ได้เป็นอะไร” ในสายตาเขาไม่ใช่หรือ

พระพายตัดสินใจพยักหน้ายอมรับในข้อเสนอของเขา อัสนียิ้มโล่งใจ ความสัมพันธ์ของทั้งสองดีขึ้น

ทุกอย่างดูเหมือนจะคลี่คลายไปในทิศทางที่ดี ทั้งอาโป...พระพาย...อัสนี...จะมีเพียงจิตตาเท่านั้น ที่สะดุดใจเรื่องของลูกรัก เหตุการณ์อาโปถูกยิง อาโปปลอดภัย แต่ทำให้จิตตารู้เป็นครั้งแรกว่า อาโปมีเลือดกรุ๊ปเอบี

กรุ๊ปเลือดของอาโป ไม่สัมพันธ์กับของเธอและอรชุนที่เป็นกรุ๊ปโอ
มันเกิดอะไรขึ้น เป็นไปได้อย่างไรกัน !!!




ก ลิ่ น แ ก้ ว ก ล า ง ใ จ


บทประพันธ์ นันทวรรณ รุ่งวงศ์พาณิชย์
กมลชนก ยวดยง เรียบเรียงจากบทโทรทัศน์


ตอนที่ 22


บรรยากาศภายในห้องพักคนไข้พิเศษระดับวีไอพีอย่างอาโป ดูจะสดใสกว่าใคร เมื่ออัสนีสั่งดอกไม้หลากสีสันมาจัดแจกันประดับไว้ทั่วบริเวณ เขาอยากให้ผู้หญิงที่เขารักสดชื่น และแข็งแรงเร็วๆ

“นี่ครับ…อั้ม....”
เขาเป็นคนป้อนอาหารภรรยาสุดที่รักด้วยตนเอง นมแสงมองอัสนีอย่างปลื้มใจที่อาโปเลือกคนไม่ผิด

อาโปที่อาการดีขึ้นมากแล้วทานอาหารของโรงพยาบาลที่อัสนีป้อนอย่างเบื่อหน่าย
“อาหารโรงพยาบาลนี่จืดสนิทเลย ไม่กินแล้ว นมขา สั่งพิซซ่าให้อาโปหน่อย”

“ไม่ได้ค่ะ แผลยังไม่ทันหายเลย ทานฟาสฟู้ดส์จะดีหรือคะ”
“ก็อาโปเบื่อนี่ แค่นั่งๆนอนๆก็จะแย่อยู่แล้ว นะคะคุณอัสนี ให้อาโปทานพิซซ่านะคะ” เมื่อขอร้องนมแสงไม่ได้ผล เธอก็หันมาส่งสายตาอ้อนวอนอัสนีแทน

“ก็ได้ แต่ได้ชิ้นเดียวนะ อนุญาตให้ทานพอหายอยากเท่านั้น” เขาแกล้งทำเสียงดุ แต่หน้ายิ้ม อาโปตาโต ยิ้มกว้างดีใจ

“ก็ยังดี.... สั่งเลย นมแสง …เร็วเข้า “
แล้วกระบวนการเอาใจคุณหนูอาโปก็ดำเนินต่อไป

โดมและพระพายที่ยืนมองอยู่หน้าห้องพูดคุยกันเบาๆ
“กลายเป็นครอบครัวสุขสันต์ไปแล้ว ยายตัวร้ายมีนมแสงคอยตามใจไม่พอ ตอนนี้เพิ่มนายอัสนีเข้าไปอีกคน แม่นั่นคงเหมือนครองโลกทั้งใบ”

“คุณอาโปเลิกกับจอนนี่เด็ดขาดแล้ว เขาสองคนคงตั้งต้นชีวิตครอบครัวได้เสียที” พระ
พายบอกอย่างเศร้าใจ ถึงแม้เธอจะทำใจเรื่องอัสนีได้บ้างแล้ว แต่การได้เห็นคนที่เธอรัก เอาใจใส่คนอื่นก็ทำให้ปวดใจไม่น้อย

“คุณอัสนีได้ยินเสียงพระพายแล้ว เขาจำไม่ได้เลยหรือ ทำไมล่ะ” พระพายเล่าเรื่องที่เข้า
ไปช่วยอัสนีและอาโปให้หมอโดมฟังเรียบร้อยแล้ว

“ดูเหมือนจะสับสนนิดหน่อย แต่ก็ไม่เห็นสนใจอะไร ไอ้เราก็เก็บปากมาตั้งนาน ที่แท้ก็จำ
ไม่ได้ เขาคงปักใจแต่อาโป ที่เขาเห็นคนนั้นคนเดียว…อีกไม่นาน คงหมดหน้าที่ของพระพายแล้วล่ะ”

“แล้วทำไมต้องทำหน้าเศร้าด้วยล่ะ พี่ว่า พระพายน่าจะดีใจนะ” โดมลอบสังเกตอาการ
ของเธอ แต่พระพายรีบปฏิเสธ

“พระพายไม่ได้เศร้านี่คะ ก็แค่พูดเฉยๆ”
โดมส่ายหน้าว่ายังจะมาเถียง เขาตั้งท่าจะโวยเธอต่อ แต่จิตตาก็เดินเข้ามาเสียก่อน

“หมอโดมใช่ไหม”
โดมและพระพายหันไปยกมือไหว้จิตตา

“วันนี้ผมมีเวรที่นี่ครับ แต่ยังไม่ถึงเวลางาน”
“ถ้าอย่างนั้น ขอปรึกษาอะไรหน่อยสิคะ”

โดมรับปากอย่างยินดี พระพายแยกไปให้จิตตาและโดมได้พูดคุยธุระกันตามลำพัง
“อาเคยได้ยินมาว่า ลูกจะต้องมีกรุ๊ปเลือดเหมือนพ่อแม่ถูกต้องไหมคะ” จิตตารอคำตอบด้วยหัวใจร้อนรน

“หมู่โลหิตหรือกรุ๊ปเลือด เป็นลักษณะทางพันธุกรรมที่ถ่ายทอดจากพ่อแม่สู่ลูกถูกต้องแล้ว
ครับ”

“แล้วถ้ากรุ๊ปเลือดของทั้งพ่อและแม่เป็นกรุ๊ปโอล่ะคะ”
“ลูกก็มีเลือดกรุ๊ปเลือดโอได้สถานเดียวครับ”

จิตตาหน้าซีด นิ่งอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะถามซ้ำเพื่อความมั่นใจ
“แน่ใจหรือคะ เป็นไปได้ไหมที่จะเกิดการผ่าเหล่า หมายถึง กรณีพิเศษน่ะค่ะ”
“ไม่มีทางครับ”
เหงื่อเม็ดเล็กผุดขึ้นทั่วใบหน้า จิตตาเฝ้าแต่ครุ่นคิด เป็นไปได้อย่างไรที่อาโปจะไม่ใช่ลูกของตน ต้องมีอะไรผิดพลาดเกิดขึ้นแน่ๆ
“คุณหญิงถามเรื่องนี้ มีอะไรหรือเปล่าครับ” คำถามของโดมทำให้จิตตาได้สติ เธอรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติทันที ก่อนจะปฏิเสธออกไป

จิตตาขอร้องให้ทางโรงพยาบาลตรวจเลือดของอาโปอีกครั้งโดยอย่าบอกให้คนไข้รู้ เมื่อผลตรวจยืนยันว่าอาโปมีกรุ๊ปเลือดคนละกรุ๊ปกับเธอ จิตตาก็รีบโทรศัพท์ติดต่อไปยังโรงพยาบาลที่เธอคลอดทันที

“ฝ่ายเวชระเบียนหรือเปล่าคะ ดิฉันอยากเช็คประวัติคนไข้ที่มาคลอดลูกเมื่อ20กว่าปีที่แล้ว คุณมีเก็บไว้ไหมคะ”

จิตตารับฟังคำตอบจากทางโรงพยาบาลด้วยหัวใจพองโต หากโรงพยาบาลเก็บประวัติการคลอดของเด็กไว้ทุกคน เธอก็น่าจะตามหาตัวลูกได้ไม่ยาก จิตตาให้เลขายกเลิกงานทุกอย่างเพื่อให้เธอได้เดินทางไปโรงพยาบาลในวันรุ่งขึ้น

เมษารับรู้ข่าวว่าจิตตาจะไปต่างจังหวัดจึงอาสาไปเป็นเพื่อน แต่จิตตาปฏิเสธเพราะเห็นว่าเมษาเพิ่งออกจากโรงพยาบาล เมษาโกรธมากที่ถูกจิตตาบอกปัด เธอคิดว่าจิตตาระแวง ไม่ยอมให้เธอเข้าใกล้อีกต่อไป อาการเครียดของเมษากำเริบขึ้นทันที เธอกลับไปอาละวาดเผารูปอรชุนทิ้งจนไฟเกือบไหม้บ้าน พระพายและเหล่าคนใช้ต้องเข้าไปห้ามปราม แต่ยิ่งเมษาเห็นพระพาย ก็ยิ่งโวยวาย

“มาแล้วหรือ นังลูกชู้ แกกับพ่อแก ต้องลงนรกไปพร้อมกัน “

เมษาปราดเข้าไปหาพระพาย พร้อมเทียนในมือ จะเผาพระพาย เหล่าคนใช้ต้องช่วยกันจับตัวเมษาไว้ เมษาดิ้นพราดทำอะไรไม่ได้ เกิดความขัดใจอย่างรุนแรง กรี๊ดเร่าๆ

“ปล่อยปล่อยฉัน ฉันจะฆ่านังลูกชู้ ! “
เมษากรีดร้องจนเป็นลมไป พระพายรีบเข้าไปดูแลเมษาให้พักผ่อน ส่วนคนอื่นๆช่วยกันดับไฟอย่างชุลมุน

รูปอรชุนถูกไฟไหม้ไปเพียงครึ่งหนึ่ง พระพายหยิบรูปพ่อของตนขึ้นมองรู้สึกแปลกๆในใจ

“นี่หรือคะรูปสามีของคุณแม่ พระพายเพิ่งเคยเห็น “ เธอมองรูปอรชุนอย่างครุ่นคิด

“ที่คุณแม่พูดเรื่องลูกชู้ นี่มันอะไรกันคะ พระพายเคยได้ยินครั้งนี้เป็นครั้งที่สองแล้ว สามีคุณแม่เคยนอกลู่นอกทางหรือเปล่าคะ”

ทุกคนส่ายหน้าปฏิเสธว่าไม่รู้เหมือนกัน พระพายมองภาพอรชุนอย่างรู้สึกผูกพัน
“สามีคุณแม่หน้าตาดีจังนะคะ…”

“ไฟไหม้ขนาดนี้ ไม่รู้จะซ่อมภาพนี้ได้ไหม” ลุงเดชคนขับรถอาสาจะนำภาพไปซ้อมให้ แต่พระพายถือภาพนี้ไว้ไม่ส่งคืนให้

“พระพายเก็บไว้เองค่ะ อย่าเอาไปซ่อมเลย คุณแม่ไม่ควรเก็บภาพนี้ไว้อีก เพราะจะทำให้ท่านแย่ลง บอกท่านแล้วกันนะคะว่าทิ้งไปแล้ว”

คนใช้ทั้งสามพยักหน้ากัน พระพายมองรูปอรชุนในมือสนอกสนใจ เธอไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงอยากเก็บรูปชายแปลกหน้าคนนี้ไว้ ทั้งๆที่เธอและเขาไม่เคยมีความเกี่ยวข้องกันสักนิด

รถของจิตตาแล่นเข้ามาจอดหน้าตึกของโรงพยาบาลขนาดกลางของจังหวัดทางภาคเหนือ
เมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้วเธอมาดูงานผ้าไหมและเกิดเจ็บท้อง ต้องคลอดบุตรกระทันหัน ณ โรงพยาบาลแห่งนี้ ...เธอไม่รีรอที่จะรีบลงจากรถตรงไปยังห้องระเบียนเวชทันที

จิตตาส่งกระดาษจดวันเดือนปีเกิดของอาโป คือวันที่ 20 ก.พ. 2528 ให้แก่เจ้าหน้าที่
“ดิฉันอยากทราบรายชื่อเด็กที่คลอดในช่วงเวลานี้ รบกวนเช็คให้ดิฉันหน่อยเถอะนะคะ”

เจ้าหน้าที่จำเสียงจิตตาได้ทันที
“ อ๋อ..คุณที่โทรมา คุณจะเอาข้อมูลพวกนี้ไปทำอะไรคะ”

“เอ่อ..คือ เมื่อ 22 ปีก่อน ฉันเคยมาทำงานที่นี่ เลยมาคลอดลูกที่โรงพยาบาลนี้ แต่ดิฉันสงสัย เอ่อ..สงสัยว่าดิฉันอาจจะรับเด็กไปผิดคน”

“คุณคิดว่าเกิดการสลับตัวลูกของคุณกับเด็กอื่นเหรอคะ” เจ้าหน้าที่ถามอย่างตื่นเต้น
“ก็...ประมาณนั้นแหละค่ะ”

เจ้าหน้าที่หัวเราะคิกเมื่อได้ฟัง เรื่องอย่างนี้เคยเกิดขึ้นที่ไหน ยายนี่สงสัยจะบ้านิยายขึ้นสมอง แต่เธอก็ทำตามคำขอร้องของจิตตา

“เพื่อความสบายใจของคุณ ดิฉันจะลองหาให้ รอสักครู่นะคะ”
“ขอบคุณมากค่ะ”

จิตตาพยายามข่มใจไม่ให้โกรธ ทำไมเธอจะไม่รู้ว่าเจ้าหน้าที่หญิงคนนั้นคิดอย่างไร แต่เพื่อลูก จิตตาจำต้องอดทน เธอรอคอยอย่างมีความหวัง

เจ้าหน้าที่หญิงคนเดิมเดินออกมาพบจิตตาพร้อมกับเจ้าหน้าที่อาวุโสคนหนึ่ง จิตตาปราดเข้าไปพบเขาอย่างตื่นเต้น

“เป็นอย่างไรบ้างคะ ได้ข้อมูลแล้วใช่ไหม ไหนล่ะคะแฟ้มรายชื่อเด็กที่เกิดในช่วงนั้น”
เจ้าหน้าหญิงก้มหน้างุด “ดิฉันต้องขอโทษด้วยนะคะ ดิฉันเพิ่งมาทำงานใหม่”

จิตตารับฟังอย่างแปลกใจ สิ่งที่เธอคนนั้นพูดมันหมายความว่าอย่างไร เจ้าหน้าที่อาวุโสบอกจิตตาอย่างลำบากใจ

“โรงพยาบาลเราเกิดไฟไหม้ใหญ่เมื่อปลายปี 2528 ซึ่งเป็นปีที่ลูกคุณเกิด....”
“หมายความว่า...” จิตตาหน้าซีด หญิงสูงวัยคนนี้กำลังจะบอกอะไรกับเธอ

“เอกสารต่างๆตั้งแต่เปิดโรงพยาบาล จนถึงเดือนตุลาคมปี2528 ถูกไฟไหม้หมดลูกคุณเกิดเดือนกุมภาพันธ์ แต่ไฟไหม้ในเดือนตุลาคม เราเสียใจด้วยนะคะ เสียใจด้วยจริงๆ”

จิตตาขับรถกลับกรุงเทพด้วยความผิดหวัง เธอร้องไห้ตลอดทาง เธออยากรู้เหลือเกินว่าป่านนี้เลือดเนื้อเชื้อไขของเธอกับอรชุนจะเติบโตขึ้นมาอย่างไร อยู่กับใคร ที่ไหน จะเป็นตายร้ายดีอย่างไร....

