แค่เปลี่ยนวิธีคิด ภาษาอังกฤษก็ไม่ใช่เรื่องยาก (ครูหนุ่ย)
 
เกร็ดภาษาอังกฤษ 25

มาว่ากันต่อเรื่อง tenses นะครับ

2. Past Simple Tense (ใช้กริยาช่อง 2)

หลักการนั้นง่ายมากครับ เราใช้เล่า "เหตุการณ์ในอดีต และมักจะระบุเวลาในอดีตด้วย" เช่น หากเราจะเล่าว่าเมื่อวานนี้เราทำอะไรบ้าง ก็จะต้องใช้ tense นี้ล่ะครับ ลองเปรียบเทียบประโยค 2 ประโยคนี้ดูนะครับ

I go to school by bus. (ใช้กริยาช่องที่ 1 แสดงว่าปกติทำแบบนี้)

I went to school on foot yesterday. (ใช้กริยาช่องที่ 2 แสดงว่าพูดถึงอดีตที่ระบุเวลา เมื่อฝรั่งได้ยินประโยคแบบนี้ เขาก็สามารถตีความต่อได้ว่า ปกติคงไม่เดินไป แต่เฉพาะเมื่อวานนี้เท่านั้นที่ทำแบบนั้น)

I usually see a movie at the Mall. (ปกติไปดูที่นี่)

I saw a movie at the Mall last night. (ไปดูที่เดิมนั่นแหละ แต่พอระบุเวลาในอดีต ก็ต้องเปลี่ยนกริยาเป็นช่องที่ 2 ไงครับ)

เห็นไหมครับว่าไม่ยาก แต่ความยากของ tense นี้ก็คือ การเปลี่ยนกริยาให้เป็นอดีตนั่นล่ะครับ ผมพอจะบอกได้ว่า กริยาส่วนใหญ่จะเติม -ed แต่จะมีกริยาอีกกลุ่มหนึ่งที่เรียกว่า Irregular Verbs หรือที่เราเรียกว่ากริยา 3 ช่องนั่นล่ะครับ ที่ต้องเปลี่ยนรูปเมื่อเป็นอดีต (อยากรู้ว่ามีอะไรบ้างก็ไปหาซื้ออ่านกันเอาเองนะครับ)

ความยาก (แต่สนุก) อันต่อไปก็คือ แล้วเราควรจะออกเสียงกริยาที่เติม -ed ว่าอย่างไร เหมือนที่ผมทิ้งท้ายไว้คราวที่แล้วว่า love กับ loved ออกเสียงต่างกันอย่างไร หลายคนคิดว่าไม่สำคัญ แต่จริง ๆ แล้วสำคัญมาก เพราะในภาษาเขียนเราเติม -ed เห็นชัดเจนว่าเป็นอดีต แล้วในภาษาพูดล่ะครับ ผู้ฟังจะรู้ได้อย่างไรว่า I love you. หรือ I loved you.

อ.หนุ่ย-- (เขียนบนกระดาน stopped, helped) อ่านว่าอย่างไรครับ

นักเรียน-- สต๊อปเป็ด, เฮ้ลเป็ด

อ.หนุ่ย-- อืม...กาลครั้งหนึ่ง มีเป็ดเดินมา นายพรายใจร้ายตะโกนว่า "Stop เป็ด" เป็ดตกใจ ไม่รู้จะทำอย่างไร พอดีมีอัศวินขี่ม้าขาวมา "Help เป็ด"

นักเรียน-- (ขำกลบเกลื่อน เพราะรู้ว่าตัวเองอ่านผิด และไม่น่าจะเกี่ยวอะไรกับเป็ด)

อ.หนุ่ย-- ที่เราอ่านผิดเพราะเราไปสะกดตามตัวที่เราเห็น ลองอ่านคำนี้ดูนะ (เขียนอีกคำ played )

นักเรียน-- เพลย์...... (ไม่กล้าอ่านต่อ)

ครับ ภาษาอังกฤษก็เป็นอย่างนี้ล่ะครับ ไม่สามารถออกเสียงตรง ๆ ได้เสมอไป เช่น put (พุท) cut ไม่เห็นจะอ่านว่า คุท ส่วนหลักในการออกเสียง -ed นั้นมีหลักกว้าง ๆ ดังนี้ครับ

คำที่ลงท้ายด้วยเสียง t ออกเสียงเป็น ถิด เช่น started

คำที่ลงท้ายด้วยเสียง d ออกเสียงเป็น ดิด เช่น reloaded

คำที่ลงท้ายด้วยเสียง f, k, p, s, sh, ch ออกเสียงเป็น (t) เช่น walked (วอล์คท), stop (สต๊อปท์), watched (ว็อทชท)

นอกนั้นออกเสียง (d) ตามหลังเบา ๆ เช่น loved (เลิฟด), played (เพลย์ด)

อย่าลืมนะครับว่านี่เป็นหลักการคร่าว ๆ ในการออกเสียง หากอยากรู้ว่าเสียงจริง ๆ เป็นอย่างไร ลองปรึกษาพจนานุกรมดี ๆ หรือ ให้เจ้าของภาษาออกเสียงให้ฟังนะครับ



Create Date : 22 ธันวาคม 2550
Last Update : 22 ธันวาคม 2550 19:37:19 น. 2 comments
Counter : 429 Pageviews.  
 
 
 
 
กลับมาเยี่ยมค่ะ ไม่ได้เข้ามาซะนานเลยค่ะ เข้ามาเอาความรู้เหมือนเดิม น่าอ่านไม่เปลี่ยนแปลง จะเข้ามาอ่านบ่อย ๆ นะค่ะ
 
 

โดย: แค่ความทรงจำ (แค่ความทรงจำ ) วันที่: 7 มกราคม 2552 เวลา:23:17:12 น.  

 
 
 
WOW!!! English So Fun!! ^_^
 
 

โดย: Daowfreedom วันที่: 4 มกราคม 2554 เวลา:16:07:28 น.  

Name
* blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Opinion
*ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet

กลับมาแล้วเหรอ เก่งมาก ๆ เลย
 
Location :
นครราชสีมา Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




ขอฝากผลงานหนังสือเล่มแรกด้วยนะครับ "แค่เปลี่ยนวิธีคิด ภาษาอังกฤษก็ไม่ใช่เรื่องยาก" Photobucket
[Add กลับมาแล้วเหรอ เก่งมาก ๆ เลย's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com