อัตตาของศาสนาพราหมณ์กับอัตตาของศาสนาพุทธ ![]() 🌷 อัตตาของศาสนาพราหมณ์กับอัตตาของศาสนาพุทธ วันอาทิตย์ที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๖๔ เป็นวันพระแรม ๑๕ ค่ำเดือน ๘ (สองหน) เจริญสุขสวัสดี ได้เวลาที่จะฟังพระธรรมเทศนาในเรื่องหัวใจพระพุทธศาสนา ต่อจากพระที่แล้ว ในเบื้องต้นที่เริ่มศึกษาพระพุทธศาสนา หรือได้ศึกษากันมาบ้างแล้วก็ตาม ต้องใส่ใจกับหลักธรรมที่สำคัญคือ เรื่องจิต ตน ธรรม เรา เพราะเรื่องข้างต้นนี้ ถ้าเข้าใจได้ถูกต้องตามความเป็นจริงแล้วนั้น จะนำพาเราไปสู่ พุทธัง ธัมมัง สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ ได้ ส่วนถ้าเราเข้าใจเรื่องเหล่านี้ผิดไปจากความเป็นจริง ก็เสมือนหนึ่งการใส่เสื้อแล้ว ติดกระดุมเม็ดแรกผิดไป ย่อมทำให้เราติดกระดุมเม็ดต่อๆ ไป ผิดตามไปด้วยตลอดแนวเช่นกัน ฉะนั้นเราจึงควรใส่ใจให้มาก กระทำทำให้มาก เจริญให้มาก ในเรื่องเหล่านี้ 🌹 อัตตาของศาสนาพราหมณ์กับอัตตาของศาสนาพุทธ ก่อนอื่นทั้งหมด ควรจะได้ทำความเข้าใจถึงความหมายของคำว่า “อัตตา” เสียก่อนว่า พระพุทธองค์ก็ได้ทรงสอนพระอานนท์ซึ่งเป็นพระโสดาบัน ให้ “มีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง” ดังที่ได้ยกมากล่าวแล้วข้างต้น เช่นเดียวกับศาสนาพราหมณ์เหมือนกัน แต่ความหมายต่างกัน เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่า สิ่งใดที่จะเป็น อัตตา ได้นั้น สิ่งนั้นจะต้องมี คุณลักษณะ ที่อาจยกมาแสดงได้ ๔ ประการ ดังนี้คือ ๑. นิจฺโจ (เที่ยงแท้) ๒. ธุโว (คงทน) ๓. สสฺสโต (ถาวร) ๔. อวิปริณาม (ไม่แปรผันเป็นอย่างอื่น) เพราะฉะนั้น สิ่งใดที่ไม่มีคุณสมบัติเช่นว่านี้ หรือมีคุณลักษณะตรงกันข้าม สิ่งนั้นก็ไม่ใช่สภาพธรรมของอัตตา แต่เป็นสภาพธรรมของอนัตตา และตกอยู่ในอำนาจของพระไตรลักษณ์ (คือ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา) เช่นเดียวกับโลกียธรรมทั้งหลายเหมือนกัน ทั้งนี้หมายความว่า สภาพธรรมที่เป็นอัตตานั้นอยู่พ้นจากความครอบงำของพระไตรลักษณ์อย่างสิ้นเชิง จึงดำรงตนอยู่อย่างเที่ยงแท้ คงทน ถาวร ไม่แปรผันเป็นอย่างอื่น ตลอดไป 🌹 อัตตาของศาสนาพราหมณ์ ในศาสนาพราหมณ์นั้น ถือว่าพระพรหมมีอายุยืนยาวมาก