เธอกลับมาที่สุรเยนทร์ด้วยด้วยสีหน้าซีดเซียว ดวงตาเศร้า พระพายที่เข้ามาต้อนรับเห็นแล้วตกใจ รีบพาจิตตาไปนั่งพัก เธอช่วยบีบนวด ปรนนิบัติพัดวีจนจิตตาอาการดีขึ้น จิตตามองพระพายอย่างเศร้าใจ คิดถึงลูก

“พระพาย ตอนเป็นเด็กเธอลำบากมากไหม”
พระพายประหลาดใจกับคำถามของจิตตา แต่เมื่อเห็นแววตาใคร่รู้ของจิตตา จึงเล่าให้ฟัง

“ชีวิตในบ้านเด็กกำพร้าน่ะเหรอคะ...ถ้าพระพายจะบอกว่า ไม่มีวันไหนเลยที่พระพายไม่ร้องไห้คุณหญิงจะเชื่อไหม”
พระพายถอนใจ หน้าเศร้าเมื่อรำลึกความหลัง

“ที่นั่นมีข้าวให้กินแต่เราไม่เคยรู้จักคำว่าอิ่ม มีที่ให้นอนแต่เราไม่เคยหลับฝันดี เรามีเสื้อผ้าใส่ให้ร่างกายอุ่น แต่มันไม่เคยช่วยปัดเป่าความหนาวเหน็บในใจเราได้……หลายคนอาจจะคิดว่าเด็กกำพร้าอย่างเราแค่มีที่ให้นอน มีอาหารให้กิน มีเสื้อผ้าใส่อย่างเด็กปกติทั่วไปก็น่าจะเพียงพอแล้ว แต่คุณหญิงทราบไหมคะว่าเด็กกำพร้าทุกคนต้องการอะไร... อ้อมกอดจากพ่อกับแม่ไงคะ ตอนเด็กๆพระพายคิดอยู่เสมอว่าอ้อมกอดของแม่จะอุ่นแค่ไหน อุ่นเท่าพระพายกอดตัวเองรึเปล่า...”

จิตตาหน้าเศร้า สะท้อนใจอย่างบอกไม่ถูก ถ้าลูกของเธอตกอยู่ไหนสภาพนั้นบ้างจะทรมานแค่ไหน...หัวอกคนเป็นแม่อย่างเธอไม่กล้าแม้แต่จะคิด

จิตตาปลีกตัวเข้าห้องคุยกับภาพบ้านกลิ่นแก้วที่เป็นเสมือนตัวแทนของอรชุน
“พี่อรชุน...เราจะทำยังไงกันดีคะ เอกสารของโรงพยาบาลถูกไฟไหม้หมด หญิงเป็นห่วงลูก อยากเจอลูกเหลือเกิน”

จิตตากอดภาพบ้านกลิ่นแก้วไว้แนบอกคิดถึงทั้งพ่อ ทั้งลูกจับใจ

“ไม่ว่าลูกเราจะอยู่ที่ไหน พี่อรชุนต้องช่วยคุ้มครองเขาให้มีความสุขด้วยนะคะ...” จิตตาปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาเงียบๆ

“ก๊อก ก๊อก...”
เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น จิตตารีบเช็ดน้ำตา ปรับสีหน้าให้เป็นปกติ
“เชิญจ้ะ...”

พระพายถือแจกันดอกแก้วเข้ามาตั้งให้ที่โต๊ะจิตตา จิตตามองพระพายอย่างแปลกใจ
“ดอกไม้วิเศษที่ช่วยให้อารมณ์ดีขึ้นได้ค่ะ “

จิตตาปลื้มใจ พระพายช่างละเอียดอ่อน อ่อนโยนกับทุกคนจริงๆ พระพายคลานเข้าไปนั่งใกล้ๆจิตตา

“คุณหญิงขา พระพายไม่รู้ว่าคุณหญิงกำลังไม่สบายใจเรื่องอะไร แต่พระพายอยาก
เห็นคุณหญิงมีความสุข ยิ้มได้เหมือนแต่ก่อนนะคะ”

“ขอบใจหนูมากนะ” จิตตามองเด็กตรงหน้าที่เรียบร้อย อ่อนหวาน กิริยามารยาทไม่มีที่ติอย่างพิจารณา

“ฉันไม่อยากเชื่อเลยว่าเด็กที่ผ่านเรื่องร้ายมามากมายอย่างหนูจะยังเป็นเด็กที่อ่อนโยนและจิตใจดีอย่างนี้”

“พระพายเชื่อว่าคนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะเป็นคนดีได้ค่ะ” พระพายตอบอย่างมั่นใจ เธอยึดสิ่งนี้เป็นคุณธรรมประจำใจเสมอมา

“จริงสินะ...” จิตตาเห็นด้วยกับพระพาย เธอลูบผมพระพายอย่างเมตตา อดที่จะปลื้มในตัวพระพายไม่ได้

“ถึงหนูจะไม่รู้ว่าผู้ให้กำเนิดหนูคือใคร แต่เชื่อฉันเถอะ ถ้าเขารู้ว่าลูกเป็นคนดีขนาดนี้ เขาต้องภูมิใจในตัวหนูแน่ๆ... ฉันหวังว่าคนที่ฉันกำลังรอจะเป็นคนดีเหมือนเธอนะ”

จิตตาดวงตาเหม่อลอยคิดถึงลูกอีกครั้ง พระพายมองจิตตาอย่างแปลกใจ
“คุณหญิงพูดเหมือนกับว่ากำลังรอใครบางคนอยู่? “

จิตตายิ้มน้อยๆก่อนจะตอบออกไป
“คนสำคัญที่สุดสำหรับฉันเลยล่ะ “

พระพายมองจิตตาอย่างแปลกใจ นี่คุณหญิงพูดถึงใคร ...หรือว่าจะเป็นอาโปที่ยังอยู่ที่โรงพยาบาล

จิตตายังคงเหม่อลอย ส่งใจไปถึงลูกที่เธอห่วงหา ที่คิดว่าอยู่ไกลแสนไกล โดยหารู้ไม่ว่าเลือดเนื้อเชื้อไขที่เธอพะวงหาทุกลมหายใจ อยู่ใกล้แค่เอื้อมนี่เอง !




 

Create Date : 18 กรกฎาคม 2550    
Last Update : 18 กรกฎาคม 2550 23:27:07 น.
Counter : 810 Pageviews.  

กลิ่นแก้วกลางใจ ตอนที่ 20


ก ลิ่ น แ ก้ ว ก ล า ง ใ จ


บทประพันธ์ นันทวรรณ รุ่งวงศ์พาณิชย์
กมลชนก ยวดยง เรียบเรียงจากบทโทรทัศน์


ตอนที่ 20


อัสนีคิดสร้างความสัมพันธ์ที่ดีใหม่กับอาโป เขาซื้อดอกกุหลาบสีแดงช่อใหญ่มาให้เธอแต่ก็ไม่กล้าเอาเข้าไปให้ ถ้าเธอไม่ชอบขึ้นมาอีก หัวใจเขาจะเป็นยังไง อัสนีไม่อยากจะคิด เขาเลี่ยงความรู้สึกนี้โดยการฝากวิไล เลขาของอาโปไปให้แทน

พระพายลอบมองหน้าเศร้าของอัสนีอดสงสารไม่ได้ แต่ก็ไม่รู้จะช่วยเหลืออย่างไร จึงก้มหน้าก้มตาทำงานของตนต่อไป แต่แล้วพระพายก็ดูงานในมืออย่างคิดอะไรได้

”อีเมล์คุณอัสนี “
พระพายยิ้มออก รายชื่ออีเมล์และเบอร์ติดต่อของพนักงานทุกคนอยู่ในมือหล่อน พระพายรีบเข้าโปรแกรมคุยผ่านอินเตอร์เน็ตเพื่อสื่อสารกับอัสนีทันที

“วันนี้โลกของคุณมีสีอะไรคะ”
ข้อความลึกลับนี้ปรากฏขึ้นที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ของอัสนี เขามองอย่างแปลกใจก่อนจะพิมพ์ตอบลงไป

“ใครกัน คุณเป็นใคร รู้อีเมล์ผมได้ยังไง”
“บางคนว่า ตอนเช้าโลกเป็นสีเหลืองทอง เที่ยงโลกเป็นสีแดง ตกเย็นโลกเป็นสีเขียว คุณว่าจริงไหม “

อัสนีอ่านข้อความนั้นอย่างหงุดหงิดใจ เขาพิมพ์ตอบไป
“ผมไม่มีเวลามาเล่นอะไรแบบนี้นะ”

“ยังมีอีกนะคะ ยามรักโลกเป็นสีชมพู ยามเศร้าโลกเป็นสีเทาใช่ค่ะ ดูเหมือนโลกจะเปลี่ยนสีได้ แต่ในความเป็นจริง โลกไม่เคยเปลี่ยน มันเป็นของมันเหมือนเดิม พระอาทิตย์ขึ้นแล้วตกเหมือนกันทุกวัน สิ่งที่เปลี่ยนจริงๆ คือ”ใจคนมอง”ต่างหาก”

“ใช้ใจมอง” งั้นหรือ...อัสนีคิดถึงสิ่งที่อาโปเคยพูดกับเขาตอนพาไปเดินเล่นที่ชายหาดทันที คนๆนี้เป็นใครกัน เขาไม่รีรอที่จะพิมพ์ถามกลับไปอย่างรวดเร็ว แต่พระพายไม่ตอบ กลับส่งแต่ข้อความให้กำลังใจมาให้เขาอีก

“ทำตัวให้สดชื่น มองสิ่งรอบตัวอย่างสดใสแล้วคุณจะดีขึ้นค่ะ”
“ถ้าไม่บอกว่าคุณเป็นใคร...ผมคงไม่คุยด้วย”

อัสนีแกล้งขู่ พระพายที่ออนไลน์คุยกับเขาอยู่รีบออกจากระบบไปอย่างรวดเร็ว อัสนีถอนใจ“เอ้า ออกไปเลย … เดี๋ยวสิ เฮ้อ”

อัสนีได้แต่นิ่วหน้าสงสัย ใครกันนะที่มาคุยกับเขา...และวันนั้นทั้งวันอัสนีต้องอยู่คนเดียวเพราะอาโปเลี่ยงไปทานข้าวกับเพื่อน เขาโทรศัพท์ตามหาเธอก็เจอเพียงข้อความเสียงตอบรับอัตโนมัติจากเธอเท่านั้น

“ขณะนี้คุณหนูอาโปไม่ว่างรับสาย ทิ้งข้อความไว้นะคะ ไม่แน่ถ้ามีอารมณ์จะโทรกลับค่ะ”

อัสนีปิดมือถืออย่างสุดเซ็ง แต่แล้วก็มีข้อความจากอินเตอร์เนตส่งเข้ามายังมือถือของเขา
“ถ้าคนอื่นไม่เห็นค่า ยิ่งตามยิ่งไม่เห็น สิ่งที่ต้องทำ คือเพิ่มคุณค่าให้ตัวเองด้วยการรักตัวเอง.... “

อัสนีนิ่วหน้าสงสัย
“ข้อความลึกลับอีกแล้ว ใครกัน...”

คืนนั้นอัสนีนอนไม่หลับ เขาเฝ้าครุ่นคิดถึงอาโป การไม่ได้เจอหน้า ไม่ได้คุยด้วยทั้งวันทำให้เขาอดเป็นห่วงเธอไม่ได้ อัสนีนอนพลิกไปพลิกมาสักพักก็มีข้อความส่งมาถึงเขา

“คิดไม่ออกก็ไม่ต้องคิด พรุ่งนี้ก็เช้าแล้ว นอนเสียเถอะนะคนดี “
อัสนีดูที่มา “ข้อความจากอินเตอร์เน็ตอีกแล้ว...”

อัสนีตัดสินใจกดโทรศัพท์หาโปรแกรมเมอร์ที่บริษัททันที
“คุณนภหรือ ขอโทษนะฮะ โทรมาดึกหน่อย คุณเช็คอินเตอร์เน็ตให้ผมหน่อยได้ไหมครับ … อยากรู้ชื่อจริงคนที่ส่งข้อความมาหาเรา ทำได้ไหมครับ”

อัสนีรับฟังคำตอบจากลูกน้องของเขาอย่างพอใจ อัสนีไม่ได้อิ่มเอมใจกับข้อความที่ได้รับสักนิด เขาอยากรู้จริงๆว่าใครกันที่เข้ามาวุ่นวายกับชีวิตเขา

อัสนีเข้าร่วมประชุมกับคณะกรรมการบริษัทแต่เช้าโดยมีพระพายทำหน้าที่เป็นเลขาฯแทนวิไลที่ขอลาหยุดครึ่งวัน

เสียงโทรศัพท์อัสนีดังขึ้น พนักงานหยุดประชุมให้อัสนีรับสาย
“เอ๊ะ....ว่าไงนะ” อัสนีนิ่วหน้าแปลกใจ จนพนักงานเห็นแล้วเกรงใจ
“จะหยุดการประชุมก่อนไหมครับ”
“อ๋อ ไม่ต้องหรอก ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร เชิญประชุมต่อไปได้”

พนักงานพูดคุยต่อไป อัสนีวางโทรศัพท์ทำงานต่อโดยไม่สนใจพระพายเหมือนทุกครั้ง ไม่มีใครรู้ว่าเมื่อสักครู่อัสนีได้รับทราบข้อมูลอะไร จนกระทั่งการประชุมเสร็จสิ้น
“โอเค ขอบคุณทุกคนมาก ขอบคุณครับ”

การประชุมสิ้นสุดลง พนักงานต่างยืนโค้งให้อัสนีก่อนจะอำลาจากไป พระพายมัวแต่เก็บเอกสารจึงออกจากห้องเป็นคนสุดท้าย

“เดี๋ยวก่อน หยุดก่อน “
อัสนีเรียกพระพายไว้ เธอหยุดยืนรอฟังว่าอัสนีจะสั่งงานอะไร

“ผมมีเรื่องอยากคุยกับคุณหน่อย จะเรียกว่าคุยคงไม่ถูก น่าจะเรียกว่าเคลียร์กันมากกว่า “
พระพายงง

“อยู่คุยกับผมหน่อยนะ ไม่นานหรอก” อัสนีทอดเสียงอ่อนลง เขาเดินเข้าไปใกล้เธอ
พระพายมองเขา อัสนีมองเธอด้วยสายตาแปลกๆ

“หลายเดือนมานี้ ผมรู้สึกแปลกๆเหมือนมีสายตาคู่หนึ่งคอยเฝ้ามองคอยดูแล และคอยเป็นกำลังใจให้ผม สายตาคู่นั้นดูน่าสงสารและดูต่ำต้อยเกินกว่าจะกล้ามองผมตรงๆ “

พระพายได้แต่มองหน้าอัสนีที่ขยับตัวเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ใจคอเริ่มสั่น ครุ่นคิดในใจ
“คุณอัสนี คุณกำลังจะทำอะไรของคุณ”

อัสนีค่อยๆเอื้อมมือไปลูบใบหน้าพระพายช้าๆ
“ทุกครั้งที่ผมเห็นเขา ความรู้สึกอันเต็มเปี่ยมอยู่ในดวงตา….คำพูดมากมายคงเต็มอยู่ใน
หัวใจ”

อัสนีลูบลงมาที่ปากของพระพาย พระพายหน้าตาตื่นตัวชาทำอะไรไม่ถูก
“คุณอัสนี ได้โปรดเถอะ อย่าทำแบบนี้เลย” เธอคร่ำครวญในใจ ไม่เข้าใจเลยว่าอัสนีกำลังจะทำอะไร

อัสนีแตะริมฝีปากพระพายอย่างอ่อนโยน
“ผมอยู่ตรงหน้าคุณแล้วนะพระพาย คุณลองดูสิครับ ลองมองหน้าผมตรงๆ สบตาผม อยู่ใกล้ชิดกันแบบนี้ คุณมีอะไรจะพูดกับผมไหม”

อัสนีหมุนตัวพระพายหันมาประจัญหน้ากับเขา พระพายตัวแข็งทื่อราวต้องมนต์สะกด เธอมองชายผู้เป็นสุดที่รักตรงหน้าด้วยแววตารักใคร่

“ใช่ค่ะ ฉันมีเรื่องจะพูดกับคุณมากมายแต่ฉันพูดไม่ได้ พูดออกมาไม่ได้!!”

เธอได้แต่ส่งความรู้สึกบอกเขาผ่านทางดวงตา อัสนีดึงพระพายเข้ามากอดหลวมๆ พระ
พายสีหน้าตระหนกทำอะไรไม่ถูก ยืนตัวแข็งอยู่ในอ้อมกอดอัสนี

“กอดไว้แบบนี้...เลยได้รู้ว่าใจคุณกำลังเต้นแรง บอกมาสิครับบอกมาว่าคุณรู้สึกยังไงกับ
ผม...”

“อย่าทำแบบนี้ ปล่อยฉันเถอะคุณอัสนี ปล่อยฉันไป” พระพายได้แต่ขอร้องเขาในใจ
อัสนียังคงอยู่ใกล้ เขามองพระพายที่ยังคงนิ่งด้วยความหงุดหงิดใจ แต่ยังพูดดี

“ใจแข็งจัง จะไม่ยอมบอกผมจริงๆหรือ ได้...งั้นผมจะเป็นฝ่ายบอกคุณเอง ตั้งใจฟังดีๆนะครับ “

อัสนียิ้มให้เธอ ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นบึ้งตึง ดวงตาเคลิบเคลิ้มกลายเป็นดุดัน เขาแสดงอารมณ์ที่แท้จริงออกมาแทนการลองใจพระพายเมื่อครู่

“สิ่งที่อยู่ในใจของคุณ คือการแอบรักคนมีเจ้าของแล้ว...คุณหมายปองของสูง ทั้งที่ไม่ใช่ของๆคุณ ! คุณมันผู้หญิงทะเยอะทะยาน ! “

อัสนีผลักพระพายออกห่างทิ้งลงเก้าอี้ พระพายตกใจมากที่จู่ๆอัสนีก็เปลี่ยนเป็นคนอารมณ์ร้ายกับตนขึ้นมา

“คุณอัสนี ”
“เมื่อสักครู่ ท่าทางคุณดูเหมือนเคลิบเคลิ้มนะ คุณคงคิดล่ะสิ ว่าผมน่ะเป็นเจ้านายบ้ากาม คิดจะเป็นสมภารกินไก่วัด ยุ่งเกี่ยวกับพนักงานสาวของตนเอง เสียใจ... คุณฝันค้างแล้วล่ะ ! “

อัสนีด่าเธอด้วยถ้อยคำอันเจ็บแสบ มองเธอด้วยดวงตาเกลียดชัง พระพายน้ำตาคลอออกมาด้วยแความเสียใจ

“คุณอัสนี คุณเข้าใจผิดแล้ว”
อัสนีหยิบมือถือออกมาให้พระพายดู

“เมื่อตอนประชุมคุณรู้ไหมว่าใครโทรมา เขาเป็นพนักงานคอมพิวเตอร์ของบริษัทเรา ผมให้เขาสืบดูว่า ใครที่ชอบส่งข้อความมาหาผม เขาเจอตัวคนๆนั้นแล้ว...คนๆนั้นคือพนักงานชื่อพระพาย !” อัสนีจ้องหน้าพระพายอย่างเกลียดชัง

“คุณรู้ใช่ไหมว่าผมกับอาโปกำลังมีปัญหา คุณเลยคิดจะส่งข้อความปลอบโยนมาหาผมเพื่อเรียกร้องความสนใจให้ตัวคุณเอง คุณกำลังจะทรยศอาโปเจ้านายของคุณและกำลังดูถูกผม รู้ตัวหรือเปล่า ! “

“ไม่ ไม่คุณอัสนีไม่จริง ฉันเหนื่อยกับคุณมามากมาย หวังดีกับคุณอย่างจริงใจ ทำไมทำกับฉันอย่างนี้” พระพายปฏิเสธลั่นในใจ เธอร้องไห้โฮออกมา ก่อนจะวิ่งหนีออกไป แต่ก็ถูกอัสนีดึงตัวไว้

เขาใช้แรงลากตัวพระพายมาพาดไว้บนโต๊ะประชุม แล้วตามขึ้นไปกอดไว้ไม่ให้พระพายหนี

“จะไปไหน ไม่ต้องมาทำร้องไห้ต่อหน้าผม ไหนล่ะคุณต้องการอะไร ต้องการให้ผมกอดจูบ ต้องการให้ผมนอนกับคุณ อยากเป็นเมียน้อยของผมไม่ใช่หรือ มาสิ เรามาเริ่มกันเลย”

แล้วอัสนีก็ทำตามที่เขาพูด เขาระดมจูบพระพาย เธอดิ้นรน พูดไม่ได้ ร้องไม่ได้ ได้แต่จะดิ้นหนี อัสนีหยุดจ้องหน้าพระพายอีกครั้ง

“ผมทำอะไรกับคุณก็ได้ กอดคุณก็ได้ อย่างนี้อย่างนี้”
อัสนีกอดพระพายแน่นจนเธอเจ็บ น้ำตาไหลพราก อัสนีมองอย่างสะใจ

“จูบคุณก็ได้..นี่ไง” อัสนีก้มลงไปหอมแก้มพระพายแรงๆ
“แต่อย่าคิดนะว่าผมจะรักคุณ จะยกย่องคุณ ไม่มีวัน ไม่มีทาง หัวใจของผมจะมีแต่อาโป มีแต่ภรรยาของผมคนเดียวตลอดไป ได้ยินไหม ! “

เจ็บยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด พระพายไม่ทนอีกต่อไป เธอตบหน้าเขาเข้าให้ อัสนีอึ้งไปทันที
“ยังประชุมกันไม่เสร็จอีกหรือคะ “

วิไลที่กลับมาแล้วจะเข้ามารายงานตัวกับอัสนี แต่แล้วก็หน้าตาตื่นเมื่อเห็นภาพพระพายยังอยู่ในอ้อมกอดอัสนี

“ว้ายตายตาเถรหก ดิฉันไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น อย่าตัดเงินเดือนกันนะฮ้า”
พระพายได้จังหวะผลักอัสนีออก วิ่งร้องไห้ออกไป วิไลมองอย่างไม่เข้าใจ

“พระพาย นี่มันอะไรกันยะ”
“ก็แค่สั่งสอน ทีหลังจะได้เลิกแอบมองผม เลิกยุ่งกับผมซะที ! “ อัสนีตอบให้แทน
เขามองตามพระพายอย่างโกรธเกรี้ยว ...

สำหรับอัสนีคือความรู้สึกสับสน เขาไม่ชอบที่มีคนคอยรู้เรื่องความเจ็บปวดในใจ คำปลอบโยนของพระพายทำให้อัสนีอาย และรู้สึกเหมือนถูกเยาะเย้ย ส่วนอีกใจหนึ่ง เขาเข้าใจผิดไปว่าพระพายไม่เจียมตัว

วิไลพยักหน้าเข้าใจ เมื่อออกจากห้องประชุมก็รีบไปจับกลุ่มเม้าท์ให้บรรดาเพื่อนร่วมงานฟังทันที พระพายที่จะกลับบ้านเดินผ่านมาวิไลก็พูดลอยๆขึ้น

“เบื่อจริงๆ พวกไต่เต้าโดยใช้เต้าไต่เนี่ย”
พระพายนิ่งอึ้ง คนอื่นๆร่วมซ้ำ

“ฮึ ศักดิ์ศรีความเป็นคน ศักดิ์ลูกศรีผู้หญิง เดี๋ยวนี้มันมีค่าอีกต่อไปแล้ว”
“ใช่ พวกไม่มีสมองไม่มีความสามารถ สุดท้ายเลยต้องใช้เรือนร่าง น่าเกลียดที่สุด!! “

พระพายน้ำตาร่วงออกมาอีกครั้ง เธอหมดแรงที่จะอธิบายหรือตอบโต้ ได้แต่ก้มหน้าเดินจากไป

พระพายร้องไห้เดินไปตามถนนที่ฝนตกโปรยปราย การกระทำและคำพูดต่างๆของอัสนีวนเวียนอยู่ในหัวราวกับเทปที่เปิดไม่จบสิ้น

ไม่ต้องมาทำร้องไห้ต่อหน้าผม ไหนล่ะคุณต้องการอะไร ต้องการให้ผมกอดจูบ ต้องการให้ผมนอนกับคุณ อยากเป็นเมียน้อยของผมไม่ใช่หรือ มาสิ เรามาเริ่มกันเลยแต่อย่าคิดนะว่าผมจะรักคุณ จะยกย่องคุณ ไม่มีวัน ไม่มีทาง หัวใจของผมจะมีแต่อาโป มีแต่ภรรยาของผมคนเดียวตลอดไป ได้ยินไหม....มีแต่อาโป มีแต่ภรรยาของผมคนเดียวตลอดไป...

พระพายน้ำตากลบตา เธอเดินไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย พระพายเกือบจะถูกรถชนเมื่อข้ามถนนอย่างไร้วิญญาณ ดีที่รถคันนั้นเบรกทันเสียก่อน

“พระพาย”
โดมตกใจที่เห็นว่าคนที่ตนจะชนคือพระพาย แต่ยังไม่ทันที่โดมจะเปิดประตูรถลงไปพระพายก็หมดสติร่วงลงไปกองกับพื้น โดมหน้าตื่น รีบลงไปช่วยทันที

แอมโมเนียกลิ่นฉุนกึกที่เธอสูดดม ทำให้พระพายได้สติ เมื่อลืมตาขึ้นเธอก็เห็นโดมมองมาอย่างห่วงใย

“เป็นไงบ้าง พี่กำลังจะขับรถไปรับมาทานข้าว ทำไมเดินตากฝนออกมาอย่างนั้นล่ะ”
พระพายโผเข้ากอดโดม ร้องไห้อย่างสุดเสียใจ

“พี่โดมขา ชาติที่แล้วพระพายทำกรรมทำเวรกับใครไว้คะ ทำไมมันถึงไม่จบสิ้นซะที
ทำไม ทำไม”

ใจของเขาหล่นวูบเมื่อเห็นน้ำตาของหญิงสาวที่เขารัก โดมกอดปลอบพระพายไว้ เศร้าใจตามไปด้วย เขาไม่ถามพระพายให้ช้ำใจสักนิดเพราะเขาเดาออกว่าเป็นเรื่องอัสนีอีกแล้ว

โดมถอนใจ เหนื่อยแทน.....
พระพายต้องร้องไห้ให้กับคนอย่างอัสนีอีกนานเท่าไหร่กัน




 

Create Date : 16 กรกฎาคม 2550    
Last Update : 16 กรกฎาคม 2550 22:02:35 น.
Counter : 961 Pageviews.  

กลิ่นแก้วกลางใจ ตอนที่ 19


ก ลิ่ น แ ก้ ว ก ล า ง ใ จ


บทประพันธ์ นันทวรรณ รุ่งวงศ์พาณิชย์
กมลชนก ยวดยง เรียบเรียงจากบทโทรทัศน์


ตอนที่ 19


เมื่ออาโปมาถึง อัสนีที่คิดจะบอกเรื่องวันเกิดรู้สึกเขินอาย เขาไม่รู้จะบอกเธอยังไงจึงได้แต่บอกอ้อมๆโดยการชวนอาโปไปใส่บาตรที่บ้านพร้อมเขาพรุ่งนี้

“พรุ่งนี้ใส่บาตรตอนเช้า แล้วพอตกกลางคืน ผมจะเชิญคุณไปทานข้าวที่บ้านนะครับ”
“มีอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าคะ คือเราทานข้าวด้วยกันทุกวันแล้ว ตอนเย็นอาโปว่า…” เธอครุ่นคิดหาคำทัดทาน อาโปเบื่อหน่ายที่จะร่วมโต๊ะอาหารกับอัสนีเต็มทน

อัสนีอ้อนวอน
“ขอพรุ่งนี้วันเดียว พรุ่งนี้นะครับ แล้วผมจะบอกว่าทำไมต้องพรุ่งนี้”

อัสนีบีบมืออาโปอย่างขอความมั่นใจก่อนจะเดินออกไป ....เมื่อประตูห้องปิด อาโปก็โวยขึ้นอย่างเหลืออด
“โอ๊ย ฉันอยากตาย อยากตายจริงๆ นมแสง มียาเบื่อหนูไหมคะ”

แสงงง “ จะฆ่าตัวตายหรือคะ”
“เรื่องอะไรจะฆ่าตัวเองคะ อาโปจะใส่ในกาแฟให้นายอัสนีกินต่างหาก ยุ่งจริงๆ ! “

แล้วภารกิจระหว่างวันของเจ้าหล่อน ซึ่งก็คือการโทรศัพท์ตามหาจอนนี่ ทำให้เธอลืมเรื่องที่นัดแนะกับอัสนีไว้หมดสิ้น อาโปไม่ยอมตื่นไปใส่บาตรกับเขา แต่พอพระพายรู้ว่าวันนี้เป็นวันเกิดอัสนี พระพายรีบไปคุยให้อาโปไปงานเลี้ยงฉลองตอนเย็นกับเขา

“วันนี้เป็นวันเกิดคุณอัสนีค่ะ คุณไปใส่บาตรไม่ทันตอนเช้าแล้ว แต่คุณควรไปทานข้าว
กับคุณอัสนีนะคะ”

อาโปตกใจ รู้สึกผิดเล็กน้อย
“ วันเกิดเหรอ…แล้วเมื่อไหร่จะถึงวันตายเขาล่ะ”

อาโปสนใจเพียงนิดเดียวก็ล้มตัวลงนอนต่อ หงุดหงิดที่โดนปลุกอย่างมาก แม้ว่าพระพาย
จะขอร้องอย่างไรอาโปก็ไม่ฟัง ยืนยันจะนอนต่อ ไม่สนใจท่าเดียว พระพายจึงเปลี่ยนมาใช้วิธีโหดกับอาโปบ้าง

พระพายขึ้นไปนั่งคร่อมอาโปอย่างไม่กลัว อาโปตกใจ ไม่รู้ว่าพระพายเป็นบ้าอะไรขึ้นมา
“เจ้าหญิงอย่างคุณเวลาโง่ ...โง่ได้อย่างน่าสมเพช ! “
อาโปคิดว่าพระพายบ้าไปแล้วแน่นอนถึงได้กล้าพูดกับตนเช่นนี้

“นังพระพาย นี่แกพูดอะไรออกมา ! “
พระพายชี้ไปที่โทรศัพท์มือถือของอาโปที่วางอยู่ใกล้หมอน

“โทรศัพท์ของคุณ แม้แต่นอนยังเอาวางไว้ข้างตัว เผื่อว่าคุณจะได้ข่าวจากนายจอนนี่ คุณคิดดูนะว่าคุณมันโง่แค่ไหน ….คุณมีทุกอย่างแล้ว แทนที่จะมีความสุขกับสิ่งที่มี แต่กลับไปสนใจไอ้ผู้ชายชั่วคนเดียวคนนั้น คุณมันบ้า ทำไมคะ ทำไมไม่หันมารักคนที่เขารักคุณอย่างคุณอัสนีบ้าง”

“แกถามฉันใช่ไหม ได้ ..ฉันจะตอบให้ ฉันไม่รักเขาเพราะเขาไม่เคยรักฉันเขารักยายอาโปที่อยู่บนเกาะนั่นต่างหาก !”

อาโปพูดได้ตรงประเด็นจนพระพายอึ้งไป
“เธอว่าฉันโง่และน่าสมเพช แล้วเธอล่ะ รักเขาแต่พยายามยัดเยียดเขาให้ฉัน เธอมันก็ไม่ต่างจากฉันหรอก คนมีความรักที่น่าสมเพช ! “

“คุณอาโป ... “ พระพายไร้ข้อโต้แย้ง เธอเป็นดังเช่นอาโปกล่าวจริงๆ
อาโปผลักพระพายออกไปจากตัว ก่อนจะบอกกับพระพายอย่างมีเลศนัยบางอย่าง

“ฉันไปกินข้าวกับคุณอัสนีก็ได้”
พระพายมองอาโปอย่างแปลกใจ อาโปยิ้มร้ายน่าหมั่นไส้

“ไม่ใช่เพราะยอมแพ้นะ แต่เพราะรู้ว่าเธอจะเจ็บปวด ดูคนอื่นเจ็บปวด ฮะฮะ สนุกจะตาย.....ฉันเหมือนสีดำในขณะที่เธอเป็นสีขาว เธอทำตามใจทุกคน ในขณะที่ฉันตามใจแต่ตัวเอง เธอเป็นนางฟ้าในขณะที่ฉันเป็นนางปีศาจ แล้วมาดูกัน ว่าใครมันจะอึดกว่าใคร”

อาโปยิ้มเหี้ยม ไม่ได้โง่อย่างที่ใครๆคิด พระพายไม่คิดมากอะไร เพราะทำใจเรื่องอัสนีได้บ้างแล้ว เธอยิ้มสุขใจ อย่างน้อย เธอก็ไปงานของเขา.....

อัสนีรู้ข่าวว่าอาโปจะมาทานข้าวกับตนคืนนี้ก็เกณฑ์คนมาจัดเตรียมสถานที่แต่หัววัน ปีนี้จะมีคนพิเศษมาอยู่ในคืนพิเศษกับเขา แต่แล้วเมื่ออาโปกำลังจะเดินทางมาหาเขาอย่างที่ตั้งใจไว้ เมษาก็โทรเข้ามาขัดจังหวะเสียก่อน

“หวัดดีค่ะป้าเมษา”
“มีคนอยากคุยกับหนูแน่ะ รอเดี๋ยวนะ”

อาโปรอฟังอย่างแปลกใจ ใครกัน?
“ดาร์ลิ้ง นี่ผมเองนะ”

“จอนนี่ ! “ อาโปใจเต้นแรงขึ้นมาทันที ในที่สุดเธอก็ได้คุยกับคนที่เธอรอคอย
“คิดถึงคุณที่สุดในโลกเลย” จอนนี่ทำเสียงหวาน

“คุณหายไปไหนมา อาโปโทรไปทั่วโลก เพื่อตามหาคุณคนเดียว”
“ผมก็คิดถึงคุณทุกวัน หายใจเข้าออกเป็นคุณคนเดียว อยากมาหาคุณใจแทบขาด ตอนนี้
คุณออกมาเจอผมหน่อยได้ไหม ที่คอนโดน่ะ ผมมาเปิดห้องไว้แล้ว”

“ ตอนนี้ ตอนนี้เลยหรือคะ” อาโปชักลังเลใจ ถ้าไม่ไปงานวันเกิดก็อดแกล้งพระพาย แต่ใจ
หล่อนอยากเจอคนรักมากกว่า อาโปหนีจากพระพายไปหาจอนนี่ได้สำเร็จ ทั้งสองวิ่งเข้ากอดกันอย่างสุดคิดถึง

“ในที่สุดความฝันของผมก็เป็นจริง ผมคิดถึงคุณ คิดถึงจริงๆ”
“อาโปก็คิดถึงคุณ...คิดถึงที่สุดในโลกเลยค่ะ”

แสงที่มาด้วยเห็นจอนนี่ก็แค้นจัด จะพุ่งเข้าใส่ แต่ก็ถูกเมษาดึงไว้
“เธอรักอาโปไม่ใช่หรือ เพราะเธอรักเขา เธอจึงตามใจเขาทุกอย่างจนเขากลายเป็นเจ้าหญิงอาโปอย่างทุกวันนี้ แล้วตอนนี้เธอจะมาขวาง คงไม่ทันแล้วล่ะ”

แสงหมดคำพูดจะโต้แย้ง เมษายิ้มพอใจที่เห็นจอนนี่กลับมาทำงานให้ตนอีกครั้ง กว่าเธอจะตามตัวจอนนี่กลับมาได้ก็เหนื่อยแทบแย่

และคืนนั้นอาโปก็ค้างกับจอนนี่ ปล่อยให้อัสนีผ่านพ้นวันเกิดอย่างคนหัวใจสลาย อัสนีคิดว่าอาโปจะมาเติมเต็มความรู้สึกขาดหายแทนพ่อที่ไม่เคยมางานวันเกิดของเขา...แต่เขาคิดผิด วันเกิดของเขาล่วงเลยมาถึงห้าทุ่มอย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย อีกไม่ถึงชั่วโมง วันพิเศษของเขาก็จะผ่านไป !

พระพายแอบมองอัสนีอยู่มุมหนึ่ง เค้กวันเกิดของเขายังอยู่ในตู้เย็น เหล่าคนใช้ต่างทำอะไรไม่ถูกนั่งมองคุณผู้ชายของตน รอคอย...และผิดหวัง

“แฮปปี้เบิร์ดเดย์ทูยู...แฮปปี้เบิร์ดเดย์ทูยู แฮปปี้เบิร์ดเดย์ แฮปปี้เบิร์ดเดย์...แฮปปี้เบิร์ดเดย์ทูยู.....”

ในที่สุด พระพายจัดการให้บรรดาเด็กรับใช้ในบ้านยกเค้กวันเกิดมาให้อัสนีเป่าตอนเที่ยงคืน พระพายลอบมองอัสนีอยู่ห่างๆ เธอเสียใจที่พาอาโปมาหาเขาไม่ได้ พระพายทำดีที่สุดได้แค่นี้

“พระพายขอสุขสันต์วันเกิดให้คุณอยู่ตรงนี้นะคะ” พระพายได้แต่แอบมองเขาอยู่มุมหนึ่ง
อัสนีมองเค้กวันเกิดอย่างเศร้าใจ

“ขอบใจทุกคนมาก ฉันก็ไม่อยากเป็นแบบนี้หรอกนะ ฉันก็อยากจะเข้มแข็ง อยากสดชื่น ในวันเกิดของตนเองเหมือนกัน แต่เวลาที่คนเราต้องอ่อนแอ ... ฉันก็ขอแค่เวลากับสถานที่เงียบๆ”

ทุกคนล่าถอยไป อัสนีตัดสินใจกระโดดลงน้ำทั้งชุดสูท เขาประคองตัวนิ่งๆอยู่ในน้ำ พระพายรู้ดีว่าอัสนีกำลังร้องไห้ !
อัสนีแค่อยากร้องไห้โดยไม่ให้ใครเห็นก็เท่านั้นเอง !

เธอส่งกำลังใจให้เขา
“คุณอัสนี คุณต้องสู้นะคะ สักวันคุณจะได้พบความสุขที่แท้จริง ฉันเอาใจช่วยคุณอยู่ ฉันอยู่ข้างๆคุณตรงนี้เสมอนะคะคุณอัสนี...”

แล้ววันรุ่งขึ้นอัสนีก็เก็บตัวอยู่กับบ้าน เขาหมดอาลัยตายอยาก ไม่อยากพบเจอใครในเวลานี้ เมื่อจิตตารับรู้ว่าอัสนีเป็นเช่นนี้เพราะเสียใจที่อาโปไม่มางานวันเกิดก็รีบกลับบ้านไปถามความจริงกับอาโปทันที

“แม่รู้เรื่องเมื่อวานแล้ว หายไปไหนมา มีธุระอะไรที่สำคัญกว่างานวันเกิดของสามี “
“ก็ไปกินข้าวกับป้าเมษา มีเรื่องต้องคุยกันนิดหน่อย” อาโปบ่ายเบี่ยง

จิตตาหันมองเมษาอย่างไม่พอใจ
“คุณเมษา นี่คุณเป็นคนพาอาโปออกไปงั้นหรือ”

อาโปชักหงุดหงิดที่จิตตาคาดคั้นไม่จบไม่สิ้น หล่อนเริ่มโวยวาย
“คุณแม่เป็นอะไร ทุกทีไม่เห็นเคยโมโหอะไร อ๋อ พอเป็นเรื่องของนายอัสนี ก็เลยกลัวว่าจะพัวพันธุรกิจ งกไม่เข้าเรื่อง ! “

จิตตาโมโหมากที่ลูกคิดกับตนเช่นนี้ เธอต่อว่าอาโปด้วยถ้อยคำที่รุนแรงหวังให้อาโปคิดได้ ทั้งนมแสงและเมษาพยายามห้ามปราม

“อย่าหาว่าฉันสอนเลยนะ คุณมาคิดได้ตอนนี้ไม่สายไปหน่อยหรือ มาใช้ความรุนแรงเอาตอนนี้จะไปมีประโยชน์อะไร” เมษาพูดเหมือนเยาะกลายๆ แต่แล้วก็ต้องอึ้งไปเมื่อจิตตาสวนกลับอย่างรวดเร็ว

“คุณต่างหากที่ไม่ต้องพูด คุณเป็นลูกจ้างของฉัน คุณฉลาดกว่านมแสง คุณควรสอนสั่งอาโปแทนฉันได้ แต่นี่คุณไม่เคยทำ ! “

“คุณหญิง “ เมษาตกใจ ไม่เคยพบและไม่คาดคิดว่าจิตตาจะกล้าพูดกับตนแรงๆเช่นนี้

“ฉันรู้สึกมาตลอด ว่าคุณกับอาโป มีเรื่องลับลมคมในที่ฉันไม่รู้ ตอนแรกฉันก็ไม่อยากใส่ใจ เพราะคิดว่าคุณกำลังสั่งสอนลูกฉัน ที่ไหนได้ ยายอาโปแย่ลงทุกวัน ต่อไปนี้คุณไม่ต้องมายุ่งกับลูกฉันอีก กลับไปทำงานตามหน้าที่ของคุณก็พอ”

เมษาตัวสั่น มือกำแน่นตกใจมาก แทบล้มทั้งยืน ...จิตตาไล่เธองั้นเหรอ???
“กรี๊ด….” เสียงร้องของอาโปทำให้เมษาได้สติ หันมองอาโป

หล่อนกรี๊ดสนั่นยาวเหยียดอย่างสุดจะทน จิตตาไม่เคยว่ากล่าวเธอเลยตั้งแต่เกิดมา เมื่อโดนดุด่าครั้งแรกอาโปจึงยอมรับไม่ได้วิ่งหนีไป จิตตาไม่ยอมแพ้ตามไปคุยกับลูกต่อ นมแสงวิ่งตามไปอย่างเป็นห่วง

เมษายืนนิ่งไม่ตามคนพวกนั้นไป ความหวาดระแวงก่อตัวขึ้นอีกครั้ง หล่อนกลัวว่าจิตตาจะไม่ให้หล่อนเข้าใกล้ ไม่ให้หล่อนอยู่ใกล้อาโปเพราะจิตตาไม่เชื่อใจหล่อนอีกต่อไปแล้ว

“จิตตาหมดความไว้ใจเธอแล้ว แล้วเธอจะทำยังไงต่อไป”
เมษาหันมองรอบตัว เสียงอรชุนดังแว่วเข้ามาอย่างเย้ยหยัน เหมือนโรคเครียดประสาทหลอนจะกลับมาหาหล่อนอีกครั้ง แล้วเมษาก็ต้องตกใจเมื่อเห็นอรชุนยืนเยาะเย้ยอยู่มุมหนึ่ง
“อรชุน”

“ไม่ ไม่จริง…ทั้งหมดเป็นภาพหลอน” เมษาปากคอสั่น พยายามตบหน้าตนเองให้ได้สติ คิดว่าอรชุนเป็นแค่ภาพลวงตาเท่านั้น แต่ดูเหมือนยิ่งทำ อรชุนก็จะยิ่งไม่ไปไหน

“เขาเริ่มสงสัยเรื่องของอาโปและอัสนี ถ้าเขาอยากสืบหาความจริงขึ้นมาเธอจะทำยังไง”

“ไม่มีทาง นังโง่นั่นไม่มีทางสืบรู้อะไรทั้งนั้น” เมษาตวาดก้อง พระพายเข้าในห้องเห็นเมษาพูดอยู่คนเดียวก็แปลกใจ

“คุณแม่พูดอะไรคะ พูดกับใคร”
เมษาไม่สนใจพระพาย เอาแต่หันจ้องอรชุนที่มองเธออย่างเย้ยหยันเต็มที่

“สืบไปสืบมาเขาก็ต้องรู้เรื่องพระพายเป็นคนที่อัสนีรักไม่ใช่อาโป แล้วก็ต้องรู้ด้วยว่า พระพายเป็นลูกที่แท้จริงของเขาและผม ไม่ใช่อาโปอีกนั่นล่ะ ฮะฮะฮ่า”

อรชุนหัวเราะเยาะดังลั่น เมษาเครียดจัดร้องวี้ดขึ้นมาทันที พระพายตกใจรีบเข้าไปจับตัวเมษาอย่างตกใจ เธอไม่เข้าใจเลยว่าจู่ๆเมษากรีดร้องขึ้นมาทำไม
“คุณแม่”

เมษาหันมาเจอพระพายก็โกรธมาก เมื่อกี้เจอพ่อ คราวนี้ก็ลูก คนพวกนี้จะหลอกจะหลอนเธอไปถึงไหน เมษาตบระพายลงไปกอง และจิกตบไม่ยั้ง พระพายตกใจ เธอไม่สู้ ได้แต่วิงวอน

“อย่าค่ะ คุณแม่ ปล่อยหนู ….พระพายเจ็บค่ะ”
“ไม่มีทาง นี่แน่ะ นี่นี่ พวกแกต้องได้รับกรรมที่ก่อไว้กับฉัน ฉันจะทรมานแก ฉันจะฆ่าแก นี่แน่ะนี่นี่ !”

