~*+ความสุขของหนูมอญ+*~
Group Blog
 
All blogs
 
งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา#2 (งานเลิก... จริงอ่ะ)

งานเลิก... จริงอ่ะ


จนกระทั่งตอนเช้าทุกคนเตรียมตัวขนข้าวของออกจากโรงแรมขึ้นรถเพื่อเดินทางต่อไปยังวัดเพื่อไปทำบุญ ฉันแบกกระเป๋าส่วนตัว รวมทั้งกระเป๋าเล็กๆ น้อยๆ ของพ่อออกจากห้อง เป็นธรรมดาที่ผู้หญิงบอบบางอย่างฉันจะต้องมีคนมาช่วยถือของ ซึ่งจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากคุณอาสุดหล่อคนนั้น แต่คุณอาหักหลัง... (หักอกไม่พอ ยังหักหลังฉันด้วย) ขนข้าวของของฉันไปแมะที่พี่เค้าที่เดินผ่านมาพอดี พี่เค้าจึงต้องซวยเดินแบกกระเป๋าของฉันไปให้ที่รถ แล้วมันก็ช่างประจวบเหมาะที่พ่อของฉัน(ผู้ซึ่งสาบานได้ว่าหากมีผู้สมรู้ร่วมคิดในการอุ้มสมครั้งนี้ พ่อฉันจะต้องทำหน้าหล่อเป็นพี่มาร์คออกมายืนวิจารณ์มติครม.แน่ๆ) ดันใช้ฉันไปหยิบ ‘กระเป๋าดำ’ คือกระเป๋าใบเล็กที่พ่อฉันเอาไว้ใส่อุปกรณ์สื่อสารโน้นนี่ที่อยู่ในรถพอดี แต่ฉันที่หูอื้อตาลายเพราะรู้ตัวว่าต้องเดินไปกับพี่เค้า กลับได้ยินเป็น ‘กระเป๋าตังค์’ ฉันวิ่งทะเล่อทะล่าตามพี่เค้าไป

“พี่คะ เดี๋ยวขอไปหยิบของด้วยอ่ะค่ะ”

พี่เค้าหันมามองฉัน แล้วพยักหน้ารับรู้ แต่ไม่รู้ว่าสายตาของฉันมันแวววาว จิกยั่ว หรืออ้อนวอนอะไรเกินไปรึเปล่า กะอีแค่ขอตามไปหยิบของ... พี่เค้าที่กำลังเดินก้าวขึ้นบันไดจึงสะดุดขั้นบันไดล้มโครม...

ตกใจมาก... งงมาก... ฉันควรจะทำยังไง รีบปรี่เข้าไปหา แล้วแสร้งบอกว่าเดี๋ยวจะไปหยิบเครื่องมือปฐมพยาบาลมาให้ เพื่อจะได้ชิ่งแอบไปหัวเราะดีมั้ย หรือฉันควรจะทำยังไงดี ไม่ทันที่จะนึกอะไรออก พี่เค้าที่อยู่ในท่าโก่งโค้งมือยันกับบันไดขั้นบน ค่อยๆ หันหน้าเข้มๆ มามองฉัน ที่ยืนทำหน้าเอ๋อ และเหวอ ตาโตๆ ของฉันขยายกว้างขึ้น4เท่าครึ่ง

“เอ่อ... เจ็บมั้ยคะ” ฉันเอ่ยถามเสียงงงๆ จริงๆ แล้วไม่น่าถาม ทหารจบใหม่หุ่นเฟิร์ม ร่างควายขนาดนั้น... (สืบทราบภายหลังว่าสูง 182 หนัก 79 อืมมม) กระแทกตัวลงไปกระทบพื้นขนาดนี้

“ไม่เป็นไรครับ” พี่เค้าว่าพลางค่อยๆ ยันกายขึ้นมา ก่อนปัดฝุ่นออกจากมือเปาะแปะ “แต่เดินตรงนี้ต้องระวังนะ”

“ค่ะ ขอบคุณค่ะ” โอ๊ยตายบอกตัวเองเถอะค่ะพี่ เป็นฉันฉันต้องรีบแทรกแผ่นดินหนี หรือแกล้งทำเป็นตายอยู่ตรงนั้น แต่พอดีว่าพี่เค้าคงตัวใหญ่ไป จะวิ่งไปหลบหลังเสาหรือต้นไม้หรือกลายเป็นอากาศคงไม่เป็นผล พี่เค้าเลยทำได้แค่เก็กแมน แล้วแสร้งชวนคุยคุยโน้นนี่... สม เก็กนัก แต่เหตุการณ์นี้ก็ทำให้เราได้คุยกันโดยที่ไม่มีไมค์หรือทำนองประกอบเป็นครั้งแรก

เมื่อไปถึงรถ จะด้วยความหูตาฝ้าฟางผสมตื่นเต้นมิรู้ได้ แต่ฉันหากระเป๋าตังค์พ่อเท่าไหร่ก็ไม่เจอ(ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าตัวเองกลายเป็นฤๅษีแปลงสาร) คิดไปเองหลายตลบว่าฉันก็คนนะไม่ใช่พระอิฐพระปูน แถมอดอยากปากแห้งมาหลายเพลา มันก็ต้องมีใจเต้นตึกตักกันบ้างแหละ ฉันเที่ยวหากระเป๋าตังค์ของพ่อแทบตาย โดยที่ไม่รู้เลยว่าให้สิ่งที่พ่อต้องการน่ะมันโดนฉันรื้อมาแล้วแปดร้อยรอบ ใช่แล้วฉันหากระเป๋าตังค์พ่อในสิ่งต้องสงสัยอันดับหนึ่ง... ‘กระเป๋าดำ’ หามันอยู่อย่างนั้น

“เจอมั้ยครับ”

“ไม่เจออ่ะค่ะ... เดี๋ยวขอโทรถามแป๊บนะคะ” ...ก็จำได้อ่ะนะว่าถือโทรศัพท์มาด้วย แต่ด้วยความหน้ามืดหรือรักบังตาไม่อาจรู้ เสือกหาโทรศัพท์ไม่เจอซะงั้น เอาเข้าไป

“พี่คะ... มีโทรศัพท์ป่าวคะ” ฉันกระมิดกระเมี้ยนถาม

พี่เค้าทำหน้าหัวเราะฉันหึๆ แล้วยื่นโทรศัพท์ให้ฉัน ฉันรับมากดเบอร์พ่อเพื่อถามว่ากระเป๋าตังค์น่ะเอาไปซ่อนไหนลุง โทรไป มือก็คลำหาของไป เดชะบุญ อ้าวนั่นมันโทรศัพท์ฉันนี่ โดนเจ้าผ้าห่มช่วยชีวิต (ผ้าห่มคู่กายของสาวขี้หนาวอย่างฉัน) คลุมไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ฉันเจอปั๊บคว้าปุ๊บส่งโทรศัพท์คืนพี่เค้าทันใด แล้วใช้โทรศัพท์ฉันโทรหาพ่อต่อ... แต่พ่อไม่รับฉันจึงตัดใจ

“ไม่เจออ่ะค่ะ ไม่เป็นไรค่ะ คงอยู่กับคุณแม่แหละ แต่คุณแม่คงลืม”

“อ่อ ครับ”

ฉันจึงเดินกลับ... แบบไม่คิดอะไร แล้วก็มาทราบภายหลังนั้นแหละ ว่าฉันเซ่อซ่า ฟังผิดเอง หลังจากที่พี่เค้าคืนกุญแจ ฉันจึงต้องวิ่งกลับไปเอาของที่รถอีกรอบคนเดียวเปล่าเปลี่ยวชีวา T_T

จนสักพักหนึ่ง คณะของเราก็เคลื่อนย้ายไปยังวัด และร้านอาหารตามลำดับ... หลังจากท้องอิ่มก็ได้เวลาคิดอะไรเรื่อยเปื่อย ฉับถึงพลันฉันก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ ‘เฮ้ย... อย่างนี้ฉันก็มีเบอร์พี่เค้าแล้วน่ะสิ’ เพราะฉันใช้โทรศัพท์พี่เค้าโทรหาพ่อนี่ ว่าแล้วจึงเดินไปขอมือถือจากพ่อเพื่อดูสายที่ไม่ได้รับ อิอิ มีเบอร์ผู้ชายมาประดับมือถืออีกเบอร์ก็ดีเนอะ... แต่ฉันไม่คิดจะโทรหรอกนะ สาบาน

ในที่สุดก็ถึงเวลาอันสมควรฤกษ์ ในการแยกย้ายกันกลับภูมิลำเนา ก่อนกลับไม่วายมีเสียงแซว

“น้องฉัน ปีหน้ามาอีกนะ มาร้องเพลงคู่”

พี่เค้าเขิน ฉันก็เขิน

ฉันยกมือไหว้ลาทุกคน รวมทั้งพี่เค้า ตอนนั้นฉันคิดในใจว่าไม่น่าเชื่อว่าฉันจะได้รู้จักอีตาเก็กคนนี้แล้ว ปีหน้าฉันจะยิ้มให้เขา