เมื่อเปรียบเทียบกับสัตว์อื่นที่เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพภูมิต่างๆ ด้วยกันแล้ว แตกต่างกันมากมาย กล่าวคือ สัตว์อื่นได้เวียนเกิดแล้วตาย เกิดแล้วตายเป็นจำนวนหลายสิบหลายร้อยครั้งแล้ว แต่พระพรหมก็ยังคงดำรงตนอยู่ในสภาพเช่นนั้น จึงเกิดความประมาทขึ้นและเข้าใจว่าตัวเองไม่ตาย และได้บัญญัติเรียกตนเองว่าเป็นอัตตาขึ้น ผู้ที่นับถือศาสนาพราหมณ์ เรียก พระพรหม ว่าเป็นมหาตมัน (อัตตาใหญ่) และเข้าใจว่าสัตว์อื่นๆ ทั้งหลายล้วนแต่แตกแยกออกมาจากพระพรหมทั้งสิ้น เมื่อปรารถนาจะกลับไปเป็นพระพรหมอีก ก็ต้องลงมือบำเพ็ญตบะ ทำฌานสมาบัติไว้ ครั้นตายลงเมื่อใด ก็จะได้กลับไปรวมอยู่กับพระพรหม ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่เป็นอัตตาอีกในที่สุด 🌹 อัตตาของศาสนาพุทธ พระพุทธองค์ได้ทรงปฏิเสธความเห็นของศาสนาพราหมณ์ในเรื่องนี้ว่า สภาพของพระพรหมทั้งหลายนั้นก็เป็นผลของการบำเพ็ญฌานสมาบัติ ที่สัตว์ได้เพ่งเพียรปฏิบัติทางจิตไว้ก่อน ดังนั้น จึงเป็นเพียงภพภูมิหนึ่งที่ยังยึดถืออารมณ์ที่ปราศจากกาม และถูกอารมณ์นั้นๆ ปรุงแต่งอยู่ตลอดเวลา แต่เป็นการปรุงแต่งที่เป็นครุกรรมฝ่ายกุศล ที่ส่งผลให้พระพรหมดำรงชีวิตอยู่ อย่างยืนยาวกว่าการปรุงแต่งด้วยอารมณ์อย่างอื่น ดังที่ทรงแสดงทิฐิไว้ ๖๒ ประการใน "พรหมชาลสูตร" แล้วนั้น อันล้วนแต่เป็นจิตสังขารทั้งสิ้น เมื่อพระพรหมยังมีจิตที่ถูกปรุงแต่งอยู่ ก็ย่อมต้องมีการสิ้นอายุในวันใดวันหนึ่งข้างหน้า แล้วก็ย่อมต้องจุติเข้าสู่กามาวจรภูมิ (ภูมิที่ยังท่องเที่ยวไปในอารมณ์ที่เป็นกามคุณ) อีกเป็นธรรมดา ดังนั้น ฐานะของพระพรหมจึงไม่เที่ยงแท้ ไม่คงทน ไม่ถาวร และจะต้องมีการผันแปรไปเป็นอย่างอื่น จึงไม่ใช่สภาพธรรมที่เป็นอัตตา เนื่องจากจิตของพระพรหมยังยึดถืออารมณ์และถูกอารมณ์ปรุงแต่งอยู่ คือเป็นจิตสังขาร จึงจัดเป็นสภาพธรรมที่เป็นอนัตตา (ไม่ใช่สภาพตัวตนดั้งเดิม) ดังนั้นความเข้าใจของศาสนาพราหมณ์ว่าพระพรหมเป็นอัตตา จึงไม่ถูกต้อง การเห็นที่ว่าอารมณ์เที่ยง หรือเห็นว่าจิตสังขารเที่ยง จึงเป็นความเห็นผิดฝ่ายสัสสตทิฐิ พระพุทธองค์ได้ทรงชี้ให้เห็นว่า ตราบใดที่สัตว์ยังติดข้องในอารมณ์อยู่ ตราบนั้นสัตว์จะยังไม่มีทางพ้นทุกข์ไปได้ ดังที่ทรงรำพึงเมื่อทรงศึกษาอยู่ในสำนักพระอุทกดาบสและพระอาฬารดาบสนั้น ครั้นเมื่อได้ตรัสรู้พระอนตุตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว จึงได้ทรงชี้ชัดเจนว่า จิตที่สิ้นความยินดีและแยกออกจากอารมณ์ทั้งปวงอย่างเด็ดขาด คือ วิราคจิต จัดเป็นนิพพาน เป็นอมตธรรม (ธรรมที่ไม่ตาย) ซึ่งย่อมดำรงตนอยู่อย่างเที่ยงแท้ คงทน ถาวร ไม่แปรผันเป็นอย่างอื่นอีกต่อไป เป็นอัตตาตัวตนในพระพุทธศาสนา และเป็นที่พึ่งได้อย่างแท้จริง ดังที่ทรงยกมาสอนพระอานนท์ว่า "ให้มีตัวตนเป็นเกาะ มีตัวตนเป็นที่พึ่ง" นั้นทีเดียว 🌷 ทิฐิ (ความเห็น) ความจริงแล้ว คำว่า ทิฐิ แปลว่า ความเห็น เป็นคำกลางๆ แต่สังคมเอาไปใช้พูดกันในความหมายที่ว่า เห็นผิด ไปเสีย ถ้าจะพูดให้ถูกต้องแล้ว จึงต้องพูดให้เต็มคำว่า สัมมาทิฐิ (เห็นถูกต้องตามความเป็นจริง) และ มิจฉาทิฐิ (เห็นผิดจากความเป็นจริง) จึงจะตรงกับความหมายที่แท้จริงของศัพท์ เรื่อง สัมมาทิฐิ และมิจฉาทิฐิ นี้ ยังไม่มีผู้ใดสรุปความหมายไว้ให้ชัดเจนว่า เห็นอย่างไรจึงจะเรียกว่า เห็นผิด และเห็นอย่างไรจึงจะเรียกว่า เห็นถูก เพื่อให้ผู้ศึกษาธรรมะใช้เป็นหลักเกณฑ์ สำหรับพิจารณาเชื่อถือธรรมะได้ด้วยตนเองโดยไม่ผิดพลาด และสามารถลบล้างความเชื่อถือเก่าๆ ที่ว่าใครพูดว่าอะไรเที่ยงไม่ได้ และพูดว่าอะไรสูญหายก็ไม่ได้ ต้องปรับให้ผิดทั้งขึ้นทั้งล่อง เช่น พูดว่าตายแล้วเกิดอีกก็ผิด ตายแล้วสูญก็ผิด ดังนี้เป็นต้น คติธรรมทางพระพุทธศาสนานั้น เราเชื่อกันอย่างมั่นใจว่า มนุษย์หรือสัตว์ทุกรูปนามจะต้องไปเกิดใหม่อีก เมื่อตายแล้ว มิได้ดับสูญไปตามรูปร่างกายที่ตายไปด้วย ฝ่ายนักศึกษาพระอภิธรรมเข้าใจว่า ในขณะที่ตายนั้นมีปฏิสนธิจิตออกจากร่างกาย แล้วไปสู่รูปร่างกายชุดใหม่ จิตที่จุติ (เคลื่อน) ออกจากร่างกายที่ตายแล้ว กับจิตที่ปฏิสนธิ (เกิด) ในรูปร่างกายชุดใหม่นั้น เป็นคนละดวงกัน ไม่ใช่ดวงเดียวกัน แต่รับถ่ายทอดกรรมที่ทำไว้ จากจิตดวงหนึ่งไปยังจิตอีกดวงหนึ่งเป็นทอดๆ ได้ ฝ่ายนักศึกษาพระสูตรก็อธิบายว่า จิตในชาติที่ตายแล้ว กับจิตในชาติใหม่เป็นดวงเดียวกัน จึงไม่ต้องถ่ายทอดกรรมกัน ดังกล่าวแล้ว ดังนั้น จิตดวงนี้จึงต้องรับกรรมที่ทำไว้ในอดีตทั้งหมด อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เปรียบดังล้อเกวียนหมุนตามรอยเท้าโคที่ลากเกวียนนั้นไปทีเดียว ไม่ว่าจะทำกรรมอย่างใดไว้ก็ตาม ฝ่ายนักธรรมะบางพวกก็มีความเห็นว่า ตายแล้วสูญหมด ไม่มีอะไรจุติหรือปฏิสนธิทั้งนั้น โดยอ้างว่าไม่เห็นมีอะไรออกจากโลงของผู้ตายไปเกิดอีก เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ก็ย่อมทำให้ผู้ที่กำลังศึกษาธรรมะใหม่ๆ เกิดความลังเลใจ เพราะไม่รู้ว่าจะตัดสินใจเชื่อใคร จึงจะไม่ผิด 🌹 หลักเกณฑ์สำหรับใช้ตัดสินใจเชื่อเรื่อง "เห็นถูก" หรือ "เห็นผิด" ในพระพุทธศาสนา มีพุทธพจน์ในอนัตตลักขณสูตรตรัสไว้ดังนี้คือ "เอว เมตํ ยถาภูตํ สมฺมปฺปญฺญาย ทฏฺฐพฺพํ" แปลว่า "ท่านทั้งหลายพึงเห็นเรื่องนี้ตามความเป็นจริง ด้วยปัญญาอันชอบ" ดังนั้น จึงใช้หลักแห่งความเป็นจริงสำหรับตัดสินใจเชื่อในเรื่อง "เห็นถูก" หรือ "เห็นผิด" ที่ยกมากล่าวนี้ได้ ดังนี้คือ ๑. เห็นสิ่งที่เที่ยงว่าเที่ยง คือ เห็นอสังขตธรรม ได้แก่ ธาตุแท้ทั้ง ๖ ซึ่งไม่ได้เกิดจากเหตุปัจจัยใดๆ ปรุงแต่ง ว่าเป็นสภาพธรรมที่ดำรงตนเองอยู่ เช่นนั้นตลอดไปได้ โดยไม่มีการดับตายหายสูญไปไหน ตามที่เป็นจริง จัดเป็นสัมมาทิฐิ ๒. เห็นสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าไม่เที่ยง คือ เห็นสังขตธรรม ได้แก่ สังขารทั้งหลาย ที่เกิดจากการประชุมปรุงแต่งของธาตุแท้ทั้ง ๖ ว่าเป็นสิ่งที่ไม่อาจดำรงตนอย่างยืนยาวตลอดกาลไปได้ ย่อมดับตายหายสูญไป เป็นธรรมดา จัดเป็นสัมมาทิฐิ ๓. เห็นสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง คือ เห็นผิดจากความเป็นจริงว่า สังขตธรรม ได้แก่ สังขารทั้งหลาย ที่เกิดจากการประชุมปรุงแต่งของธาตุแท้ทั้ง ๖ สามารถดำรงตนเองอย่างยืนยาวไปได้ตลอดกาล (เช่น เห็นขันธ์ ๕ ว่าเที่ยงแท้ถาวร เป็นต้น) จัดเป็นมิจฉาทิฐิ ฝ่ายสัสสตทิฐิ ๔. เห็นสิ่งที่เที่ยงว่าไม่เที่ยง คือ เห็นผิดจากความเป็นจริงว่า อสังขตธรรมซึ่งเป็นสภาพธรรม ที่ดำรงตนเองอยู่ได้เช่นนั้นตลอดไป ต้องพลอยดับตายหายสูญไปด้วยเมื่อรูปร่างกายของสัตว์ตายลง เช่น เห็นว่าจิตไม่จุติออกไปเพื่อสืบภพชาติใหม่ต่อไปอีก จัดเป็นมิจฉาทิฐิ ฝ่ายอุจเฉททิฐิ (เห็นผิดว่าขาดสูญเมื่อสัตว์ตาย) สรุปความแล้ว