ฮะฮะฮ่า......ฮะฮะฮ่า.....ฮะฮะฮ่า
เมษายังคงได้ยินอรชุนหัวเราะเยาะเย้ยอย่างต่อเนื่อง !

“คิดหรือว่าจะตามมาหลอกมาหลอนแล้วฉันจะกลัว ฉันไม่เคยกลัวพวกแก ไม่แคยแม้แต่นิดเดียว นี่แน่ะนี่นี่”

จิตตาได้ยินเสียงเอะอะก็วิ่งเข้ามาดู เธอตกใจกับภาพตรงหน้า รีบห้ามปราม
“คุณเมษา”

เมษาหันขวับไปมองจิตตา หล่อนปล่อยมือจากพระพายตรงเข้าไปหาจิตตาทันที
“แก แกก็มาด้วยกันหรือ ดีเลยจะได้ตายไปด้วยกันทั้งแม่ลูก ต่อหน้าผัวแกนั่นล่ะ แกสองคนตายไปด้วยกันเลย”

เมษาวิ่งเข้าใส่จิตตา นมแสง อาโป และพระพายเข้ามาดึงตัวไว้

ฮะฮะฮ่า......ฮะฮะฮ่า.....ฮะฮะฮ่า
เสียงอรชุนที่เมษาได้ยินทำให้เธอยิ่งดิ้นรนจะเข้าไปทำร้ายจิตตาให้ได้ ....หัวเราะเยาะเธองั้นหรือ เดี๋ยวเธอจะทำให้เขาขำไม่ออกเลยทีเดียว เมษาพยายามสะบัดมือหลายมือที่เข้ามาจับให้หลุดออกไป

“คุณแม่ขา คุณแม่ หยุดเถอะค่ะ หยุดค่ะคุณแม่ คุณแม่”
เมษาโกรธมากที่ทำร้ายจิตตาไม่ได้ดังใจ โวยวาย

“ปล๊อย ปล่อยฉัน ปล่อยฉัน ปล๊อย”
เมษาเครียดจนกรี๊ดเสียงดังแล้วหมดสติไป ทุกคนมองเมษาอย่างตกใจ ทำไมเธอเป็นอย่างนี้ไปได้ พระพายเข้าไปเขย่าตัวเรียก
“คุณแม่ คุณแม่ !”

เมษาหมดสติไปนานจนทุกคนใจไม่ดีจึงพาส่งโรงพยาบาล
อาการป่วยทางจิตของเมษา ทำให้ทุกคนตกใจและตามมาฟังผลการตรวจที่โรงพยาบาล

ระหว่างนั้น จิตตาเฝ้าครุ่นคิดถึงคำพูดของเมษาและแววตาอันเคียดแค้นที่มองเธอ
“แก แกก็มาด้วยกันหรือ ดีเลยจะได้ตายไปด้วยกันทั้งแม่ลูก ต่อหน้าผัว แกนั่นล่ะ แกสองคนตายไปด้วยกันเลย”

“เขาพูดเรื่องพ่อ เรื่องลูก แล้วสายตาที่เขามองเธอ มองฉัน มันยังไงกันหรือ “ จิตตาปรึกษากับโดมที่เป็นหมอที่รับดูแลเมษา

“ไม่มีความหมายอะไรทั้งนั้น คุณป้าก็แค่คนที่มีอาการทางจิตครับ”
“เป็นโรคจิต” จิตตาตกใจ พระพายอึ้งไปเหมือนกัน

“พี่โดม พี่แน่ใจหรือคะ”
“พี่เพิ่งมาดูแลคุณเมษาก็จริง แต่พระพายก็รู้ แฟ้มคนไข้บอกทุกอย่าง คุณป้าเมษาเป็นคน
ไข้ของแผนกจิตเวชมามากกว่าอายุพระพายเสียอีก ตอนแรก เริ่มจากโรคเครียด”

“เขามีปัญหาในครอบครัวหรือ” จิตตาถามพระพายอย่างสงสัย อะไรทำให้เมษาเป็นเช่นนี้

“หนูไม่ทราบเลยค่ะ ทุกคนในบ้านถูกสั่งห้ามไม่ให้พูดถึงสามีของคุณแม่ พระพายรู้เรื่องคุณผู้ชายน้อยมาก”

“อาการหูแว่ว เห็นภาพ เหล่านี้คืออาการประสาทหลอน มันจะกำเริบขึ้นเมื่อคนเราเริ่ม
เครียด”

จิตตาแปลกใจ หญิงสาวสวยหน้าที่การงานดีอย่างเมษาจะเครียดมากด้วยสาเหตุใด พระ
พายเกรงว่าจิตตา เมื่อรู้ว่าเมษาเป็นโรคจิต จะไม่ให้ทำงานต่อจึงเข้าไปขอร้อง

“คุณหญิงอย่าไล่คุณแม่ออกนะคะ คุณแม่ก็แค่เครียด แต่ยังทำงานให้คุณหญิงได้อยู่”

“ฉันรู้จ๊ะ นี่ก็เกือบปีแล้วที่เขาทำงานให้ฉัน ผลงานของเขาดีกว่าทนายทุกคนที่ฉันมี ตรงกันข้าม ฉันรู้สึกเป็นห่วงเขามากกว่า ถ้าไม่ชอบก็คงเป็นเรื่องที่เขาไม่ดีกับเธอ ถ้ามีอะไรรุนแรง เธอต้องบอกฉันนะพระพาย “

จิตตามองหน้าพระพายที่แดงช้ำจากการถูกทำร้ายวันนี้อย่างสะท้อนใจ พระพายยกมือไหว้ขอบคุณจิตตา ทุกครั้งที่เธอเจอะเจอกับเรื่องร้าย ดูเหมือนว่าจิตตาจะเป็นคนเดียวที่เข้ามาปลอบโยนและให้กำลังใจ

“ขอบคุณค่ะ ขอบคุณจริงๆ คุณรู้ไหมคะ นอกจากแม่เมษา ก็มีแต่คุณเท่านั้น ที่ทำให้โลกนี้ยังน่าอยู่สำหรับคนอย่างพระพาย” เธอบอกอย่างจริงใจ

จิตตายิ้มหวานให้พระพาย
“ฉันก็เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าฉันจะเอ็นดูทุกคนหรอกนะ สำหรับเธอ ฉันรู้สึกเหมือนว่าเธอ
เป็นลูกสาวคนหนึ่ง”

พระพายฟังแล้วยิ้มกว้างอย่างปลื้มใจ นับวัน ความสัมพันธ์ของทั้งสองดูจะพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ

เวลาเดียวกัน ...อีกด้านหนึ่งของโรงพยาบาล อัสนีกำลังเดินเข้ามาหาโดม
“วันนี้ต้องคุยกันให้รู้เรื่อง ไอ้หมอบ้า หมอโรคจิต ชอบยุ่งกับเมียชาวบ้านป่านนี้ทำไมยังไม่มานะ”

พออัสนีทราบข่าวว่าอาโปมาที่โรงพยาบาลก็เกิดความรู้สึกหึงหวงขึ้นมาทันที เขาคิดว่าอาโปมาที่นี่เพื่อนัดเจอกับคนรักเก่า แล้วเมื่อคืนคนรักของเขาอออยู่กับไอ้หมอบ้านี่หรือไม่ เขาไม่อยากจะคิด แต่...เขาก็อยากถามให้รู้ จึงได้มาขอพบโดมเพื่อสอบถามให้รู้แล้วรู้รอดไป

อาโปและโดมเจอกับอัสนีที่เข้ามาต่อว่า อาโปเกือบทำเสียเรื่องเพราะไม่เคยเจอโดมมาก่อน ดีที่โดมช่วยเธอแก้ตัวไปได้ อาโปรีบพาอัสนีไปคุยเพื่ออธิบายเรื่องทั้งหมดให้ฟัง

“นั่งลงก่อนค่ะ ฟังนะ หมอโดมไม่เกี่ยวอะไรกับฉันเลย ฉันมาที่โรงพยาบาลนี่เพราะคุณป้าเมษาไม่สบาย ไม่เชื่อก็ไปถามคุณแม่ดูสิคะ คุณแม่ก็อยู่ที่นี่ด้วย”

“คุณเมษาไม่สบายหรือ” อัสนีแปลกใจ ไม่ทราบเรื่องนี้มาก่อน ด้วยความใจร้อนเมื่อเขารู้ว่าอาโปมาที่โรงพยาบาลก็คิดว่าต้องมาหาหมอโดมเป็นแน่

“ก็ใช่น่ะสิคะ เมื่อวานนี้ฉันก็ไม่ได้ไปกับเขา กับหมอนั่นฉันแทบไม่รู้จัก เอ้อ ไม่ได้เจอเขามานานแล้ว” อาโปยืนยันหนักแน่น

“แล้วเมื่อวานคุณไปไหน ทำไมไม่ไปตามนัด”
อาโปหลบตาเขาก่อนจะแก้ตัวออกไป

“เอ้อคือ ก็ ยายพระพายไง ยายพระพายตัวแสบนั่นล่ะต้นเหตุ มันบอกสถานที่นัดฉันผิด
คุณก็รู้มันชอบทำตัวแปลกๆโดยไม่มีเหตุผล มันอาจจะอิจฉาไม่อยากให้เรามีความสุข ฉันน่าจะไล่มันออกตั้งนานแล้ว ติดที่คุณแม่ชอบมัน ฉันจะทำยังไงได้ “

อัสนีครุ่นคิดตามเหตุผล จะเป็นไปได้ไง มือถือเขาก็มีทำไมเธอไม่โทรหาเขาสักนิด
“เพราะนัดสถานที่ผิด แค่นั้นน่ะหรือ” อัสนีถามย้ำ

“ฉันนั่งรอคุณถึงเที่ยงคืน นึกว่าคุณยกเลิกไปแล้ว ฉันเลยกลับบ้าน …จริงๆนะคะ”

อาโปโกหกไปหน้าตาเฉย อัสนีฟังแล้วเศร้าไป เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมอาโปถึงได้เปลี่ยนไปจากอาโปคนก่อนที่เขารู้จักทุกวัน หรือว่า...เธอไม่รักเขาแล้ว ยิ่งคิดอัสนีก็ยิ่งปวดใจ แต่ทำยังไงได้ เขารักเธอไปแล้ว และยังคงรักต่อไปไม่มีวันเปลี่ยน....




 

Create Date : 14 กรกฎาคม 2550    
Last Update : 14 กรกฎาคม 2550 16:36:03 น.
Counter : 634 Pageviews.  

กลิ่นแก้วกลางใจ ตอนที่ 18


ก ลิ่ น แ ก้ ว ก ล า ง ใ จ


บทประพันธ์ นันทวรรณ รุ่งวงศ์พาณิชย์
กมลชนก ยวดยง เรียบเรียงจากบทโทรทัศน์



ตอนที่ 18


รถเก๋งคันงามของอัสนีแล่นเข้ามาจอดหน้าคฤหาสน์”สุรเยนทร์” อาโปรีบเปิดประตูจะลงจากรถเพื่อหนีอัสนี เธอเบื่อเขาเต็มทน แต่อัสนีไม่ปล่อยอาโปไปง่ายๆ เขาดึงมือเธอไว้

“ผมอยู่ทานข้าวเย็นด้วยนะครับ ไม่อยากกลับบ้านไปกินคนเดียว”
อาโปฝืนยิ้มให้เขา อัสนียิ้มกว้างอย่างยินดี

“อาโปขอเวลาส่วนตัวสักครู่นะคะ” อาโปพูดจบก็รีบลงจากรถ เดินลิ่วเข้าบ้านอย่างสุดจะรำคาญอัสนี

“โฮ้ย ฉันจะอ้วกออกมาเป็นหน้าแกอยู่แล้ว…นายอัสนี ! “

อาโปขึ้นไปเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวบนห้อง โดยมีพระพายมาคอยรับใช้
“โอ๊ย รู้ไหมพระพาย ฉันเบื่อนายอัสนีนั่นเต็มทน ฉันไม่รู้ว่าเธอทนอยู่กับเขาเป็นเดือนๆได้ยังไง”

อาโปถอดนาฬิกา ตุ้มหู เครื่องประดับต่างๆออกเพื่อจะเปลี่ยนชุด แต่พอจะถอดแหวนเพชรวงงามที่อัสนีซื้อให้กลับถอดไม่ออก อาโปหงุดหงิด

“ไอ้แหวนบ้านี่ ถอดยากถอดเย็นจริงๆ”
พระพายมองอย่างแปลกใจ “คุณหนู แหวนหมั้นเขาต้องใส่ติดมือกันไม่ใช่เหรอคะ”

“กับคนรักกันน่ะใช่ แต่ฉันไม่ได้รักเขา แค่ต้องใส่ไปข้างนอกฉันก็รำคาญจะแย่อยู่แล้ว โอ๊ย... “

กว่าอาโปจะถอดแหวนออกก็เล่นเอาเจ็บนิ้ว หงุดหงิดหนักเข้าไปอีก เจ้าหล่อนปาแหวนทิ้งไปที่พื้น
“เธอเอาไปทิ้งเลยไป แหวนอะไรห่วยชะมัด สวยสักนิดก็ไม่ เอามันไปไกลๆฉันเลย”
พูดจบอาโปก็เข้าห้องน้ำไป

พระพายมองแหวนทองคำขาวประดับเพชรเม็ดงามนั้นอย่างใช้ความคิด ก่อนจะค่อยๆเก็บขึ้นมาดูอย่างทะนุถนอม เธออดที่จะยิ้มน้อยๆไม่ได้เมื่อคิดถึงเจ้าของ

“คุณอัสนี”
พระพายมองซ้ายมองขวา เห็นว่าอาโปยังไม่อออกมาจึงทดลองสวมแหวนนั้นที่นิ้วนางข้างซ้าย หลับตาคิดถึงความรักของตนกับอัสนี ...ตัวแทนของอัสนีอยู่ใกล้ชิดเส้นเลือดที่สูบฉีดมายังหัวใจ

“คุณรักฉัน...”
พระพายอยากจะรู้สึกเช่นนั้น อยากให้เธอกับเขาได้ใกล้ชิดกันเช่นนี้ แต่เธอก็ทำได้แค่เพียงฝัน

พระพายลืมตากลับเข้าสู่โลกความเป็นจริง เธอมองแหวนที่ประดับอยู่บนมือ
“ แหวนนี่ไม่เหมาะกับมือคนใช้อย่างฉันเลย ก็สมควรแล้วล่ะ “

“ก๊อก...ก๊อก...”
เสียงเคาะประตูดังขึ้น พระพายรีบเดินไปเปิดประตู โดยลืมที่จะถอดแหวนออก

อัสนีที่เป็นคนเคาะแกล้งหลบที่มุมผนังเมื่อประตูห้องเปิดออก เมื่อพระพายชะโงกหน้ามองหาเขาก็โผเข้ากอดร่างตรงหน้าโดยไม่ได้ดูเลยว่าเป็นใคร

“จ๊ะเอ๋ “
พระพายตกใจหันไปหา อัสนีสะดุ้งโหยง ตกใจที่เห็นพระพายในอ้อมกอด

“นี่คุณ ! ..”
อาโปออกจากห้องน้ำมาเห็นทั้งสองกอดกันพอดี

“คุณอัสนี “ อาโปมองทั้งคู่อย่างแปลกใจ มิได้หึงหวง แต่อัสนีไม่คิดเช่นนั้น เขากลัวอาโปเข้าใจผิด รีบปล่อยมือจากพระพาย หันไปละล่ำละลักบอก

“เอ่อ ผมขอโทษ ผมไม่นึกว่าในห้องนี้จะมีคนอื่นนอกจากคุณ ผมไม่ได้คิดอะไรกับเขาจริงๆนะครับ “

เขาหันไปหาพระพาย
“อธิบายให้คุณอาโปเขาฟังหน่อยสิ”
พระพายทำท่าจะพูด แต่แล้วก็นึกได้ว่าไม่ควรพูด กลัวอัสนีจำเสียงได้

“ ว่าไงล่ะ พูดอะไรสักอย่างสิ อธิบายให้เจ้านายของเธอสบายใจ”

อัสนีเหมือนจะตำหนิพระพายกลายๆที่เอาแต่เงียบ ความน้อยใจที่เห็นอัสนีแคร์ความรู้สึกอาโปมากกว่าตนเกิดขึ้นอีกครั้ง พระพายเดินออกไปจากห้องทันที อัสนีงง

“อ้าวเธอ เดี๋ยวก่อน มาอธิบายกับคุณอาโปก่อน”
อัสนีเดินตามไปเรียกพระพาย อาโปครุ่นคิดถึงสายตาแปลกๆของพระพายที่มองอัสนีเหมือนมีอะไร แต่เมื่อไม่รู้ว่าคืออะไร อาโปก็ไม่ใส่ใจ ...เธอดีใจเสียอีกที่อัสนีออกจากห้องไปได้

“นี่หยุดนะ เป็นลูกจ้างภาษาอะไร วิ่งหนีเจ้านายแบบนี้”

อัสนีหงุดหงิดใจที่เรียกเท่าไหร่พระพายก็ไม่หยุดเดินหนีเขาสักที เขาเร่งฝีเท้าจนเข้าไปใกล้ คว้ามือพระพายมาได้ แล้วเขาก็ต้องแปลกใจที่เห็นแหวนที่เขาซื้อให้อาโปอยู่ในมือหญิงสาวคนนี้

“นี่มันแหวน...” อัสนีจ้องหน้าพระพายด้วยความโกรธ “ นี่เธอขโมยแหวนคุณอาโปมาใช่ไหม เอาแต่หนีฉันเพราะเป็นหัวขโมยนี่เอง !

พระพายหน้าตื่น ลืมเรื่องลองแหวนอาโปไปสนิท เธอส่ายหน้า พยายามปฏิเสธโดยไม่ปริปากพูดอะไรสักนิด อัสนีเห็นแล้วยิ่งหงุดหงิด เขาบีบแขนพระพายแน่น

“หลักฐานอยู่โทนโท่ ยังมีหน้ามาปฏิเสธอีกเหรอ หา ไหนบอกมาซิว่าแหวนอาโปมาอยู่กับเธอได้ยังไง ! “

พระพายอึกอัก อัสนีมองพระพายอย่างดูถูก
“พูดไม่ออก ตอบไม่ได้ ก็เพราะเธอขโมยมาล่ะสิ ใช่ไหม “

แล้วอัสนีก็คิดอะไรออก เขาลากตัวพระพายเข้าไปในบ้านทันที
“มานี่เลย ฉันจะบอกเรื่องเธอกับทุกคน ปล่อยไว้ไม่ได้หรอก เลี้ยงไม่เชื่อง!! “

พระพายตกใจ พยายามดิ้นรนหนี แต่อัสนีก็ไม่มีท่าทีว่าจะยอมปล่อยไปง่ายๆ
“เมียฉันเขาไม่ดีกับเธอรึไงเธอถึงขโมยของเขาแบบนี้ ฮึ ! “

อัสนีลากพระพายไป เธอแทบร้องไห้ อยากจะพูด อยากจะอธิบาย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เลย

อัสนีบอกกับทุกคนว่าพระพายเป็นหัวขโมยน่าจะจับเข้าคุก เขาจะพาเธอไปหาตำรวจท่าเดียว จิตตาจึงพูดให้อัสนีคิด

“อาขอถามเธอหน่อยนะอัสนี ถ้าเธอขโมยของ สิ่งแรกที่เธอต้องทำคืออะไร
“ผมก็หนี หรือไม่ก็รีบเอาของไปขาย” เขาตอบอย่างไม่รีรอ

“ใช่ ไม่มีใครเขาใส่โชว์หราไว้ที่นิ้วรอเธอมาจับหรอก”
จิตตาบอกกับทุกคนเช่นนั้น อัสนีเริ่มคิดตาม
“ฉันขอรับประกัน พระพายไม่มีนิสัยแบบนั้น “

จิตตาพูดอย่างมั่นใจจนอาโปอดจะหมั่นไส้
“คุณแม่เขาการันตีขนาดนี้แล้ว คุณก็สงเคราะห์ท่านหน่อย เชื่อๆไปเถอะค่ะ”
อาโปประชดประชันเข้าให้

“ใช่ค่ะ สันดานขี้ข้ามันคงแอบเอามาใส่เล่นแล้วแอ็คท่าเป็นคุณหนู แต่ถ้าให้มันขโมยจริงๆ มันไม่มีปัญญาหรอกค่ะ คุณอัสนีอย่าโกรธเลยนะคะ” แสงรีบซ้ำ

อัสนีมองหน้าพระพายอย่างไม่เข้าใจ
“ถ้าไม่ได้ขโมยแล้วทำไมไม่บอกฉันดีๆล่ะ มีอะไรทำไมไม่พูด”

พระพายยังคงก้มหน้านิ่งไม่พูดไม่จา จิตตาช่วยไกล่เกลี่ยให้
“พระพายเอาแหวนคืนคุณอาโปไปซะ แล้วก็กราบขอโทษคุณอัสนีด้วยที่ทำให้เธอขุ่นเคืองใจ”

พระพายทำตามที่จิตตาบอกทุกอย่าง ก่อนจะคลานออกจากห้องไป อาโปมองทีท่าของพระพายอย่างหมั่นไส้ หล่อนตีหน้าเศร้าเพื่อเรียกร้องความเห็นอกเห็นใจจากแม่ของหล่อนรึไงกัน

อาโปเดินหนีทุกคนออกมาอย่างหงุดหงิดใจ แสงเดินตามมารับใช้
“มีแต่เรื่องไร้สาระ บ้าจริง จะโทรศัพท์ซักหน่อย ยายเจนบอกเห็นจอนนี่ที่ผับในกรุงเทพ กำลังจะได้เรื่องอยู่แล้วเชียว”

“ได้เรื่องอะไรหรือ”
อัสนีที่เดินตามมาถามขึ้น แสงและอาโปสะดุ้งตกใจ กลัวอัสนีได้ยิน

“คุณอัสนี ! เอ้อ คุณหนูเขาคุยเรื่องเพื่อนทั่วๆไปน่ะค่ะ”
แท้จริงแล้วอัสนีไม่ได้ยินอะไร เขาน้อยใจที่อาโปไม่สนใจเรื่องแหวนที่เขาให้มากกว่า

“คุณลืมแหวนของเรา… ไม่ตกใจสักนิดที่คนอื่นเอาแหวนของเราไป “ เขาบรรจงสวมแหวนคืนให้

“หัวใจของผมอยู่ในแหวนวงนี้ ถ้าคุณไม่เห็นค่ามัน ได้โปรดเล่นละครอะไรสักอย่าง เช่น แกล้งใส่มัน แกล้งดูแลมัน ผมจะขอบคุณมาก”

“คุณอัสนี…” อาโปอึ้งไปกับคำพูดของเขา
อัสนีมองอาโปอย่างตัดพ้อ

“ตั้งแต่กลับมาจากเกาะ คุณเปลี่ยนไป ผมไม่รู้ว่าคุณคิดอะไรอยู่ คุณคงลังเลสับสน แต่ไม่เป็นไรหรอกนะ ผมรอได้ ผมจะรออยู่ที่เดิม ทำเหมือนเดิมทุกๆวัน ซึ่งก็คือ… รักคุณ…รักคุณเหมือนเดิม”
อัสนีจูบที่มือของอาโปก่อนจะเดินออกไป อาโปและแสงอึ้งไปตามกัน

จิตตาออกมาเดินเล่นที่บริเวณสวนหย่อมหน้าบ้าน เธอมักจะออกมาเดินเล่นตอนกลางคืนคนเดียวอย่างนี้เสมอ ไม่มีใครรู้ว่าจิตตายืนชื่นชมต้นแก้วนี้ ครั้งละนานๆด้วยเหตุผลใด คนเพียงคนเดียวที่รู้คงเป็น...
“พี่อรชุน….”

จิตตาคิดถึงเขา เธอมาพบกับชายที่เธอรักที่ต้นไม้ต้นนี้เสมอ
“ดอกแก้วอ่อนโยนและบริสุทธิ์ กลิ่นของมันหอมไกลและยาวนานจนแม้ตัวตาย ก็ยังไม่
สิ้นกลิ่นหอม ...คุณหญิงเปรียบเสมือนดอกแก้วในใจพี่…ดอกแก้วที่ไม่เคยโรยรา หรือจืดจางไปจากใจ.....”

อรชุนเคยบอกกับจิตตาเช่นนั้น และเธอก็จำได้มิลืมเลือน...

จิตตาบรรจงตัดกิ่งแก้วเพื่อไปปักแจกัน แต่แล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อได้ยินเสียงคนร้องไห้เบาๆ
“ใครกัน”

เธอลองเดินไปตามเสียงนั้น แล้วก็ต้องพบกับพระพายนั่งร้องไห้เสียใจอยู่เพียงลำพัง
“นึกแล้วว่าเธอคงเสียใจ แต่ไม่นึกว่าจะมากขนาดนี้ มีอะไรก็บอกฉันได้นะ”

พระพายรีบเช็ดน้ำตา แต่ไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ ยิ่งจิตตาอ่อนโยนกับตนเช่นนี้ พระพายยิ่งเศร้าใจ

“หนูแค่คิดว่า ทำไมเป็นคนดีถึงยากอย่างนี้ การทำความดีบางครั้งก็เหมือนเฉือนหัวใจตนเองให้คนอื่น แล้วเวลาที่คนอื่นมองไม่เห็นคุณค่า …แถมยังเหยียบย่ำ ...”

จิตตาส่งกิ่งแก้วที่เพิ่งตัดมาให้พระพาย หญิงสาวมองอย่างแปลกใจ
“ดอกแก้ว...”

“ความดีเหมือนดอกแก้ว สวยและบอบบาง แต่อย่าลืม มันส่งกลิ่นหอมไกลและยาวนาน แม้ตัวมันจะร่วงโรยไปแล้ว”

พระพายมองดอกแก้ว และมองจิตตาอย่างซาบซึ้ง เกิดมาพระพายไม่เคยมีคนคอยปลอบใจเช่นนี้ เธอโผเข้ากอดจิตตาร้องไห้โฮ ...สายสัมพันธ์ทางสายเลือดทำงานอีกครั้ง จิตตาลูบผมพระพายปลอบประโลม เธอไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงได้รู้สึกเอ็นดูพระพายนัก

“พระพายจะหมดแรงอยู่แล้ว การทำความดีต้องใช้เรี่ยวแรงใจมหาศาล คุณเข้าใจใช่ไหมคะ “

จิตตาพยักหน้า เข้าใจความทรมานข้อนี้ดี
“เข้าใจสิ ฉันก็เคยถามตัวเองแบบนี้ เคยผ่านเวลาอันยากลำบากแบบนี้เหมือนกัน...”

ไม่มีใครเคยรู้ว่าจิตตาต้องอดทนต่อคำพูด และสายตาดูหมิ่นจากคนรอบข้างที่พากันประนาม เหน็บแนม นินทาเรื่องที่เธอตั้งท้องโดยไม่มีสามีขนาดไหน จิตตาไม่เคยปริปากเรียกร้อง หรือแย่งอรชุนมาจากภรรยาของเขา

เมื่อทำผิดพลาดไปแล้ว เธอก็สัญญากับตัวเองว่าจะไม่ยอมทำผิดพลาดอีกเด็ดขาด แม้ว่าอรชุนจะพยายามไปพบเธอหลายครั้งแต่จิตตาก็ปฏิเสธเสมอมา

คนเราทำผิดพลาดกันได้ แต่ผิดแล้วต้องจำ และต้องไม่ทำผิดซ้ำอีก !

จิตตาจำได้ครั้งหนึ่งในอดีต...
ในช่วงใกล้คลอด จิตตาบินกลับมาให้กำเนิดลูกรักที่เมืองไทย เธอแอบกลับไปดูบ้านกลิ่นแก้วที่อรชุนสร้างไว้ให้ตนและลูกโดยไม่บอกอรชุน แต่บังเอิญว่าวันนั้นอรชุนเดินทางมาที่บ้านกลิ่นแก้วเช่นกัน

อรชุนดีใจอย่างมากเมื่อเห็นจิตตาในบ้านแห่งความรักของเขา
“ในที่สุด คุณหญิงก็มา”

จิตตาตกใจ รีบวิ่งไปหลบในห้องหนึ่ง ไม่ยอมเจอ
อรชุนหน้าเศร้า เดินเข้าไปหยุดที่หน้าประตูนั้น

“ลูกของเราสบายดีไหม”
จิตตาไม่ยอมตอบ น้ำตาคลอขึ้นมา

“คุณหญิงหนีพี่ตลอดเวลา ใจแข็งเหลือเกิน “
“หญิงสัญญากับตนเอง จะไม่ทำผิดอีก”

“ไม่ว่ายังไงก็ไม่ยอมให้พี่เจอหน้า แม้แต่ตอนนี้ ก็ยังไม่ยอมให้พี่พบ”
อรชุนทิ้งตัวพิงประตูด้านนอก จิตตาก็พิงจากด้านใน คนรักกันที่ไม่ได้เจอกันห่างกันเพียงแผ่นไม้กั้น จิตตาคิดถึงอรชุนจับใจ เธอบอกเขาอย่างปลอบประโลม

“เราพบกันเสมอ ลูกของพี่ที่อยู่กับหญิงไงคะ ส่วนหนึ่งของพี่จะอยู่กับหญิงตลอดไป”

จิตตาแตะบานประตูที่ขวางกั้นระหว่างเธอและคนที่รักที่สุดในชีวิต อยากจะออกไปพบหน้า แต่ก็หักห้ามใจไว้ ...จิตตาไม่รู้ว่าอรชุนก็แตะที่บริเวณนั้นของบานประตูเช่นกัน

“พอรู้ว่าคุณหญิงจะกลับมาคลอดที่เมืองไทย พี่ดีใจจนบอกไม่ถูก แต่ในขณะเดียวกันก็ร้อนรนจนแทบอยู่นิ่งไม่ไหว พี่ต้องเอาความรัก ความเป็นห่วงและความรู้สึกผิดมาลงไว้ที่บ้านหลังนี้ ไม่งั้นพี่คงบ้าตาย”

จิตตาน้ำตาไหล ซาบซึ้ง “ขอบคุณค่ะที่พี่สร้างบ้านหลังนี้ให้หญิงและลูก”
อรชุนมองไปรอบๆตัว

“ทุกอณูของบ้านหลังนี้คือความรักของพี่ ที่มีต่อหญิงและลูก จำเอาไว้นะจิตตา”

อรชุนหันหลังเดินจากไป จิตตาทรุดตัวลงนั่งกับพื้น ร้องไห้แทบขาดใจ ทำไมต้องไปรักคนที่มีเจ้าของแล้ว...จิตตาไม่เข้าใจตนเองเลย

จิตตาน้ำตาคลอทุกครั้งที่คิดถึงเหตุการณ์นี้ จิตตาบอกพระพาย
“การเป็นคนดี ...ยากก็จริง แต่เมื่อเวลาผ่านไป เราจะมองตัวเราในกระจกได้ ด้วยความภาคภูมิใจ “

“แล้ว...ความรักคืออะไรคะ” พระพายถามจิตตาอย่างสงสัย
“รักแท้ คือความเสียสละที่ไม่มีเงื่อนไข และไม่มีวันจบสิ้น เจ็บปวดพอๆกับความดี แต่เชื่อเถอะพระพาย ความรักเติมเต็มหัวใจของผู้ที่มีความรักเสมอ”

ใช่แล้ว...รักแท้คือการเสียสละ ขณะนี้อัสนีมีความสุขกับอาโป ถ้าเธอรักเขาควรจะปล่อยเขาไปมีความสุขใช่ไหม...พระพายร้องไห้ออกมาอย่างเจ็บปวด

--------------------------------------------------------------

อัสนีมาทำงานแต่เช้า เขาแวะขึ้นไปหาอาโปที่ห้องทำงานของเธอก่อนด้วยอารมณ์แจ่มใส พรุ่งนี้จะเป็นวันครบรอบวันเกิดของเขา...ปีนี้จะเป็นปีแรกที่เขามีคนพิเศษอยู่เคียงข้าง อัสนีตั้งใจจะไปบอกกับอาโปเป็นคนแรก แต่ก็ต้องรอไปเมื่ออาโปยังไม่มา

อัสนีเดินไปที่โต๊ะเลขา เขาพบพระพายนั่งนิ่ง เหม่อลอย
“ขอกาแฟแก้วหนึ่งสิ”

พระพายไม่ขยับเขยื้อน อัสนีงงที่เขาพูดเสียงเบาไปหรือไร เธอจึงไม่ได้ยิน เขาหยิบกระดาษชิ้นเล็กๆแถวนั้นปาไปที่ไหล่อย่างหมั่นไส้ พระพายก็ไม่สนใจ เพียงแค่ปัดเบาๆไปเท่านั้น

อัสนีถอนใจ ยายนี่โก๊ะจริงๆ …เขาตัดสินใจเดินเข้าไปยืนข้างหลังแล้วจิ้มที่ไหล่ คราวนี้พระพายสะดุ้งตกใจมากเกินเหตุ

“ว้ายๆ จิ้งจกๆ “
พระพายลุกขึ้นจากเก้าอี้ปะทะเข้ากับอกอุ่นของอัสนี เหมือนเธอตกอยู่ในอ้อมกอดเขาอีกครั้ง

“ฉันเอง … ไม่ใช่จิ้งจก”
พระพายนิ่งอึ้ง ตาโต ตัวแข็งเมื่อเห็นอัสนี เขาเดินออกจากความคิดถึงของเธอ มาปรากฏตัวที่นี่หรือไร

อัสนีมองพระพายอย่างสงสัย
“เธอร้องว้ายได้ พูดว่าจิ้งจกได้ เธอไม่ได้เป็นใบ้นี่ แล้วเสียงของเธอ….”

เขาหยุดคิด…บอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร พระพายใจระทึก กลัวอัสนีจำได้ ไม่นานเขาก็พูด
ออกมา
“ก็เพราะดี…ทำไมถึงไม่พูดกับฉันล่ะ”

พระพายถอยห่างออกจากมา อัสนียังคงรอคอยคำตอบ
“เธอพูดกับทุกคน ยกเว้นฉันคนเดียว ทำไมหรือ”

พระพายก้มหน้าหนี อัสนีถอนใจ หรือว่ายังโกรธเรื่องเมื่อคืน
“เรื่องเมื่อคืน ขอโทษนะ ฉันใจร้อนไปหน่อย”

พระพายเงยหน้าขึ้นมองเขา ไม่อยากจะเชื่อว่าคนอย่างอัสนีจะขอโทษใคร เธอคิดในใจ
“คุณขอโทษพระพาย ห่วงใยความรู้สึก…พระพายไม่ใช่แค่ลูกจ้างที่ไร้ตัวตนอีกต่อไป”

พระพายส่งยิ้มจางๆให้เขา อัสนีรู้สึกดีที่ได้ขอโทษเธอ
“ทีหลังพูดกับฉันบ้างก็ได้ ไม่ต้องกลัวจนประหม่าแบบนั้น “ อัสนียิ้มให้เธอก่อนเดินจากไป พระพายมองตาม ยิ้มสดใส หัวใจพองโต
“แค่รอยยิ้ม รอยยิ้มเท่านั้น พระพายก็หายเหนื่อยแล้วค่ะคุณอัสนี”





 

Create Date : 13 กรกฎาคม 2550    
Last Update : 13 กรกฎาคม 2550 0:24:08 น.
Counter : 1896 Pageviews.  

กลิ่นแก้วกลางใจ ตอนที่ 17


ก ลิ่ น แ ก้ ว ก ล า ง ใ จ


บทประพันธ์ นันทวรรณ รุ่งวงศ์พาณิชย์
กมลชนก ยวดยง เรียบเรียงจากบทโทรทัศน์


ตอนที่ 17


“ยินดีต้อนรับทั้งสองคน อาเต็มใจอย่างยิ่งที่จะคืนตำแหน่งบริหารทั้งหมดให้...หลานรัก”
ภานุประกาศกลางที่ประชุม

อัสนีเคียงข้างด้วยอาโป กลับเข้าบริหารงานของธีรนัยอย่างมีเกียรติ เวลานี้อัสนีเหมือนเป็นคนละคน เขาจัดการปรับปรุงตัวเองใหม่ เพื่อเป็นคนที่ดีและสามีที่ดี แต่เขากลับรู้สึกแปลกแยกกับอาโปคนใหม่มากขึ้นทุกที ...
เธอดูไม่เหมือน อาโปที่เกาะเลย

อาโปพยายามที่จะเลี่ยงไม่ยอมเจออัสนี เพราะมัวแต่ยุ่งอยู่กับการโทรศัพท์หาทุกคนเพื่อสอบถามข่าวคราวของจอนนี่ แต่ทุกอย่างเงียบเชียบ ดูเหมือนจอนนี่จะหายตัวไปจากชีวิตเธออย่างไร้ร่องรอย

อาโปวางโทรศัพท์อย่างหงุดหงิด
“จอนนี่ คุณหายไปอยู่ไหนนะ”

เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น แสงเปิดเข้ามา
“คุณหนูขา คุณอัสนีรอทานข้าวเย็นอยู่ข้างล่าง...”

อาโปได้ยินชื่ออัสนีก็หงุดหงิดขึ้นมาทันที
“โอ๊ย นี่เขายังไม่กลับบ้านกลับช่องไปอีกหรือคะ ทานข้าวเช้าข้าวกลางวันทำงานด้วยกัน ไม่พออีกหรือไง อาโปเบื่อเขาจะแย่อยู่แล้ว คนอะไรก็ไม่รู้ น่ารำคาญที่สุด”

“แต่ คุณหญิงกับคุณอัสนีรออยู่นะคะ...”
“คุณแม่อยู่ ก็ให้คุณแม่คุยกับเขาไปสิคะ นมไปบอกเขานะคะว่าอาโปกำลังตามหาจอนนี่ สามีสุดที่รัก ไม่ว่างทำอย่างอื่นทั้งนั้น ! “

อาโปพูดจบก็ยกโทรศัพท์ขึ้นมาโทรเป็นการตัดบท แสงมองอย่างอ่อนใจ จำใจลงไปโกหกว่าอาโปไม่สบาย อัสนีรู้ดีว่าอาโปไม่พอใจเขาตามเคย แต่เขาไม่เคยคิดโกรธเคืองเธอสักนิด

“ รู้ไหมครับตอนอยู่ที่บ้านกลิ่นแก้ว อาโปเขาดูแลผมเป็นอย่างดี ถึงผมจะทำตัวไม่ดี เขาก็ไม่เคยโกรธผมเลยสักครั้ง “

อัสนีให้เหตุผลกับจิตตาเช่นนั้น แล้วเขาก็คิดถึงดอกแก้ว...ดอกไม้ที่อาโปชอบนักหนาตอนอยู่ที่เกาะ อัสนีรีบจัดเตรียมแจกันดอกแก้วไปง้ออาโปทันที

วันรุ่งขึ้นเมื่ออาโปไปทำงานก็ต้องพบกับแจกันดอกแก้วสีขาวบานสะพรั่งอยู่ที่โต๊ะประจำตำแหน่งของเธอ จิตตาและเมษาที่ตามไปส่งอาโปมองอย่างชื่นชม

“ดอกแก้ว สวยจังนะจ๊ะ” จิตตาหันไปชมอัสนีที่ยืนยิ้มลุ้นดูปฏิกิริยาของอาโปอยู่ใกล้ๆ
“คุณเอามาให้ฉันงั้นหรือ” อาโปถามอัสนี เขารีบตอบ

“ดอกไม้ที่คุณชอบไง ผมจัดให้คุณกับมือผมเองเลยนะ คุณชอบไหม….เขาว่ากันว่าบนโต๊ะทำงานถ้ามีแจกันดอกไม้ หรือสิ่งสวยงามให้ดู จะช่วยให้เราสดชื่นและลดความเครียด แต่ดอกแก้วนี่ ผมว่าได้คุณสมบัติอีกข้อคือกลิ่นหอมชื่นใจด้วยนะครับ”

อาโปขยี้จมูก เวียนหัวไม่ชอบกลิ่นดอกแก้วสักนิด
“แต่ฉันปวดจมูก เวียนหัว คุณเอาออกไปเถอะ”

อัสนีมองอาโปอย่างแปลกใจ “ทำไมล่ะครับ คุณชอบกลิ่นของมันไม่ใช่เหรอ “
เขายกแจกันดอกแก้วขึ้นมาดมว่ากลิ่นดอกแก้วผิดเพี้ยนไปจากปกติหรือไม่ แต่เขาก็ว่ามันหอมดี จึงยื่นไปใกล้ๆอาโปบ้าง

“คุณเคยบอกว่ากลิ่นของมันทำให้คุณ...”
อาโปสุดจะทนกับกลิ่นฉุนของดอกแก้ว เธอปัดมืออัสนีออก แจกันดอกแก้วร่วงหล่นแตกกระจายกับพื้น

“โอ๊ย บอกว่าเหม็น พูดไม่รู้เรื่องหรือไงนะ”
อัสนีนิ่งอึ้งไปกับการกระทำของอาโป จิตตาดุลูกสาวทันที

“อาโป ทำไมทำแบบนี้ แย่มากเลยรู้ไหมคะ !”
อาโปหยิ่งไม่สนใจ อัสนีเศร้าใจที่ทำให้อาโปพอใจไม่ด้สักที

“ผมขอโทษ ไม่คิดว่าคุณจะเกลียดมัน...ที่บ้านกลิ่นแก้ว คุยเคยเอาดอกแก้วมาให้ผมบ่อยๆ ผมก็เลยอยากทำให้คุณบ้าง”

อาโปหน้าซีดเพิ่งเข้าใจ
“ฉันน่ะหรือเคยให้คุณ”

เมษาเองก็หน้าเสียเช่นกัน เธอกลัวเหลือเกินว่าอัสนีจะระแคะระคายสงสัยว่าอาโปคนนี้ไม่ใช่อาโปคนที่เคยอยู่บ้านกลิ่นแก้วกับเขา หล่อนรีบกลับไปขอร้องแกมบังคับให้พระพายกลับเข้าไปทำงานกับอาโปอีกครั้ง

ทั้งที่หลายสัปดาห์มานี้ พระพายได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ ไปสมัครงานเป็นพยาบาลที่โรงพยาบาลแล้ว

เมษาบอกพระพายว่า ให้พระพายมาทำงานช่วยติวเข้มอาโป เพื่อให้อาโปสวมรอยเป็นภรรยาอย่างแนบเนียน จากนั้น พระพายสามารถกลับมาเป็นพยาบาลได้ใหม่อีกครั้ง
ทั้งหมดนี้ คงใช้เวลาไม่นาน...

“แม่ไม่อยากให้คุณหญิงสงสัย ถ้าเขารู้ว่าหนูเคยปลอมตัวไปเป็นอาโปและอยู่กับคุณอัสนีที่เกาะ เขาไล่แม่ออกจากงานแน่”

เมษาให้เหตุผลกับพระพายเช่นนี้ หล่อนรู้ดีว่าเด็กที่รักหล่อนชนิดถวายหัวอย่างพระพายไม่กล้าปฏิเสธสิ่งที่เธอขอร้องแน่นอน

แล้วพระพายก็ทำตามคำขอของเมษาอีกครั้ง โดมที่ได้ฟังการตัดสินใจของพระพายโวยลั่น

“บ้า พระพายเป็นบ้าไปแล้ว อุตส่าห์หนีออกมาได้ แล้วจะกลับไปทำไมอีก เป็นพยาบาลดีๆไม่ชอบ อยากกลับไปเป็นคนใช้ยายไฮโซตัวแสบงั้นหรือ ! “

“ไม่ใช่คนใช้ค่ะ คราวนี้พระพายจะได้เป็นเลขาคุณอาโป “
พระพายถอนใจ เศร้าใจกับชะตาชีวิตตัวเอง... ด้วยบุญคุณล้นหัวที่เมษามีต่อเธอ เธอตัดใจเป็นคนอกตัญญู ขัดขืนคำสั่งเมษาไม่ได้สักที

โดมมองพระพายอย่างไม่เข้าใจ ครั้งนี้ไม่ใช่แค่เรื่องอยู่กับคุณหนูจอมวีนเท่านั้น การกลับไปพบหน้า อัสนีในเวลาที่เป็นสามีของหญิงอื่น...ช่างน่าทรมานใจ

“พี่ยังยืนยันว่ามีแต่คนบ้าเท่านั้น ที่พยายามทำให้คนที่เรารักไปรักผู้หญิงอื่น “
“พระพายจำเป็นค่ะ คุณอัสนีเป็นคนฉลาด ถ้าพระพายไม่อยู่ช่วยคุณอาโป เขารู้ความจริงแน่”

“มันไม่สนุกหรอกนะไปนั่งดูคนรักของเราสวีทกับคนอื่นตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง”
พระพายเจ็บลึก...ใช่ว่าเธอจะไม่รู้ความจริงข้อนี้ แต่เธอก็ต้องทนให้ได้

“ถ้าอยากให้เขาออกไปจากชีวิตพระพาย นี่เป็นทางเดียว จัดการให้เขาเชื่อว่าอาโปคือคนที่เขารักและรอคอย ทำให้เขาเชื่อซะ แล้วพระพายจะได้เป็นอิสระจากเขาตลอดไป”

โดมหงุดหงิด เขาดูก็รู้ว่าพระพายยังรักนายอัสนีนั่นเต็มหัวใจ แต่ก็ยังเลือกที่จะทำร้ายตัวเอง เขายกแก้วน้ำดื่มขึ้นมาชนกับแก้วน้ำพระพาย ประชดประชันเต็มที่

“งั้นเรามาดื่มกัน ดื่มให้แก่ชีวิตใหม่ของพระพาย ที่จะมีแต่ความเจ็บปวด ดื่มให้คนบ้าเพราะรัก ที่มีอยู่เต็มโลก … เชียส !! “

โดมดื่มน้ำอึกใหญ่ ก่อนจะกระแทกแก้ววางแล้วลุกเดินหนีไป
พระพายหน้าเศร้า... ใครเล่าจะอยากเจ็บปวดใจเช่นนี้ แต่เมื่อเธอยกหัวใจให้เขาไปแล้วทั้งใจ เธอก็ไม่คิดที่จะตามทวงคืน....

แล้วพระพายก็กลับเข้าไปอยู่ใน”สุรเยนทร์”อีกครั้ง เมษาสะสางเรื่องคดีที่พระพายเคยขโมยบัตรเครดิตไป ว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิด ที่จริงพระพายกลับไปเยี่ยมญาติผู้ใหญ่ที่ต่างจังหวัด บัตรเครดิตอาโปคงมีคนเอาไปใช้ตอนที่แสงทำกระเป๋าสตางค์หายไปนั่นเอง จิตตารับฟังทุกอย่างอย่างเข้าใจ

วันใหม่...
พระพายมองดูตัวเองในกระจก หญิงสาวสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกระโปรงสีเทาดูเรียบร้อยตามแบบฉบับพนักงานบริษัททั่วไป วันนี้จะเป็นวันแรกที่เธอจะเข้าไปทำงานในฐานะลูกจ้างคุณอัสนี....เธอต้องเจอหน้าเขาแล้ว พระพายถอนใจ

“เฮ้อ ฉันจะเป็นยังไงบ้างเนี่ย”
พระพายกลัวใจตัวเอง ถึงเธอจะทำใจได้ระดับหนึ่ง แต่ก็อดที่จะหวั่นไหว และกังวลใจไม่ได้

เมษามารับพระพายและอาโปไปทำงานด้วยตัวเอง พระพายหยิบกระดาษจดรายการสิ่งที่อัสนีชอบ-ไม่ชอบยื่นให้อาโป

“คุณอาโป ดิฉันจดรายละเอียดกิจวัตรประจำวันของคุณอัสนีที่บ้านกลิ่นแก้ว กับสิ่งที่คุณอัสนีชอบมาให้คุณค่ะ”

พระพายเริ่มทำหน้าที่ของตนทันที
อาโปมองตรงไปด้านหน้า ไม่สนใจสักนิด “ให้ฉันทำไม ไม่เห็นอยากจะรู้”

“หนูไม่อยากรู้ข่าวจอนนี่แล้วเหรอ”
เมษาแกล้งถาม อาโปหันขวับไปหาเมษาทันที

“คุณป้าหมายความว่าไงคะ”
เมษายิ้ม พูดเข้าแผนหลอกล่อให้อาโปอ่านเรื่องอัสนีทันที

“ป้าบอกตอนนี้ก็ไม่สนุกสิ ป้าว่าเรายื่นหมูยื่นแมวกันดีกว่า หนูอ่านสิ่งที่พระพายเขียนมาก่อน แล้วป้าจะเล่าเรื่องจอนนี่ให้หนูฟัง ดีไหม? “

“ทำไมต้องบังคับอาโปด้วยคะ “ อาโปโมโหขึ้นมาทันที แต่เมษาไม่สนใจ
“หนูอ่านกระดาษแผ่นนั้นจบเมื่อไหร่ ได้ฟังข่าวจอนนี่แน่ๆ จ้ะ”

อาโปคว้ากระดาษในมือพระพายไปอ่านอย่างไม่สบอารมณ์ เมษายิ้มพอใจ เมื่อวานเธอได้เบาะแสของนายจอนนี่แล้ว เลยคิดจะเล่าให้อาโปฟังเสียหน่อย จะได้ไม่งอแง

สิ่งที่เมษากลัวที่สุดคือการที่อาโปหมดความอดทนกับการเล่นละครตบตาผู้คน หากเจ้าหล่อนเล่าความจริงทุกอย่างให้จิตตาฟังเมื่อไร แผนการทำลายจิตตาและพระพายพังไม่เป็นท่าแน่

เมื่อไปถึงบริษัท อาโปแยกไปคุยกับเมษาเรื่องความคืบหน้าของจอนนี่ ปล่อยให้พระพายไปรายงานตัวกับหัวหน้าเลขาฯของอาโปเพียงลำพัง

“นี่บัตรพนักงานของเธอ เป็นพนักงานฝึกหัดไปก่อน อย่านึกว่าเป็นเด็กที่คุณท่านเมตตาแล้ววจะมีอภิสิทธิ์เหนือคนอื่นเขานะ”
“ค่ะ...”

วิไลเลขาของอาโป ส่งบัตรพนักงานให้ พระพายรับมาอย่างนอบน้อม วิไลพอใจในท่าทีหงอๆของพระพาย

“งานที่นี่เข้าแปดโมงเช้า เลิกห้าโมงเย็น พักกลางวันตอนเที่ยงหนึ่งชั่วโมงทุกวันอังคารและพฤหัสจะมีประชุมหลังเลิกงานกับฉัน ห้ามทุกคนขาดไม่ว่าจะกรณีใดทั้งสิ้น”

วิไลที่พาพระพายเดินแนะนำสถานที่หยุดเดิน ปรายตามอง
“ เข้าใจไหม “
“ค่ะ....”

“พนักงานใหม่จะได้สิทธิ์ ...ต๊ายบอส สวัสดีค่ะ” วิไลรีบทักทายเมื่อเห็นอัสนีเดินเข้ามา

พระพายเงยหน้ามองเห็นอัสนีแล้วใจหายวาบ ! รีบผลุบหายเข้าไปยืนหลบๆหลังเสาไม่อยากเจอหน้าเขา
“ภรรยาผมมารึยังครับ”

“มาแล้วค่ะ แต่คุยงานอยู่กับคุณเมษา”
อัสนีส่งถุงร้านขนมชื่อดังให้วิไล

“จัดให้ผมหน่อยสิ ขอกาแฟด้วย “
วิไลรับถุงมาแล้วส่งต่อไปให้พระพายด้านหลัง

“ได้ยินที่บอสสั่งใช่ไหม จัดการให้ฉันหน่อย “
อัสนีมองวิไลยื่นถุงไปข้างหลังอย่างงงๆ เพราะไม่เห็นใครยืนอยู่
วิไลหันมองตามอัสนีแล้วก็ต้องแปลกใจที่พระพายไม่อยู่แล้ว

“เอ้า เมื่อกี้ก็อยู่ตรงนี้นี่นา หายไปไหน” วิไลเดินหารอบๆแล้วก็เจอพระพายยืนหน้าซีดอยู่หลังเสาต้นหนึ่ง

“ เอ้าทำไมมายืนอยู่ตรงนี้ ออกมาหาคุณอัสนีสิ”
วิไลลากพระพายให้ออกมาเจออัสนี พระพายก้มหน้าก้มตา ใจเต้น กลัวว่าอัสนีจะจำตนได้

“เด็กใหม่ ชื่อพระพายค่ะ”
อัสนีมองหน้าพระพายอย่างเฉยเมย พระพายค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองดูเขาแล้วก็ต้องสะท้อนใจ

“คุณหายดีแล้ว คุณมองเห็นแล้ว ฉันดีใจด้วยนะคะ.... “ พระพายคุยกับอัสนีในใจ แล้วก็เริ่มเศร้าไป “ฉันจะหลบคุณทำไมกัน คุณจำฉันไม่ได้สักหน่อย”

วิไลมองพระพายที่ยืนนิ่งไม่พูดไม่จาอย่างหงุดหงิดใจ
“เอ๊ะเด็กคนนี้…ยกมือไหว้ท่านสิ”

พระพายจึงยกมือไหว้ แต่เมษากับอาโปเดินเข้ามาเสียก่อน อัสนีมองเลยพระพายไปเห็นทั้งคู่ก็รีบเดินเข้าไปหาทั้งที่พระพายยังยกมือไหว้ไม่เสร็จด้วยซ้ำ พระพายเหวอไป เหมือนไหว้อากาศ วิไลยื่นของให้พระพายไปจัด เธอรับมาอย่างเหม่อๆ มองอัสนีไม่วางตา

“คุยงานเสร็จแล้วหรือครับ”
อัสนีเข้าไปคุยกับอาโป ดีใจที่ได้เจอ

“เมื่อวานต้องกินข้าวคนเดียวเหงาชะมัด” เขาก้มลงไปกระซิบข้างหู “ถ้าคุณไม่ห้าม ผมขับรถไปหาคุณถึงบ้านแน่”

พระพายเห็นเขาก้มหากัน ตกใจทำของตกจากมือทันที ขนมกระจาย วิไลร้องกรี๊ดเพราะมันหล่นลงเท้าของวิไล

“ว้ายๆอะไรของแก…เลอะหมดแล้วยี้”
ทุกคนหันมอง อัสนีโมโหเดินเข้ามาดุพระพายเสียงเข้ม

“นั่นของคุณอาโปนะ ฉันต้องขับรถไปซื้อตั้งไกล ทำไมซุ่มซ่ามอย่างนี้ ! “
พระพายหน้าเศร้า น้อยใจที่ถูกคนรักตะคอกใส่

วิไลรีบบอก
“ขอโทษคุณอัสนีเดี๋ยวนี้”

พระพายเอาแต่ยืนก้มหน้านิ่ง น้ำตารื้น...วิไลเตือนอีกครั้ง
“ยังอีก คุณอัสนีเป็นใคร คุณอาโปเป็นใคร แกยังไม่ไหว้อีกหรือ เบื่อจริงๆ เด็กใหม่โง่ๆพวกนี้เนี่ย”

พระพายยกมือไหว้ อัสนีทำท่าจะดุซ้ำ แต่อาโปเห็นพระพายทำท่าจะร้องไห้ก็ตัดบทให้
“เอ้อ ช่างมันเถอะค่ะ อาโปกำลังไดเอ็ทไม่ทานอะไรทั้งนั้น ไปห้องทำงานดีกว่า อาโปจะถามคุณเรื่องเอกสารพอดี ไปค่ะ”

พระพายมองทั้งคู่ควงแขนกันออกไปด้วยความเศร้า เธอก้มหน้าก้มตาเก็บของที่ทำตกไว้ ก่อนจะวิ่งเข้าไปร้องไห้เพียงลำพังในห้องน้ำอย่างสุดเสียใจที่อัสนีจำเธอไม่ได้สักนิด

“ไม่ใช่แค่คนแปลกหน้า คนแปลกหน้ายังสูงส่งเกินไปด้วยซ้ำ! ! “ พระพายคิดอย่างน้อยใจ ยิ่งคิดก็ยิ่งเจ็บปวด

“ฉันคือคนที่ ไม่มีค่าเลยในสายตาของเขา พระพาย …ครูตั้งชื่อนี้ให้ฉันทำไม … ชีวิตของฉันไร้ค่ายิ่งกว่าธุลี ไม่มีตัวตน ไม่มีคุณค่าอะไรทั้งนั้น…”

พระพายน้ำตาไหลริน การที่ได้รู้ว่าตนเองไร้ค่า ไม่อยู่ในสายตาของคนที่เรารักเจ็บช้ำสาหัสขนาดไหน พระพายเข้าใจมันอย่างถ่องแท้วันนี้เอง....




 

Create Date : 09 กรกฎาคม 2550    
Last Update : 9 กรกฎาคม 2550 21:15:28 น.
Counter : 577 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  

แม่มดมีฤทธิ์
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 12 คน [?]




นันทวรรณ รุ่งวงศ์พาณิชย์ (บ๊วย)
นักเขียนบทละครโทรทัศน์

เจ้าของบทประพันธ์...>>>>>
ทาสรัก สวรรค์สร้าง
เพลงรักข้ามภพ
สู่แสงตะวัน อธิษฐานรัก
ดั่งดวงตะวัน เพียงผืนฟ้า
กลิ่นแก้วกลางใจ เปลวไฟในฝัน

ผลงานเขียนบท...>>>>>
บ่วง ทวิภพ สาปภูษา
ดั่งดวงตะวัน กลิ่นแก้วกลางใจ
เปลวไฟในฝัน หัวใจช็อคโกแล็ต
คลื่นรักสีคราม เล่ห์รตี

ผลงานกับละลิตา ฉันทศาสตร์โกศล ...>>>>>
ทางผ่านกามเทพ สามีตีตรา สายรุ้ง
ยอดชีวัน สามี บังเกิดเกล้า
หนึ่งในดวงใจคือเธอ สี่ไม้คาน
เลื่อมสลับลาย พรหมไม่ได้ลิขิต
ก้านกฤษณา ปลาหนีน้ำ ฯลฯ

ผลงานกับ ช่างปั้นเรื่อง...>>>>>
รักในม่านเมฆ เพียงผืนฟ้า ปิ่นมุก พลิกดินสู่ดาว อุ่นไอรัก
เบญจาคีตาความรัก รุ่งทิพย์ ต่างฟ้าตะวันเดียว
ปิ่นไพร ฯลฯ




Friends' blogs
[Add แม่มดมีฤทธิ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.