ระบบขนาดการสั่งซื้อที่ประหยัด (Economic Order Quantity หรือ EOQ)
3.ระบบขนาดการสั่งซื้อที่ประหยัด (Economic Order Quantity หรือ EOQ) 3.1 การจัดการวัสดุ การจัดการวัสดุทำเพื่อให้มีวัสดุและสินค้ารองรับงานผลิตและการตลาด ทั้งการบริการลูกค้าที่ดีและมีต้นทุนสินค้าคงคลังรวมที่อยู่ระดับต่ำสามารถทำได้หลายวิธีการขึ้นอยู่กับลักษณะของความต้องการสินค้า ทรัพยากรองค์การความพร้อมของบุคลากรที่เกี่ยวข้องการจัดการซัพพลายเชน ตลอดจนลักษณะของกระบวนการผลิตสินค้าประกอบเข้าด้วยกัน นอกจากนั้นความก้าวหน้าของเทคโนโลยีข้อมูลข่าวสารและคอมพิวเตอร์ยังช่วยให้การสร้างระบบการจัดการสินค้าคงคลังมีความหลากหลายมากขึ้น ทำให้ผู้บริหารสามารถเลือกใช้ระบบที่เหมาะสมกับกิจการของตนได้มากขึ้นด้วยเช่นกัน ระบบการจัดการสินค้าคงคลังที่เป็นที่นิยมใช้กันแพร่หลายในธุรกิจอุตสาหกรรม มีดังต่อไปนี้ 1.ระบบการขนาดสั่งซื้อที่ประหยัด (EOQ) 2.ระบบการวางแผนความต้องการวัสดุ (MRP) 3.ระบบสินค้าคงคลังของการผลิตแบบทันเวลาพอดี (JIT) 3.2 ขนาดการสั่งซื้อที่ประหยัด เป็นระบบสินค้าคงคลังที่ใช้กันอย่างแพร่หลายมานาน โดยทีระบบนี้ใช้กับสินค้าคงคลังที่มีลักษณะของความต้องการที่เป็นอิสระไม่เกี่ยวข้องต่อเนื่องกับควมต้องการของสินค้าคงคลังตัวอื่น จึงต้องวางแผนพิจารณาความต้องการอย่างเป็นเอกเทศด้วยวิธีการพยากรณ์อุปสงค์ของลูกค้าโดยตรง เช่น การวางแผนผลิตรถยนต์นั่งส่วนบุคคล บริษัทรถยนต์จะพยากรณ์อุปสงค์จากจำนวนครอบครัวขนาดเล็กถึงปานกลางที่มีรายได้รวมเกินกว่า 50,000 บาทต่อเดือน ระบบขนาดการสั่งซื้อที่ประหยัดจะพิจารณาต้นทุนรวมของสินค้าคงคลังที่ต่ำสุดเป็นหลักเพื่อกำหนดระดับปริมาณการสั่งซื้อต่อครั้งที่เรียกว่า “ขนาดการสั่งซื้อที่ประหยัด” การใช้ระบบขนาดการสั่งซื้อที่ประหยัดมีทั้ง 4 สภาวการณ์ดังต่อไปนี้ 3.2.1 ขนาดการสั่งซื้อที่ประหยัดที่อุปสงค์คงที่และสินค้าคงคลังไม่ขาดมือ โดยมีสมมติฐานที่กำหนดเป็นขอบเขตไว้ว่า 1) ทราบปริมาณอุปสงค์อย่างชัดเจน และอุปสงค์คงที่ 2) ได้รับสินค้าที่สั่งซื้อพร้อมกันทั้งหมด 3) รอบเวลาในการสั่งซื้อ ซึ่งเป็นช่วงเวลาตั้งแต่สั่งซื้อจนได้รับสินค้าคงที่ 4) ต้นทุนการเก็บรักษาสินค้าและต้นทุนการสั่งซื้อคงที่ 5) ราคาสินค้าที่สั่งซื้อคงที่ 6) ไม่มีสภาวะของขาดมือเลย การหาขนาดการสั่งซื้อประหยัด (EOQ) และต้นทุนรวม (TC) จะทำได้จาก EOQ = TCmin =
โดย EOQ = ขนาดการสั่งซื้อต่อครั้งที่ประหยัด (Q*) D = อุปสงค์หรือความต้องการสินค้าต่อปี (หน่วย) Co = ต้นทุนการสั่งซื้อ หรือต้นทุนการตั้งเครื่องจักรใหม่ต่อครั้ง (บาท) Cc = ต้นทุนการเก็บรักษาต่อหน่วยต่อปี (บาท) Q = ปริมาณการสั่งซื้อต่อครั้ง (หน่วย) TC = ต้นทุนสินค้าคงคลังโดยรวม (บาท)
ต้นทุนการสั่งซื้อต่อปี = ต้นทุนการเก็บรักษาต่อปี = จำนวนการสั่งซื้อต่อปี = รอบเวลาการสั่งซื้อ = ถ้าต้องการต้นทุนรวมที่ต่ำสุด จำนวนสั่งซื้อต่อปี หรือรอบเวลาการสั่งซื้อที่จะสามารถประหยัดได้มากที่สุด ให้แทน Q ด้วย EOQ หรือ Q* ที่คำนวณได้ ตัวอย่าง บริษัทจำหน่ายวัสดุผนังหินสังเคราะห์ในประมาณการว่า ปีนี้จะมีอุปสงค์รวม 10,000 ตารางเมตร ต้นทุนการเก็บรักษาต่อหลายเท่ากับ 0.75 บาท ต้นทุนการสั่งซื้อครั้งละ 150 บาท จงหา 1.ขนาดการสั่งซื้อที่ประหยัด (EOQ) EOQ = = = 2,000 ตารางเมตร 2.ต้นทุนรวมที่ต่ำสุด TCmin = = = 1,500 บาท 3.จำนวนครั้งของการสั่งซื้อที่ประหยัดที่สุด = = 5 ครั้งต่อปี 4.ถ้าบริษัทเปิดขาย 311 วันต่อปี รอบการสั่งซื้อประหยัดที่สุดคือ = = = 62.2 วัน
3.2.2 ขนาดการสั่งซื้อที่ประหยัดมีอุปสงค์คงที่และมีสินค้าขาดมือบ้าง เนื่องจากการที่ของขาดมือก่อให้เกิดความประหยัดบางประการ อันจะทำให้ต้นทุนการสั่งซื้อหรือต้นทุนการตั้งเครื่องใหม่ลดต่ำลง เพราะผลิตหรือสั่งซื้อของล็อตใหญ่ขึ้น สินค้านั้นมีต้นทุนการเก็บรักษาสูงมากจึงไม่มีการเก็บของไว้เลย เช่น ในร้านตัวแทนจำหน่ายรถยนต์มักจะเกิดสภาวการณ์นี้ เพราะรถยนต์แต่ละคันมีราคาแพง จึงมีการจอดแสดงอยู่เพียงคันละรุ่น เมื่อลูกค้าตกลงใจเลือกซื้อรถแบบที่ต้องการแล้ว ก็จะเลือกสีรถจากตัวอย่างสีในใบรายการ ตัวแทนจำหน่ายจะรับคำสั่งซื้อนี้ไปสั่งรถจากบริษัทผลิตและติดตั้งอุปกรณ์แต่งรถตามความต้องการของลูกค้าซึ่งจะใช้เวลารอคอยสักระยะหนึ่ง โดยที่ต้องระวังมิให้นานเกินไป ข้อสมมติฐานของกรณีนี้มีดังต่อไปนี้ 1.เมื่อของล็อตใหม่ซึ่งมีจำนวนเท่ากับ Q มาถึง จะต้องรีบส่งตามจำนวนที่ขาดมือ (S) ที่ค้างไว้ก่อนทันที ส่วนของที่เหลือซึ่งเท่ากับ (Q-S) จะเก็บเข้าคลังสินค้า 2.ระดับสินค้าคงคลังต่ำสุดเท่ากับ –S ระดับสินค้าคงคลังสูงสุดเท่ากับQ-S 3.ระยะเวลาของสินค้าคงคลัง (T) จะแบ่งออกได้เป็น 2 ส่วน คือ T1 คือ ระยะเวลาช่วงที่มีสินค้าจะขายได้ T2 คือ ระยะเวลาช่วงที่สินค้าขาดมือ ขนาดการสั่งซื้อที่ประหยัด ระดับสินค้าขาดมือที่ประหยัด และต้นทุนรวมจะหาได้จาก Q* = S* = Q* TC = โดยที่ Q* = ขนาดการสั่งซื้อที่ประหยัด S* = ระดับสินค้าขาดมือที่ประหยัด Cg = ต้นทุนสินค้าขาดมือต่อหน่วยต่อปี ระดับสินค้าคงคลังเฉลี่ย = ระยะเวลาช่วงที่มีสินค้าขาย (T ) = ระยะเวลาช่วงที่สินค้าขาดมือ (T ) = เวลารอคอยของสินค้าคงคลัง (T) = T + T = = ตัวอย่าง ศูนย์จำหน่ายรถมิตซูบิชินครราชสีมาซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่ายรถปิคอัพขับเคลื่อนสี่ล้อ คาดว่าปีนี้จะมีอุปสงค์ 500 คัน ต้นทุนการสั่งซื้อครั้งละ 250 บาท ต้นทุนการจมของเงินทุนเท่ากับ 1,200 บาท ต่อคันต่อปี ต้นทุนสินค้าขาดมือ เป็น 200 บาท ต่อคันต่อปี จงหา 1.ขนาดการสั่งซื้อที่ประหยัด (Q*) = = = 38.19 (38) คัน 2.ระดับของขาดมือที่ประหยัด (S*) = Q* = 38.19* = 32.73 คัน 3.เวลารอคอยของสินค้าคงคลัง = = = 0.076 ปี = 27.73 วัน 4.ระดับสินค้าคงคลังสูงสุด = Q*-S* = 38.19 – 32.73 = 5.46 คัน 5.จำนวนครั้งของการสั่งซื้อต่อปี = = = 13.09 ครั้ง 6.ต้นทุนสินค้าคงคลังต่ำสุดต่อปี = = = 3,273+468+2,805 = 6,546 บาท 3.2.3 ขนาดการสั่งซื้อที่ประหยัดที่ทยอยรับทยอยใช้สินค้า สินค้าคงคลังไม่ได้ถูกส่งมาพร้อมกันในคราวเดียวแต่ทยอยส่งมาและในขณะนั้นมีการใช้สินค้าไปด้วย โดยที่อัตราการรับ (p) ต้องมากกว่าอัตราการใช้ (d) ทั้งสองอัตรามีค่าเฉลี่ยคงที่และไม่มีของขาดมือ สินค้าคงคลังจะสะสมส่วนที่เหลือจากการใช้มากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงจุดสูงสุด
การหาขนาดสั่งซื้อที่ประหยัดและต้นทุนรวมทำได้จาก Q = TC = โดยที่ p = อัตราการรับสินค้า d = อัตราการใช้สินค้า E = อัตราการตั้งเครื่องจักรใหม่ต่อล็อตการผลิตตัวแปรอื่นเหมือนกรณีที่ 1 ระดับสินค้าคงคลังสูงสุด = Q- = Q ระดับสินค้าคงคลังเฉลี่ย = ระยะเวลาที่ทยอยซื้อทยอยใช้ (T ) = ระยะเวลาที่ใช้สินค้าเพียงอย่างเดียว (T ) = ระยะเวลาของสินค้าคงคลัง (T) = T +T = = ตัวอย่าง โรงงานผลิตหุ่นยนต์เศษเหล็กมีอุปสงค์เท่ากับ 2,000 ตัวต่อปี ต้นทุนการตั้งเครื่องแต่ละครั้งเท่ากับ 100 บาท ต้นทุนการเก็บรักษาเท่ากับ 2 บาทต่อตัวต่อปี อัตราการผลิตเท่ากับ 8,000 ตัวต่อปี ให้หาค่าต่อไปนี้ 1.ขนาดการผลิตที่ประหยัด = = = 516 วัน 2.ระดับสินค้าคงคลังสูงสุด = Q = 516 = 387 วัน 3.รอบเวลาสินค้าคงคลัง = = = 0.259 ปี หรือ 94.5 วัน 4.ต้นทุนสินค้าคงคลังรวม = = = 774 บาท
Create Date : 08 ธันวาคม 2552 | | |
Last Update : 8 ธันวาคม 2552 19:31:37 น. |
Counter : 11638 Pageviews. |
| |
|
|
|