ผู้ที่รู้ตามความเป็นจริงเช่นนี้ทั้งหมด ย่อมเป็นสัมมาทิฐิ สำหรับข้อ ๓ กับข้อ ๔ จัดเป็นความรู้เห็นที่กลับตาละปัด ผิดจากความเป็นจริง นับว่าเป็นมิจฉาทิฐิ สำหรับความเห็นผิดในข้อ ๓ จัดเป็นมิจฉาทิฐิ ฝ่ายสัสสตทิฐิ คือเห็นผิดว่าอารมณ์เที่ยง และความเห็นผิดในข้อ ๔ จัดเป็นมิจฉาทิฐิ ฝ่ายอุจเฉททิฐิ คือเห็นผิดว่าขาดสูญ 🌹 สัสสตทิฐิ (เห็นผิดว่าอารมณ์หรือโลกเที่ยง) คำว่า สัสสตทิฐิ นี้ เป็นไวพจน์กับคำว่า อัตตานุทิฐิ หรือ สักกายทิฐิ ซึ่งรวมแล้วแปลว่า เห็นอารมณ์ หรือขันธ์ ๕ เป็นอัตตาตัวตน หรือเป็นกายอันเที่ยงแท้ถาวรของตน เช่น ศาสนาพราหมณ์เห็นว่า พระพรหมเป็นสภาพธรรมที่ดำรงตนอย่างเที่ยงดิ่งตลอดไป พระพุทธองค์ได้ตรัสปฏิเสธว่า พระพรหม ถึงแม้จะมีอายุยืนยาวสักเพียงใดก็ตาม ก็ยังเป็นสังขารธรรมที่ถูกอารมณ์ฌานปรุงแต่งอยู่ ดังนั้น จึงยังไม่พ้นจากความครอบงำของพระไตรลักษณ์ไปได้ สักวันหนึ่งข้างหน้าพระพรหมก็จะต้องจุติเปลี่ยนสภาพไปสู่ภพภูมิอื่น เป็นธรรมดา ด้วยเหตุนี้ ความเห็นของศาสนาพราหมณ์จึงจัดเป็นมิจฉาทิฐิ ฝ่ายสัสสตทิฐิ เพราะเห็นว่าอารมณ์เที่ยง คำที่มีความหมายเป็นไวพจน์ เกื้อกูลกับคำว่า "อารมณ์" เท่าที่ปรากฏอยู่ในวิชาธรรมะ คือ ขันธ์ ๕, รูปนาม, สังขาร, สังขตะ, โลก, ทุกข์ เหล่านี้ มักใช้แทนกันได้ตามสำนวนที่กำลังเอ่ยถึงอยู่ในขณะนั้น ดังนั้น แต่ละคำเหล่านี้จึงล้วนแล้วแต่มีความหมายว่า ไม่เที่ยงแท้ถาวร ทั้งสิ้น ถ้าหากใครเข้าใจว่าเป็นสภาพธรรมที่เที่ยงแล้ว ก็ย่อมเห็นผิดจากความเป็นจริง เช่น เห็นว่าพระพรหมดำรงตนอยู่อย่างเที่ยงดิ่ง เช่นนี้ตลอดไป เป็นต้น ก็เรียกว่าเห็นกลับตาละปัดไปจากความเป็นจริง ดังที่ได้กล่าวแล้วข้างต้น นอกจากนี้ ถ้าเห็นว่าเมื่อได้เกิดเป็นมนุษย์แล้ว ก็เป็นมนุษย์ตลอดไป หรือเมื่อได้เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานแล้วก็เป็นสัตว์เดรัจฉานตลอดไป ตายแล้วก็ไม่เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นตามคติของกรรมที่ตนได้ทำไว้ ก็จัดเป็น สัสสตทิฐิ แต่ถ้าเห็นว่า จิตของมนุษย์หรือสัตว์ทั้งหลายจะต้องจุติไปเกิดอีกหลังจากที่ตายแล้ว ในเมื่อยังไม่หมดกิเลส ก็จัดว่าเป็นสัมมาทิฐิในพุทธศาสนา ไม่ใช่สัสสตทิฐิ สำหรับเรื่องสัสสตทิฐินี้ ผู้ที่เริ่มเข้ามาศึกษาธรรมะใหม่ๆ มักจะถูกผู้อื่นเอาสัสสตทิฐิปลอมๆ ซึ่งฝ่าฝืนเหตุผล มาขู่ให้กลัวเกรง ทำให้ลืมเรื่องราวที่ดีที่ชอบ ประกอบด้วยเหตุผลไปเสีย จนทำให้ต้องเห็นคล้อยตามคำขู่นั้นไปด้วย เช่น เห็นว่าเมื่อสัตว์ตาย แต่จิตเป็นสิ่งที่ไม่ได้ตายสูญหายไปไหน ย่อมจุติออกไปถือกำเนิดในภพชาติใหม่ต่อไปอีก ไม่มีที่สิ้นสุด ก็ขู่ว่านี่เป็นสัสสตทิฐิ หรือเห็นว่า ในอัตตภาพของคนและสัตว์ ซึ่งประชุมพร้อมด้วยรูปธรรม – นามธรรมนี้ มีอยู่สิ่งหนึ่งที่เป็นสภาพยั่งยืนสำหรับรับผลกรรมที่ได้ทำไว้ ไม่ได้ดับตายหายสูญไปตามร่างกายที่ตายไปด้วย ก็ขู่ว่านี่เป็นสัสสตทิฐิ ทั้งนี้เพื่อให้ผู้เริ่มศึกษาธรรมะหันกลับมาเชื่อตามผู้ขู่ว่า ทั้งร่างกายและจิตใจที่ได้ประชุมพร้อมกันอยู่นี้ ไม่มีอะไรเป็นแก่นสารสักนิด จึงไร้ประโยชน์ และดับตายหายสูญไปอย่างสิ้นเชิงเมื่อสัตว์ตาย เช่นเดียวกับบุญ – บาป – กิเลสอาสวะที่ได้สั่งสมรวมไว้ในจิตด้วยเหมือนกัน จิตที่ไปเกิดใหม่ เป็นจิตดวงใหม่ แต่สามารถถ่ายทอดรับช่วงบุญบาปจากจิตดวงเก่าได้ อุปมาดังพ่อทำบาปสะสมไว้ พอตายไป ก็ถ่ายทอดบาปกรรมเช่นนั้น ให้ลูกที่เกิดในภายหลังเป็นผู้รับมรดกต่อไป ซึ่งเป็นคำขู่ที่เชื่อถือไม่ได้เลย ความจริงนั้น พระพรหมก็ดี หรือที่เรียกว่า ขันธ์ ๕ ก็ดี เป็นสภาพธรรมฝ่ายผล (วิบาก) ที่เกิดจากจิตถูกอารมณ์ฌานปรุงแต่งให้มีให้เป็นทั้งสิ้น เมื่อหมดอารมณ์ฌานปรุงแต่งแล้ว จิตก็ย่อมถูกอารมณ์อย่างอื่นทยอยกันเข้ามาปรุงแต่งตามลำดับติดต่อกันไป อุปมาดังน้ำสะอาดที่ถูกนำเอาสีเข้ามาผสมปรุงแต่ง ทำให้น้ำมีสีเหมือนกับสีที่เข้าผสมแต่ละสี ฉันใดก็ฉันนั้น เราจะเห็นว่า ทั้งจิตและน้ำ ได้ยืนเป็นประธาน ให้สิ่งอื่นเข้ามาปรุงแต่งอยู่ ไม่ได้สูญหายไปไหน แต่สิ่งที่เข้ามาปรุงแต่งได้เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ไม่คงที่เสมอไป ดังนั้น ถ้าเรากล่าวว่า จิตเป็นธาตุทรงตัว “รู้” อยู่ทุกกาลสมัยตามที่เป็นจริง ย่อมเป็นสัมมาทิฐิ และในขณะเดียวกัน ถ้าเรากล่าวว่า อารมณ์ฌานที่เข้ามาปรุงแต่งเที่ยงแท้แน่นอน ก็เป็นสัสสตทิฐิ 🌹 อุจเฉททิฐิ (เห็นสิ่งที่เที่ยงว่าไม่เที่ยงหรือเห็นว่าขาดสูญ) อุจเฉททิฐิ นี้ เป็นความเห็นผิดที่มีโทษร้ายแรงมากถึงกับต้องห้ามมรรคผลของตัวเองทีเดียว ทั้งนี้เป็นเพราะไม่ได้ศึกษาให้รู้จัก อสังขตธรรม ซึ่งไม่ได้เกิดจากเหตุปัจจัยใดๆ ปรุงแต่งให้มีให้เป็น เป็นธรรมที่รักษาสภาพเดิมของตนเองไว้ตลอดทุกกาลสมัย แต่ผู้ที่เห็นผิด กลับเข้าใจว่าไม่มีอะไรที่เป็นแก่นสารถาวรเลย บุคคลพวกนี้เห็นว่าทั้งมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายเกิดมาจากความสนุกสนานร่าเริงกันของบิดามารดา จึงทำให้เกิดรูปร่างกายของตัวเองขึ้นมา และเมื่อเกิดรูปร่างกายขึ้นมาแล้ว ก็มีจิตใจพลอยเกิดตามมาด้วยโดยอัตโนมัติ ดังนั้น เมื่อร่างกายตายลงเมื่อใด จิตก็ต้องพลอยพินาศดับสูญไปด้วยเช่นเดียวกัน เกิดหนเดียว – ตายหนเดียวเท่านั้น ไม่มีการสืบภพชาติต่อไปอีกแต่ประการใด ความเห็นเช่นนี้จัดว่าเป็นอุจเฉททิฐิ (เห็นว่าขาดสูญ) ความเห็นผิดเช่นนี้ มีอยู่มากมายในปัจจุบันนี้ ผู้ที่มีความเห็นเช่นนี้ มักมีจิตใจกระด้างหยาบคายเป็นส่วนใหญ่ มักไม่เห็นความถูกต้องของการดำเนินชีวิตในสังคมว่าเป็นเรื่องสำคัญ จึงมักประพฤติตนตามชอบใจ และสวนทางกับหลักธรรมในพระศาสนา บางทีก็กล่าวบิดเบือนสัจธรรมให้ผิดไป ทำให้ส่งผลที่เป็นพิษเป็นภัยแก่สังคมเป็นอย่างยิ่ง เพราะทำให้ผู้ที่เชื่อถือเช่นนี้ จะละเลยการประกอบคุณงามความดี และหันเข้าประกอบแต่ความชั่วกอบโกยผลประโยชน์ แบบมือใครยาวสาวได้สาวเอา โดยไม่คำนึงถึงผลของกรรมที่จะได้รับข้างหน้า เพราะได้เข้าใจผิดเสียแล้วว่า ใครจะทำอะไรลงไปก็ย่อมขาดตายหายสูญ เมื่อตายจึงไม่ต้องรับผลของกรรมแต่ประการใด ดังนั้น ผู้ศึกษาธรรมะที่หลงพาตัวเองเข้าไปอยู่ในข่ายความเห็นผิดว่าตายสูญ เพราะเหมาเอาว่าจะพ้นทุกข์นั้น ย่อมขัดแย้งกับพระพุทธศาสนา ดังพุทธดำรัสที่มีมาใน อปัณณกสูตรว่า "พระอรหันต์ทั้งหลาย ย่อมรู้อยู่แก่ใจว่าปรโลกมีอยู่ ฉะนั้นผู้ที่ถือว่าปรโลกไม่มี จึงได้ชื่อว่าเป็นปฏิปักษ์ต่อพระอรหันต์ทั้งหลาย ในเมื่อตนเองถือเช่นนั้น (ถือว่าตายสูญ) แล้วสอนผู้อื่นให้เชื่อตาม จึงได้ชื่อว่าเป็นผู้ประกาศอสัทธรรม และด้วยอสัทธรรมที่ได้ประกาศออกมาเช่นนี้ ย่อมเป็นเหตุยกตนข่มผู้อื่นอีกด้วย ย่อมละศีลได้ง่ายและประพฤติตนในทางทุศีล ดูก่อนคหบดีทั้งหลาย เพราะอาศัยมิจฉาทิฐิเป็นปัจจัย