แต่ก็ไม่รู้จะอะไรกันหนักหนาเมื่ออีตาพี่เค้าถูกน้องๆ พี่ๆ ทั้งผลักทั้งดันให้เดินตามไปส่งฉันและครอบครัว นี่คงกะให้ไปจดทะเบียนหลังจากจบงานเลยใช่มั้ยน้อ และตานี้ก็ปฏิเสธไม่เป็น ต้องเดินท่อมๆ ทำหน้าแบบน้อยใจชะตาชีวิตตามมาส่ง

“แม่ๆ หันไปคุยกับแกหน่อยสิ” ฉันซุบซิบกับคุณนายแม่ แอบสงสารตาพี่เค้าเล็กๆ

แม่พยักหน้ารับรู้แล้วหันหน้าไปเปิดบทสนทนา

“มีแฟนรึยังจ๊ะ”

เฮ้ยยยยยยย แม่ให้ชวนคุย ไม่ได้ให้ขายลูกสาว คุยเรื่องลม ฟ้า อากาศ ก็ด้ายยย ฉันเริ่มเดินเสียจังหวะจากอาการเกร็ง พยายามเดินตีตัวออกห่างแม่ แต่ก็ยังได้ยินเสียงพี่เค้าหัวเราะ “หึหึหึ”

“อ้าวหัวเราะหึหึ แปลว่าอะไรเนี่ย”

“หัวเราะก็แปลว่ามีแล้วไงคะ”

ฉันอดไม่ได้จึงกลับมาตีสนิทกับแม่อีกครั้ง แล้วตอบแทนพี่เค้าเสร็จสรรพ

พี่เค้ายิ้มเขินๆ แล้วตอบว่า “มันก็ไม่แน่นอนอ่ะครับ เพื่อนผมก็เลิกไปหลายคู่แล้ว”

ตึง! (เสียงอารมณ์กดแป้นคีย์บอร์ดผิดจนพี่คอมต้องร้องประท้วง)
‘เฮ้ยยย พี่ค้า ตอบอะไรอย่างนี้ค้า…’ ไม่รู้หมายว่ายังไง บางคนว่ามันแปลกๆ แต่บางคนก็คิดเหมือนกับฉัน... ‘อ่อย’ เป็นคำตอบสุดท้าย ฉันนึกขำ และอดยิ้มไม่ได้

ฉันสวัสดีพี่เค้า แล้วขึ้นรถ

ฉันนั่งรถกลับกรุงเทพฯด้วยความรู้สึกอิ่มใจ อย่างน้อยก็มีอะไรดีๆ เกิดขึ้นในชีวิต แม้ฉันจะไม่ได้เจอเค้าอีกปีเต็มๆ นับจากวันนี้ แต่อย่างน้อยความปรารถนาลึกๆ ที่หวังว่าอะไรดีๆ จะเกิดขึ้นที่งานเลี้ยงแห่งนี้สักครั้งหนึ่งก็เป็นจริง ฉันถูกจับคู่ ฉันถูกแซว ฉันได้รู้จักคนๆ หนึ่งที่ก็น่ารักดีเหมือนกันนะ ก็นับว่าเป็นเรื่องดีๆ เรื่องหนึ่งที่ทำให้หัวใจฉันกลับมาเต้นแรงได้อีกครั้ง แล้วฉันก็นั่งมองวิวอย่างมีความสุข...
...
...
...
...
แต่เรื่องมันดันไม่จบง่ายๆ
เมื่อพ่อฉันขับรถแวะซื้อของฝากก่อนกลับบ้าน... ฉันลงไปกับแม่ เดินซื้อโน้นนี่อย่างสนุกสนาน แล้วกลับขึ้นรถ ออกรถไปสักพัก พ่อฉันพูดขึ้นว่า



Create Date : 21 กันยายน 2549
Last Update : 22 กันยายน 2549 8:52:49 น. 0 comments
Counter : 332 Pageviews.

โรสลาวาตี
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




MorNRo$E = กุหลาบมอญ ^^
ทำไมต้อง "มอญ" >> ก็มีเชื้อมอญอะจิ
แล้วทำไมต้อง "กุหลาบ" >> ก็สวยอ้ะ ฮี่ๆๆๆ
(หน้าไม่อายจริงๆ ผู้หญิงอาไร้)


Friends' blogs
[Add โรสลาวาตี's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.