มหัศจรรย์ร่างกาย ที่ครูโยคะและผู้ฝึกต้องรู้
นับจากนี้ ข้อเขียนทั้งหมด จะเกิดขึ้นจากการเริ่มเข้าอบรม ครูโยคะ รุ่น 10 ของทางสถาบันโยคะวิชาการ ทั้งนี้ เราจะได้เรียนรู้จิต และ ความคิด ที่มองโยคะ แตกต่างจากช่วงต้นของผู้เขียนที่เริ่มฝึก ว่ามีความแตกต่างทางด้านความคิด และ มุมมองต่อโยคะ อย่างไร
คุยกันไปเรื่องทัศนคติชีวิต กับครูดลไปแล้ว ในช่วงเช้าวันที่ 25 กันยายน 2553 ช่วงบ่ายก็มาคุยกับครูหมู เรื่อง สรีระวิทยาภายวิภาค ได้ความรู้มากมายที่ไม่คาดคิดว่าจะต้องมาเรียนโยคะ แล้วต้องรู้จัก กายวิภาคของคนขนาดนี้ แถมเมื่อได้ไปลงสีระบายสวยกับสรีระของมนุษย์ ก็ให้คิดตามคำพูดของครูหมูว่า ร่างกายมนุษย์นั้น งดงามมหัศจรรย์ยิ่งนัก มีใครรู้บ้างว่าร่างกายเราประกอบด้วย เชลล์กี่ล้านเซลล์ ก็คงจะเดากันไม่ถูก ถ้าไม่บอกว่า มีทั้งหมด 100,000,000,000,000 เซลล์ที่ประกอบกันขึ้นมาเป็นร่างกายของเรา ถ้าเรามามองดูกันที่กล้ามเนื้อ เพราะในการฝึกโยคะนั้น เรามักจะเคยได้ยินบ้างที่ บอกว่าระหว่างการทำอาสนะนั้นคือการผ่อนคลาย แล้วจะผ่อนคลายได้อย่างไรในเมื่อ ท่าอาสนะแต่ละท่านั้น ดูแล้วไม่เห็นจะเป็นการผ่อนคลายได้เลย ดังนั้นแล้วเราคงต้องมาทำความเข้าใจในหัวเรื่องหลักของการรู้จักกล้ามเนื้อของเราก่อน เริ่มจาก มัสเซิลโทน คือ สภาวะที่กล้ามเนื้อทำงานน้อยที่สุดระหว่างที่ร่างกายกำลังอยู่ในการพัก มัสเซิลโทน คือ กลไกต่อต้านการเหยียดของกล้ามเนื้อที่มากเกิน ร่างกายจำเป็นต้องมี มัสเซิลโทน เพื่อสำรองพลังงานไว้ใช้ในยามที่กล้ามเนื้อเคลื่อนไหว ระด้งของมัสเซิลโทนจะน้อยที่สุดในระหว่างการนอนหลับ ถ้าจะพูดกันง่าย ๆ ก็คือ การที่กล้ามเนื้อเรามีภาวะที่ทำให้เราคงสภาพในขนาดที่ใช้พลังงานน้อยที่สุด เช่นในขณะการฝึกมักจะได้ยินบ่อย ๆ ว่า ในแต่ละท่าให้เราใช้แรงน้อยที่สุด และไปอย่างสบาย ไม่รู้สึกฝืน รู้สึกต้าน ดังนั้นแล้ว มัสเซิลโทน ยอมขึ้นกับภาวะของแต่ละคน ดังนั้นแต่ละคนจำต้องรู้จักเรียนรู้เสียงในร่างกายของเราเอง อีกทั้งหากเรามีความละเอียดเราจะพบว่าในบ้างวัน เราฝึกท่าอาสนะท่าเดียวกัน ได้แตกต่างกันในแต่ละวัน เพราะมัสเซิลโทนนั้นขึ้นอยู่กับอารมณ์และความรู้สึกของเราในแต่ละช่วงเวลาอีกด้วย นอกจากมัสเชิลโทน แล้ว ในร่างกายเรายังมีระบบ โฮมีโอสตาซิส ที่จะช่วยในการจัดปรับสภาวะภายในร่างกายของเราให้ทำงานได้อย่างสัมพันธ์กัน และคงสภาพปกติ เป็นการจัดปรับความเข้มข้นของโฮโดรเจนอิออนให้พอเหมาะ, จัดปรับสารอาหารให้พอเหมาะ, ขจัดของเสียที่เกิดจากการสันดาปออกไปได้ด้วยดี, จัดปรับความดันเลือดให้เป็นปกติ, ปรับระดับน้ำตาลในเลือดให้พอดี อยู่ตลอดเวลา เป็นระบบอัตโนมัติ ซึ่งหากร่างกายเรามีความเครียด หรือ เจ็บป่วยระบบ โฮมีโอสตาซิส นี้ก็แปรปรวนเหมือนทะเลคลั่ง ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการเจ็บป่วย แต่ระบบนี้สามารถจัดปรับได้ด้วยการ ฝึกโยคะ ซึ่งไม่ใช่การออกกำลังกาย แต่เป็นการดูแลร่างกายทั้งหมดอย่างเป็นองค์รวม และอีกทั้งถ้าระบบนี้ไม่ปกติ ร่างกายเราก็ไม่พร้อมที่จะฝึกโยคะให้ถึงจุดหลุดพ้นได้ ดังนั้นแล้ว เราต้องดูแลร่างกายของเราแบบซึ่งกันและกัน เพื่อให้ร่างกายเรามีระบบที่ประสานสัมพันธ์กันอย่างดีที่สุด นอกจากนั้นร่างกายยังมีระบบตอบสนองที่ เราเรียกว่าระบบประสาทอัตโนมัติ ที่จะตอบสนองสั่งการให้ร่างการเปลี่ยนแปลงการปฏิบัติต่าง ๆ อย่างทันท่วงที เช่น คีโมรีเซพเตอร์ ซึ่งเป็นกลไลสะท้อนกลับ หรือ reflex mechanism ที่ช่วยในการควบคุมลมหายใจ โดยคีโมรีเซพเตอร์ จะมีความไวต่อปริมาณ ค่าความดันคาร์บอนไดออกไซด์ ในกระแสเลือด pCO2 เพราะเมื่อ pCO2 เพิ่มขึ้น จะกระตุ้นศูนย์ควบคุมการหายใน ให้เพิ่มอัตราการหายใจ เพื่อความลึกของการหายใจ ดังนั้นเมื่อร่างกายหายใจมากขึ้น ก็สามารถขจัดคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากเรื่องได้เร็วขึ้น และเมื่อค่า pCO2 ลดลง ระบบก็จะจัดปรับการหายใจให้กลับไปเป็นปกติ ซึ่งหากมองในแง่การฝึกอาสนะ เวลาที่เราเข้าท่าในแต่ละท่า เราจะพบว่าในบ้างครั้งที่เราพยายามเกินความสามารถของร่างกาย เราจะเริ่มกลั่นลมหายใจ ซึ่งเป็นการเพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ ในกระแสเลือดและทำให้รู้สึกเหนื่อยไม่สบาย ดังนั้นครูผู้สอนจะบอกเสมอว่าอย่ากลั้นลมหายใจ ให้หายใจตามสบาย เพื่อนำ อ๊อกซิเจน เข้าไปให้มากที่สุด เพื่อนำพา คาร์บอนไดออกไซด์ให้ออกมามากที่สุดเช่นกัน ซึ่งผลที่ได้คือ เราจะไม่รู้สึกเหนื่อย หรือ ฝืนตัวเองในการปฏิบัติมากจนเกินไป อยู่ในความพอดี จริงแล้วยังมีรายละเอียดอีกมากมาย แต่นี้เพียงยกตัวอย่างบางส่วนมาให้เห็นว่า ร่างกาย และ โยคะ มีความสอดคล้องและเกี่ยวเนื่องเอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกัน หากมีการฝึกที่ถูกต้อง หลังจากนี้ เราจะมาดูกันว่า ในการฝึกนั้น เราควรจะพิจารณาผลที่ได้รับจากการฝึกในแต่ละแบบ อันประกอบด้วย Isometric, Isotonic หรือ แบบโยคะ เพราะส่วนใหญ่อันนี้ต้องบอกว่าส่วนใหญ่แล้ว หลายคนมองว่าอาสนะเป็นเรื่องของการออกกำลังกาย จึงโหมทำการฝึกแบบ Isometric และ Isotonic แล้วมันควรจะเป็นอย่างไร เราจะมาคุยกัน ตามสตูดิโอมักจะชอบสอนว่าให้เกร็งกล้ามเนื้อขา สะโพก หรือ ลำตัว ก่อนที่จะเข้าท่า ซึ่งนั้นเป็นการฝึกแบบ Isometric หากเกร็งมากก็อาจจะถึงขั้นรู้สึกปวดได้ หรือเกิดอาการสั่น ด้วยการฝึกแบบนี้จะทำให้ระบบเลือดทำงานหนัก มีความต้องการอ๊อกซิเจนสูง ซึ่งจะทำให้หัวใจสูบฉีดแรงขึ้น เกินการเผาผลาญมากขึ้น เป็นการเข้าสู้ภาวะการออกกำลังกายอย่างแท้จริง ซึ่งจริง ๆ แล้วจะทำให้อยู่ในท่าได้ไม่นาน ซึ่งผิดกับหลักของการฝึกโยคะ ที่เราจะต้องอยู่ในท่าอย่างใช้แรงแต่น้อย และ นานมากขึ้นที่ละนิด (หากสังเกตเวลาฝึกตามสตูดิโอจะอยู่ในท่าไม่เกิน 1 นาทีต่อท่า) แต่ทั้งนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ดีทั้งหมด เพราะหาผู้ฝึกเป็นคนที่มีระบบกล้ามเนื้อที่ไม่แข็งแรงมากนัก การฝึกแบบนี้จะเพิ่มความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อขึ้นมาได้ แต่ต้องทำอย่างช้า และ คงตัวนิ่งนาน ไม่ใช่เปลี่ยนไปด้วยความรวดเร็ว แต่ในขณะเดียวกัน สตูดิโอ ส่วนมากกจะผสมผสานการฝึกแบบ Isotonic คือการฝึกอย่างรวดเร็ว และทำซ้ำหลาย ๆ ครั้ง ไม่มีการคงตัวนิ่ง ซึ่งการทำเช่นนี้ไม่ใช้การฝึกอาสนะ และไม่ใช่คุณประโยชน์ของการฝึกโยคะ แม้แต่น้อย เพราะการทำเช่นนี้จะทำให้อุณหภูมิของผู้ฝึกเพิ่มขึ้น ระบบ sympathetic ทำงานมากขึ้น หัวใจเต้นแรง และ ใช้พลังงานมาก เป็นการออกกำลังกายอย่างแท้จริง ซึ่งจะไม่ส่งประโยชน์แต่อย่างใดต่อการฝึกโยคะ เพราะการฝึกโยคะ นั้น ใช้แรงแต่น้อย ด้วยความรู้สึกผ่อนคลายของกล้ามเนื้อและข้อ จิตผู้ฝึกกำหนดที่ลมหายใจ ผู้ฝึกเป็นเพียงจิตที่ค่อย ๆ สังเกตร่างกายถึงสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เพราะอาสนะแต่ละท่า คือการที่ร่างกายปรับสภาพและสภาวะต่าง ๆ ภายในร่างกายเองตามความเหมาะสมของผู้ฝึก ในการทดลองฝึก ท่าปัศจิโมตตานะสนะ ด้วย Isometric อัตราการเต้นหัวใจของผู้ฝึกเพิ่มขึ้น 30% ระดับการหดตัวของกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้น ทำให้คงอยู่ในท่าได้ไม่นาน ครั้นเมื่อทำตามแบบตำราโยคะ พบว่าอัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้นเพียงแค่ 6% ระดับการหดตัวอขงกล้ามเนื้อเพิ่มน้อยมาก ส่งผลให้อยู่ในท่าได้นานกว่าประมาณ 10-50%
ตารางเปรียบเทียบการฝึกอาสนะ และ การออกกำลังกาย ที่มา หนังสือ โยคะกับการพัฒนามนุษย์ ของสถาบันโยคะวิชาการ บทนิ่งและเคลื่อนไหวในอาสนะ หน้า 109 โดย ดร. เอ็ม.แอล.กาโรเต้ อดีตผู้อำนวยการสถาบันโยคะโลนาวลา (อินเดีย) แปลและเรียบเรียงโดย วีระพงษ์ ไกรวิทย์ และ จิรวรรณ ตั้งจิตเมธี ภาควิชาปรัชญาและศาสนา คณะมนุษยศาสตร์ มศว มาดูกันง่าย ๆ กับการเปรียบเทียบของ อาสนะ และ การออกกำลังกาย
ข้อเขียน อ้างอิงจาก สรีระวิทยา และ กายวิภาค ของเทคนิคโยคะ จาก Anotomy & Physiology of Yogic Practices by Dr.Makarand Madhukar Gore แปลโดย กวี คงภักดีพงษ์, จิรพร ประโยชน์วิบูลย์, ธีรินทร์ อุชชิน, ธีรเดช อุทัยวิทยารัตน์
ข้อเขียนนี้ เป็นลิขสิทธิ์ของผู้เขียนแต่เพียงผู้เดียว ผู้เขียน ๆ ขึ้นเพื่อเป็นการแบ่งปันความรู้ในวิถีโยคะแบบดั่งเดิม หากท่านเห็นว่ามีประโยชน์กรุณาช่วยกันแบ่งปันต่อไปทาง ออนไลน์ แต่กรุณาอย่าดัดแปลง หรือ กรุณาอย่านำไปลงในสื่ออื่น ๆ แต่อย่างใด ขอบคุณครับ
Create Date : 19 พฤศจิกายน 2553 |
| |
|
Last Update : 5 ธันวาคม 2553 12:48:17 น. |
| |
Counter : 3338 Pageviews. |
| |
|
|