ย่อมก่อให้เกิดอกุศลกรรมไม่ใช่น้อยทีเดียว ดูก่อนคหบดี ในเรื่องปรโลกนี้ สำหรับคนที่ฉลาดย่อมคิดอย่างนี้ว่า ถ้าปรโลกไม่มี คนที่ทำบาปไว้ก็ปลอดภัยไป แต่ถ้าปรโลกมีจริง คนที่ทำบาปตายไปแล้ว ก็จะเข้าถึงทุคติ วินิบาตนรก หรือแม้ไม่พูดถึงปรโลก แต่คนที่เห็นผิดและทุศีล ก็ย่อมถูกวิญญูชนติในโลกนี้เอง เพราะฉะนั้น คนที่มีความเห็นผิด จึงต้องประสบผลร้ายถึง ๒ ทางคือ ถูกติเตียนในโลกนี้ และเมื่อตายไปแล้วก็จะเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาตนรกอีกด้วย" สรุปความแล้ว ผู้ที่เห็นว่าจิตเป็นสภาพธรรมที่ต้องดับตายหายสูญ เมื่อรูปร่างกายนี้ตายลง จัดว่าเป็น อุจเฉททิฐิ ในพระพุทธศาสนานี้ 🌷 🌷 🌷 จากที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น เรื่องจิต ตน ธรรม เรา นั้น เพื่อต้องการเน้นย้ำให้ผู้ฟังธรรมบรรยาย ได้ตั้งใจทำความเข้าใจในเรื่องเหล่านี้ อันเป็นหัวใจสำคัญในทางปฏิบัติ เพราะยังมีผู้ที่เคยได้ยินได้ฟังจากที่อื่นมาก่อน ในเรื่องจิต ตน ธรรม เรา จึงได้จดจำไว้และเข้าใจไปตามนั้นว่า จิตที่เป็นธาตุรู้นี้ ไม่มีแก่นสารอะไรเลย เป็นตัวทุกข์ พึ่งพาอาศัยอะไรไม่ได้ บังคับบัญชาไม่ได้ ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิดไปจากความเป็นจริง บุคคลผู้ที่รู้จักจิตผิดไปจากความเป็นจริงนั้น ย่อมทำให้การศึกษาและปฏิบัติธรรมกรรมฐานผิดไปตลอดแนวเช่นกัน เพราะยังมีบุคคลผู้ที่ปฏิบัติธรรมกรรมฐาน จนถึงแก่นแท้ เข้าถึงจิตตัวในและรู้จักจิตที่แท้จริง อันไม่ใช่จิตสังขารดังกล่าวแล้ว มีพระบาลีในพระธรรมบทกล่าวไว้ว่า ดังนี้ “อชฺฌตฺตํ สมยํ จิตฺตํ สนฺติ เมวา ธิคจฺฉติ” แปลว่า บุคคลผู้ปฏิบัติจนถึงจิตตัวในแล้ว ย่อมเข้าสู่ความสงบ และย่อมรู้เห็นตามความเป็นจริง หรือรู้ชัดว่า จิตที่สงบตั้งมั่นไม่หวั่นไหวนั้น ย่อมนำสุขมาให้ และเป็นที่พึ่งที่อาศัย สามารถควบคุมได้ดังใจหวัง เป็นสรณัง คัจฉามิ เอวัง. พระภัทรสิทธิ์ อภินันโท เทศนาธรรม วันพระ ๘ สิงหาคม ๒๕๖๔ |
ในความฝันของใครสักคน
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() หน้าแรก Blog ธรรมภูต - พระภัทรสิทธิ์ Group Blog All Blog
|
|||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |