All Blog
ตอนที่ 23 +++ ของขวัญของโต้ง +++





+++++ต่อเรื่อง+++++






“หลับตาลงนะ นะคนดี ขอให้เวลานี้ เธอหลับ และพักผ่อน
กล่อมด้วยเพลงแห่งรัก ให้เธอนอน แค่เพียงก่อน ที่ฟ้าจะสาง”
ร่างสูงนั่งร้องเพลงและเล่นอิเล็กโทนอยู่ในห้องนอน เวลาเดียวกับที่ผู้เป็นแม่เข้ามาทักทาย


“จะไหวรึเรา เสียงเพี้ยนไปหน่อยนะ แม่ว่า” สุนีย์เอ่ยบอกโต้ง

“โหแม่อะ เสียกำลังใจหมด อีกแค่สองวันเองนะ”

“ก็มันจริงนี่นา เล่นอีเล็กโทนก็พอไหวหรอก ปรับปรุงเรื่องร้องอย่างเดียวพอ”

“คร้าบบบแม่ จะพยายามคร้าบบบบ”

“ว่าแต่ ไปหอบอีเล็กโทนมาจากไหนเนี่ย เครื่องเล็กดีจัง ไม่หนักหรอ”

“รุ่นใหม่น่ะแม่ เดี๋ยวนี้เค้าใช่รุ่นพกพากันแล้ว ไม่เทอะทะเหมือนเมื่อก่อน”

“นี่ขนาดรุ่นเล็กนะโต้ง ท่าจะหนักเอาการ”

“ก็หนักมากอยู่แหละแม่ กว่าจะหอบเอามาถึงบ้านได้ แทบตาย”

“แล้วตกลงเครื่องของใครกันล่ะ”

“ของพี่หลิวน่ะแม่ ผู้จัดการวงออกัสคนใหม่แทนพี่จูน เค้าให้ยืมมา”

“แล้วโต้งใช้เป็นหรอ”

“เคยหัดใช้ของมิวมาก่อน ก็เลยใช้เป็นน่ะแม่ ไว้วันเสาร์เสร็จงานค่อยไปคืนพี่เค้า”

“ใช้ดีๆแล้วกัน คงจะแพงอยู่”

“แม่กลัวโต้งทำของๆพี่เค้าพังหรอ ไม่ต้องห่วง ระวังอย่างดีอยู่แล้ว”

“ก็ดี เออ จริงสิ แล้วผงสอบของเราล่ะ อีกนานมั้ย กว่าจะประกาศ”

“อาจจะเสาร์หน้าก็ได้ ดีเลย จะได้ฉลองสอบได้พร้อมเปิดอัลบั้มของมิว”

“มั่นใจงั้นเชียว”

“ครับผม ถ้าสอบได้ ก็จะได้เรียนที่เดียวกับมิว ถึงจะคนละคณะก็เหอะ”

“แต่พ่อของมิวเค้า....”

“โต้งจะไม่ยอมแพ้หรอกแม่ โต้งเชื่อว่า มันจะดีขึ้น ถ้าเราพยายามอย่างดีที่สุด ซักวัน
ป๊ามิวจะต้องเข้าใจ และยอมรับ อย่างพ่อกรกับแม่สุนีย์ของโต้งไง”

“จ้ะ...เร็ว ขึ้นนอนได้แล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้ตื่นสาย” สุนีย์พูดจบก็เดินออกจากห้องนอน
ของลูกชายไปด้วยรอยยิ้ม ที่เห็นลูกชายมีความสุข และมีกำลังใจในชีวิต

“ครับแม่” โต้งปิดเครื่อง แล้วขึ้นไปบนที่นอนสีฟ้า แต่เพราะยังไม่ง่วงเต็มที่ จึงหยิบ
หนังสือการ์ตูนเรื่อง BECK ขึ้นมาอ่านต่อ ทั้งๆที่อ่านจบไปหลายรอบแล้ว ในที่สุด
ชายหนุ่มจึงตัดสินใจหยิบโทรศัพท์มือถือมาส่งข้อความหาใครบางคน




ตี๊ด...ตี๊ด... เสียงข้อความเข้าโทรศัพท์มือถือของนักร้องหนุ่มวงออกัสที่นั่งลอกการบ้าน
วิชาประวัติศาสตร์อยู่กับมือกีตาร์คิ้วหนา

“รีบเปิดอ่านดิ โต้งส่งอะไรมาให้อ่านหรอวะ” เอ๊กซ์เอ่ยถามเพื่อนสนิท
มิวหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาก่อนจะย้อนตอบเพื่อน

“เสรือกเรื่องของกรูนะมรึง มรึงล่ะ ไม่ส่งอะไรให้หญิงอ่านก่อนนอนบ้างหรอ”

“ส่งไปแล้วเว้ย แล้วหญิงก็ส่งกลับมาแล้วด้วย”

“ไอ้เชี่ยเอ๊ยยยย ทีเรื่องส่วนตัวเนี่ย ปิดกรู แต่พอเรื่องของกรู เสรือกสะเออะอยากรู้”

“เอาน่า เล่ามาดิ โต้งส่งมาว่าไง”

“อย่าเจ๋อ กรูไม่บอกมรึงหรอก” มิวพูดจบก็เดินเข้าไปอ่านลำพังในห้องน้ำ

“...หลับตาลงนะคนดี ขอให้คืนนี้ ฝันดีที่สุด...”
“เสี่ยวอะโต้ง” บ่นเล็กๆแต่มิวก็ก้มจูบข้อความบนหน้าจอโทรศัพท์ แล้วกดส่งกลับ


ตี๊ด...ตี๊ด... โต้งคว้าโทรศัพท์มือถือมาอ่านข้อความเข้า
“..หลับฝันดีเหมือนกันนะ..” โต้งอ่านข้อความแล้วจูบเบาๆบนหน้าจอโทรศัพท์เช่นกัน



.....




.....







เย็นวันศุกร์ มิวและเพื่อนๆเลิกเรียนไวกว่าทุกวัน เหล่าสมาชิกออกัสจึงชวนกันเดินเที่ยว
สยามฯก่อนจะไปซ้อมที่ซอว์เรคคอร์ด ตั้งใจว่าจะหาอะไรกินซักหน่อย



โต้งก็เช่นเดียวกัน เย็นวันศุกร์เป็นวันที่หลายๆคนชื่นชอบ นอกจากจะเลิกเรียนเร็วกว่า
ทุกวันแล้ว วันรุ่งขึ้นยังไม่มีเรียนอีกด้วย ร่างสูงผมเกรียนเดินนำกลุ่มเพื่อนสนิท ไปยัง
ร้านอาหารที่คุ้นเคย




“หวัดดีมิว” เสียงของหญิงสาวคนหนึ่งเอ่ยทักนักร้องนำวงออกัสที่นั่งทานอาหารอยู่กับ
เพื่อนๆสมาชิกในวง


“หวัดดีครับ....เอ่อ....คือว่า.....” มิวอึกอักเพราะรู้สึกคุ้นหน้าหญิงสาวแต่นึกชื่อไม่ออก


“อ๋อ..เราชื่อโบ เป็นเพื่อนซี้โดนัทไง เรากับนายไม่เคยได้คุยกันหรอก แต่โดนัทเคยเล่า
เรื่องนายให้ฟัง ว่านายเคยช่วยชีวิตเค้าไว้”


“ครับ...แล้ว...”


“เดี๋ยวพวกโดนัทก็มา นัดทานข้าวด้วยกันน่ะ นี่พวกเพื่อนๆนาย วงออกัสหรอ”


“อะครับ ใช่ครับ คือเราตั้งใจว่าจะหาอะไรทานก่อน แล้วค่อยไปซ้อมต่อน่ะ” มิวบอก


“ขอไปฟังด้วยคนได้ปะ” จอยเอ่ยปาก


“เอ่อ..ไม่ได้ครับ ถ้าไม่ว่าอะไร ผมขอตัวก่อนนะครับ” มิวพูดตัดบทแล้วรีบลุกขึ้นเพื่อจะได้
หนีให้พ้นจากผู้หญิงน่ารำคาญคนนี้ ขณะที่มิวกำลังยืนขึ้นนั้น โดยไม่ทันระวังตัว จู่ๆ โบก็
ก้มหน้ามาแอบหอมแก้มมิวไปหนึ่งครั้ง เป็นจังหวะเดียวกับที่พวกโต้งและเพื่อนๆ เดินเข้า
มาในร้านพอดี ชายหนุ่มผมเกรียนเห็นภาพที่ทำให้หงุดหงิดใจ ถึงจะมองออกว่า โบตั้งใจ
จะหอมแก้มมิวโดยที่มิวไม่เต็มใจ แต่ก็อดหึงไม่ได้



“เฮ้ย...นี่เธอทำอะไรน่ะ” มิวตวาดใส่โบ


“แหม .. แค่หอมแก้มนิดเดียวเอง นายนี่หล่อดีนะ น่ารักด้วย... อ้าว ..โต้ง มาแล้วหรอ”
โบทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วรีบเดินไปทางโต้งกับเอิร์ธที่เพิ่งมาถึง


“อืม..” โต้งตอบไปอย่างงั้นเอง น้ำเสียงไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด สายตาเหลือบมองมิว ทำ
ให้โบได้โอกาสคล้องแขนโต้งไปนั่งโต๊ะที่กลุ่มออกัสเพิ่งจะลุกขึ้น


“มิว..นี่โต้ง แฟนเราล่ะ” โบพูดออกมาไม่สะทกสะท้านหรือเขินอายแต่อย่างใด


“เฮ้ย โบ จะบ้าเหรอไง ทำอะไรเนี่ย” โต้งถาม


“ก็ควงโต้งไง ไหนๆโต้งก็เลิกกับโดนัทแล้ว ให้เรายืมควงเป็นแฟนหน่อยน่า..” โบยังคงไม่
สนใจความรู้สึกคนอื่น แต่คนที่เพิ่งลุกจากโต๊ะ กลับมองอย่างไม่สบอารมณ์ มิวที่เดินไปถึง
ประตูแล้ว หันไปมองโต้ง สีหน้าหงุดหงิดเช่นกัน แล้วจึงเดินตามเพื่อนๆออกไป



“โบ ปล่อยเรานะ” โต้งสลัดแขนหลุดจากโบแล้วรีบวิ่งออกไปหน้าร้าน
“มิววววว เดี๋ยวก่อน มิววววว” โต้งร้องตามมิวไป


“โต้งงงงงง.... อะไรเนี่ยยยย” โบรู้สึกหงุดหงิดที่โต้งเดินหนี อดโมโหกระฟัดกระเฟียด
ไม่ได้ ได้แต่มองโต้งที่วิ่งตามมิวไปอย่างสนใจ




โต้งวิ่งตามมาทันมิวที่หน้าร้าน นักร้องหนุ่มเองก็คอยเหลียวมามองที่ประตูอยู่ตลอด
คงเผื่อใจว่าโต้งต้องวิ่งตามออกมา แล้วก็เป็นอย่างที่คิด ร่างสูงวิ่งตามออกมาจริงๆ


“ทำไมถึงรีบเดินหนีออกมาล่ะมิว” โต้งถาม


“เปล่าซะหน่อย ก็เรา..กินเสร็จแล้ว จะรีบไปซ้อมด้วย” มิวตอบ


“มิวหึงเราที่ถูกโบควงแขนหรอ” โต้งกระเซ้าถาม


“ไม่ใช่ซะหน่อย หลงตัวเองเกินไปรึเปล่า” มิวแกล้งตอบหน้าตาเฉย


“จริงหรอ แต่เราหึงนะ ตอนที่โบหอมแก้มมิวอะ”


“ก็โบเค้าเป็นแฟนโต้งหนิ เลิกกับโดนัทแล้วมาคบโบเค้าไม่ใช่หรอ” มิวทำหน้าหงุดหงิด
ใส่โต้ง ทำเอาโต้งอดโมโหความงี่เง่ากับอารมณ์แปรปรวนของมิวไม่ได้


“มิวก็รู้ว่ามันไม่ใช่ ทำไมถึง.... อะ... นี่มิวแกล้งยั่วเราใช่ปะ” โต้งส่งยิ้มหวานให้


“ไม่รู้ดิ คิดเอาเอง” นักร้องนำแกล้งปฏิเสธแต่ก็ยิ้มกลับ ทำเอาโต้งเขินเล็กน้อย


“เดี๋ยวเราทานอะไรเสร็จแล้ว ตามไปฟังมิวซ้อมได้ปะ”


“อยากไปก็ไปดิ ไม่ได้ห้าม”


“ถ้าซ้อมเสร็จแล้ว เราไปส่งมิวที่บ้านได้ปะ”


“อยากไปก็ไปดิ ไม่ได้ห้าม”


“งั้นเราขอไปนอนบ้านมิวได้ปะ”


“อยากไปก็ไปดิ ไม่ได้ห้าม”


“พูดเป็นประโยคเดียวหรอมิว งั้นเราไป...” โต้งจะพูดต่อ แต่ถูกขัดจังหวะเสียก่อน


“ถ้าพวกมรึงไม่เลิกคุย งั้นพวกกรูไปก่อนนะ” เอ๊กซ์ตวามดใส่มิวกับโต้ง


“เออ..ขอโทษเว้ย งั้น เราไปก่อนนะโต้ง”


“อือ..แล้วเดี๋ยวเจอกัน” โต้งตอบ แล้วร่างสูงก็หันหลังเดินกลับร้าน ร่างโปร่งยืนมอง
จนร่างสูงนั้นหายเข้าไปในร้านแล้วก็ก้าวเท้าเดินไปกับเพื่อนร่วมวง


“ได้คุยกับพี่โต้งทีไร ลืมพวกผมเลยนะครับพี่มิว” ปิงปองเอ่ยแซวรุ่นพี่


“นั่นดิวะ เจอแฟนทีไร ชอบเห็นเพื่อนเป็นหัวหลักหัวตอทุกทีสิ” แวนพูดบ้าง


“ก็....เหอะน่า พวกมรึงไม่เข้าใจกรูหรอก กรูก็...พวกมรึงยังไม่ชินอีกรึไงวะ”


“ชินกับอาการฮอร์โมนแปรปรวนเวลาคุยกับโต้งของมรึงน่ะหรอ ยังอะ” ต่อพูด


“แต่พรุ่งนี้วาเลนไทน์ มรึงได้แปรปรวนท้องไส้ทั้งวันแน่” เอ๊กซ์กระทุ้งศอกเย้ามิว


“ทำไมวะ” มิวทำหน้างง


“ก็เปิดตัวอัลบั้มใหม่ไงเล่า แกล้งลืมไปได้” เอ็มว่าเพื่อน


“อันนั้นกรูจำได้ แต่สีหน้าไอ้เชี่ยเอีกซ์ เหมือนมีอะไรปิดกรูไว้ให้ประหลาดใจงั้นแหละ”


“หน้าไอ้เอ๊กซ์มันก็กวนตรีนแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว มรึงคิดมากไปรึเปล่า” ต่อช่วย
ให้มิวเลิกสงสัย เพราะกลัวว่าเรื่องเซอร์ไพร้ซ์ของโต้งจะหลุดเข้าหูมิวเสียก่อน


“ช่างเหอะ ไปดีกว่า เดี๋ยวเจ๊หลิวดุเอา” แวนตัดบทแล้วรีบเดินนำเพื่อนๆไปเรียกรถ
ทำเอามิวต้องเดินตามไปอย่างเสียไม่ได้ ทั้งๆที่เริ่มสงสัยบางอย่างขึ้นมา





โต้งกลับมานั่งทานอาหารกับเพื่อนๆที่ร้าน โดนัทและคนอื่นๆตามมาสมทบ สาวสวย
ไปนั่งข้างๆกับเอิร์ธ แต่ก็มองโบที่นั่งข้างโต้งอย่างแปลกใจ ร่างสูงรู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง
ที่มีโบมานั่งข้างๆ โดนัทและเอิร์ธก็มองออก หญิงสาวสวยเลือกได้จึงส่งสัญญาณบอก
เพื่อนชายคนสนิทให้ชวนโต้งไปห้องน้ำก่อน



“เดี๋ยวเราขอตัวไปเข้าห้องน้ำหน่อยนะโดนัท เฮ้ยโต้ง มรึงไปกับกรูปะวะ”


“เออ กรูไปด้วย” โต้งลุกจากเก้าอี้และตามเอิร์ธไป ส่วนโดนัทก็นั่งมองหน้าโบอย่าง
แปลกใจและกำลังจะเอ่ยปากถาม แต่โบก็พูดขึ้นมาเสียก่อน


“มองอะไรยะยายโดนัท เห็นเพื่อนนั่งควงแฟนเก่าทำเป็นหึงเชียวนะ” โบบอกโดนัท


“เปล่าซะหน่อย ชั้นแค่กำลังคิดว่า แกจีบโต้งหรอยายโบ”


“แล้วไงจ๊ะ ก็โต้งน่ะ หล่อออก อุ๊ยไม่รู้เป็นไง ช่วงนี้หลายใจชะมัด”


“เป็นอะไรของแก หลายจงหลายใจอะไร” โดนัทเอ่ยถามโบ


“ก็นักร้องที่เคยช่วยชีวิตแกไง มิวอะ หน้าตาน่ารักดีนะ เมื่อกี้ชั้นได้หอมแก้มด้วย”


“เค้าให้แกหอมแก้มหรอ”


“เปล่า ชั้นลักไก่เอาตอนเค้าเผลอ แก้มงี้ ฮ้อมหอม”


“แล้วมิวเค้าว่าไงล่ะ”


“ก็ไม่เห็นว่าไงนี่ ก็เลยไม่รู้เหมือนกัน นี่ก็ตั้งใจว่าจะลองจีบดู ว่าแต่ น่ารักขนาดนั้น
มีแฟนรึยังไม่รู้ โดนัท แกรู้บ้างปะวะ”


“มีแล้ว.... นี่ ยายโบ ชั้นว่าแกเลิกทำอะไรแบบนี้เถอะ เหลวไหลน่า”


“เรื่องของชั้น ว่าแต่แฟนมิวน่ะ ใครหรอ สวยปะ”


“ชั้นไม่รู้ นี่ยายโบ ชั้นว่าแกไม่คว...” โดนัทพยายามจะเตือนเพื่อนแต่โบพูดแทรกขึ้นมา
เสียก่อน จนโดนัทรู้สึกเหนื่อยใจกับเพื่อนสนิทคนนี้


“ชั้นต้องรู้ให้ได้ ว่าใครเป็นแฟนมิว แต่จะว่าไป โต้งก็น่าสนนะ ชั้นอาจจะลองจีบ
ก็ได้ ไหนๆเค้าก็เลิกกับแกแล้ว เออ..โต้งเค้ารู้จักกับมิวด้วยหรอ”


“แกลืมไปแล้วรึไง ว่าชั้นกับโต้งไปเล่นเอ็มวีให้กับวงออกัส”


“เออใช่..ลืมไป แต่ท่าทางโต้งกับมิวจะสนิทกันเนอะ เห็นโต้งวิ่งไปคุยกับมิวข้างนอก
ร้านด้วย ไม่รู้คุยอะไรกัน เห็นยิ้มไปยิ้มมา”


“ก็คงคุยเรื่องที่พรุ่งนี้ออกัสจะจัดมินิคอนเสิร์ตเปิดอัลบั้ม แล้วก็เปิดเอ็มวีเพลง
กันและกันเป็นครั้งแรกด้วย ไม่เห็นจะมีอะไรแปลกเลย”


“คงงั้นมั้ง” โบพูดสั้นๆ แล้วกินต่อ โดยไม่ได้สนใจดูที่ทางเท้าฝั่งตรงข้ามว่ามีรถเก๋ง
สีบรอนซ์เงินจอดอยู่ พร้อมกับชายสวมเสื้อแจ๊กเก็ตสีเท่าที่กำลังสะพายกล้องถ่ายรูป
มือขวาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วก็กดคุยกับใครบางคน



“ครับนาย ออกไปซ้อมแล้วครับ ..... ไปกับเพื่อนๆในวงครับ ไม่ได้ตามไปครับ

นั่งทานข้าวอยู่กับเพื่อนๆครับ .... ผู้หญิงสองคนครับ คนนึงท่าทางสนิทกันมากด้วย

ครับ เห็นควงแขนด้วย ... แต่ผู้หญิงคนนั้นก็แอบหอมแก้มเป้าหมายด้วยนะครับ

พรุ่งนี้แล้วครับ จะให้จัดการตามแผนใช่มั้ยครับ ...ได้ครับ” ชายคนนั้นกดวางสาย

โทรศัพท์ แล้วเข้าไปนั่งที่คนขับ จังหวะเดียวกับที่โต้งออกมาจากห้องน้ำ และทันเห็น
ตอนที่หมอนั่นวางสายโทรศัพท์และขึ้นรถพอดี จึงแอบสังเกตลักษณะรถและทะเบียน
รถเอาไว้ในใจ เผื่อจะใช่คนที่มิวเล่าให้ฟังว่าพี่หลิวเห็น




.....




.....






หลังจากสลัดหลุดจากโบแล้ว ชายหนุ่มก็รีบวิ่งไปที่ริมถนนพระรามหนึ่ง หมายมั่นว่าจะเรียก

แท็กซี่เพื่อตามไปดูแฟนหนุ่มของตนซ้อมร้องเพลงเป็นครั้งสุดท้ายก่อนการขึ้นคอนเสิร์ตเปิด

อัลบั้มในวันพรุ่งนี้ อีกใจนึงก็นึกหวั่นไหวกับชายแปลกหน้าที่พยายามจะถ่ายรูปของตนกับ

คนรัก เพราะหากนายคนนั้นเปิดเผยเรื่องของตนกับมิวจริงแล้วมิวจะเป็นยังไง ในเมื่อมิวเป็น

ที่รู้จักขนาดนั้น คงกลายเป็นเรื่องใหญ่ถึงขนาดทอล์กออฟเดอะทาวน์อย่างแน่นอน ลำพัง

อุปสรรคเรื่องป๊าของมิวก็ใช่ว่าจะผ่านไปได้ง่ายๆอยู่แล้ว ตนกำลังจะเป็นสาเหตุให้มิวต้อง

สูญเสียสิ่งอันเป็นที่รักอีกรึเปล่า แต่อีกใจก็ยังกังวลเรื่องของขวัญวาเลนไทน์สำหรับมิวใน

วันพรุ่งนี้ อย่างไรก็ตาม สองเท้าของร่างสูงก็วิ่งไปเรื่อยๆจนพ้นระยะที่โบจะมองเห็นทัน

ในที่สุด โต้งก็ชะลอฝีเท้า แล้วเปลี่ยนเป็นค่อยๆเดินแทน





เพราะความที่ต้องการหลบหน้าโบ ทำให้โต้งต้องลัดเลาะไปในซอยต่างๆของสยามสแควร์

แล้วด้วยความคาดไม่ถึง ชายหนุ่มมาหยุดอยู่หน้าร้านขอยของเล่นที่เคยวางขายตัวต่อไม้เมื่อ

ปีก่อนพอดี ชายหนุ่มเหลือบมองไปในตู้กระจกที่เคยวางโชว์ตัวต่อไม้ สายตาพลางสะดุด

กับตุ๊กตาตัวหนึ่งเข้าชนิดต้องตากันอย่างไม่น่าเชื่อ





ตุ๊กตาผ้าขนฟูแบบขนตุ๊กตาหมี ส่วนหัวมีสีน้ำตาล แต่ลำตัวกลับสวมเสื้อสีแดงปกและสาบ

มีสีขาวแถมยังสวมถุงมือสีขาวอีกด้วย ตุ๊กตาตัวนั้นไม่มีขา โต้งมองจมูกของตุ๊กตานั้นอย่าง

พิจารณา จมูกสีแดง แววตาสีน้ำตาลของโต้งเลื่อนมามองที่หมวกอย่างครุ่นคิด หมวกสีแดง

“ช่างคล้ายกับตัวต่อไม้เหลือเกิน” โต้งคิดในใจ แต่ขนาดใหญ่กว่า ทั้งยังเป็นตุ๊กตาผ้า ที่ไม่ได้

ทำจากไม้ ที่สำคัญ รูปทรงของหมวกก็ไม่เหมือนเดิม เพราะคล้ายทรงหัวใจคว่ำมากกว่า อีก

ทั้งในมือของตุ๊กตานั้นก็ถือดอกกุหลาบสีแดงอยู่ด้วย





“พี่ครับๆ ตุ๊กตาหน้าร้านลดราคาอีกหน่อยไม่ได้เหรอครับ” โต้งถามหลังจากเห็นป้ายราคา

หนึ่งพันสองร้อยห้าสิบบาทติดอยู่



“ไม่ได้แล้วน้องเอ๊ย นี่ก็ลดสุดๆแล้ว ไอ้ตัวนี้มันอัดเสียงได้ด้วยนะ” คนขายบอก



“แต่เงินผมไม่พอ” โต้งพูด พลางรู้สึกหงุดหงิดตัวเองอยู่บ้างที่ไม่รู้จักคิด เก็บเงินซื้อของขวัญ

วาเลนไทน์ให้กับมิว ปลายสัปดาห์แบบนี้จะไปเอาเงินจากไหน จะเบิกแม่ล่วงหน้าก็เกรงใจ

เพราะโต้งรู้ดีว่าช่วงนี้ต้องช่วยแม่ประหยัด เพราะเดือนกว่ามานี่ แม่หมดเงินค่ารักษาพ่อไปไม่

ใช่น้อยเลย แต่ตนเองก็อยากจะซื้อใจจะขาด ชายหนุ่มได้แต่ยืนนิ่งคิดอยู่อย่างนั้น



“จะซื้อไปฝากมิวเหรอโต้ง” เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นข้างๆหู จนโต้งต้องหันกลับไปมอง


“พี่แตง เอ๊ยไม่ใช่ พี่จูน มาได้ไงครับเนี่ย” โต้งตกใจเมื่อพบหน้าหญิงสาว


“ตกใจอะไรขนาดนั้น ว่าไง ยังไม่ตอบพี่เลย จะซื้อไปฝากมิวหรอ”


“อ่อ..ครับ แต่ผมมีตังค์ไม่พอ”


“พี่ออกให้ก่อนก็ได้ ไว้โต้งมีแล้วค่อยมาคืนพี่”


“จริงหรอครับ ดีจัง ขอบคุณนะครับพี่จูน” โต้งยิ้มแป้นดีใจ ก่อนจะรับเงินจากจูนไป

จ่ายค่าตุ๊กตาตัวนั้น และรับมาถือไว้อย่างพึงพอใจ


“หมวกสวยดีนะ ยังะรูปหัวใจแน่ะ เหมาะเป็นของขวัญวาเลนไทน์ดีนะ”


“ครับพี่จูน หัวใจกลับหัว แต่เอ๊ะ ผมว่าหมวกมันถอดได้นะเนี่ย” โต้งพูดพลางถอดหมวก

ที่คลุมศีรษะกลมๆของตุ๊กตาออกมา


“น่ารักจังเลยโต้ง มีเขากวางด้วย ดูหูสิ ถ้าไม่ถอดหมวกออก พี่ก็นึกว่าเป็นตุ๊กตาหน้ากลม

ธรรมดาซะอีก ดูสิ ที่เสื้อสีแดงก็รูดซิปออกได้ด้วย” โต้งคล้อยตามและรูดซิปของเสื้อแดง

ออกมา เผยให้เห็นขาสี่ข้างโผล่ออกมา จากตุ๊กตาที่รูปทรงคล้ายตัวต่อไม้ธรรมดาที่ใส่หมวก

รูปหัวใจกลับหัวก็กลายเป็นตุ๊กตากวางที่คลุมผ้าสีแดงและสวมหมวกรูปหัวใจแทน โต้งยิ้ม

ไม่หุบกับความน่ารักและลงตัวของตุ๊กตาตัวนี้



“พี่จูนว่ามิวจะชอบมั้ยครับ มันอัดเสียงได้ด้วยนะ”


“ก็คงชอบที่ตุ๊กตาน่ารักน่ะแหละ จะว่าไป โต้งให้อะไรมิวก็คงชอบทั้งนั้น แต่จะชอบเป็น

พิเศษหากว่าโต้งอัดเสียงอะไรลงไปที่มิวฟังแล้วชอบมากๆได้”


“ผมรู้แล้วครับ ว่าจะอัดเสียงอะไรลงไป จริงดิครับพี่จูน ผมจะไปฟังมิวซ้อมร้องเพลง

ที่ซอว์เรคคอร์ด พี่จูนไปด้วยกันมั้ยครับ พวกมิวเห็นพี่คงดีใจ เห็นมิวว่าเจอพี่เมื่ออาทิตย์

ก่อนที่คลินิกอะครับ พอออกัสคนอื่นๆรู้ ก็ตื่นเต้นดีใจกันใหญ่”



“พี่มีนัดกับพี่อ๊อดตอนสองทุ่มที่ซอว์น่ะแหละ สงสัยพี่อ๊อดจะรู้จากพวกมิวว่าเจอพี่ แก

เลยโทรชวนพี่กลับไปทำงานด้วย พี่ก็เลยรับปากว่าจะเข้าไปคุยกับแกคืนนี้”


“งั้นก็ดีสิครับ สงสัยจะให้พี่จูนกลับมาดูแลออกัสมั้ง เพราะรู้สึกว่า ศิลปินในค่ายเริ่ม

มากขึ้น คุณเอเค้าอยากให้พี่หลิวไปช่วยงานด้านอื่นด้วย”


“ได้ก็ดีสิโต้ง เดือนกว่ามานี่ พี่ก็ทำหลายอย่าง แต่ไม่ถูกใจซักอย่าง ถ้าได้กลับไปทำงาน

กับพี่อ๊อดคงจะดีกว่า จริงสิ พ่อเราอาการเป็นไงบ้าง” จูนเอ่ยถามถึงกร


“ตั้งแต่ปลูกถ่ายตับจากมิว ก็อาการดีขึ้นมากเลยครับ แต่ยังเดินไม่ค่อยสะดวก แล้วก็

ต้องระวังเรื่องอาหารเป็นพิเศษด้วย ลุงหมอว่า ต้องค่อยๆเป็นค่อยๆไป รอให้ตับของมิว

ปรับสภาพเข้ากับร่างกายของพ่อให้สมบูรณ์กว่านี้อีกหน่อย แต่โดยรวมก็ปลอดภัยดีครับ”



“ตับของมิวหรอโต้ง”


“ครับ มิวเค้าสละตับบางส่วนมาปลูกถ่ายให้พ่อ”


“โต้งโชคดีนะ มิวทั้งรักและทำเพื่อโต้งขนาดนี้”


“แต่ผมกับช่วยอะไรมิวไม่ได้เลย”


“ทำไมล่ะโต้ง”


“ก็ป๊ามิวเค้ายื่นคำขาดให้มิวออกจากวงออกัส เลิกร้องเพลง ให้ไปเรียนต่อที่ระยอง แล้ว

ก็ช่วยป๊าเค้าดูแลธุรกิจที่โน่นอะครับ”



“แล้วมิวว่าไงล่ะ”


“พี่จูนก็รู้จักมิว มิวน่ะ เก็บเงียบไม่ยอมพูด มิวเค้าแคร์ป๊าเค้ามาก ผมรู้ดี ผมสงวสารมิว

จังเลยครับพี่จูน ไหนจะเรื่องไอ้คนที่จ้องจะทำลายมิวไม่ให้เป็นนักร้องอีก” โต้งเล่า

เรื่องช่างภาพและคำขู่ให้จูนฟัง



“โต้ง อะไรจะเกิด มันก็ต้องเกิดนะ อย่ากลัวการเผชิญหน้า พี่ว่าโต้งต้องพิสูจน์สิ พิสูจน์

ให้ป๊ามิวเค้ารู้ว่าเราสองคนรักและจริงใจต่อกันแค่ไหน ไม่มีพ่อคนไหนทนได้หรอก ถ้า

เห็นว่าลูกของตนไม่มีความสุข ป๊ามิวก็เหมือนกันแหละ นะ เชื่อพี่”



“ขอบคุณครับพี่จูน” โต้งเก็บตุ๊กตาใส่กระเป๋าเป้ แล้วเดินไปเรียกแท็กซี่พร้อมกับจูน




...................



...................





เป็นอันว่า พี่จูนจะมาดูแลวงออกัสแทนพี่หลิว ที่เลื่อนตำแหน่งไปเป็นโค-โปรดิวเซอร์

ให้กับทั้งออกัสและศิลปินอื่นๆในค่าย เหล่าสมาชิกออกัสทุกคนต่างดีใจเป็นอย่างมาก

เพราะจะได้พี่สาวใจดีกลับมาร่วมงานกันอีกครั้ง





“คืนนี้พี่จูนจะไปนอนที่ไหนครับ” โต้งเอ่ยถาม หลังจากที่ออกัสซ้อมเสร็จเรียบร้อย

และกำลังเก็บสัมภาระกันอยู่



“ก็คงอพาร์ทเม้นต์เดิมนั่นแหละมั้ง โชคดีที่ไม่มีคนเช่าต่อ เลยอยู่ห้องเดิมได้”



“ก็ว่า..จะชวนพี่จูนไปเยี่ยมพ่อกับแม่หน่อยน่ะ พวกท่านเห็นพี่จูนคงดีใจ”



“จะดีหรอโต้ง พี่เป็นคนอื่นนะ”



“แต่ผมว่าไม่นะ แม่กับพ่อออกจะถามถึงพี่จูนอยู่บ่อยๆ”



“จริงหรอ งั้นก็ได้ ไหนๆก็ไหนๆ ไม่เจอตั้งนานไปเยี่ยมซะหน่อยคงดี”



“ดีจัง” โต้งยิ้มดีใจแปลกๆจนจูนสงสัย



“ยิ้มแบบนี้ มีแผนอะไรรึเปล่าโต้ง” จูนเอ่ยถาม



“ก็ถ้าพี่จูนไปนอนค้างที่บ้าน ผมจะได้ขอแม่มานอนเป็นเพื่อนมิวไง”



“นึกแล้วเชียว เอาเหอะ งั้นก็ไปได้แล้ว จะได้ไม่ดึกเกิน พ่อต้องรีบนอนไม่ใช่รึไง”



“ครับพี่” โต้งรีบไปบอกมิว แล้วเดินไปขึ้นแท็กซี่คันแรกที่มาถึงพร้อมกับจูนที่รออยู่







“ดีจังเลยนะพี่มิว พี่จูนกลับมาแล้ว หายหน้ากันไปนาน คิดถึงเหมือนกันเนอะ พี่มิว

คิดเหมือนปิงปองปะ” มือเป่าแซ็กสะกิดถามนักร้องนำ



“อืออ คิดเหมือนกันนั่นแหละ ดูไอ้เอ๊กซ์ดิ กระดี๊กระด๊าใหญ่” มิวบอกปิงปอง



“ขืนไปวี้ดวิ่วพี่จูนต่อหน้าหญิงนะมิว ได้ถูกหญิงแพ่นกบาลเอาแน่ๆ” ต่อบอกมิว



“กรูก็ว่างั้นแหละ ไอ้เอ๊กซ์มันก็วี้ดวิ่วไปอย่างนั้นเอง กรูรู้ว่ามันชอบหญิงจริงๆ

แต่กับพี่จูน ก็อย่างเคย ไอ้บ้านี่มันแกล้งบ้าหม้อไปตามประสา”



“โหหหห คุณมิวคร้าบบบ นินทาซึ่งหน้าเลยนะคร้าบบบ ว่าไงครับ จะกลับกันรึยัง

ขืนพรุ่งนี้มาสาย เราได้โดนพี่อ๊อดด่ายับแน่”



“เออน่า กรูแค่คิดอะไรนิดหน่อย”



“มรึงกำลังคิดเรื่องที่โต้งเล่าใช่มั้ยวะ” แวนถามมิว



“เรื่องอะไรวะ ... อ๋ออออ ไอ้ช่างภาพนั่นนะเหรอ” เอ็มเอ่ยอย่างสงสัย



“กรูกำลังคิดว่า พรุ่งนี้ นายนั่นจะโผล่มาที่งานรึเปล่า”



“มรึงกะจะจับตัวมันมาเค้นถามรึไงวะ เราเป็นนักดนตรีนะเว้ย ไม่ใช่เอฟบีไอ กรู

ว่าเราปรึกษาพวกพี่อ๊อดก่อนดีมั้ยวะ” ต่อเสนอความเห็น



“กรูเห็นด้วยกับไอ้ต่อนะมิว รึมรึงว่าไงไอ้แวน” มือกีตาร์หันไปถามมือคีย์บอร์ด



“มรึงลองมองไอ้มิวดิไอ้เอ๊กซ์ กรูว่ามันเอาจริงเว้ย ทำไมวะมิว มรึงคิดอะไรหรอ” แวนถาม



“กรูแค่คิดว่า ถ้าช่างภาพนั่นจ้องเล่นงานกรูจริง ทำไมป่านนี้ยังไม่มีข่าวกรูกับโต้งออก

สื่อเลยวะ จะว่าเรายังไม่ดังมาก นั่นก็ส่วนหนึ่ง ถ้าเค้าตามเก็บภาพกรูกับโต้งรวมทั้งพวก

เราไปได้ทุกที่ ก็น่าจะมีจดหมายขู่มาอีก ยิ่งคิดยิ่งงง การเล่นงานกรูจะทำให้ใครได้กำไร

หรือผลประโยชน์อะไรนักหนาวะ กรูก็เลยคิดว่า บางทีเบื้องหลังของหมอนั่นอาจจะ...”



“ยังไงเหรอพี่มิว พี่คิดว่าใครหรอ” ปิงปองเอ่ยถาม



“ไม่รู้ดิ ไม่แน่ใจ ไว้พรุ่งนี้เราต้องช่วยกันสังเกต และจับมันให้ได้ก่อนเริ่มงาน จะได้ถาม

ให้รู้เรื่อง ว่ามันตามถ่ายรูปพวกเราทำไม พวกมรึงจะเอากับกรูปะ”



“ว่าไงว่ากันอยู่แล้ว รีบกลับเหอะ เดี๋ยวไปเตรียมต้อนรับโต้งที่บ้านไม่ทันนะเว้ย” เอ๊กซ์

สะกิดบอกมิว ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือโทรหาเพื่อนสาวที่อยู่บ้านตรงข้ามมิวเพื่อราย

งานสถานการณ์ให้รับทราบอย่างที่เคยทำประจำ




...................



...................









Create Date : 21 มีนาคม 2553
Last Update : 21 มีนาคม 2553 7:36:50 น.
Counter : 435 Pageviews.

0 comment
ตอนที่ 22 +++ คำสัญญาและแผนการร้ายของชายลึกลับ +++



+++++ต่อเรื่อง+++++






ตลอดทั้งวันนั้น โต้งคอยอยู่ดูแลมิวไม่ห่าง เมื่อไม่มีคิวซ้อม และไม่มีอย่างอื่นให้ทำ นักร้อง
หนุ่มจึงหยิบหนังสือมาอ่านแก้เหงาแทน

“มิวขยันจังเนาะ ขนาดได้โควตามหาวิทยาลัยแล้ว ยังดูหนังสือตลอด”

“ไม่ใช่หรอก ฆ่าเวลาไปยังงั้นเอง เห็นโต้งช่วยทำงานบ้านแทน เราก็เลยเบื่ออะ”

“งั้นมิวดูหนังสือไปก่อนนะ เดี๋ยวเราถูบ้านเสร็จแล้วจะพามิวไปเที่ยว”

“ที่ไหนล่ะโต้ง เราเดินมากๆไม่ไหวนะ เจ็บแผลอยู่เลย”

“อะน่า...เดี๋ยวก็รู้” โต้งบอก



...



...




“พร้อมรึยัง มิว โต้ง” เสียงหญิงตะโกนเรียกจากหน้าบ้านมิว

“อ้าว..หญิงไปด้วยกันหรอ” มิวถาม ขณะที่รอโต้งล็อกประตูบ้าน”

“เปล่ามิว...หญิงกำลังจะไปหาเอ๊กซ์ แค่จะติดรถไปแป๊บนึงอะ”

“แล้วหญิงรู้ปะ ว่าโต้งจะพาเราไปไหน”

“ไม่รู้ดิมิว โต้งไม่ได้บอก ถามเองแล้วกัน นั่น..มาพอดี เร็วเหอะ แท็กซี่คอย..”
หลังจากที่ขึ้นรถแท็กซี่ไปสักพัก หญิงก็ขอลงจากรถเพื่อมุ่งหน้าไปหาเอ๊กซ์ ส่วนรถแท็กซี่
ก็วิ่งไปอีกทางในฝั่งตรงข้าม เพื่อไปยังที่ที่โต้งคิดไว้



รถแท็กซี่สีเขียววิ่งมาจอดที่หน้าโบสถ์คริสต์แห่งนึง เมื่อลงจากรถแล้ว ร่างสูงก็เดินจูงมือ
ร่างโปร่งเข้าไปข้างใน

ภายในโบสถ์นั้นกว้างขวางมาก กระจกโมเสสประดับไว้สวยงาม จิตรกรรมฝาผนัง
ก็ชวนดูยิ่งนัก ปกติ ทุกวันอาทิตย์จะมีผู้คนอยู่เนืองแน่นเต็มโบสถ์ แต่เพราะเวลาล่วง
มาถึงช่วงบ่ายแล้ว ทำให้เงียบสงบกว่าตอนเช้ามาก

“นี่มันที่ไหนล่ะโต้ง” มิวเอ่ยถาม

“นี่เป็นโบสถ์ที่พ่อกับแม่เราแต่งงานกัน”

“แล้วโต้งพาเรามาทำไมล่ะ สารภาพบาปหรอ”

“ไม่ใช่หรอก ถึงจะสองจิตสองใจก็ตาม”

“ยังไงล่ะ”

“มิวก็รู้ คาทอลิกน่ะ ข้อห้ามเยอะ”

“แล้ว....”

“ถึงจะห้ามเอาไว้ แต่เราอยากทำตามที่หัวใจเราต้องการมากกว่า”

“โต้ง...”

“เราพามิวมาที่นี่ เพื่อจะให้สัญญากับมิว ต่อหน้าสถานที่ศักดิ์สิทธิ์”

“แต่ว่ามัน...” มิวทำท่าจะท้วงอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่ทันได้พูด เพราะร่างสูงเดินไปยืน
ตรงหน้าแท่นสักการะเรียบร้อยแล้ว

“เดชะพระนาม พระบิดา พระบุตร และพระจิต ... อาเมน...
ข้าพเจ้าขอให้สัญญาต่อหน้าพระองค์ว่า ข้าพเจ้าจะรัก และซื่อสัตย์ต่อคนที่ข้าพเจ้ารัก ถึง
แม้ว่า จะมีอุปสรรคเพียงใดก็ตาม ข้าพเจ้าจะอดทน และฟันฝ่าไปด้วยกัน จะมีกันและกัน
กับคนที่ข้าพเจ้ารักตลอดไป
เดชะพระนาม พระบิดา พระบุตร และพระจิต ... อาเมน...”
น้ำเสียงของชายหนุ่มหนักแน่น มั่นคง แม้จะมีเพียงโต้งและมิวสองคนที่อยู่ในห้องนั้น
แต่เหมือนมีบางสิ่งที่เป็นพยานรับรู้ในปฏิญานรักของโต้ง

“โต้ง....” น้ำตาแห่งความตื้นตัน รื้นอยู่บนใบหน้าของมิว ที่จ้องโต้งไม่กะพริบ ขณะที่มือ
ก็กระชับจี้ไม้กางเขนที่โต้งให้ไว้แน่น

“มิว...” โต้งเดินมายืนตรงหน้ามิว

“ขอบคุณนะ” มิวตอบ แล้วโผเข้าหาร่างสูงของชายหนุ่มตรงหน้า ที่สวมกอดร่างโปร่งไว้
ทันที จากนั้นก็ชวนกันกลับบ้าน

“ไปเหอะมิว... วันนี้แม่ชวนไปทานข้าวเย็นที่บ้าน” โต้งบอก แล้วจูงมือของมิวเดินออกไป


เมื่อพ้นประตูโบสถ์แล้ว ทั้งคู่ก็ชวนกันออกไปเรียกแท็กซี่ โดยไม่ทันสังเกตว่า มีคนที่ถือ
กล้องเดินถ่ายรูปอยู่บริเวณนั้น ซึ่งหันมามองชายหนุ่มทั้งสองอย่างสนใจ



...



...





“มีอะไรให้ผมช่วยมั้ยครับน้านีย์” เสียงมิวเอ่ยปากถามสุนีย์

“ไม่เป็นไรจ้ะ เรื่องในครัวยกให้น้าเถอะ เรายังไม่หายเจ็บแผลเลย”

“แต่น้านีย์ทำคนเดียว ไม่เหนื่อยเหรอครับ”

“ชินแล้วแหละ ไปตรงโน้นเถอะ โต้งมองอยู่แน่ะ ”

“ไม่เป็นไรครับ ปล่อยให้มองไปก่อน สงสัยจะชะเง้อหาคนช่วยยกเก้าอี้แน่ๆ”

“ดีเหมือนกัน ปล่อยให้ทำคนเดียวซะบ้าง นี่รู้มั้ย ตั้งแต่เจอมิวเนี่ยนะ โต้งเปลี่ยนไป
เยอะเลย น้าแทบไม่เชื่อแน่ะ”

“ยังไงเหรอครับ”

“ก็เมื่อก่อนนะ แทบไม่ค่อยสนใจงานบ้าน น้าไม่สั่ง พ่อตัวดีก็ไม่ทำ แต่เดี๋ยวนี้ รู้จัก
ช่วยงานบ้านมากขึ้น

“หรอครับ ดีจัง อย่างน้อยก็เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น”

“ใช่..จะว่าไป ครอบครัวน้าดีขึ้นมากก็เพราะมิวนี่แหละ”

“น้านีย์ครับ”

“น้าผิดต่อมิว ผิดต่อโต้ง ผิดต่อพวกเราสองคน” จู่ๆสุนีย์ก็โพล่งขึ้นมา

“ก็...”

“น้าเคยคิดผิด ที่เมื่อก่อนนี้เชื่อว่า ความรักของเราสองคนไม่ถูกต้อง แต่ก็เพราะ
จูน ที่เตือนสติน้า ทำให้น้ารู้ว่า ความรัก ไม่มีคำว่ามากเกินไปหรอก”

“น้านีย์ครับ”

“ความรักที่มิวกับโต้งมีต่อกัน มันทำให้น้าเชื่อว่า .....”

“ว่าอะไรครับ”

“ไม่รู้สิ ไม่รู้จะอธิบายยังไง แต่เท่าที่พูดได้ก็คือ ครอบครัวน้าโชคดีมาก ที่เราสอง
คนมีกันและกัน และรักกันขนาดนี้ มิวเหมือนดวงตะวันที่ส่องแสงให้กับบ้านน้า
ทำให้บ้านที่หดหู่มีชีวิตชีวาอีกครั้งนึง”

“แต่คงจะดีกว่านี้ ถ้ามีพี่จูนอีกคน”

“มิวหมายความว่า...”

“มิวไม่รู้ว่าพี่จูนกับพี่แตงเป็นคนเดียวกันรึเปล่า รู้แต่พี่จูนเค้ารู้สึกผูกพันกับที่นี่แล้ว”

“จะว่าไป น้าก็คิดอยากจะให้จูนคือแตงจริงๆ”

“แล้วถ้าพี่จูนคือพี่แตงจริงๆล่ะครับ”

“แต่จูนเค้าบอกเองนะ ว่าเค้าไม่ใช่ ... โน่นมิว โต้งมองมาอีกแล้ว มิวไปหาโต้งเถอะ”

“งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ” มิวบอกสุนีย์แล้วเดินออกจากครัวไปที่โต๊ะทานข้าว

“คุยอะไรกับแม่หรอมิว” โต้งถาม

“เปล่า ไม่มีอะไร ว่าแต่โต้งเถอะ หนักมั้ยนั่น” มิวหมายถึงเก้าอี้ที่โต้งยกค้างไว้

“พูดยังกะจะช่วยยงั้นแหละ” โต้งแกล้งยวนถาม

“เรื่องอะไรล่ะ เรายังเจ็บแผล โต้งนั่นแหละ ตัวใหญ่แข็งแรง ยกคนเดียว ดีแล้ว”

“แน่แหละ ยกของหนักน่ะ เป็นงานของสุภาพบุรุษ”

“คนชอบเอาเปรียบสิไม่ว่า เร็วเหอะ เดี๋ยวน้ากรจะรอนาน”


หลังจากจัดเตรียมอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทั้งสี่คนก็มานั่งทานข้าวร่วมกัน
ครั้งนี้ โต้งเป็นผู้นำสวด มิวก็ร่วมสวดไปด้วย หลังจากนั้น การสนทนาก็เริ่มขึ้น


“นึกถึงวันที่พี่จูนมาทานข้าวที่นี่นะครับ” โต้งเอ่ยขึ้น

“นั่นสิ ไม่รู้ป่านนี้เป็นไงบ้าง มิวได้ข่าวพี่เค้าบ้างเปล่าลูก” กรเอ่ยถาม

“มิวเพิ่งเจอพี่จูนเมื่อวานเองครับน้ากร”

“หรอมิว แล้วพี่เค้าเป็นไงบ้างล่ะ” กรถาม

“ก็ไม่รู้เหมือนกันครับ ได้คุยไม่กี่คำ พี่เค้าก็ไปซะก่อน”

“เสียดายเนอะ ถ้าพี่จูนอยู่ด้วย คงครึกครื้นกว่านี้” โต้งว่า

“นั่นสิ นึกแล้วก็ใจหาย จูนน่ะ สอนอะไรครอบครัวเราเยอะเลย” สุนีย์พูด

“เอาไว้มิวจะพยายามติดต่อพี่เค้านะครับ เห็นว่าพักที่แฟลตเดิมที่เคยอยู่นะครับ”

“งั้นก็ฝากด้วยนะจ๊ะ บอกเค้าว่า บ้านนี้รอต้อนรับเค้าเสมอ”

“ครับน้านีย์” มิวรับคำ แล้วก็ทานข้าวกันต่ออย่างเอร็ดอร่อย

“มิวทานนี่ดิ ไข่เจียวกุ้งฝีมือเรา” โต้งกำลังจะตักไข่เจียวใส่จานข้าวมิว

“ไม่ได้โต้ง มิวเค้าเพิ่งผ่าตัดมา ทานไข่ไม่ได้ มันแสลง” สุนีย์ห้ามไว้

“แต่มิวชอบ”

“ชอบก็ไม่ได้ เอาไว้แผลหายก่อน แล้วค่อยกิน” สุนีย์ปรามโต้งที่เริ่มทำหน้าผิดหวัง

“ไม่เป็นไรโต้ง ไว้คราวหน้าก็ได้” มิวยิ้มปลอบ

“เรานี่ไม่ได้เรื่องเลยนะ ขนาดเรื่องอาหารการกิน ยังดูแลมิวไม่ได้เลย ทั้งๆที่มิวยอม
ลำบากและเสียสละเพื่อเราขนาดนี้” โต้งก้มหน้าด้วยความผิดหวัง

“แค่โต้งมีใจตักให้ก็ดีใจแล้วล่ะ” มิวยิ้มตอบ โต้งก็ยิ้มตาม แล้วเปลี่ยนมาตักปลาต้มยำ
ใส่จานข้าวให้มิวแทน

“ทานปลาเยอะๆ ฝีมือแม่อร่อยมาก ความจำดีด้วย จะได้จำเนื้อเพลงแม่นๆ”
มิวยิ้มรับและตักปลาเข้าปาก ท่ามกลางรอยยิ้มของกรและสุนีย์ รวมทั้งโต้งที่ยิ้มไม่หุบ

อาหารมื้อเย็นผ่านไปอย่างอบอุ่น สุนีย์คอยตักให้กร กรตักกลับให้สุนีย์
โต้งตักให้มิว มิวตักให้โต้ง จนกระทั่งเวลาล่วงไป ถึงเวลาที่กรต้องทานยาและพักผ่อน
สุนีย์เก็บภาชนะต่างๆและล้างจาน ขณะที่โต้งเตรียมจะไปส่งมิวที่บ้าน

“ไม่เป็นไรโต้ง เรากลับเองได้”

“งั้นก้ได้ แล้วพรุ่งนี้มิวว่างปะ”

“ก็ว่างนะ พี่หลิวแกลาป่วยให้อีกสองวันมั้ง ทำไมหรอ”

“ว่าจะชวนไปหาอะไรทานหน่อยน่ะ”

“งั้น..โทรมาแล้วกัน” มิวทำท่ายกหูโทรศัพท์ แล้วยิ้ม ก่อนจะขึ้นรถที่จอดคอยอยู่



.....




.....




ผ่านไปอีกสองวัน ที่มิวมีความสุขมากเป็นพิเศษ วันที่ไม่ต้องซ้อม มิวก็ไปทานข้าวบ้าง
ไปดูหนังบ้าง แน่นอน คนที่มิวไปด้วยกันก็คือโต้ง ที่โทรมานัดรอที่สยามสแควร์เสมอ

“ยิ้มสบายเฉิบนะมรึง ไม่ต้องซ้อมสองวัน พาแฟนเที่ยวสยามฯเพลินเลยนะ” เอ๊กซ์
แกล้งแหย่มิวในเช้าวันพุธ

“เออ...” มิวตอบสั้นๆ

“ตอบสั้นแค่เนี้ย..”

“แล้วมรึงจะให้กรูตอบอะไรล่ะ ก็กรูมีความสุขดีนี่หว่า”

“เรื่องของมรึง แต่พี่อ๊อดบอกว่า วันนี้มรึงต้องกลับไปซ้อมได้แล้ว ที่สำคัญ ...
ซ้อมหนักสามวัน ก่อนเปิดตัวอัลบั้ม เย็นวันเสาร์”

“เสาร์นี้แล้วเหรอวะ” มิวถาม

“เออดิวะ วาเลนไทน์แล้วนะเว้ย” เอ๊กซ์พูดใส่หูมิว โดยไม่ทันวังเกตว่า สีหน้าของ
นักร้องนำวงออกัสเพื่อนรักซึมลงไป

“เวลาผ่านไปเรื่อยๆเลยนะ เร็วอย่างน่าใจหาย ทำไมเวลาแห่งความสุขมันสั้นนัก”
มิวรำพึงออกมาเบาๆ แต่ทั้งเอ๊กซ์ ต่อ และปิงปองที่เดินเข้ามาพอดี ได้ยินกันถ้วนหน้า

“มรึงกำลังคิดเรื่องข้อตกลงกับป๊ามรึงใช่ปะ” เอ๊กซ์ถาม

“อือ..” มิวตอบเบาๆ

“กรูรู้นะ ว่ามรึงกังวล แต่การนั่งซึมน่ะ ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นนะเว้ย ทางที่ดี กรูว่า มรึง
ลองคิดหาวิธีที่จะทำให้ป๊ามรึงใจอ่อนดีกว่าว่ะ ไม่งั้น .. เฮ้อ. ไม่อยากจะคิด”

“กรูก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าจะทำวิธีไหน กรูรักโต้งมาก มรึงก็รู้ แต่กรูก็ไม่อยากตัดขาด
จากป๊า ที่ผ่านมาหลายปี กรูก็เจ็บปวดมามากแล้ว”

“ก็ใครใช้ให้สิ่งที่มรึงรัก คนที่มรึงรัก มันไม่ใช่สิ่งที่ป๊ามรึงรักล่ะวะ ที่สำคัญ มรึง
เสรือกไปสัญญากับป๊ามรึงไว้ ว่าจะเลิกร้องเพลง แล้วไปอยู่ระยองกับป๊ามรึง”

“นั่นแหละปัญหาใหญ่ ถ้ากรูผิดสัญญา ต่อไป กรูก็จะไม่ได้ความรักจากป๊ากรูอีกเลย”

“ช่างเหอะวะ เก็บเรื่องนี้ไว้ก่อน ตอนนี้มรึงก็หายดีแล้ว พ่อโต้งก็ดีวันดีคืน ที่มรึงยอม
เสียสละไป ก็นับว่าไม่ขาดทุนแล้วล่ะ ยังไง เย็นนี้ มรึงไปซ้อม แล้วเตรียมล้างหูไว้เลย
นะมรึง เรื่องตับของมรึงกับเรื่องป๊าน่ะ พี่อ๊อดกับคุณเอเค้ารู้แล้ว และเค้าก็เตรียมจะเฉ่ง
มรึงคืนนี้ด้วย”

“นี่แปลว่าคืนนี้ กรูงานเข้าอะดิวะ ไอ้เชี่ยเอ๊กซ์ กรูลาป่วยอีกวันได้มั้ย”

“อย่ามาดัดจริตสำออยเลยไอ้เชี่ยมิว พวกกรูโดนด่าแทนมรึงมาหลายวันแล้ว ถึงคราว
ที่มรึงต้องไปเคลียร์ด้วยตัวมรึงเองแล้วล่ะ”

“มรึงอย่าไปวางยาไอ้มิวสิวะไอ้ห่าเอ๊กซ์” เสียงแวนดังมาจากด้านหลัง นักร้องหนุ่ม
หันไปมอง เห็นมือคีย์บอร์ดร่างท้วม เดินมากับมือกลองขี้บ่นประจำวงออกัส

“หมายความว่าไงวะแวน” นักร้องนำหันไปถามมือคีย์บอร์ด

“ก็เรื่องมรึงอะดิ เจ๊หลิวแกเคลียร์กับพี่อ๊อดให้แล้ว แรกๆพี่อ๊อดก็หงุดหงิดมาก วีนตลอด
แต่ทีหลังก็น้อยลงไป เห็นบอกว่าอย่างน้อยอัลบั้มก็เสร็จแล้ว” แวนตอบ

“แล้วพี่อ๊อดเค้าจะแก้ปัญหายังไงวะ” มิวถามอีก

“ก็เห็นว่า จะลองไปคุยกับป๊ามรึงดูอะ แต่ต้องรอลุ้นฟี้ดแบ็กอัลบั้มนี้ดูก่อน ถ้าออกมาดี,ดัง
ก็คงไม่ยากเย็นอะไร แต่ถ้าเกิดแป้กขึ้นมา กรูว่า วงเราก็คง...”

“แล้วสมมติถ้าไม่มีกรูอยู่ในวงแล้ว พวกมรึงจะทำยังไงต่อไปวะ”

“สำหรับคนอื่นกรูไม่รู้ แต่สำหรับกรูกับไอ้ต่อ ก็คงจะออกจากวงตามมรึงไป” เอ๊กซ์พูด

“ทำไมล่ะวะ การเล่นดนตรีก็เป็นความฝันของพวกมรึงนะเว้ย” มิวถามเอ๊กซ์

“ก็กรูมองไม่เห็นทางน่ะสิ ว่าวงเราจะไปรอดได้ยังไงถ้าไม่มีมรึง มรึงจำตอนก่อนคริสต์มาส
ได้มั้ยวะ ที่มรึงหายหน้าไปน่ะ อย่างที่มรึงรู้ วงเราแมร่ง แทบจะจมไปเลยนะโว้ย” เอ๊กซ์พูด

“ใช่ กรูจำได้ พวกกรูก็ใช่ว่าจะไม่พยายามประคับประคองวงไว้นะ แต่พอมรึงไม่อยู่ พวก
กรูเล่นเพลงไม่ได้เรื่องเอาเลย น้องๆก็ร้องเพลงไม่ได้ เพลงของมรึง มรึงก็ต้องร้อง พวกน้อง
อ้วนน่ะ ยังทำไม่ได้แบบมรึง ยังไม่เก่งเท่ามรึง ไม่มีเสน่ห์บนเวทีแบบมรึง ตอนนี้มรึงน่ะ
เป็นสัญลักษณ์ของออกัสไปแล้วนะเว้ย” แวนบอกกับเพื่อน

“พวกเราเริ่มต้นมาด้วยกันห้าคน มรึง กรู ไอ้ต่อ ไอ้แวน ไอ้เอ็ม สู้มาด้วยกันหลายปี พอมรึง
ไม่อยู่ กรูก็เล่นไม่ออก เหมือนขาดอะไรไป ทีแรกกรูก็ไม่เข้าใจ กรูแค่คิดว่า ไม่มีมรึง พวก
เราก็ต้องสู้ต่อไปได้ แต่เอาเข้าจริงๆ กรูต้องยอมรับว่า มรึงเป็นเสาหลักของพวกเรา พวกกรู
ยังไม่พร้อม ที่จะลุยกันได้โดยไม่มีมรึง เพราะฉะนั้น มรึงอย่ายอมแพ้นะเว้ย มรึงจะว่ากรูเห็น
แก่ตัวก็ได้ แต่กรูอยากให้มรึงเห็นแก่วง อยากให้มรึงนึกถึงหลายปีที่พวกเราฝ่าฟันมาด้วยกัน
จนมีวันนี้ อย่าถอดใจง่ายๆ อย่ายอมแพ้อีก กรูรู้มรึงเข้มแข็ง กรูศรัทธาในความรักที่มรึงมี
ต่อโต้ง แล้วกรูก็เชื่อว่า ป๊ามรึงต้องเข้าใจแน่นอน”

คำพูดของเอ๊กซ์ทำให้ทุกคนนิ่ง อึ้ง แต่ก็ซาบซึ้งไปกับความจริงใจของเพื่อน น้ำตาของมิว
ไหลซึมออกมาเล็กน้อย นักร้องหนุ่มอมยิ้ม แล้วเอ่ยออกมาเบาๆ

“ขอบคุณนะ”

เอ๊กซ์เดินมาตบไหล่เพื่อนเบาๆ คนอื่นๆก็ทำตาม นายคิ้วหนาเห็นเพื่อนเอาอย่าง จึงใช้
มือขยี้เส้นผมของมิวเบาๆ เป็นการหยอกล้อ




“พี่มิว” “พี่มิววววววว” เสียงของปิงปองดังข้ามห้องมาแต่ไกล ทุกคนหันไปมอง เห็น
จอมเป่าแซ็กโซโฟน เดินมาพร้อมกับมือเบสหนุ่มของวงออกัส

“เป็นเชี่ยอะไรวะปิงปอง” เอ็มตะคอกถามนักเป่ารุ่นน้องที่วิ่งมาถึงพอดี

“คือ....อุ้กๆ” ปิงปองพยายามจะพูด แต่ก็ไอไม่หยุดเพราะความเหนื่อย

“คืออย่างงี้” ต่อ มือเบสที่ไม่ค่อยเหนื่อยเท่าไหร่เป็นฝ่ายพูดแทน
“มรึงดูรูปพวกนี้เอาเองดีกว่า” ต่อส่งโทรศัพท์มือถือของปิงปองให้เพื่อนๆดูรูปที่อยู่ในนั้น

ทุกคนจ้องดูรูปถ่ายในโทรศัพท์พร้อมๆกัน เป็นรูปของชายหนุ่มสองคน คนที่สูงกว่าไว้ผม
เกรียนสวมเสื้อยืดสีฟ้าเข้ม ส่วนคนที่สูงน้อยกว่า ไว้ผมรองทรง สวมเสื้อเชิ้ตสีเขียวอ่อน
ทั้งคู่กำลังเดินประคองกันออกมาจากโบสถ์คริสต์แห่งหนึ่ง ดูคล้ายคู่รักกันไม่มีผิด

“พี่อ๊อดส่งรูปพวกนี้มาให้ดู แกบอกว่า มีคนส่งมาให้เมื่อเช้า แถมแมสเสจว่า ถ้าไม่อยาก
ให้รูปพวกนี้ถูกเผยแพร่ ให้ยกเลิกมินิคอนฯเปิดอัลบั้ม แล้วยุบวงออกัสซะ”

“เฮ้ยยยย!!!” เสียงพวกมิวุทานพร้อมกัน

“ได้ไงวะเนี่ย ใครไปถ่ายมาวะ... ว่าไงวะมิว” เอ็มเอ่ยถาม

“กรูก็ไม่รู้ แต่คนในรูปน่ะ กรูกับโต้งแน่ๆ เมื่อวันอาทิตย์ โต้งพากรูไปโบสถ์มา”

“ไปสาบานรักกันมารึไงวะ” เอ๊กซ์แกล้งแซวถามขำๆ แต่มิวนิ่ง ไม่ปฏิเสธ

“จริงดิวะ เชี่ยเอ๊ยยย แล้วใครตามไปแอบถ่ายรูปพวกมรึงมาวะเนี่ย” แวนเอ่ยบ้าง

“กรูก็ไม่รู้ แต่กรูยังนึกไม่ออกว่า เรื่องเพลงของพวกเราจะมีใครรู้หรอวะ” มิวสงสัย

“นั่นอะดิ พี่อ๊อดแกก็งงอยู่ พวกเราก็ไม่มีคู่แข่งที่ไหน เพิ่งจะเริ่มดังเอง ใครมันจะมาอยาก
ยุยวงพวกเราขนาดนี้วะ” ต่อแสดงความเห็นบ้าง

“มิว...มรึงไปเหยียบเท้าใครเข้ารึเปล่าวะ” เอ๊กซ์เอ่ยถาม

“มรึงก็รู้ ว่ากรูไม่เคย นอนเจ็บตั้งนาน จะไปทับเส้นใครได้”

“หรือจะเป็นโดนัท ที่ยังตัดใจจากโต้งไม่ได้” เอ๊กซ์พูดต่อ

“จะบ้าหรอ โดนัทไม่ใช่คนอย่างนั้นซะหน่อย”

“หรือคุณบี เค้าหึงพี่มิวกับพี่โต้ง” ปิงปองว่า

“เค้าเป็นเจ้าของค่ายนะ จะทำเรื่องโง่ๆแบบนั้นทำไม”

“แล้วฝีมือใครวะเนี่ย......”



....



....



เป็นวันที่ผ่านไปอย่างไม่มีความสุขเอาเสียเลยสำหรับมิว ต่างจากสองสามวันที่ผ่านมา
อย่างสิ้นเชิง ไม่ใช่เพราะไม่ได้อยู่กับโต้ง แต่เป็นเพราะรูปถ่ายในโทรศัพท์มือถือ ที่ทำ
ให้ทั้งนักร้องนำและสมาชิกคนสำคัญของวงออกัสต่างเป็นกังวล


“ยังมีเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับความรัก.......” เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือของมิวดังขึ้น
ในช่วงพักกลางวัน เจ้าของเครื่องรีบรับสายท่ามกลางสายตาสนใจใคร่รู้ของเพื่อนๆ

“ว่าไงโต้ง” เมื่อนักร้องนำรับสาย บรรดาสมาชิกก็รู้ทันทีว่าเป็นใคร จึงหันไปสนใจเรื่อง
อื่นๆแทน เช่น พัฒนาการด้านดนตรีของแต่ละคน ว่าก้าวหน้าไปถึงไหนแล้ว

“เย็นนี้หรอ ........ ไม่ได้แล้วล่ะ พี่อ๊อดสั่งให้ซ้อมหนัก ....
จนกว่าจะเสร็จมินิคอนฯวันเสาร์นั่นแหละ ....
ได้ดิ .... ที่ซอว์เรคคอร์ดเหมือนเดิม ...
อือ.... แล้วเจอกัน ... จ้า ..... เดี๋ยวโต้ง
คือว่า......” มิวเล่าเรื่องรูปถ่ายให้โต้งฟัง ชายหนุ่มตกใจไม่น้อย แล้ววางสายไป

“มรึงเล่าเรื่องรูปนั่นให้โต้งฟังเหรอวะ” ต่อถามเพื่อน
“อือ...กรูอยากให้โต้งระวังตัวไว้บ้าง” มิวตอบ

“ก็ดีแล้ว แต่ไอ้โต้งอะ ไม่เท่าไหร่ ที่สำคัญ มรึงน่ะแหละ หัดสอดส่องซะบ้าง ว่ามีใคร
แอบมอง หรือสนใจมรึงเป็นพิเศษรึเปล่า โดยเฉพาะ พวกที่มีกล้องถ่ายรูป” เอ๊กซ์บอก

“ขนาดนั้นเลยเหรอวะ” มิวถาม

“เออดิ รึมรึงอยากให้มีรูปโผล่มาอีก” แวนว่าเข้าให้

“ก็....อือ... กรูเข้าใจแล้ว”

“กรูรู้ ว่ามรึงอาจจะไม่สะดวก แต่อดทนหน่อยเถอะวะ” เอ็มพูดขึ้นบ้าง

“ใช่พี่มิว ไว้เราค่อยหาทางสืบดูว่า ใครมันมาถ่ายภาพ แล้วคิดยุบวงเรา” ปิงปองเสนอ

“ว่าแต่.. พวกเพื่อนๆเราอะ รู้เรื่องรึยังวะปิง” นักร้องนำถามคนเป่าแซ็ก

“ยังอะครับพี่มิว ผมยังไม่ได้บอกซักคน กะให้พี่อ๊อดแกบอกเอง กลัวพวกนั้นจะเครียด”

“อือ...ก็ดีเหมือนกัน พวกม.ห้าก็ใกล้สอบแล้ว พวกพี่อะ ไม่เป็นไรหรอก ได้ที่เรียนกัน
หมดทุกคนแล้ว คงไม่ต้องพะวงเรื่องผลสอบนัก” แวนบอกกับปิงปอง

“งั้นไปเหอะ จะหมดเวลาพักแล้ว ไว้เลิกเรียนแล้วเจอกันหน้าตึก” เอ็มพูดจบก็ลากแวนที่
เรียนห้องเดียวกันออกจากห้องดนตรี แล้วไปขึ้นตึกวิทยาศาสตร์ ส่วนมิว เอ๊กซ์ ต่อ ก็เดิน
ไปเรียนอีกตึกนึง ทิ้งให้ปิงปองปิดไฟและประตูห้องซ้อมดนตรีอยู่คนเดียว ตามประสา
รุ่นน้อง ที่ต้องทำหน้าที่แบบนี้เป็นประจำ


ตกเย็น เหล่าสมาชิกออกัสก็ไปซ้อมดนตรีและร้องเพลงที่ซอว์เรคคอร์ด พี่หลิวตามมา
ดูแลเหมือนเช่นเคย โดยมีโต้ง ตามมานั่งฟังมิวซ้อมด้วยอีกคน ขณะที่พี่อ๊อดยังมาไม่ถึง

“วันนี้อยู่ดึกได้เหรอโต้ง” พี่หลิวเริ่มบทสนทนาโดยเป็นฝ่ายถามโต้งก่อน

“เปล่าครับ กะว่าทุ่มนึงก็จะกลับบ้านแล้วครับ” โต้งตอบออกไป

“แล้วเรื่องเล่นคีย์บอร์ดเพลงหลับตาให้มิวฟังวันเสาร์นี้ล่ะ ถึงไหนแล้ว”

“พี่หลิวรู้เรื่องนี้ด้วยเหรอครับ เอ๊กซ์คาบเรื่องมาบอกแน่เลย”

“ก็ใช่... ว่าแต่ เราเล่นได้แค่ไหนล่ะ เป็นยังไงบ้าง มีอะไรให้พี่ช่วยมั้ย”

“ก็พอได้แล้วครับ เสียดาย ที่บ้านผมไม่มีเครื่องดนตรีพวกนี้เลย”

“เอาของพี่ไปซ้อมก่อนมั้ย”

“พี่หลิวมีด้วยเหรอครับ”

“พี่มีอิเล็กโทนอยู่ชุดนึง ไม่ค่อยได้ใช้ ไหนๆโต้งก็จะเล่นเพลงให้มิวฟัง เอาของพี่ไปซ้อม
ดูก่อนก็ได้ อยู่ในรถน่ะ ไว้ขากลับพี่ไปเอาให้”

“ขอบคุณครับพี่หลิว” โต้งขอบคุณพี่หลิว แล้วไปดูมิวซ้อมอีกสามเพลง



เกือบหนึ่งทุ่ม พี่หลิวสั่งพักวงออกัส นักร้องนำรีบเดินมาคุยกับคนรักที่นั่งฟังบนโซฟา
โต้งลุกขึ้นรับ พร้อมกับหยิบกระเป๋าเป้ขึ้นสะพายหลัง

“อ้าว!! จะกลับแล้วเหรอโต้ง” มิวเอ่ยถาม

“อือ..วันนี้แม่บอกจะรอทานข้าวตอนสองทุ่ม เราคงต้องกลับก่อนแล้วล่ะ”

“แล้วโต้งจะกลับไงอะ ให้มิวไปรอรถเป็นเพื่อนปะ”

“ไม่เป็นไรมิว มิวพักเหอะ ซ้อมมาเหนื่อยๆ” โต้งพูดจบ ก็หยิบขวดน้ำที่เตรียมไว้ส่งให้มิว

“ขอบคุณนะ” มิวรับมาแล้วยิ้มตอบอย่างดีใจ

“เดี๋ยวพี่ออกไปส่งโต้งข้างนอกเอง มีใครอยากได้อะไรมั้ย” พี่หลิวบอกเด็กๆ

“เลย์เขียวครับ” “ก๊อบกอบฮะ” เสียงของแวนและปิงปองแทรกขึ้นมา

“งั้นพักกันก่อนนะ เดี๋ยวพี่มา” พี่หลิวเดินเปิดประตูออกไป

“งั้นเราไปก่อนนะมิว เดี๋ยวก่อนนอนจะโทรหา”

“อือ” มิวโบกมือลาโต้ง ที่โบกกลับแล้วเดินตามพี่หลิวไป จากนั้น นักร้องหนุ่มก็ไป
นั่งคุยกับเพื่อนๆและน้องๆคอรัสที่วันนี้ร้องได้ดีอย่างน่าชื่นชม



ด้านหน้าตึกซอว์เรคคอร์ด พี่หลิวหยิบอิเล็กโทนส่งให้กับโต้ง ชายหนุ่มรับมาถือไว้อย่าง
ทะนุถนอม และประคองอย่างดีจนดูเก้งๆกังๆ

“พยายามเข้าล่ะ ทุกคนเอาใจช่วย”

“ขอบคุณครับพี่หลิว ผมจะทำให้ดีที่สุดเลย”

“อะ รถแท็กซี่มาพอดี โต้งไปเถอะ เดี๋ยวแม่คอยนาน”

“ครับ งั้นผมไปแล้วนะครับ สวัสดีครับ” โต้งบอกลา แล้วเดินไปขึ้นรถแท็กซี่สีฟ้า
ที่จอดคอยอยู่เมื่อครู่

พี่หลิวเดินออกไปทางด้านซ้ายของอาคาร มุ่งหน้าไปยังร้านสะดวกซื้อที่ห่างไปหนึ่ง
ช่วงตึก สายตาเหลือบไปเห็นผู้ชายใส่หมวกสีดำที่ยืนด้อมๆมองๆอยู่ที่โคนต้นไม้ริม
ถนน คล้องกล้องถ่ายรูปอยู่ที่คอ มือขวาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากำลังจะกดหาใคร
ซักคน เธอแกล้งเดินเลียบชายถนน ตั้งใจจะไปสังเกตชายคนนั้นใกล้ๆ แต่เหมือนนาย
คนนั้นจะรู้ตัว แกล้งเดินหลบไปอีกทางและไปขึ้นรถเก๋งสีดำที่จอดอยู่ไม่ห่างนัก หลิว
จึงตัดสินใจเดินไปยังร้านสะดวกซื้อตามที่ตั้งใจไว้แต่เดิม


“ครับ....เปล่าครับ นายนั่นกลับไปคนเดียวครับ...ไม่ได้ตามมาด้วยครับ
ยังอยู่ในตึกเลยครับ สงสัยยังไม่เลิกซ้อม จะให้รอต่อไปมั้ยครับ
ครับ ..... ครับ..... ได้ครับ...” ชายแปลกหน้าคุยโทรศัพท์ในรถเก๋งสีดำ หลังจากวางสาย
ก็เคลื่อนรถออกไปจากตรงนั้นทันที


หลิวเดินกลับมาจากร้านสะดวกซื้อ แต่ไม่พบชายแปลกหน้าคนนั้นแล้ว เธอรีบเดินกลับ
เข้าไปในตึก เล่าเรื่องให้มิวกับเอ๊กซ์ ต่อ แวน เอ็ม และปิงปองฟัง จากนั้นก็โทรรายงาน
พี่อ๊อดที่โทรมาบอกหลิวว่าจะไม่เข้ามาเพราะท้องเสียกะทันหัน



....



....






“จริงเหรอครับพี่หลิว” เสียงมิวอุทาน เมื่อได้ยินสิ่งที่พี่หลิวเล่าให้ฟังหลังซ้อมเสร็จ

“อือ...แต่ท่าทางนายคนนั้น จ้องจะเล่นงานเรื่องมิวกับโต้งมากกว่านะ” พี่หลิวบอก

“ยังไงหรอครับ” เอ๊กซ์ถามขึ้นบ้าง

“ก็...พอรู้ว่าโต้งกลับไปก่อน ไม่ได้กลับพร้อมมิว ก็ออกรถขับไปเลย”

“ใครมันจะมาสนใจเรื่องมรึงกับโต้งนักหนาวะ คิดออกมั้ยไอ้มิว” นายคิ้วหนาสะกิดถาม
เพื่อนสนิท นักร้องนำวงออกัส

“กรูจะรู้มั้ยเนี่ย ช่างเหอะ กรูเพลียแล้ว อยากกลับบ้านไปนอน” มิวตัดบทแล้วคว้า
กระเป๋าเดินออกไปเรียกรถแท็กซี่หน้าตึก โดยไม่สนใจเพื่อนๆที่เดินตามมาทีหลัง

“แล้วพี่หลิวจะบอกพวกเพื่อนๆผมกับน้องๆเมื่อไหร่ล่ะครับ” ปิงปองเอ่ยถามหลิว

“ก็คงแล้วแต่พี่อ๊อดมั้ง หรือไม่ก็อาจจะพรุ่งนี้เลยก็ได้”

“ก็ดีครับ ผมไม่อยากปกปิดน้องๆ วงเดียวกัน อยากให้รับรู้และแก้ปัญหาไปด้วยกัน
น้องๆก็โตแล้ว อย่างเจ้าปิงปองไงครับ ช่วยงานวงได้เยอะเลย” แวนพูด

“ช่ายครับ เผื่อซักวัน ไม่มีพวกผม น้องๆจะได้เดินด้วยตัวเองได้” ต่อพูดอีกคน

“ทำไมวะ” เอ๊กซ์ถามเพื่อน

“มรึงก็ดูกรูกับไอ้ต่อดิ หน้าเจ๊กแบบนี้ เตี่ยพวกกรูก็ไม่ต่างจากป๊าไอ้มิวนักหรอก”

“พวกพี่ๆหมายความว่า...” ปิงปองเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงซึมๆเล็กน้อย

“ก็ไม่แน่หรอก ถ้าทำไปพร้อมๆกันได้ เตี่ยก็คงไม่ว่าไรมั้ง” แวนบอกรุ่นน้อง

“พี่โชคดี ที่ยังมีพี่ชายน้องชายอยู่ในบ้าน ไม่เหมือนไอ้มิว ลูกชายคนเดียว” ต่อบอก

“แล้วจะกลับรึยังล่ะ ดึกแล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้กรูตื่นไปลอกการบ้านไม่ทัน” เอ๊กซ์บอก

“วิชาห่าอะไรวะ กรูไม่เห็นรู้เรื่อง” มือเบสเอ่ยถามมือกีตาร์เพื่อนร่วมห้อง

“วิชาประวัติศาสตร์ของป้าแน่งน้อยไงวะ มรึงเสร็จรึยังล่ะ ให้กรูยืมลอกบ้าง”

“ฮ่าฮ่าฮ่า ช้าไปแล้วเว้ย ไอ้มิวมันเอากลับไปลอกที่บ้านแล้ว ไม่น่าล่ะ ถึงรีบกลับ”

“โหยยยย ไอ้เชี่ยมิวเอ๊ย ร้ายนัก แล้วนี่กรูจะลอกใครล่ะเนี่ย”

“งั้นมรึงไปค้างบ้านกรู เดี๋ยวกรูสอนให้” ต่อชวนเพื่อน

“ไม่เอาอะ ไปค้างบ้านไอ้มิวดีกว่า ได้ลอกด้วยกัน แล้วพรุ่งนี้เช้าก็ได้เจอหญิงด้วย”

“ไอ้ห่า ที่แท้ก็อยากเจอหน้าสาว รีบไปเลยมรึง แล้วพรุ่งนี้อย่าลืมเอาการบ้านกรูมาด้วยนะ”

“คร้าบบบบบ เจ้านายยยยยย ไปแล้วครับ” เอ๊กซ์พูดจบก็รีบเผ่นออกไปตามมิว




...........




...........






Create Date : 21 มีนาคม 2553
Last Update : 21 มีนาคม 2553 7:29:50 น.
Counter : 503 Pageviews.

1 comment
ตอนที่ 21 +++ บทลงโทษและ...อาย +++




+++++ต่อเรื่อง+++++





ร่างสูงที่นอนอยู่เบื้อง
ล่างเหมือนจะกำลังรอปฏิกิริยาตอบสนองของอีกฝ่ายซึ่งนิ่งอยู่ซักพัก และแล้วร่างโปร่งก็
ค่อยๆโน้มใบหน้าลงมาด้านล่างเพื่อจุมพิตคืนบ้าง เรือนโอษฐ์รูบกระจับสีชมพูของมิว ค่อยๆ
โน้มเข้าไปใกล้ชิด ริมฝีปากอิ่มชวนพิสมัยของโต้ง ใกล้เข้าไปเรื่อยๆ จนเกือบจะ.........


“มิว.....โต้ง” หญิงสาวอุทาน


มิวและโต้งหันไปมองเจ้าของเสียงที่ยืนอยู่ตรงประตู หญิงจ้องมองชายหนุ่มทั้งสอง
ที่กำลังนอนเกยกันอยู่ตรงพื้น สีหน้าตื่นๆและตระหนกไม่น้อย ถึงตนจะรู้ว่ามิวและโต้ง
เป็นอะไรกัน แต่ก็ไม่เคยเห็นภาพแบบนี้มาก่อน ชายหนุ่มผู้เป็นรักแรกของตน กำลังนอน
จูบอยู่กับชายหนุ่มอีกคน ถึงจะทำใจได้มากแล้ว แต่ความรู้สึกข้างในก็ยังสะท้อนความเจ็บ
ปวดรวดร้าวออกมา ยืนตะลึงซักพัก หญิงก็หันหน้าหนีและเดินกลับเข้าไปในบ้านตน


“นี่พวกมรึง......เชี่ยเอ๊ยยย!!! “ เอ๊กซ์ว่าเพื่อนทั้งสอง ด้วยความอาย ทั้งมิวและโต้งต่าง
รีบลุกขึ้นยืน และทำหน้านิ่งไม่กล้าสบตาเอ๊กซ์

“กรูรู้ว่ามรึงรักกัน” เอ๊กซ์เริ่มพูดก่อน

“ก็.....” มิวพยายามจะพูดบ้างแต่ถูกขัดซะก่อน

“มรึงจะจูบกัน กรูไม่ว่า แต่มรึงอย่าทำต่อหน้าหญิงได้มั้ยวะ”

“คือว่า....” โต้งจะพูดบ้างแต่ก็

“หญิงเค้ายังตัดมรึงไม่ขาดจริงๆหรอก มรึงก็น่าจะรู้”

“กรูขอโทษ” มิวพูด

“เราขอโทษ” โต้งพูดด้วยอีกคน

“เอาเหอะ พวกมรึงไม่ได้ทำอะไรผิด กรูก็แค่....ช่างเหอะ กรูไปดูหญิงดีกว่า” เอ๊กซ์พูดจบ
ก็เดินออกไปอีกคน

“ขอโทษนะมิว” โต้งพูดกับมิวก่อน

“โต้งไม่ได้ผิดซะหน่อย”

“ก็เรา”

“ถ้าจะผิด ก็ผิดที่เราต่างหาก ที่ไปทำให้หญิงหลงรัก”

“แต่หญิงเค้าก็เข้มแข็งขึ้นตั้งเยอะนะ คอยช่วยเราสองคนตลอด”

“นั่นแหละ ที่ทำให้เรารู้สึกผิดในบางครั้ง”

“ทำไมหรอ”

“ก็ลึๆแล้ว หญิงเค้าก็คงต้องซ่อนความเจ็บปวดเอาไว้เหมือนกัน เรายิ่งให้เค้าช่วยเท่าไหร่
ก็เหมือนกับทำร้ายเค้ามากขึ้นเท่านั้น”

“มิวถึงเชียร์เอ๊กซ์นักใช่มั้ย”

“อือ.. เพราะถ้าหญิงได้ค้นพบความรักที่เหมาะกับตัวเองเมื่อไหร่ เค้าคงตัดใจจากเราได้
หมดซักที และคงไม่ต้องเจ็บปวดเพราะเราอีก” สีหน้านักร้องหนุ่มซึมลง เหมือนคนรู้สึก
ผิด
“ทำไมนะโต้ง .... ทำไมนะ”

“ไม่เป็นไรมิว” โต้งใช้แขนขวากอดเอวของมิว ดึงร่างโปร่งเข้ามาแนบตัวเอง แล้วใช้มือขวา
ลูบไปตามศีรษะของมิวที่เข้ามาอิงกับไหล่ตน
“เดี๋ยวมันก็ดีขึ้นเอง” โต้งบอกคนรัก


........



........








หลังจากอาหารค่ำผ่านไปอย่างหวานขม นักร้องหนุ่มเจ้าของบ้านที่กำลังเป็นห่วงเพื่อน
สาวคนสนิทบ้านตรงข้ามที่มาแอบชอบตน กับเพื่อนนักกีตาร์ร่วมชั้นเรียนคนสนิทที่ออก
ไปตาม ทำให้ไม่ยอมไปไหน นอกจากรออยู่ที่เก้าอี้ขาวหน้าประตูบ้าน สองตาคอยชะเง้อ
มองไปที่บ้านหลังตรงข้ามเป็นระยะๆ

“เข้าบ้านเถอะมิว หญิงไม่เป็นไรหรอก” ร่างสูงที่นั่งข้างๆชวนเข้าบ้าน

“แต่ว่า....”

“ถ้าเอ๊กซ์เป็นคนที่ใช่สำหรับหญิง เราเชื่อว่ามันต้องปลอบใจหญิงได้แน่”

“แต่ว่า....”

“มิวกำลังไม่สบายนะ ห่วงตัวเองก่อนเถอะ”

“แต่ว่า....”

“มิว”

“อะ...ก็ได้”

“งั้นรีบขึ้นห้องเลย แล้วถอดเสื้อรอไว้ด้วย”

“นี่แปลว่าโต้งจะเช็ดตัวให้เราจริงหรอ”

“ก็จริงอะดิ หรือมิวไม่ยอมให้เราทำให้”

“ไม่ใช่อย่างนั้น ก็แค่..รู้สึก เขินนิดหน่อยเท่านั้น”

“เขินเราหรอ”

“อือ”

“ทำไมล่ะ”

“ก็ตั้งแต่โตมา เรายังไม่เคยถอดเสื้อต่อหน้าใครเลยนะ”

“แล้วตอนที่มิวเรียน ร.ด. ล่ะ”

“ตอนนั้นมีแต่ไอ้เอ๊กซ์ แล้วก็แค่ครั้งเดียวด้วย”

“นี่แปลว่าเอ๊กซ์เคยเห็นมิวถอดเสื้อแล้วอะดิ”

“ถามแบบนี้ โต้งหึงหรอ”

“ไม่ได้หึง...แค่อิจฉานิดเดียวเอง”

“เวลาโต้งทำหน้าอิจฉาคนอื่นนี่ ก็หล่อดีเหมือนกันนะ”

“ไม่ต้องมาเย้าเราเลยมิว ตอนมิวเขินก็น่ารักเ หมือนกันแหละ แก้มเนี้ย ชมพูเชียว”
พูดไม่ขาดคำโต้งก็แกล้งมาจุ๊บแก้มมิวที่นั่งเผลออยู่ข้างๆ ลืมไปว่าทั้งคู่นั่งอยู่หน้าบ้าน

“เอาเปรียบเราตอนเผลออีกแล้วนะโต้ง ไป..เข้าบ้านเลย เล่นอะไรไม่รู้ หน้าบ้านก็ไม่
เว้น เดี๋ยวก็มีใครเอาไปเม้าท์หรอก”

“มิว” จู่ๆเสียงของหยิงสาวก็ดังขัดจังหวะ ทำให้คนถูกเรียกชื่อหันไปมอง

“หญิง ... เอ่อ ... คือ ...”

“ขอคุยด้วยแป๊บนึงดิ ขอตัวมิวเดี๋ยวนะโต้ง”

โดยไม่รอให้โต้งตอบ หญิงสาวเดินไปคว้ามือมิวแล้วพาเดินเข้าไปในบ้านของตน ทิ้ง
ให้ร่างสูงยืนมองตาค้าง

“อะไรเหรอหญิง” นักร้องหนุ่มเอ่ยปากก่อน

“เปล่า....ไม่มีอะไร”

“แล้ว....” มิวไม่ทันเอ่ยปากถามต่อ ปรากฏวาหยิงสาวกลับยื่นจมูกมาหอมแก้มเบาๆ

“มันแปลว่าอะไรเหรอหญิง”

“ตราบใดมีรักก็ย่อมมีความหวัง”

“แล้วหญิงยังจะหวังอยู่อีกเหรอ”

“อือ...”

“แต่ว่า.....”

“มิวเป็นเพื่อนที่ดีของหญิงนะ”

“ฮึ.... แล้วเมื่อกี้นี้”

“ความหวังครั้งนึงของเราไง”

“หญิงหมายความว่าไงเนี่ย”

“ก็....เมื่อก่อน หญิงเคยคิดอยากให้มิวรักหญิง แล้วก็เคยแอบหวังว่าจะได้หอมแก้มมิว
ซักครั้งนึง ตอนนี้ ความหวังนั้นก็เป็นจริงแล้วล่ะ”

“สรุปว่าหญิงกับเราจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันตลอดไป”

“ใช่”

“แล้วไอ้เอ๊กซ์ล่ะ”

“นายนั่นก็เป็นความหวังใหม่ของหญิงไง”

“แปลว่าหญิงเริ่มจะชอบเจ้าเอ๊กซ์จริงๆแล้ว”

“ไม่รู้ดิมิว แต่หมอนั่น ทำให้หญิงเข้าใจอะไรบางอย่าง”

“อะไรหรอ”

“บางครั้ง ความรักก็ทำให้เราเป็นคนโง่”

“คุ้นๆแฮะ ประโยคนี้”

“แต่เราก็สามารถเรียนรู้จากความโง่ได้ และสามารถโง่ได้หลายครั้ง”

“แล้ว...”

“เมื่อหญิงได้ผ่านการเรียนรู้ความรักไปหนึ่งบทเรียนแล้ว หญิงก็พร้อมที่จะเริ่มเรียนรู้มัน
อีกบทเรียน และพร้อมจะโง่อีกครั้ง”

“กับไอ้เอ๊กซ์”

“ใช่.....และเมื่อเราเข้าใจมัน เข้าใจตนเอง เมื่อนั้น เราก็จะไม่โง่อีก และมีความสุขกับมัน”

“หญิงนี่เก่งเนอะ หญิงผ่านมันได้ดีกว่ามิว”

“ไม่หรอก นั่นเพราะมิวมีโต้งคนเดียว และโต้งก็มีมิวคนเดียว และพวกมิวก็พร้อมจะมีแค่
กันและกัน”

“ขอบคุณนะหญิง”

“ขอบคุณอะไรมิว”

“ขอบคุณที่หญิงเข้มแข็ง ขอบคุณที่เป็นเพื่อนที่ดีของเราไง”

“อือ... งั้นหญิงไปส่งเอ๊กซ์ที่หน้าบ้านนะ มิวกลับไปหาโต้งเถอะ”

“เอ่อ...หญิง”

“ว่าไงมิว”

“แล้วหญิงจะให้เราบอกโต้งเรื่อง....” มิวจับแก้มตัวเอง

“อ่อ...ป่านนี้เอ๊กซ์บอกโต้งแล้วมั้ง”

“ไอ้เอ๊กซ์รู้”

“อือ”

“แล้วมันไม่ว่าหรอ”

“ไม่...เอ๊กซ์บอกว่า ถ้าหญิงได้ทำแบบนั้น จะช่วยให้หญิงปลดปล่อยได้ดีขึ้น”

“แล้วโต้งจะไม่ว่าเหรอหญิง”

“แล้วมิวคิดว่าไงล่ะ”

“ไม่รู้ดิ ไม่รู้เหมือนกัน”

“งั้นมิวก็ต้องลุ้นคำตอบเอาเองแล้วล่ะ” พูดจบหญิงก็จูงมิวไปส่งคืนโต้งที่กำลังยืนคุย
อยู่กับเอ๊กซ์ เพื่อนสนิทที่สุดของมิว

มิวเดินกลับมาหาโต้ง บอกลาเพื่อนทั้งสอง แล้วเดินขึ้นชั้นบนไปพร้อมโต้ง

“มิว” เสียงโต้งเอ่ยเรียกเมื่อทั้งคู่เดินถึงห้องนอนมิว

“ว่าไงโต้ง”

“มีอะไรจะสารภาพรึเปล่า”

“เรื่องไหนล่ะ”

“อย่ามาทำเนียน ที่แก้มมิวมีรอยลิปสติกอยู่นะ”

“ก็......โต้งโกรธหรอ”

“อือ....โกรธมากด้วย”

“ก็....ไม่มีอะไรซักหน่อย”

“จะไม่มีอะไรได้ไง ไม่รู้แหละ คืนนี้ มิวต้องถูกลงโทษ”


....


.....







นักร้องหนุ่มเจ้าของบ้าน ปล่อยให้ชายหนุ่มร่างสูงประคองร่างโปร่งของตนขึ้นไปชั้นบน
อย่างช้าๆ ในใจก็ตุ๊มๆต่อมๆว่าคนที่เดินเคียงไปกับตนนั้น กำลังคิดอะไรอยู่ในใจกันแน่

“โต้งจะทำโทษเราจริงๆเหรอ” มิวถามก่อน

“ก็จริงอะดิ ก็มิวปล่อยให้หญิงหอมแก้มน่ะ รู้มั้ย ว่าเราหึง”

“แต่ไอ้เอ๊กซ์ก็น่าจะเล่าให้โต้งฟังแล้วนี่นา ทีมัน ยังไม่เห็นหึงหญิงเลย”

“ก็นั่นมันเอ๊กซ์ แต่นี่โต้ง คนละคนกัน แล้วจะเหมือนกันได้ไง”

“นั่นดิ ไอ้เอ๊กซ์ใจกว้างกว่าอีก”

“มิวกำลังชมผู้ชายอื่นต่อหน้าเรานะ”

“เปล่าซะหน่อย แค่พูดออกมาเฉยๆ”

“เนี่ย แบบเนี้ย ยิ่งต้องลงโทษให้หนัก”

“แต่ว่า......” มิวมองหน้าโต้งให้ชัดขึ้น

“มองอะไรเหรอมิว”

“เวลาโต้งโมโหเนี่ย หน้าเข้มไปอีกแบบเนอะ น่ามองดีเหมือนกัน”

“พยายามเปลั่ยนเรื่องอีกแล้ว แน่ะ ว่าแล้วบังยิ้มอีก”

“ก็เรารู้อะดิ ว่าโต้งไม่ได้โกรธซกะนิด แค่ทำหน้าเข้มขู่คนป่วยเท่านั้นเอง”

“ก็..... แต่เราก็มีหึงจริงๆนะ”

“ขอบใจนะ...”

“เอ๋....”

“ขอบใจที่หึงหวงเราไง มันทำให้รู้ว่า เรามีค่ากับโต้งมากแค่ไหน”

“อือ... แน่ล่ะ กับเรานะ มิวมีค่าที่สุด เท่ากับพ่อและแม่เลยล่ะ”

“จริงดิ งั้นเดี๋ยวโต้งช่วยเช็ดตัวให้คนที่มีค่าที่สุดด้วยนะ” แววตาสีน้ำเงินของมิว
จ้องทะลุแววตาสีน้ำตาลของโต้ง ออดอ้อนเล็กน้อย

“คร้าบผม งั้นเชิญคุณหนูมิวเข้าไปแก้ผ้ารอในห้องเลยนะขอรับ เดี๋ยวบ่าวโต้งจะไปเตรียม
น้ำอุ่นกับผ้าขนหนูนะขอรับ”

“แก้ผ้าหรอ ทุกชิ้นเลยปะ” มิวแกล้งย้อนถามกวนๆ

“ก็เท่าที่อยากจะถอดนั่นแหละครับ”

“แล้วคนเช็ดล่ะ อยากให้ถอดแค่ไหน”

“ก็..... ไม่รู้ดิ ไม่รู้เหมือนกัน” โต้งพูดไปก็เขินหน้าแดง อมยิ้มเขินเล็กน้อย แล้วหันตัวหนี
พร้อมกับเดินไปทางห้องน้ำ ทิ้งให้นักร้องหนุ่มอมยิ้มไม่หุบที่สามารถยั่วเขินคนรักได้

ร่างโปร่งค่อยๆถอดเสื้อและกางเกงขายาวของตนออก ยามที่ชายเสื้อผ่านผ้าปิดแผล สีหน้า
ของมิวก็จะแปล๊บออกมาด้วยความเจ็บอยู่บ้าง เมื่อถอดกางเกงออกจนเหลือแต่กางเกง
บ๊อกเซอร์ผ้าฝ้ายสีขาวแล้ว ชายหนุ่มก็มานอนรอบนที่นอนฝั่งประจำของตน เวลาไหลผ่าน
ไปสักพัก ร่างสูงของโต้งก็เดินเข้ามาในห้องพร้อมผ้าขนหนูสีเขียวอ่อนและกะละมังใส่น้ำอุ่น


“แก้ผ้ารอแบบนี้เลยเหรอมิว” โต้งถาม

“ก็โต้งสั่งมาว่าให้เราถอดเสื้อผ้าออกนี่ เร็วดิ ง่วงแล้ว”

“ทำเป็นสั่งเชียวนะครับคุณหนู มาเลย เดี๋ยวจะจัดการซะให้เข็ด”

โต้งค่อยๆเอาผ้าซับน้ำอุ่นในกะละมัง แล้วเช็ดบนใบหน้าของมิวที่หลับตาพริ้มคอยอยู่ก่อน
จากหน้าผาก ไล่มาตามลำดับผ่านจมูก แก้ม คาง และคอ ชายหนุ่มใช้มือข้างที่ว่างเชยคอ
ของร่างท่ำลังนอนขึ้นมา แล้วใช้นิ้วมือไล้ไปเรื่อยๆ ค่อยๆลูบค่อยๆเกา ทำเอาร่างที่นอน
อยู่สั่นระริกเป็นระยะเพราะความจี้ กึ่งหัวเราะออกมาอย่างน่าเอ็นดู

“ไม่เอาโต้ง เราไม่ใช่แมวนะ ไม่เอา มันจั๊กจี๋”

“ยัง ยังไม่พอ เดี๋ยวต้องเจอหนักกว่านี้” พูดจบ โต้งก็ใช้มือไปบีบจมูกของมิว แล้วแกล้งดึง
ทำเอามิวเจ็บนิดๆแต่ก็เพลินชอบกล

เปลี่ยนจากใบหน้าและลำคอ โต้งค่อยๆหันมาเช็ดลำตัวของมิวแทน คราวนี้โต้งตั้งใจเช็ด
โดยไม่ได้แกล้งมิวอีก เริ่มจากเช็ดแขนทั้งสองข้าง หน้าอก สีข้างและด้านหลัง ทันทีที่ผ่าน
บริเวณแผลผ่าตัดของมิว โต้งก็ลูบเบาๆด้วยความสงสาร ความรัก ความยกย่อง ความรู้สึก
ภาคภูมิใจที่รู้ว่ามิวเสียสละเพื่อครอบครัวตนขนาดนี้

“เจ็บรึเปล่ามิว” โต้งถามอย่างห่วงใย

“ไม่แล้วแหละ แต่รู้สึกดีขึ้นต่างหาก ยังกะโต้งเป็นหมอวิเศษแน่ะ”

“หรอ งั้นมาให้คุณหมอเช็ดตัวต่อนะ” แล้วโต้งก็ค่อยๆเช็ดตัวให้มิวจนเสร็จ

“เสร็จยังอะโต้ง” มิวถาม เมื่อเห็นว่าโต้งเช็ดจนทั่วตัวแล้ว

“ยัง อีกนิดนึง” โต้งแกล้งหลอกมิว พลางใช้มือลูบไล้หน้าอกนักร้องหนุ่ม

“จะทำอะไรอีกเนี่ย”

“บทลงโทษต่อไปไง”

“อะไรล่ะ”

โต้งค่อยๆเล่นปูไต่บนหน้าอกมิว ทำเอามิวจั๊กจี๋มาก แต่เพราะเจ็บแผลจึงหนีไม่ได้ คงได้
แต่ฝืนปล่อยให้โต้งแกล้งต่อไป บางครั้ง มือซุกซนของโต้งก็ค่อยๆลูบเนียนๆผ่านทรวง
อกของมิว ทำเอาขนลุกซู่เพราะความสยิวเหมือนกัน

“พอแระ ไปอาบน้ำบ้างดีกว่า” โต้งพูดจบก็ทำท่าหอมหน้าอกมิว แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ หันมา
จุมพิตที่บริเวณแผลผ่าตัดของมิวแทน

“ขอบคุณนะ” มิวบอก

“ขอบคุณมิวต่างหาก เดี๋ยวมิวแต่งตัวเองนะ เราไปอาบน้ำก่อน”

“อือ” จากนั้นมิวก็ค่อยๆมองร่างสูงเดินออกไป แล้วลุกมาแต่งตัว


ชายหนุ่มสองคนนอนอิงกันอยู่บนเตียงที่ปูผ้าสีขาว ภายใต้อากาศที่เย็นเยียบของปลาย
ฤดูหนาว ทั้งคู่แอบอิงร่างสูงและร่างโปร่งของพวกตนไว้ใต้ผ้าห่มสีเขียวหอมสะอาด ที่
ป้าอรดูแลให้เป็นประจำ


ด้วยความที่เหนื่อยมาทั้งวัน ทำให้ทั้งคู่หลับตาลงและหลับสนิทไปในเวลาไม่นาน














เช้าวันอาทิตย์ เจ้าของบ้านลุกจากที่นอนขึ้นมาก่อนชายหนุ่มที่นอนข้างๆ ความที่โต้งต้อง
อดตาหลับขับตานอน อ่านหนังสือจนดึกดื่นอยู่หลายคืน ทำให้เวลาหลับ จึงหลับยาวเป็น
พิเศษ สอบเสร็จแล้ว ภาระทางด้านการเรียนคงลดลง แต่ภาระทางใจยังคงดำเนินต่อไป


เพราะเรื่องการผ่าตัดของมิว ทำให้พี่หลิวต้องบอกกับพี่อ๊อด คุณเอ และคุณบี วันนี้ พี่อ๊อด
จึงสั่งพักวงออกัสเพื่อให้มิวได้พักผ่อน แต่เพราะคนอื่นๆในวงยังอยาซ้อมต่อ พี่อ๊อดจึง
อนุญาตให้คนอื่นๆมาซ้อมที่ซอว์เรคคอร์ดได้ เหลือมิวที่ได้พักคนเดียว


เจ้าของบ้านเดินตามหาป้าอรที่ชั้นล่าง แต่หญิงชรากลับไม่ปรากฏตัวให้เห็น มิวจึงออกไปดู
ที่หน้าบ้าน เห็นป้าอรกับหม่าม้าของหญิงกำลังจัดกระเป๋าใส่รถอยู่


“ป้าอรจะไปไหนเหรอครับ” มิวเอ่ยถาม

“หนูตื่นแล้วเหรอลูก พอดี เถ้าแก่เนี้ย แกชวนป้าไปไหว้พระเก้าวัดน่ะลูก”

“หรอครับป้า งั้นทำบุญให้สนุกนะครับ”

“จ้ะ แต่นี่ป้ายังไม่ได้ทำอาหารให้หนูทานเลยนะ”

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวมิวทำอะไรทานเองได้”

“นั่นสินะ หนูโตแล้ว แถมตอนนี้ก็มีหนูโต้งอยู่เป็นเพื่อนด้วย”

“ครับป้า” คำพูดป้าอร ทำเอามิวยิ้มเขินเหมือนกัน

“แล้วใครจะขับรถให้ล่ะครับ”

“อาสมเกียรติอีอาสาขับไปให้น่ะลูก พวกป้าคงจะกลับมาเย็นๆนะ”

“ครับป้าอร”

“อาหญิง ลื้อก็ช่วยดูแลอามิวอีกคนด้วยนะ อียังไม่สบายอยู่” หม่าม้าสั่งหญิงที่เดินตามออกมา

“อั๊วะรู้แล้วน่าอาม้า มิวเค้าเป็นเพื่อนหญิงนะ” หญิงพ้อแม่ของตน

“ดูแลกันดีๆล่ะ ระวังจะกลายเป็นรักสามเศร้า” เฮียพูดกระทบหญิงเช่นเคย

“เฮียนี่ก็ยังปากเสียไม่เลิกนะ ขนาดเจอแฟนเก่าแล้วแท้ๆ” หญิงว่ากลับ

“ลื้อสองคนนี่นะ ทะเลาะกันไม่อายเจ๊อรอีบ้าง ไปเหอะ เดี๋ยวสาย” จากนั้นทั้งสามคน
ก็ขึ้นรถ แล้วเฮียก็สตาร์ตรถ ขับออกไปปากซอย


“มิวหิวรึยังล่ะ” หญิงถาม

“ยังหรอก ไว้รอโต้งตื่นก่อน”

“นี่โต้งยังไม่ตื่นหรอ”

“อือ...ยังหลับอยู่เลย”

“คงนอนดึกมาหลายวันน่ะแหละ ถ้ามิวหิวก็มาที่บ้านนะ เดี๋ยวทำโจ๊กให้กิน”

“ก็ดีดิหญิง ไม่ได้ทานโจ๊กตั้งนานแล้ว” มิวบอก

“แล้วตกลงวันนี้มิวต้องซ้อมอีกปะ”

“ไม่ต้องอะ พี่หลิวให้เราพัก แต่คนอื่นๆต้องซ้อมนะ”

“อือ..”

“หญิง...”

“ฮึ”

“ถามอะไรอย่างดิ”

“อะไรหรอ”

“หญิงเคยเขินอะไรแบบสุดๆปะ”

“ไม่อะมิว ยังไม่เคยเลย มีอะไรหรอ เมื่อคืนโดนโต้งลงโทษหรอ”

“ก็ เอ่อ....” มิวหน้าแดงเพราะนึกถึงเรื่องเมื่อคืน

“มิวหน้าแดงนะ”

“ก็...ไม่มีอะไร ไม่เล่าดีกว่า”

“กะอีแค่แก้ผ้าให้โต้งเช็ดตัวให้เนี่ยนะ แล้วก็ปูไต่นิดเดียวเอง จะเขินอะไรนักหนา”

“หญิงรู้”

“ก็ไม่ได้ตั้งใจแอบมองนะ แต่ตอนมิวเข้ามาแก้ผ้ารอโต้งน่ะ มิวลืมปิดม่านล่ะ”

“นี่แปลว่า...”

“อือ....” หญิงมองมิวยิ้มๆ

“หญิงอะ” มิวหน้าแดง รีบเดินกลับเข้าบ้าน ปล่อยให้หญิงยืนยิ้มอยู่คนเดียว


ด้วยความเขินอายหญิงสาวเพื่อนสนิท มิวรีบวิ่งขึ้นห้องนอน ปิดม่าน แล้วมานั่งที่
หน้าคอมพิวเตอร์ เหลียวมองไปบนเตียง เพื่อจะระบายความอายของตนเองให้ฟัง
แต่เตียงนอนว่างเปล่า ไม่มีร่างใดๆนอนอยู่

“อ้าว..โต้งหายไปไหนเนี่ย” และแล้ว มิวก็ต้องเดินลงมาข้างล่างอีกครั้ง เดินหาทั่วบ้าน
อยู่พักใหญ่แต่ก็ยังไม่เจอ สุดท้าย จึงต้องกดหมายเลขโทรศัพท์เพื่อตามหา


“ให้มันเป็นเพลง บนทางเดินเคียง....” เสียงดังมาจากในบ้านของหญิง ร่างโปร่งรีบเดิน
ไปดู แล้วก็พบร่างสูงเดินถือชามโจ๊กใบโตมาหนึ่งใบ โดยมีร่างระหงเดินตามมาข้างหลัง


“มาพอดีเลยมิว โจ๊กเสร็จพอดี” โต้งยิ้มหวานส่งให้

“ชามเบ้อเร่อแบบนี้ ใครจะกินหมด”

“ก็กินกันสองคน ชามเดียวก็พอ นี่ไง ช้อนสองคัน”

“แล้วไปเอาชามมาจากไหนเนี่ยโต้ง บ้านเราไม่มีชามใหญ่อย่างงี้นะ”

“อ่อ..ชามบ้านหญิงน่ะ เดี๋ยวกินเสร็จแล้ว ก็ทิ้งไว้ให้หญิงล้างไง”

“ตลกล่ะโต้ง กินอิ่มแล้วก็ต้องล้างเองสิจ๊ะ” หญิงว่าโต้งเข้าให้

“อือ...รู้แล้วน่า..” โต้งบอกหญิง

“โต้ง ... วางชามลงก่อน เรามีอะไรจะบอก”

“อะไรหรอมิว” โต้งวางชามแล้วเดินไปหามิว ที่เอียงคอมากระซิบที่ข้างหู ลมหายใจ
อุ่นๆของมิว ทำเอาใจโต้งสั่นระริกเหมือนกัน

“เมื่อคืนนี้ เราลืมปิดม่าน หญิงแอบเห็นพวเราตลอดเลย” มิวกระซิบบอกโต้ง

“อ๋อ...เอ่อ...เรารู้แล้วล่ะมิว”

“ว่าไงนะ โต้งรู้แล้ว นี่หญิงบอกโต้งเหรอ”

“ก็...เอ่อ...คือเราเห็นหญิงตรงหน้าต่างอะมิว ไม่งั้นเมื่อคืนนี้ มิวโดนลงโทษหนักกว่า
นั้นอีก” โต้งตอบยิ้มๆ

“โต้งบ้า ไม่รู้รึไง ว่าคนอื่นน่ะ เค้าก็รู้จักอายเหมือนกันนะ” พูดจบด้วยความหน้าแดง
แล้วมิวก็รีบวิ่งกลับไปที่บ้านตนอีกครั้ง

“เดี๋ยวดิมิว ยังไม่ได้กินโจ๊กเลย มิว เดี๋ยวก่อน...” โต้งถือชามโจ๊กวิ่งตามไปที่บ้าน

....









โต้งวิ่งตามมิวไปจนถึงตัวบ้าน มิวนั่งอยู่บนโซฟาตัวเก่าของอาม่า แกล้งเบือนหน้าหนีร่างสูง
ที่มานั่งใกล้ๆ ชายหนุ่มแกล้งเบียดร่างโปร่งทีละนิดๆ ทั้งที่ในมือยังคงถือชามโจ๊กอยู่

“มิวโกรธเราหรอ เราขอโทษนะ” โต้งพยายามง้อ แต่มิวยังไม่สนใจ โต้งพยายามอีกครั้ง
แต่มิวก็ยังเฉยอยู่ ในที่สุด โต้งจึงลุกจากโซฟา วางชามโจ๊กไว้ที่โต๊ะ แล้วเดินไปนั่งที่เก้าอี้
ตรงหน้าเปียโน เริ่มบรรเลงเพลงโปรดของอาม่าในจังหวะเร็วๆให้มิวฟัง พลางหันกลับ
มามองร่างโปร่งที่โซฟาเป็นระยะ

“เล่นอะไรอะโต้ง เล่นอย่างงั้น เปียโนของอากงก็พังหมดดิ” ได้ผล... มิวสนใน แล้วลุก
มาจากโซฟาทันที จากนั้นร่างโปร่งของมิว ก็มานั่งคู่กับร่างสูงของโต้ง

“นี่ ต้องเล่นอย่างนี้” มิวเริ่มเล่นในจังหวะช้าๆแบบที่อาม่าชอบ

“หายงอนแล้วใช่ปะ” โต้งถาม แต่มิวยังไม่ยอมตอบ

“โต้งเล่นเพลงนี้ได้ด้วยหรอ” นักร้องหนุ่มถาม

“ก็ลองๆดูอะ ฟังมิวเล่นให้ฟังตั้งหลายครั้งแล้ว ก็เลยเล่นบ้าง อย่างที่มิวเคยทำเวลาที่
มิวทำให้อาม่าโกรธไง”

“จำได้ด้วยเหรอโต้ง”

“เรื่องของมิวอะ เราไม่มีวันลืมหรอก”

“ขอบคุณนะ...” พูดจบก็ลุกจากเปียโนไปนั่งที่โต๊ะกินข้าว โต้งก็ลุกตามไปทันที

“หิวแล้วอะ ป้อนเราหน่อยดิ” มิวแกล้งอ้อน

“มีช้อนตั้งสองคันนะมิว ทำไมไม่ตักเองล่ะ” โต้งทำฟอร์มยวนไป ทั้งๆที่ใจก็อยากป้อน

นักร้องหนุ่มหยิบช้อนออกหนึ่งคันต่อหน้าโต้ง แล้วแกล้งทำตกพื้น
“เหลือช้อนคันเดียวแล้วอะ ป้อนได้รึยังล่ะ”

“งั้นมิวทานก่อนก็ได้ เดี๋ยวเราไปเอาช้อนคันใหม่”

“แต่โต้งยังไม่ได้ไถ่โทษเลยนะ”

“ข้อหาอะไรล่ะ”

“ก็ข้อหาที่ทำให้เราเขินไง รู้มั้ย เมื่อกี้นี้เราอายหญิงแทบแย่”

“งั้นเราป้อนให้นะ” และแล้วเช้าวันอาทิตย์ก็ผ่านไปอย่างอบอุ่น โดยมีหญิงที่เฝ้ามองอยู่ คอย
โทรไปรายงานเอ๊กซ์เป็นระยะๆ

...

...






Create Date : 16 มีนาคม 2553
Last Update : 20 มีนาคม 2553 22:10:53 น.
Counter : 565 Pageviews.

0 comment
ตอนที่ 20 +++ ความในใจและกำลังใจ +++



+++++ต่อเรื่อง+++++





“โต้งงงงง” กลุ่มออกัสอุทานขึ้นพร้อมกัน ยกเว้นร่างโปร่งที่นั่งอยู่หน้าเปียโน มิวนั่งนิ่ง
และได้แต่ก้มมองแป้น ไม่กล้าหันมาสบตาโต้ง คล้ายคนรู้สึกผิด

“มิว....” โต้งเอ่ยชื่อของคนรักสั้นๆ แต่ก็ยังไม่มีเสียงตอบกลับมา

“นี่ใช่มั้ย ที่มิวปิดบังเรา มิวเสียสละเพื่อเรา เพื่อพ่อ แต่มิวไม่ยอมบอกเรา” สีหน้าคนพูด
ขึ้ง โกรธ งอน และมีน้ำตาปริ่มๆคลออยู่ที่นัยน์ตาสีน้ำตาล

“โต้ง...” นักร้องหนุ่มเอ่ยเบาๆ นัยน์ตาสีน้ำเงินก็มีรอยรื้นๆของน้ำตาเช่นกัน

“ทำไมล่ะมิว” โต้งถาม

“ทำไมถึงไม่บอกโต้งก่อนหรอ” มิวถามกลับ แต่สายตายังคงจ้องที่เปียโน

“ทุกอย่างแหละ” โต้งตอบ

“ทุกอย่าง” มิวเหลียวมามองที่คนรักอย่างสงสัย

“ใช่...ทุกความรู้สึกด้วย เราอยากรู้ว่า ตอนที่มิวตัดสินใจสละตับให้พ่อ มิวคิดอะไร
รู้สึกยังไง ทุกๆความคิด ทุกๆความรู้สึก บอกมาให้หมดนะ” โต้งว่าจบแล้วก็เดินไป
ดึงเก้าอี้มานั่งข้างๆมิวที่หน้าเปียโน มิวมองมือซ้ายของโต้งที่เข้ามาวางใกล้ๆ ไออุ่น
ของคนรักที่ถ่ายทอดมาผ่านการสัมผัสทางกาย นักร้องหนุ่มค่อยๆหลับตาทบทวน
ความคิด ก่อนจะเอ่ยออกมา

“ไม่รู้จะเริ่มยังไงดี .... มันเริ่มตั้งแต่ตอนที่รู้ว่าตับของโต้งและน้านีย์เข้ากับน้ากรไม่ได้
ความสงสารมันเข้ามากุมความรู้สึกของเราไว้ หวนนึกถึงตัวเอง นึกถึงป๊า โต้งรู้มั้ย ว่า
ตั้งแต่เด็กมาแล้ว เราแอบอิจฉาโต้งอยู่ลึกๆ “

“อิจฉาเรา ยังไง”

“ก็โต้งมีน้ากรไง ก่อนจะเกิดเรื่องพี่แตง ครอบครัวโต้งอบอุ่นและมีความสุขมาก โต้ง
มักจะมีเรื่องราวดีๆที่เคยทำร่วมกับพ่อ มาเล่าให้เราฟังเสมอ มันทำให้เรารู้สึกดี และสนุก
ตามไปด้วยทุกครั้ง น้ากรพาโต้งไปโน่นไปนี่ ได้ทำอะไรๆหลายๆอย่างร่วมกัน แม้เราจะ
รู้สึกดีและสนุกทุกครั้งที่ฟังโต้งเล่า แต่ลึกๆแล้ว เราก็อิจฉาเป็นเหมือนกันนะ โต้งรู้อะไรมั้ย
ตั้งแต่ขึ้นป.สี่มา เราจำไม่ได้เลยว่าเคยมีประสบการณ์ที่น่าประทับใจน่าจดจำที่เราได้ทำร่วม
กับป๊าบ้าง ป๊าไม่เคยมาดูเราแสดงงานโรงเรียน ไม่เคยไปเชียร์ตอนเราประกวดเล่นเปียโน
ตอนเราประกวดร้องเพลง ตอนเราขึ้นคอนเสิร์ต แต่กับโต้งที่มีพ่อในแบบที่เราไม่เคยมี ..เรา
ถึงได้รู้สึกเจ็บปวด หากต้องเห็นโต้งสูญเสียสิ่งเหล่านั้นไป”

“มิว” โต้งพูดเบาๆ พร้อมกระชับมือให้แน่นขึ้นอีกเล็กน้อย คนอื่นๆที่ได้ฟังมิวเล่า อด
รู้สึกหดหู่และสงสารมิวไม่ได้ ยิ่งป้าอรยิ่งน้ำตาคลอเลยทีเดียว

“ตอนที่โต้งย้ายบ้านไป ทั้งๆที่น้ากรอยู่ในสภาพของคนติดเหล้า เราก็รู้สึกได้แล้ว ถึง
ความสุขของโต้งที่อาจจะค่อยๆหายไป แต่เพราะเรายังเด็กเกินไปมั้ง จึงยังรู้สึกอะไรไม่
มาก เพียงแค่รู้สึกเสียใจที่ต้องสูญเสียเพื่อนรักไปเท่านั้น”

“แล้วไงต่อล่ะอามิว” เสียงเฮียแทรกขึ้นมา ทำเอาทุกคนหันไปมองด้วยสีหน้าเซ็งๆกึ่ง
ไม่พอใจที่มีคนมาขัดอารมณ์ร่วมของพวกตน

“ก็เฮียแค่อยากรู้ต่อก็เท่านั้น คราวหลังไม่แทรกขึ้นมาก็ได้” เฮียเอ่ยขอโทษและนั่งฟังต่อ



“จนมาเจอกันอีกครั้งและรู้เรื่องน้ากร เราก็เลยอยากหาทางให้โต้งกลับไปมีรอยยิ้มแบบ
ตอนเด็กอีกครั้ง เหมือนตอนที่โต้งให้เราเล่นหาของไง รอยยิ้มตอนนั้นน่ะ เรายังไม่ลืม
เลยนะ รอยยิ้มแห่งความสุขของโต้งน่ะ”

“ก็ตอนนั้นเรากำลังสนุก แล้วก็มีความสุขที่เห็นมิวสนุกกับเกมที่เราให้มิวเล่นนี่นา”

“ก็เรามีความสุขจริงๆ ตัวต่อไม้นั่น เป็นของขวัญวันคริสต์มาสชิ้นแรกที่เราได้รับ” มิว
หวนนึกถึงอดีตที่ผ่านมาของตน เพราะความที่ตนไม่เคยมีเพื่อนคนอื่น นอกจากโต้ง
ของขวัญจากโต้งจึงเสมือนสิ่งมีคุณค่า แม้ภายหลังจะมีเพื่อน มีคนรู้จัก มีแฟนคลับอยู่
บ้าง แต่ก็ไม่มีของขวัญชิ้นไหนจะเทียบกับตัวต่อไม้นั้นได้อีก อาจจะเพราะการสัมผัส
มือกัน ทำให้ร่างสูงที่นั่งอยู่ข้างๆร่างโปร่งของนักร้องหนุ่ม รู้สึกถึงอารมณ์โหยหาความ
รักของคนข้างๆได้ โต้งจึงบีบมือมิวให้แน่นขึ้น บอกให้รู้ว่า ตอนนี้มิวมีโต้งอยู่เคียงข้าง


“เรื่องราวที่พี่จูนเข้ามาสวมบทพี่แตง จนถึงวันที่พี่จูนตัดสินใจกลับเชียงใหม่ พวกนาย
ทุกคนก็รู้กันหมดแล้ว แล้วนับจากเหตุการณ์นั้น จนมาถึงตอนปีใหม่ และตอนที่ไอ้เชี่ย
เอ๊กซ์หัวฟาดพื้น ตอนที่โต้งขอกรูเป็นแฟน ตอนกรูโดนรถชน พวกนายก็รู้เห็นมาโดยตลอด
งั้นกรูจะขอข้ามมาเล่าตอนสำคัญเลยล่ะกันนะ” มิวหันมาพูดกับเพื่อนๆในวงออกัสต์ ก่อนจะ
หันกลับไปหาเปียโนอีก

“อือ...งั้นมรึงก็เล่ามาดิ” เอ๊กซ์บอก


“อาการน้ากรกำเริบ ต้องผ่าตัดปลูกถ่ายตับ แต่การรอผู้บริจาคคงจะไม่ทันการ ตับของโต้ง
กับน้านีย์ก็ใช้ไม่ได้ อย่างที่บอกเมื่อกี้นี้ โต้งสูญเสียศรัทธา สูญเสียรอยยิ้ม แต่ภายใต้ดวงตา
สีน้ำตาลนั้น เค้าก็ยังอุตส่าห์พยายามมีความสุขต่อหน้ากรู โต้งเค้ารู้ว่า ถ้าเค้าทุกข์ กรูจะทุกข์
ไปด้วย แต่ถึงโต้งจะพยายามปั้นหน้าให้มีความสุขยังไง ก็หลอกความรู้สึกที่กรูสัมผัสถึงไม่
ได้ กรูเลยต้องตัดสินใจบางอย่าง” มิวหันไปมองหน้าโต้ง ที่ตอนนี้ นัยน์ตาสีน้ำตาลของชาย
หนุ่ม มีรอยน้ำตารื้นออกมาชัดเจน น้ำตาแห่งความตื้นตันที่มีคนรักแบบคนที่อยู่ข้างๆนี้ นึก
ถึงตนเองว่าเคยมีแฟนมาก่อน แต่คนที่เข้าใจตนจริงๆกลับมีเพียงชายตรงหน้านี้เท่านั้น

“มิว” โต้งคว้าตัวคนรักมาสวมกอด ร่างสูงกระชับร่างโปร่งเข้าแนบอก คางของโต้ง เกยอยู่
บนบ่าซ้ายของมิว ในขณะที่คางของมิวก็เกยอยู่บนบ่าซ้ายของโต้งเช่นกัน

“ขอบคุณมากนะ” โต้งเอ่ยกับคนรัก


บรรดาผู้ที่ได้ฟังทั้งหลาย ต่างก็ซาบซึ้งไปกับความรักที่มิวมีให้กับโต้ง โดยเฉพาะป้าอรที่น้ำตา
เอ่อนองหน้าไปนานแล้ว แม้แต่หญิงเอ่ย ถ้าเป็นเมื่อก่อน ก็อาจจะแอบอิจฉาโต้งอยู่บ้าง แต่ใน
เวลานี้ กลับซาบซึ้งและชื่นชมความรักของมิวมากกว่า หญิงสาวเข้าไปยืนข้างๆแฟนฟนุ่มมือ
กีตาร์คิ้วหนา แล้วก็ใช้มือของเธอกระชับมือของอีกฝ่ายเอาไว้ ซึ่งนักดนตรีหนุ่มก็ตอบสนอง
ด้วยสัมผัสที่อบอุ่นเช่นเดียวกัน

ไม่ต่างจากคู่ของเฮียและพี่หลิว ตอนนี้ พี่หลิวเอง ก็ซบหน้าของตนบนไหล่ของเฮียเช่นกัน
เฮียสมเกียรติใช้มือข้างที่ว่างประคองกอดร่างที่กำลังอิงไหล่ของตนอยู่อย่างทะนุถนอม


“แล้วทำไมตอนนั้นมิวถึงไม่ยอมบอกโต้งและพวกเราทุกคนล่ะ” หญิงถามแทนทุกคนที่กำลัง
คิดจะถามคำถามเดียวกัน

“เราไม่อยากให้ทุกคนต้องคิดมากและเป็นกังวล ในใจก็กลัวจะหวั่นไหว หากมีใครคัดค้าน”

“มีแน่แหละ ยิ่งถ้าพี่อ๊อดรู้เรื่องก่อนอะนะ มิวไม่มีทางได้ผ่าแน่” พี่หลิวพูด

“ผมถึงไม่กล้าบอกใครไง โดยเฉพาะโต้ง กลัวโต้งคิดมากไปกว่าเก่า ได้แต่ให้ลุงหมอกับ
น้านีย์ช่วยเก็บเป็นความลับไปก่อน”

“แต่โชคดีนะ ที่การผ่าตัดผ่านไปด้วยดี ทุกคนปลอดภัย” เฮียบอก

“ใช่ครับ การผ่าตัดผ่านไปด้วยดี”

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการที่จู่ๆมรึงจะลาออกจากวงด้วยวะ” แวนถามบ้าง


นักร้องหนุ่มหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะผละจากโต้ง แล้วลุกเดินออกมายืนอยู่หน้ารูปอากง
กับอาม่า นัยน์ตาสีน้ำเงินมองรูปถ่ายหญิงชราด้วยความโหยหา


“มันเป็นเงื่อนไขที่กรูตกลงกับป๊าเอาไว้”

“เงื่อนไขอะไรวะ” เอ็มถามบ้าง

“เงื่อนไขที่ป๊าจะยอมเซ็นใบยินยอมให้กรูผ่าตัด”

“นี่แปลว่า.......” ปิงปองอุทานเบาๆ

“ป๊ากรูบอกว่า จะยอมให้ผ่าตัดก้ได้ ถ้ากรูยอมเลิกร้องเพลง แล้วไปอยู่กับเค้าที่ระยอง
และยิ่งกว่านั้น.....” นักร้องหนุ่มกล้ำกลืนคำพูด ก่อนจะหันไปมองหน้าโต้ง

“เค้าว่าเราเป็นลูกชายคนเดียว เค้าจะไม่ยอมให้เรา......” มิวยังคงมองหน้าโต้ง

“ไม่นะมิว ยังไงเราก็ไม่ยอม” โต้งวิ่งเข้ามาหาคนรักและสวมกอดซะแน่น น้ำตาของ
นักร้องหนุ่มพรั่งพรูออกมาด้วยความที่กลัวจะเสียคนรักไป โต้งเองก็เช่นกัน สวมกอดมิว
ซะแน่นอย่างกับว่าจะไม่ยอมเสียมิวไปเด็ดขาด


.......


.......






ชายหนุ่มทั้งสองสวมกอดกันอยู่ซักพัก ผู้ที่เป็นเจ้าของบ้านก็ผละออกจากอ้อมกอดของ
อีกคน มือซ้ายปาดคราบน้ำตาที่เจิ่งหน้าไปหมด จากนั้นก็ค่อยๆเดินขึ้นบันไดไปช้าๆ

ร่างสูงพยายามจะเดินขึ้นบันไดตามไป แต่ร่างระหงของหญิงก็เข้ามาขวางเสียก่อน


“ปล่อยมิวอยู่คนเดียวซักพักนะโต้ง” หญิงบอก

“แต่ว่า.......” โต้งพยายามจะหาคำพูดบอกหญิง แต่ก็นึกไม่ออก

“โต้งก็รู้จักมิวดี ลองถ้าอยากอยู่คนเดียว ต่อให้ตื๊อยังไง มิวเค้าก็ไม่ออกมาคุยด้วยหรอก”

“แล้วจะให้เราทำยังไงล่ะหญิง” สีหน้าโต้งเศร้าสร้อย

“หญิงว่าทุกคนกลับบ้านกันก่อนดีกว่านะ แค่วันนี้ มิวยอมบอกความในใจกับพวกเรา
ก็นับว่ามิวเข้มแข็งมากแล้ว ทางที่ดี เราไปช่วยกันคิดดีกว่าว่าจะหาทางช่วยเค้ายังไงดี
ทั้งเรื่องเรียนในกรุงเทพฯ เรื่องร้องเพลง เรื่องวง แล้วก็เรื่องโต้ง”

“เอางั้นก็ได้ พี่ว่าพวกเรากลับกันก่อนเถอะนะ พี่ยังต้องให้พี่อ๊อด กับคุณเอ คุณบีตัดสินใจ
ด้วย ถ้ามิวต้องออกจากวงจริงๆ ออกัสต์ก็คงต้องถูกยุบวง” หลิวบอกคนอื่นๆ

“ขนาดนั้นเลยเหรอหลิว” เฮียถาม

“ค่ะเฮีย ก็เพลงของออกัสต์ทุกเพลงน่ะ มิวเป็นคนแต่ง แถมมิวยังเป็นนักร้องนำที่ใครๆ
ก็รู้จักกันหมดแล้ว อีกทั้งแฟนเพลงยังชื่นชอบมิวเป็นพิเศษกว่าคนอื่นๆด้วย ถ้าไม่มีมิว
หลิวก็ตอบไม่ได้ว่าโปรเจ็คต์ออกัสต์จะเอายังไงต่อ” หลิวตอบเฮีย พลางมองไปยังหนุ่มๆ
ออกัสต์อีกห้าคนที่ยืนฟังอยู่ ด้วยแววตาตระหนกพอควร”

“พวกเราเข้าใจครับพี่หลิว ถ้าไม่มีมิว วงออกัสต์ก็คงมาไม่ถึงวันนี้หรอกครับ” เอ๊กซ์พูด

“เราทุกคนสู้มาด้วยกัน ถ้าขาดมิวไปคนนึง ก็ไม่เป็นวงออกัสต์หรอกครับ” ต่อพูดบ้าง

“ตอนปลายปีน่ะ พี่มิวแค่หายไปเฉยๆ แต่ถ้าคราวนี้พี่มิวต้องออกจากวงจริงๆ พวกผมก็
ไม่รู้ว่าลำพังเราจะทำกันได้แค่ไหน เพราะที่ผ่านมา พี่มิวเป็นศูนย์กลางของเราทุกคน”
ปิงปองเสริมอีกคน

“งั้นก็มีทางออกทางเดียว” แวนพูดขึ้น

“ยังไงวะ” เอ็มถาม

“ก็ต้องหาทางให้ป๊ามันเข้าใจ ยอมรับในสิ่งที่มันรัก สิ่งที่มันเป็นให้ได้อะดิวะ” แวนตอบ

“แล้วจะทำยังไงล่ะ” เอ็มยังคงสงสัย

“กรูก็ยังไม่รู้เหมือนกัน รู้แต่ว่า ถ้าพวกเราไม่ยอมแพ้ เราก็จะต้องช่วยมันได้แน่ๆ”

“งั้นวันนี้ ทุกคนกลับกันไปก่อนนะ แล้วพรุ่งนี้ค่อยมาคิดหาวิธีกัน เดี๋ยวพี่จะโทรนัดอีกที
กลับก่อนนะคะเฮีย ลานะคะป้า” หลิวไหว้ลาป้าอร และบิกลาเฮีย จากนั้นก็เดินไปที่รถ
โดยมีเหล่าหนุ่มๆออกัสต์ตามมาด้วย ยกเว้นเอ๊กซ์ที่คอยหญิงอยู่

“สรุปแล้ว พี่หลิวจะบอกพี่อีอดกับพวกคุณเอ คุณบีรึเปล่าครับ” ต่อถามเมื่อมาถึงรถ

“ก็ต้องรอให้มิวยืนยันก่อน แต่ยังไงก็ต้องหลังวางแผงอัลบั้มพวกเรานั่นแหละ”

“แล้วพี่หลิวว่า พวกพี่อ๊อดเค้าจะว่ายังไงล่ะ” ปิงปองถามบ้าง

“พี่ก้ไม่รู้เหมือนกัน แต่มิวเค้าขอร้องพี่ว่าอย่าเพิ่งบอพี่อ๊อด พี่จึงคิดว่า จะถ่วงเวลาไว้ซักพัก
แล้วถ้าเราแก้ปัญหาเรื่องป๊ามิวไม่ได้จริงๆ ก็ค่อยว่ากันอีกที”

“ก็คงต้องอย่างงั้นล่ะเนอะ” เอ็มบอก

“แล้วไอ้เชี่ยเอ๊กซ์มันไม่กลับพร้อมเราเหรอวะต่อ” มือคีย์บอร์ดถามมือเบส

“มันจะอยู่กินข้าวบ้านแฟนมันน่ะแวน ช่างมันเถอะ” ต่อบอกแวน

“แล้วไป ไอ้เอ๊กซ์นี่ร้ายกาจ เรื่องเพื่อนยังไม่เคลียร์ ยังมีกะใจจีบสาว”

“ มันก็คงจะปรึกษาหญิงเรื่องไอ้มิวนั่นแหละ ไปเหอะ กลับบ้าน กรูหิวแล้ว”


....

....


“แล้วโต้งล่ะ จะกลับบ้านเลยรึเปล่า” หญิงถาม

“ผมขออนุญาตนอนค้างที่นี่นะครับป้าอร” โต้งเอ่ยบอกหญิงชรา ซึ่งป้าอรก็ไม่ปฏิเสธ
แต่อย่างใด นอกจากพยักหน้ายอมรับเท่านั้น

“แล้วทำไมเอ็งยังไม่กลับล่ะฮึ” เฮียเอ่ยถามมือกีตาร์หนุ่มที่ยั้งรออยู่

“ผมว่าจะขอทานข้าวบ้านเฮียน่ะครับ” นายคิ้วหนาตอบ

“ใครเชิญ และใครอนุญาตล่ะ” เฮียถาม น้ำเสียงดุ หวงชอบกล

“หญิงเชิญ และหญิงก็อนุญาตด้วย” หญิงสาวตอบ

“ก็แค่นั้นแหละ ไม่ได้จะว่าอะไรซักหน่อย” เฮียบอก แล้วเดินเข้าบ้านตนเอง

“โต้งล่ะ จะทานข้าวที่บ้านหญิงมั้ย เย็นแล้วนะ”

“ขอบใจนะหญิง แต่ไม่ดีกว่า เราจะรอทานพร้อมมิว”

“แล้วสมมติว่ามิวไม่ยอมออกจากห้องล่ะโต้ง” เอ๊กซ์ถามบ้าง

“เราก็จะรอไปเรื่อยๆ “

“แต่ว่ามิวเค้า....”

“ไม่เป็นไร เราก็จะรอต่อไปอยู่ดี”

“งั้นหญิงพาเอ๊กซ์ไปหาหม่าม้าก่อนนะ ไม่รู้ป่านนี้ เฮียไปเม้าท์อะไรไว้บ้าง”

“โชคดีนะหญิง เอ๊กซ์”

“แล้วเจอกัน” นักดนตรีหนุ่มบอกคนรักของเพื่อนสนิท


.....

.....


โต้งมองไปทางครัว เห็นป้าอรง่วนอยู่กับการเตรียมอาหารเย็น ในเย็นวันเสาร์ ชายหนุ่ม
จึงเคลื่อนร่างสูงของตนไปยังบันได เหลือบมองนาฬิกาข้อมือสีดำของตน บอกให้ชาย
หนุ่มรู้ว่าตอนนี้หกโมงเย็นแล้ว แต่กลับไม่มีความหิวเลยซักนิด

โต้งตัดสินใจโทรบอกสุนีย์ว่าจะค้างบ้านมิว จึงหยิบโทรศัพท์มากดขณะเดินถึงบันได


“ว่าไงเรา สอบเสร็จแล้วไปเที่ยวกับเพื่อนต่อรึไง” สุนีย์ถามลูกชายขณะนั่งทานข้าวกับกร

“ผมอยู่ที่บ้านมิวครับ”

“จะขอค้างที่บ้านมิวเหรอ” มือนึงถือโทรศัพท์ อีกมือก็ถือช้อน

“ครับแม่”

“จ๊ะ แม่อนุญาต”

“ขอบคุณครับ.......เอ่อ...แม่”

“ฮึ” สุนีย์ถือช้อนและกำลังบิไข่พะโล้ของโปรด

“โต้งมีอะไรจะถามหน่อยได้มั้ยครับ”

“อะไรอีกล่ะ ฮึ”

“มิวเป็นคนบริจาคตับให้พ่อใช่มั้ยครับ”

“เกร๊งงงง...” เสียงช้อนสุนีย์ตกใส่จาน

“นี่โต้งรู้แล้วหรอ” สุนีย์ถามลุกชาย

“ครับแม่”

“มิวบอก”

“เปล่าครับ โต้งรู้จากพวกเจ๋ง พี่สาวมันผ่าตัดวันเดียวกับพ่อไง”

“อ๋อ..แม่จำได้แล้ว ที่ผ่าไส้ติ่งใช่มั้ย”

“ครับ มันไปเจอมิวที่นั่น ก็เลยรู้”

“แม่ขอโทษนะ ที่ต้องปิดเราน่ะ”

“ไม่เป็นไรครับ มิวบอกโต้งแล้ว ว่าเค้าขอร้องแม่ไว้”

“แล้วที่โทรมานี่...มีอะไรอีกรึเปล่าล่ะ”

“โต้งจะถามแม่ว่า แม่รู้เรื่องข้อตกลงของมิวกับป๊ารึเปล่า”

“.......”

“แม่ครับ แม่....” โต้งตะโกนใส่โทรศัพท์

“เปล่า แม่ไม่เป็นไร”

“นี่แปลว่าแม่รู้”

“ก็ใช่อะนะ มิวเค้าเคยเล่าให้ฟังตั้งแต่ช่วงที่ผ่าแล้วล่ะ”

“แต่ทุกคนปิดบังโต้ง ทำเหมือนโต้งไม่ม.....”

“เพราะมิวเค้าห่วงเราไง อย่าลืมสิ ว่าเราต้องสอบอีกนะ”

“ก็แล้วทำไมถึง...”

“ขนาดเรารู้ตอนนี้ ยังโวยวายขนาดนี้ ถ้ารู้ก่อนหน้านี้ เป็นอันไม่ต้องสอบพอดี”

“ก็....”

“มิวเค้าหวังดีกับโต้งนะ ถึงได้ไม่บอกโต้งแต่แรก อย่าไปงอนเค้าเข้าล่ะ”

“ก็ยังไม่ได้งอน แค่น้อยใจนิดหน่อยเอง”

“แล้วนี่ มิวไม่ได้อยู่ใกล้ๆเราหรอ”

“เค้าอยู่ในห้องครับ”

“ทำไมล่ะ”

“ก็พอเล่าเรื่องข้อตกลงที่ให้กับป๊าให้ฟัง เค้าก็เข้าไปเก็บตัวในห้องเลย”

“แล้วโต้งจะทำยังไงล่ะ”

“ก็ไม่รู้เหมือนกันครับ”

“อย่ายอมแพ้นะลูก แม่เชื่อว่า ถ้าจะมีใครปลอบใจมิวได้ ก็มีแต่โต้งนี่แหละ”

“ครับแม่” ชายหนุ่มวางโทรศัพท์ แล้วเดินต่อไปยังห้องนอนมิว

เมื่อถึงห้องนอนของคนรัก ชายหนุ่มกำลังจะเคาะประตู พลันได้ยินเสียงเพลงคุ้นหู
ที่ตนเคยฟังมาแล้ว เพลงที่มิวแต่ง บทเพลงที่เศร้าสร้อย ชวนหดหู่


.....

.....







“งามโอ้งามดวงจันทรา งามโอ้งามเดือนดารา
ดาวเดือนลอยส่องฟ้าดูสวยงาม
มองจนใจหลุดลอยไป ขึ้นไปข้างบนกับลมหนาว
มองหมู่ดาวจนมองไม่เห็นใคร

มีดาวบนฟ้าตั้งมากตั้งมายเป็นล้านดวง
ฉันมองตรงนี้ทุกครั้งที่ฟ้าค่อยมืดลงไป
จนมีแสงระยิบระยับประดับประดาบนฟ้าไกล
แต่บางทีก็นึกหวั่นไหวว่าแสงรำไรจะลวงตา

โอไกล โอ้ไกล อยู่ตรงไหนไม่รู้หรอก
โอ้ใจ ใครจะรู้ว่าจริงหลอก
โอ้ใคร โอ้ใคร ใครที่รู้มาช่วยบอก
ว่าที่เห็นนั้นจริงหรือหลอกตา
ที่บนฟ้านั้นหรือ คือปลายทาง

ที่งามโอ้งามดวงจันทรา งามโอ้งามเดือนดารา
ดาวเดือนลอยส่องฟ้าดูสวยงาม
มองจนใจหลุดลอยไป ขึ้นไปข้างบนกับลมหนาว
มองดูดาวอยู่อย่างสงสัยว่าดาวบนฟ้าไกล นั้นมีจริงหรือเปล่า


ที่ดาวเดือนจะเลือนลา เดือนดาราจะลาเลือน
ราวจะเตือนให้เราได้ลืมตา
มองสิมองดูดาวโรย ที่โปรยร่วงราวจากเวหา
จนเวลาผ่านไป ใครจำได้ไหมว่าบนฟ้าไกลนั้นเคยมีดารา”




อยู่ลำพังในห้องที่ปิดเงียบ นักร้องหนุ่มร้องเพลงนี้ไปพร้อมกับบรรเลงคีย์บอร์ดควบคู่
กันไปด้วย ความรู้สึกภายในยากที่ใครจะบอกได้ ทั้งอิ่มใจที่มีใครซักคนที่ตนได้รักจริง
และใครคนนั้นก็รักตนอย่างแน่แท้ แต่ลึกๆก็กลัวว่าซักวัน อาจจะต้องเสียใครคนนั้นไป
และวันนั้น ก็กำลังจะมาถึง ในเมื่อมีกำแพงใหญ่ขวางกั้นอยู่ กำแพงที่ตนไม่สามารถจะ
ทำลายลงได้ กำแพงแห่งสายเลือด ที่คอยปิดกั้นมิให้ตนสามารถสานฝันแห่งเส้นทาง
นักร้องนักดนตรีที่ตนกับเพื่อนร่วมสร้างกันมานานปีจนเป็นวงออกัสต์ขึ้นมาได้ รวมทั้ง
เส้นทางรักของตนกับชายหนุ่มที่เข้าอกเข้าใจและคอยเคียงข้าง ความรัก ที่ใครต่อใครมัก
จะบอกว่า ไม่ใช่สิ่งถูกต้อง ผิดธรรมชาติ และยาก ที่คนอื่นๆจะยอมรับ มันจะเป็นไปได้
หรือ ที่ทุกสิ่งทุกอย่างบนความฝันของตน จะดำเนินไปได้พร้อมกันด้วยความสุข ทุกคน
ยอมรับ โดยเฉพาะคนที่นักร้องหนุ่มเจ้าของบ้านโหยหามากว่าหกปี บิดาที่ไม่เคยเคียงข้าง
ไม่เคยเชื่อ เข้าใจ และยอมรับในลูกชายคนนี้ ความฝันที่ค่อนข้างเลือนรางในความเป็นจริง
หรือเพราะชีวิตจริงกำลังบั่นทอนและทำลายความฝันนั้นไปเรื่อยๆ เพราะถ้าทั้งป๊า ครอบครัว
แฟนเพลง และคนอื่นๆในสังคม ในโลกจริง ที่ตนอาศัยอยู่นี้ ไม่ยอมรับ ตนจะทนได้ล่ะหรือ
หากจะต้องสูญเสียสิ่งต่างๆเหล่านั้นไป นี่แหละ เหงาจนน่ากลัว ความเหงาที่ทำร้ายมิวมา
ตลอดห้าปีนับตั้งแต่การจากไปของอาม่า



มิวค่อยๆเงยหน้ามองรูปถ่ายของตนที่เคยถ่ายคู่กับอาม่าเมื่อครั้งยังเป็นเด็กประถม ตอนที่เล่น
ละครคริสต์มาสของโรงเรียน



“ทำไมนะอาม่า...............ทำไมนะ” มิวเอ่ยออกมา





เสียงของมิวดังผ่านออกมาให้ร่างสูงที่ยืนอยู่หน้าประตูได้ยิน โต้งกำลังจะเคาะประตู แต่
ก็เปลี่ยนใจเสียก่อน ถอนหายใจเบาๆ แล้วเดินกลับลงบันไดมา ก้าวช้าๆ ผ่านบันไดทีละ
ขั้น ในใจก็สั่นไหวไปตามจังหวะการก้าวเดินของตน มันไม่ง่ายเลยนะ โต้งคิดในใจ



จากบทเพลงที่มิวแต่งขี้นเพื่อสะท้อนความรู้สึกของโต้งเมื่อครั้งที่สูญเสียศรัทธา กลับ
กลายเป็นบทเพลงที่คนแต่งใช้สะท้อนความรู้สึกของตนเอง เมื่อยามที่กำลังจะสูญเสีย
ความฝันและความหวังไป โต้งหวนนึกร้อยถ้อยวจีตามวลีที่มิวขับร้องออกมาพร้อมกับ
การบรรเลงคีย์บอร์ดในห้องนอน เดินออกมายังห้องรับแขกของบ้านมิว แล้วตัดสินใจ
เดินไปนั่งที่หน้าเปียโนตัวเก่าของอาม่าที่เปิดอยู่ คนฟังที่เคยอยู่ล้อมรอบเปียโนเมื่อครู่นี้
ไม่มีแล้ว โต้งเหลือบมองรูปถ่ายอาม่าที่อยู่เหนือเปียโนและเปรยออกมาเบาๆ




“ทำไงดีครับอาม่า ............ ทำไงดี”




โต้งนั่งอยู่หน้าเปียโน ทำอย่างที่มิวเคยทำประจำเวลาที่รู้สึกเหงา หรือท้อแท้ หรือคิดถึงใคร
ร่างสูงนั่งอยู่พักใหญ่ จนป้าอรต้องเข้ามาทัก




“โต้งจะทานข้าวเลยมั้ยลูก” เสียงป้าอรถาม


“ไม่เป็นไรครับป้าอร ผมจะรอทานพร้อมมิว” ชายหนุ่มตอบ


“แต่ป้าไม่รู้ว่า หนูมิวเค้าจะ......” ป้าอรตอบอย่างไม่มั่นใจ


“ถ้ามิวไม่ทาน ผมก็ไม่ทานครับ” โต้งบอก


“งั้นป้าไปตามหนูมิวก่อนนะลูก”


โต้งไม่ตอบป้าอร เพียงแต่ถอนหายใจและเริ่มไล่โน้ตเปียโนไปเรื่อยๆ





ก๊อก ก๊อก ก๊อก เสียงป้าอรเคาะประตูห้องนอนมิว



“มิว มิวลูก” ป้าอรร้องเรียก แต่ไม่มีเสียงตอบ


“ป้าเตรียมข้าวเย็นไว้ให้แล้วนะ จะลงไปทานเลยมั้ยลูก” เสียงตอบยังคงเงียบ


“ทานร้อนๆนะ จะดีกับสุขภาพ” มิวยังคงไม่ตอบเช่นเดิม


“หนูโต้งคอยทานอยู่ข้างล่างนะลูก” คนข้างในเหมือนจะตื่นตัวเล้กน้อย


“แต่ยังไม่ยอมทานก่อน บอกว่าจะรอหนูมิว” เจ้าของบ้านยังคงรอฟังต่อไป


“เค้าบอกว่า ถ้ามิวไม่ยอมลงไปทาน เค้าก็จะไม่ทาน” คนในห้องที่กำลังฟังอยู่ รู้สึก
ตื่นใจเล้กน้อย แล้วก็ยิ้มขำๆ ปนรอยเจื่อน คิดในใจ


“คนบ้า ปล่อยให้อดไปเลยดีมั้ยเนี่ย แทนที่จะห่วงตัวเอง” แต่คิดไม่ทันไร


“ครืดดดด ครืดดดดดด” ท้องของนักร้องหนุ่มไหวสั่นด้วยความหิว



“หนูมิว ว่าไงลูก จะให้ป้าบอกหนูโต้งว่าไง”


“เดี๋ยวผมตามลงไปครับ” เจ้าของบ้านถอนหายใจแล้วลุกจากเก้าอี้



ป้าอรเดินลงไปก่อนแล้ว มิวค่อยๆเปิดประตูห้องนอน แล้วเดินลงมาตามบันไดทีละขั้น
เสียงหัวใจของมิวก็เต้นตามจังหวะการก้าวเท้าของตนเองเช่นเดียวกันกับคนรัก แต่เมื่อ
เดินมาถึงด้านล่าง หูก็พลันได้ยินเสียงดนตรีของเพลงที่คุ้นหู จากเปียโนที่คุ้นเคย





“อยากจะขอบคุ่ณทีรู่ใจ๋ เข่าไจ๊ สิ่งดีๆทีให่ม้า.......” เสียงร้องเพี้ยนๆดังขึ้น เจ้าของเพลงที่
เพิ่งเดินมาถึงห้องรับแขกหูผึ่ง ตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน


“อยากจะขอบคุ่ณ ที่สั้นย๋า ว่าใจ่ ไหม่มีวั้นห้างเฮิน” แต่อีกใจของมิวก็อดขำกับความ
พยายามร้องเพลงของโต้งไม่ได้ ร้องก็เพี้ยน เล่นเปียโนก็แย่ แต่ก็ยังอุตส่าห์ตั้งใจจะให้
คนฟังอารมณ์ดีขึ้น ในใจนักร้องหนุ่มรู้สึกตื้นตันกับสิ่งที่โต้งกำลังทำอยู่ลึกๆ




“เพลงอะไรอะโต้ง เสียงเพี้ยนชะมัด” มิวขำกับเสียงร้องเพลงของโต้ง


“เสียงเรามันแย่ขนาดนั้นเลยหรอมิว” โต้งหยุดร้องและหันมาถาม


“อือ....เพี้ยนกระจาย แข่งกับพวกเอเอฟบางคนได้เลยนะเนี่ย” พูดไปยิ้มไป


“น่ะ ยิ้มได้แล้วหรอ” โต้งพูดแล้วส่งยิ้มมาให้


“นี่โต้งตั้งใจจะให้เรายิ้มให้ได้ใช่มั้ยเนี่ย” นักร้องหนุ่มถาม แต่โต้งยังได้แต่ส่งยิ้มให้


“แล้วเวิร์กปะ” โต้งถามกลับ


“ก็..... ไม่รู้ดิ ไม่รู้เหมือนกัน” มิวตอบ


“ไหงงั้นล่ะ คนอุตส่าห์ทนรอหิวตั้งนาน”


“หิวมากปะ”


“หิวมาก ปวดท้องแทบแย่ แต่ไม่เท่าปวดใจ”


“แหวะโต้ง เล่นมุขห่วยๆอีกแล้ว”


“อย่าพูดงั้นดิมิว เดี๋ยวเราเป็นไข้พอดี”


“ไข้อะไรอีกล่ะ เราเจ็บแผลแทบแย่ ยังไม่เห็นมีไข้เลย”


“ไข้....เอ่อ....ไข้เธอไม่ดาด” ตอบจบแล้วโต้งก็อมยิ้ม


“ไข้เธอไม่ดาด ขาดเธอไม่ได้ .... เสี่ยวมากอะ”


“มิวหายเศร้าแล้วใช่ปะ” โต้งถามมิว


“ก็...” มิวคิดเล็กน้อย “ยังหรอก แต่ดีขึ้นบ้างแล้วล่ะ”


“งั้นไปกินข้าวเหอะ หิวแล้ว” โต้งจะเดินไปนั่งโต๊ะทานข้าว แต่ถูกมิวจับแขนไว้


“เดี๋ยวโต้ง”


“ว่าไงมิว”


“ขอบคุณนะ” มิวตอบสั้นๆ ในขณะที่โต้งยิ้มกลับและเดินจูงมิวไปทานข้าว



......



......








นักร้องหนุ่มและชายคนรักต่างรับประทานอาหารไปอย่างปกติ โต้งไม่เซ้าซี้ถามเรื่องต่างๆ
จากมิวอีก ชายหนุ่มทราบดีว่า มิวเป็นคนที่ชอบเก็บเรื่องไว้ในใจคนเดียว เท่าที่ยอมเล่าให้ฟัง
เมื่อตอนเย็นก็นับว่ามิวยอมเปิดใจมากแล้ว ในเมื่อตอนนี้ยังคิดหาวิธีแก้ปัญหาไม่ได้ ก็สู้เป็น
กำลังใจให้กันและกันไปก่อนดีกว่า ลึกๆแล้ว โต้งคิดในใจว่า มิวต้องยอมตกลงรับเงื่อนไข
จากป๊าก็เพราะตน เพราะความอ่อนแอของโต้ง มิวถึงต้องยอมเสียสละขนาดนั้น


“ขอโทษนะมิว” โต้งเอ่ยขึ้นก่อน

“เรื่องอะไรโต้ง” นักร้องหนุ่มถาม

“ก็...เพราะเราเป็นต้นเหตุ เพราะเราอ่อนแอ มิวถึงต้อง.....”

“แต่เราเต็มใจ และมีความสุขที่ได้ทำเพื่อโต้ง สิ่งที่เกิดขึ้น สิ่งที่เราทำลงไปทั้งหมดนั้น
เราคิดแล้ว เราเชื่อว่าเราตัดสินใจดีแล้ว เราจึงไม่เสียใจกับมันหรอก”

“แลกกับความฝันของมิวเนี่ยนะ การร้องเพลงเล่นดนตรีมันเป็นชีวิตของมิวไม่ใช่เหรอ”

“ถ้ามันแลกกับชีวิตน้ากร เราก็ว่ามันคุ้มค่า อย่าห่วงเลยโต้ง เราไม่เสียใจหรอก”

“อย่ามาปากแข็งน่า ถ้าไม่เสียใจ มิวจะขึ้นห้องไปร้องเพลงดาราหรอ เรารู้ว่ามิวต้องยอม
เจ็บปวด เพื่อเรา ทั้งๆที่เราไม่อาจจะ.....” โต้งเริ่มจะน้ำตาปริ่ม

“ไหนว่าจะไม่ให้เราเศร้าไงโต้ง” มิวทัก

“ก็รู้....แต่พอยิ่งคิด เราก็ยิ่ง...”

“ถ้าหากว่า.......” มิวเริ่มพูด

“ถ้าหากอะไร” โต้งถาม

“ถ้าตอนนี้ เราคบกับโต้งเป็นแฟนไม่ได้ โต้งจะหมดรักเราปะ”

“ไม่มีทาง ไม่มีทางเด็ดขาด” โต้งพูดอย่างเชื่อมั่น

“รู้มั้ยโต้ง เมื่อครู่นี้ หลังจากที่เราร้องเพลงดาราจบ เราก็คิดได้ว่า ถึงเรากับโต้งอาจจะต้อง
แยกจากกัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า เราไม่ได้รักกัน”

“แล้ว.....”

“ซักวันนึง ป๊าอาจจะเข้าใจ และยอมรับในสิ่งที่เราเป็น ในสิ่งที่เรารัก แล้วเมื่อวันนั้นมาถึง
เราก็อาจจะได้กลับมาเจอโต้งอีกครั้งนึง”

“พูดยังกับจะบอกลางั้นแหละ”

“ไม่ได้บอกลา แค่เตรียมทำใจไว้ล่วงหน้า และหวังว่าจะมีวันนั้นจริงๆ”

“มิว.....”

“ฮึ”

“เราเชื่อว่าซักวันป๊ามิวต้องเข้าใจแน่นอน เราจะพยายามด้วยกันนะ เพื่อให้ป๊ามิวเข้าใจ”

“ขอบคุณนะโต้ง”

“เราต่างหากที่ต้องขอบคุณมิว มิวทำเพื่อเรามามาก เราอยากทำเพื่อมิวบ้างจัง”

“งั้นก็รีบทานข้าวเหอะ เดี๋ยวอิ่มแล้ว โต้งต้องเช็ดตัวและทำแผลให้เราด้วย”

“ทำไมล่ะ”

“ก็วันนี้ซ้อมเต้น แล้วแผลผ่าตัดมันปริ ก้เลยต้องทำแผลใหม่ หมอเค้าไม่ให้โดนน้ำ”

“นี่หมอห้ามอาบน้ำหรือมิวขี้เกียจอาบกันแน่เนี่ย”

“หมอเค้าห้ามแผลถูกน้ำจริงๆ”

“งั้นมิวก็ต้องถอดเสื้อผ้าหมดเลยอะดิ”

“นี่คิดอะไรรึเปล่าเนี่ย อย่าเชียวนะ”

“เปล่าหนิ ไม่ได้คิดอะไรซะหน่อย มิวน่ะแหละ ร้อนตัว นี่มิวกลัวเราหรอ”

“เปล่าซะหน่อย ใครเค้าจะทะลึ่งอย่างโต้งล่ะ” คนพูดหน้าสีชมพูจางๆ

“แล้วทำไมถึงหน้าแดงล่ะมิว เขินหรอ” โต้งพูดยิ้มๆ

“ก็....ไม่เอาแล้ว ไม่พูดดคีกว่า”

“เวลามิวเขินนี่...น่ารักดีเนอะ”

“แน่ะ ยังจะมาพูดเล่นอีก เร็วเลย รีบกินเลย” มิวกินต่อ ไม่สนใจโต้งอีก

ชายหนุ่มเห็นว่านักร้องเจ้าของบ้านแกล้งไม่สนใจตน โต้งจึงลุกจากการนั่งฝั่งตรงข้ามแล้ว
ไปนั่งข้างๆ แกล้งเบียดเจ้าของบ้านแบบแนบชิด จนมิวเขินหน้าแดงยิ่งขึ้น

โต้งแกล้งเบียดและชนมิวเบาๆ แต่มิวก็ไม่ยอมแพ้ พยายามเบียดสู้กับโต้งบ้าง เบียดกันไปมา
สุดท้าย มิวสู้แรงโต้งไม่ไหว ก็เลยแกล้งเหวี่ยงตัวหลบไปด้านหน้า โต้งที่เบียดมิวเต็มแรงจึง
เซหล่นจากเก้าอี้ลงไป แต่ก่อนที่จะหล่นไปกองกับพื้นนั้น ร่างสูงก็ใช้แขนของตนเกี่ยวเอา
ร่างโปร่งที่กำลังหลบนั้นลงมาด้วย จนทั้งคู่ตกมาที่พื้น

ร่างสูงนอนหงายยู่บนพื้น ขณะที่ร่งโปร่งกลิ้งมาคว่ำหน้าคร่อมร่างสูงที่นอนหงายอยู่ จมูก
ของนักร้องหนุ่มอยู่ห่างจากจมูกโด่งสันสวยของโต้งไม่ถึงครึ่งคืบ นัยน์ตาสีเงินของร่าง
โปร่งที่อยู่ด้านบน และนัยน์ตาสีน้ำตาลของร่างสูงที่นอนหงายอยู่ด้านล่าง ห่างกันไม่ถึงคืบ
ต่างสะท้อนเงาของกันและกันไปมา ดวงตาสองคู่ต่างจ้องกันอย่างนั้นไม่ขยับ


เสียงเก้าอี้ล้มเสียงดัง ทำให้ป้าอรออกจากห้องของตนที่ชั้นล่างมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น แม้แต่สาว
สวยที่อยู่บ้านตรงข้ามอย่างหญิง ซึ่งกำลังยืนคุยอยู่กับรักใหม่นักดนตรีหนุ่มคิ้วหนาอย่างเอ๊กซ์
ก็วิ่งมาดูเหตุการณ์ว่าเกิดอะไรขึ้นเหมือนกัน


โต้งนอนหงายจ้องมองดวงตาของมิวอยู่ซักพัก ขณะที่มิวก็จ้องมองตอบ ทั้งคู่ต่างมีอาการ
เขินอายเล็กน้อย ใบหน้าของทั้งสองคนเรื่อสีชมพู หัวใจเต้น ตึก ตึก ตึก สะท้อนความตื่น
เต้นที่อยู่ภายใน แต่ว่า โต้งเหมือนจะรู้สึกตัวก่อน เลยได้โอกาส กระดกหน้าของตัวเองขึ้น
แล้วใช้ริมฝีปากของตนประกบเข้าที่ริมฝีปากของอีกคนเบาๆด้วยความรวดเร็ว ทำเอาคนที่
โดนจูจุ๊บสะดุ้งเล้กน้อย หน้าเขินแดงยิ่งขึ้น ในใจก็กำลังสั่นไหวอยู่ ร่างสูงที่นอนอยู่เบื้อง
ล่างเหมือนจะกำลังรอปฏิกิริยาตอบสนองของอีกฝ่ายซึ่งนิ่งอยู่ซักพัก และแล้วร่างโปร่งก็
ค่อยๆโน้มใบหน้าลงมาด้านล่างเพื่อจุมพิตคืนบ้าง เรือนโอษฐ์รูบกระจับสีชมพูของมิว ค่อยๆ
โน้มเข้าไปใกล้ชิด ริมฝีปากอิ่มชวนพิสมัยของโต้ง ใกล้เข้าไปเรื่อยๆ จนเกือบจะ.........




........




.........





Create Date : 16 มีนาคม 2553
Last Update : 16 มีนาคม 2553 17:29:08 น.
Counter : 494 Pageviews.

0 comment
ตอนที่ 19 +++ ความจริงภายใต้บาดแผล +++



+++++ต่อเรื่อง+++++









“พี่ว่าเราพามิวเข้าคลินิกใกล้แถวนี้ดีกว่านะ” พี่หลิวออกความเห็น

“ก็ดีครับพี่ ท่าทางอาการคงไม่น่าห่วงเท่าไหร่ พาไปใกล้ๆก็ดีครับ” เอ๊กซ์บอก

“โน่นไง ซ้ายมือข้างหน้าโน่น พี่หลิว เลี้ยวเลยๆ” ต่อชี้ให้คนขับดู จากนั้นรถของพี่หลิว
ก็พาสองหนุ่มนักดนตรีออกัสต์และนักร้องที่กำลังเป็นลมไปถึงคลินิกแห่งนึง





“ข้อแรก แกต้องกลับไปอยู่ระยองกับป๊า ทันทีที่สอบเสร็จ”

“ป๊าหมายถึง อยู่ที่โน่น เรียนที่โน่นเลยงั้นหรอ”

“ใช่ จบม.หกแล้ว แกต้องไปเข้ามหา’ลัยที่โน่น เรียนบริหารธุรกิจ ช่วยกิจการป๊า”

“แล้ววงดนตรีของมิวล่ะ ป๊าจะให้มิวทิ้งไปงั้นหรอ มิวสู้สร้างฝันมากับเพื่อนๆแล้วนี่.....”

“นั่นคือเงื่อนไขข้อที่สอง แกต้องเลิกเล่นดนตรี เลิกร้องเพลง แล้วช่วยป๊าดูแลโรงงานแทน”

“แต่การร้องเพลงเล่นดนตรีเป็นความฝันของมิวนะป๊า นี่ก็อุตส่าห์มีอัลบั้มแล้วด้วย
กลางเดือนนี้ก็วางแผงแล้ว ป๊าจะให้มิวทิ้งงาน กลายเป็นคนไม่รับผิดชอบหรอ”

“แกจะสอบเสร็จเมื่อไหร่” น้ำเสียงออกคำสั่ง

“ปลายเดือนครับ” น้ำเสียงซึมสลดลง

“งั้นก็รอจนสิ้นเดือน เสร็จเรื่องอัลบั้มเมื่อไหร่ ก็ไประยองทันที”

“แล้วเงื่อนไขข้อที่สามล่ะครับ” น้ำเสียงมิวเศร้าสร้อย ท้อแท้ สิ้นหวัง

“แกต้องเลิกติดต่อกับนายนั่นอย่างเด็ดขาด”

“แต่...โต้งเป็นเพื่อนมิวนะป๊า เพื่อนที่เข้าใจมิวที่สุดด้วย ป๊าให้มิว..........”

“ไม่มีข้อแม้ ป๊าทนเห็นแกกับไอ้นั่นทำเรื่องบ้าๆนี่ไม่ได้เด็ดขาด เข้าใจมั้ย เลิกยุ่งกับมัน
แล้วทำตัวให้สมเป็นลูกชายป๊าซักที อย่าลืมว่าแกต้องสืบสกุลให้ป๊านะ”




มิวค่อยๆเปิดตาขึ้นบนเตียงเล็กๆ ในห้องเล็กๆ ของคลินิกเล็กๆแห่งหนึ่ง สตรีในชุด
พยาบาลสีฟ้าอ่อนคนนึงกำลังบรรจงปิดผ้ากลอสบริเวณแผลผ่าตัดที่ด้านสีข้าง โดยไม่ได้มอง
หน้าผู้ที่กำลังดูแลแผลให้ตน นักร้องนำวงออกัสต์กลับเลือกมองผ่านช่องกระจกที่ประตู
คุณหมอกำลังยืนคุยกับพี่หลิว เอ๊กซ์ และต่อ ด้วยสีหน้าเรียบปกติ แต่สีหน้าของคนฟังกลับดู
ตื่นเต้นกังวลอย่างชัดเจน นักร้องหนุ่มรับรู้ได้ทันทีว่า การแอบไปผ่าตัดของตนนั้น ย่อมไม่ใช่
ความลับอีกต่อไป แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่ต้องกังวลนัก เมื่อเทียบกับสิ่งที่ตนเพิ่งจะฝันถึง ข้อตกลง
ที่สัญญาไว้กับป๊า ยิ่งนึกถึง สีหน้านักร้องหนุ่มก็ซึมลงทันที


“เจ็บแผลรึเปล่า” เสียงพยาบาลสาวเอ่ยถาม

“เปล่าครับ” มิวตอบโดยที่ไม่ได้มองหน้าคนถาม

“มิวนี่อึดดีนะ เจ็บแผลอยู่แท้ๆ ยังฝืนซ้อมเต้นได้ตั้งนาน แต่สุดท้ายก็เป็นลมอยู่ดี”


ด้วยความแปลกใจที่ทำไมเสียงพูดของพยาบาลคนนี้จึงฟังดูคุ้นเคยนัก ทั้งยังเรียกชื่อ
ของตนได้อย่างสนิทปาก ยังกับว่าคุ้นเคยกันมาก่อน มิวรีบหันหน้ามาดูพยาบาลที่อยู่ข้างๆ
ทว่า..............................คนๆนี้ไม่ใช่พยาบาล


“พี่จูน” นักร้องหนุ่มอุทานตกใจ แล้วพยายามลุกขึ้นนั่ง

“อย่าเพิ่งลุกเลย ...... ว่าไง พี่เองแหละ แปลกใจหรอ” สาวสวยยิ้มตอบ

“แล้วพี่จูนมาอยู่นี่ได้ไงเนี่ย” สีหน้านักร้องหนุ่มสงสัย แต่ก็เริ่มสังเกตว่าชุดที่จูนสวมอยู่
ไม่ใช่ชุดพยาบาลอย่างที่คิดไว้ตอนแรก แต่เป็นเสื้อเชิ้ตสีฟ้าเท่านั้น

“พี่แวะลงมาเยี่ยมเพื่อนที่กรุงเทพฯ แล้วก็หางานใหม่ทำด้วย ตอนนี้ก็เป็นผู้ช่วยอยู่ในกอง
ถ่ายหนังเรื่องนึง งานชั่วคราวน่ะ พอดีแวะมาซื้อยาก็เลยเจอมิวเข้าพอดี”

“ผมนึกว่าพี่จูนกลับเชียงใหม่ไปแล้วซะอีก”

“ก็กลับไปอยู่ได้พักนึงแล้วแหละ” สีหน้าจูนซึมลงบ้าง

“ทำไมเหรอครับ” น้ำเสียงของมิวแสดงความห่วงใย

“เรื่องมันยาวน่ะ ไว้พี่ค่อยเล่าให้ฟังทีหลัง” จูนเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ

“รีบเหรอครับ”

“นิดหน่อยน่ะ”

“พี่จูน”

“ฮึ”

“ผมขอโทษนะครับ”

“ขอโทษเรื่องอะไร”

“ก็....เพราะเรื่องของผมกับโต้งทำให้พี่ถูกพี่อ๊อดเค้า..........”

“มิว....ฟังพี่นะ เรื่องของเรื่องคือ พี่ไม่รับผิดชอบงานของพี่เอง พี่อ๊อดเค้าถึงได้....”

“แต่ถ้าตอนนั้นผมไม่ทำตัวงี่เง่า รู้จักรับผิดชอบวงมากกว่านี้ พี่จูนก็คงไม่เดือดร้อน”

“ไม่ใช่อย่างนั้นซะหน่อย พี่มีหน้าที่ดูแลวงนะ ยังไงตอนนั้นพี่ก็ผิดอยู่ดี”

“อย่างงั้นก็เหอะ แต่...”

“ไม่ต้องแต่แล้ว จะพูดว่าเพราะงานที่บ้านโต้งทำให้พี่เสียงานที่บริษัทพี่อ๊อด เป็นเพราะ
มิวคือต้นเหตุใช่ปะ.... อย่าได้คิดอย่างนั้นเด็ดขาดเชียว”

“ก็....”

“นั่นเพราะพี่ตัดสินใจเอง พี่เลือกที่จะสวมบทเป็นแตงเอง ไม่ใช่ความผิดของเรา อีกอย่าง
การอยู่บ้านนั้น ก็ให้อะไรดีๆกับพี่เหมือนกันนะ พี่ไม่เสียใจเลยกับสิ่งที่พี่เลือกทำ”

“แล้วพี่จูนจะทำไงต่อไปล่ะครับ จะอยู่กรุงเทพฯต่อใช่ปะ”

“ช่วงนี้ก็ไปอยู่ห้องเช่าห้องเดิมน่ะ โชคดีไม่มีใครมาเช่าต่อ เจ๊แกเลยใจดีให้เช่าต่อได้”

“กลับมาทำงานที่เดิมสิครับ เดี๋ยวผมช่วยขอร้องพี่อ๊อดให้”

“อย่าเลยมิว อีกอย่าง วงมิวก็มีผู้จัดการคนใหม่แล้วด้วย ท่าทางจะเก่งอีกต่างหาก”

“ครับ พี่หลิวเธอเก่งจริงๆ เล่นดนตรีได้ตั้งหลายชิ้น ยิ่งเครื่องสายนะ สุดยอดเลย”

“แล้วจะให้พี่ไปทำอะไรล่ะ พี่หลิวของมิวทั้งเก่งทั้งสวยขนาดนั้น”

“เอ่อ...คือ....” ท่าทางมิวจะนอยด์ไปเล็กน้อยเพราะกลัวจูนจะน้อยใจ

“อย่าทำหน้าซีเรียสนักสิ พี่ไม่ได้น้อยใจซักหน่อย” เหลือบดูนาฬิกาอีกครั้ง

“พี่จูน ผมมีเรื่องจะปรึกษา”

“พี่ต้องไปแล้ว อะนี่ เบอร์โทรศัพท์ใหม่ของพี่ ไว้ค่อยคุยกันทีหลังนะ” พูดจบสาวสวย
ก็รีบออกไปจากห้อง แวะทักเอ๊กซ์กับต่อเล็กน้อย แล้วก็หายไปจากคลินิกนั้น

มือคลำที่ผ้ากลอสปิดแผล ร่างโปร่งพยุงตัวลุกขึ้นนั่ง ตั้งใจจะปรึกษาเรื่องของตน
กับพี่จูน แต่เพราะเวลาไม่เอื้อ ทำให้ไม่ทันได้คุย แต่อย่างน้อยนักร้องหนุ่มก็มีอีกคนที่ตนพอ
จะปรึกษาได้


.....


.....









“มิวมีอะไรจะบอกพี่รึเปล่า” พี่หลิวเอ่ยถามมิวที่นั่งอยู่เบาะหลังคู่กับเอ๊กซ์

“ผมไม่สบายครับ” มิวตอบสั้นๆ

“มรึงไม่ต้องมาเลี่ยงตอบเลย พวกกรูอยากรู้เรื่องแผลผ่าตัดของมรึง” เอ๊กซ์ท้วง

“เปล่า ไม่มีอะไร” นักร้องหนุ่มยังคงปากแข็ง

“พวกกรูเป็นเพื่อนมรึงใช่ปะ” ต่อพูดสั้นๆ แต่ทำเอาคนฟังถึงกับจุก

“เอ่อ...กรู.....กรูก็แค่ไม่อยากให้เรื่องของกรูมาทำให้พวกมรึงต้องกังวลไปด้วย”

“แต่พวกกรูเป็นเพื่อนมรึง และมรึงก็เป็นเพื่อนพวกกรู ถ้าร่วมทุกข์กันไม่ได้ แล้วจะมี
เพื่อนไปทำแป๊ะทำไมฟร่ะ” เอ๊กซ์บอก

“เอางี้ เดี๋ยวพี่จะโทรกลับไปบอกพวกพี่อ๊อดว่ามิวเป็นไข้ พี่จะพามิวไปส่งที่บ้าน ให้เจ้า
แวนพาน้องอ้วนไปส่งบ้านด้วย นอกนั้นก็ให้กลับบ้านไปก่อนเลย ส่วนตัวมิวก็ของดซ้อม
ซักสองวัน ให้คนอื่นๆซ้อมกันไปก่อน ว่าไง ตกลงมั้ย”

“ก็ดีครับ ผมยังไม่อยากให้พี่อ๊อดรู้ด้วย” นักร้องนำตอบ พี่หลิวจึงใช้ให้ต่อที่นั่งอยู่ข้างๆ
กดโทรศัพท์หาแวน แล้วบอกตามที่แกสั่ง เพราะขับรถอยู่ คุยโทรศัพท์ไม่สะดวก

“แต่หญิงรู้ใช่มั้ย ว่ามรึงไปทำอะไรมา” มือกีตาร์ถามเพื่อนรัก

“ทำไมมรึงถึงคิดว่าเค้ารู้ล่ะ” มิวมองหน้าเพื่อนแล้วถามกลับ

“กรูมองตาเค้ากรูก็รู้แล้ว เค้าห่วงมรึงมากเลยนะ” น้ำเสียงแอบน้อยใจเล็กๆ

“หญิงเค้าเป็นเพื่อนสนิทกรู เค้าก็ต้องห่วงกรูดิ” มิวพูดยิ้มๆ

“แต่เค้าเคยแอบชอบมรึง ตอนนี้ก็ยังคง....” เอ๊กซ์พูดน้ำเสียงขาดความเชื่อมั่น

“ตอนนี้เค้าเป็นแฟนมรึง แล้วเค้ากับกรูก็เป็นได้แค่เพื่อนกัน มรึงก็รู้”

“แต่เวลามรึงทุกข์ มรึงกลับเล่าให้เค้าฟัง เค้าร่วมทุกข์ไปกับมรึงได้ แล้วกรูล่ะ”

“มรึงก็เพื่อนกรู กรูขอโทษที่ปิดบังพวกมรึง แต่กรูแทบไม่ได้บอกอะไรหญิงเลยนะ
เว้ย เค้ารู้ของเค้าเอง”

“ยังไงวะ” นายคิ้วหนายังคงสงสัย

“ก็เพื่อนเค้าเสรือกไปเจอกรูตอนผ่าตัดอยู่โรงบาลอะดิ”

“แล้วทำไมเค้าไม่เล่าให้กรูฟัง”

“ก็กรูขอร้องเค้าไว้”

“นี่แปลว่า เค้าแคร์มรึงมากกว่ากรู”

“ไม่ใช่อย่างนั้น ไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรกับแคร์ไม่แคร์เลย”

“ก็แล้ว........ เออ....ช่างเหอะ” เอ๊กซ์หยุดพูดซะเฉยๆ

“มรึงหึงกรูด้วยเหรอวะไอ้เอ๊กซ์” มิวสะกิดถาม

“ก็เค้าอาจจะตัดใจจากมรึงไม่ขาดก็ได้”

“แต่มรึงก็รู้ว่ากรูเป็น......”

“กรูเข้าใจ กรูก็แค่.....”

“มรึงน้อยใจเค้าว่างั้น ...... ไอ้ห่านี่ขนคิ้วเยอะแต่เสรือกขี้ใจน้อยกะเค้าด้วย หญิงอะ
ถ้ากรูไม่ขอร้อง เค้าก็คงจะบอกมรึงไปแล้ว”

“เออ....กรูรู้แล้วน่า ว่าแต่มรึงเหอะ จะบอกพวกกรูได้รึยัง”

“ที่จริงกรูก็ตั้งใจว่าอาทิตย์หน้า หลังเปิดอัลบั้ม กรูจะเล่าให้พวกมรึงฟัง แต่ถ้าเรื่องเป็นอย่าง
นี้ล่ะก็...... ไว้ถึงบ้านกรูก่อน แล้วกรูจะเล่าให้พวกมรึงฟังเอง”

“เล่าให้พี่ฟังด้วยนะ” พี่หลิวท้วง

“ครับพี่ แต่ว่า พี่อย่าเพิ่งบอกพวกพี่อ๊อด กับคุณเอ คุณบีนะครับ”

“อือ...ก็ตามใจเราสิ” หลิวพูดสั้นๆ แล้วขับรถต่อไป

...........

...........





รถเก๋งของหลิว แล่นเข้ามาในซอยบ้านมิว เฮียกำลังจัดของอยู่หน้าร้านทันเห็นพอดี
หนุ่มใหญ่ร่างท้วมรีบเดินเข้ามาดู เห็นเอ๊กซ์ค่อยๆพยุงมิวลงมาจากรถ ต่อรับกุญแจจากมิว
ไปไขประตูบ้าน จึงสะกิดถามหลิวว่าเกิดอะไรขึ้น


“อามิวเป็นอะไรอะหลิว” เฮียสมเกียรติถาม

“น้องไม่สบายน่ะเฮีย ซ้อมหนักไปหน่อย แต่ที่แย่กว่าคือ..... แผลปริ” หลิวตอบเบาๆ

“แผลอะไรหรอ”

“ก็ไม่รู้ดิ ไปแอบผ่าตัดช่องท้องมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้”

“ไส้ติ่งมั้ง”

“แต่หมอเค้าว่าไม่ใช่ นี่เจ้าตัวก็ยังไม่ยอมบอก ว่าจะคาดคั้นถามซะหน่อย”

“แต่หลายวันนี้ มิวเค้าไปบ้านป๊าที่ระยองมานี่นา”

“นั่นดิ ก็เลยไม่รู้ว่ามันยังไง แต่ท่าทาง หญิงจะรู้เรื่องนะ ไว้เฮียลองถามเอาสิ”

ไม่ทันสิ้นเสียงของหลิว รถเก๋งของหญิงก็แล่นเข้ามาในซอยพอดี ในรถมีปิงปอง
แวน เอ็มนั่งมาด้วย พอรถจอด เพื่อนๆทุกคนก็กรูเข้าไปบ้านมิวกันหมด

“แล้วใครไปส่งน้องอ้วนล่ะหญิง” หลิวถามก่อนที่หญิงจะวิ่งตามเข้าไปในบ้านมิวอีกคน

“น้องไมค์ค่ะพี่หลิว” ตอบสั้นๆและวิ่งเข้าไปในบ้านมิวทันที

“ไปเหอะ ไปถามให้รู้เรื่อง” เฮียจูงมือหลิวเดินเข้าไป อีกฝ่ายก็ยอมให้จูงโดยดี

..........

..........




การสอบวิชาสุดท้ายในภาคบ่ายไม่ยากอย่างที่โต้งคิด ร่างสูงนั่งทำข้อสอบอย่าง
สบายใจ มือขวาก็ฝนดินสอสองบีลงบนกระดาษคำตอบ แต่มือซ้ายกลับล้วงลงไปในกระเป๋า
กางเกงนักเรียนสีดำตลอดเวลา กำลังใจที่ทำให้ชายหนุ่มมุ่งมั่นอยู่ในนั้น จมูกไม้ที่แลกคืน
มาจากคนรัก จมูกไม้ที่คนรักเขียนรูปหัวใจและลงลายมือชื่อเอาไว้พร้อมกับรอยจุมพิต


“นายคนนั้นน่ะ มือซ้ายเธอล้วงอะไรอยู่ ไหนเอาออกมาดูซิ” เสียงกรรมการดังขึ้น

“เปล่าครับอาจารย์ ก็แค่เครื่องรางน่ะครับ” ชายหนุ่มตอบ

“ไหน เอาออกมาให้ชั้นดูเร็วเข้า เครื่องรางอะไร เห็นล้วงตั้งแต่เช้าแล้ว”

ชายหนุ่มค่อยๆหยิบจมูกไม้ออกมาอย่างไม่เต็มใจนัก แล้วส่งให้อาจารย์ที่เป็นกรรมการ
คุมสอบดู ที่อมยิ้มในพฤติกรรมของวัยรุ่นสมัยนี้ ก่อนจะส่งคืนให้

“ของแฟนหรอ” กรรมการเย้าถาม

“ครับ” ชายหนุ่มตอบกลับ ก่อนจะเตรียมลุกจากโต๊ะเพราะทำข้อสอบเสร็จพอดี
โต้งเก็บจมูกไม้ใส่ในกระเป๋ากางเกงเหมือนเดิม ก่อนจะเดินเอาข้อสอบไปส่งหน้าห้อง




เดินออกมาจากห้องสอบอย่างสบายใจ ชายหนุ่มหยิบจมูกไม้ขึ้นมามองและจูบ
เบาๆ ก่อนจะพูดกับมันว่า

“ขอบคุณนะ”

จากนั้นก็เก็บสัมภาระแล้วเดินลงไปจากตึกสอบ เพื่อไปสมทบกับเพื่อนๆที่คอยอยู่บ้าง
แล้ว เนื่องจากวิชาที่โต้งเลือกสอบมีมากกว่าเพื่อนๆ ทำให้เสียเวลามากกว่า แต่เพื่อนๆ
ก็ยังคอยอยู่ เพื่อให้กำลังใจกันและกัน


“เป็นไงบ้างวะ” เจ๋งเอ่ยถาม

“สบายมาก กรูได้ติวเตอร์ดี ก็เลยทำได้”

“นักคีย์บอร์ดวงออกัสต์น่ะเหรอวะ .... เออ...ก็ดี แล้วนี่มรึงจะไปไหนต่อมั้ยเนี่ย”

“กรูว่าจะแวะไป....นะ...พวกมรึงก็น่าจะรู้”

“ไปดูหนังกับพวกกรูก่อนดิ ไม่ได้ไปดูด้วยกันทั้งกลุ่มตั้งนานแล้ว” เอิร์ธชวน

“ก็ได้ เดี๋ยวกรูโทรบอกมิวก่อนนะ” ชายหนุ่มพูดจบก็หยิบโทรศัพท์มากดหามิว
แต่ไม่มีใครรับสาย

“สงสัยซ้อมเพลงอยู่มั้ง” เปรยเบาๆแล้วโต้งก็เปลี่ยนไปพิมพ์ข้อความแทน

“เสร็จรึยังโต้ง” เอิร์ธเร่ง

“เออ...เสร็จแล้ว เร่งอยู่ได้” จากนั้นชายหนุ่มก็คว้ากระเป๋าเดินตามกลุ่มเพื่อนไป


....


....


....


ที่บ้านของมิว ทุกคนกำลังรวมกลุ่มกันอยู่ในห้องนั่งเล่น ขณะเดียวกัน ในกระเป๋า
ของนักร้องหนุ่มเจ้าของบ้าน เสียงสัญญาณข้อความเข้าของโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น แต่ไม่มี
ใครใส่ใจ เพราะทุกคนกำลังสนใจร่างโปร่งที่นั่งอยู่บนโซฟา รอว่านักร้องนำวงออกัสต์จะ
บอกเรื่องอะไรกับพวกตนบ้าง


“มรึงว่ามา ตกลงว่าหลายวันนี้มรึงได้ไประยองรึเปล่า หรือแอบไปไหนมา แล้สรอยแผล
ผ่าตัดที่เอวของมรึงเนี่ย มันมายังไง มรึงค่อยๆคิดนะเว้ย และเราให้พวกกรูฟังทุกเรื่อง”
มือกีตาร์คิ้วหนาในฐานะรองหัวหน้าวง คาดคั้นหัวหน้าวงให้เล่าให้ฟัง

นักร้องหนุ่มถอนหายใจเบาๆ ค่อยๆมองหน้าเพื่อนทีละคน ช้าๆ เพื่อนสนิท ที่รวมต่อสู้
มาด้วยกันตั้งแต่ออกัสต์ยังไม่เป็นวงด้วยซ้ำ แล้วมาหยุดที่ใบหน้าของหญิง ที่พยักหน้า
ให้รู้ว่าเห็นด้วยที่จะให้มิวเล่าเรื่องทุกอย่างซักที ร่างโปร่งสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วเริ่ม
เปิดใจกับเพื่อนๆที่รักของตน


“กรูอาจจะต้องลาออกจากวงออกัสต์ว่ะ”

....

....








“มรึงพูดอะไรของมรึงเนี่ย” มือกีตาร์คิ้วหนาเอ่ยถามเพื่อน

“กรูพูดว่า กรูอาจจะต้องลาออกจากวง” นักร้องหนุ่มตอบ

“เป็นเชี่ยอะไรของมรึงอีกวะ เกี่ยวกับป๊ามรึงรึเปล่า” เอ๊กซ์ถามต่อ

“ก็.....เอ่อ.......” เจ้าของบ้านอึกอักอยู่บ้าง

“ชัวร์ป้าบบบ ไม่ต้องสงสัย”

“ก็จริง คือ....”

“พ่อมรึงไม่อยากให้มรึงเล่นดนตรีเหรอวะ” ต่อถามบ้าง

“หรืออยากให้มรึงไปทำธุรกิจแทน” แวนถามอีกคน

“พี่มิวก็ค่อยๆคุยกับป๊าพี่สิครับ” ปิงปองส่งเสียงมาอีก

“หยุดพูดก่อนเหอะทุกคน ให้มิวเล่ามาเองดีกว่า” หญิงตัดบท

“ขอบใจนะหญิง” มิวขอบใจหญิง แล้วคลำที่รอยแผลผ่าตัด

“เจ็บแผลเหรอมิว เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับการผ่าตัดของมิวรึเปล่า” พี่หลิวถามบ้าง

“คือว่า.....” นักร้องหนุ่มยังไม่มั่นใจที่จะเล่า แต่ก็สอดสายตาไปทางหญิงที่คอยเป็น
กำลังใจอยู่ห่างๆ และพยักหน้าให้

“คือว่า....ที่ทุกคนว่ามา มันก็.............เกี่ยวกันหมดนั่นแหละครับ”

“รวมทั้งเรื่องของหนูโต้งด้วยใช่มั้ยลูก” เสียงหญิงชราดังมาจากประตูบ้าน

“ป้าอรครับ” เจ้าของบ้านเอ่ยทักผู้ดูแล

“ป้าพอจะเดาเรื่องได้แล้ว มิน่าล่ะ วันก่อนเถ้าแก่ถึงโทรมาบอกให้ป้าช่วยหนูเก็บของ”

“ป๊าเค้าเร่งขนาดนั้นเลยเหรอครับ” น้ำเสียงและสีหน้ามิวซึมลงยิ่งกว่าเก่า

“สรุปแล้ว มันเรื่องอะไรกันเนี่ย ทำไมต้องลาออกจากวงด้วย” เฮียสมเกียรติเอ่ยถาม
อย่างสงสัย แล้วก็หันไปมองน้องสาวตนสลับไปมา

“เฮ้ยมิว ที่ป้าอรพูดเมื่อกี้ มรึงอย่าบอกนะ ว่าป๊ามรึงรู้เรื่องของมรึงกะโต้งแล้ว” เอ๊กซ์ถาม
แต่นักร้องหนุ่มไม่ได้เอ่ยปากตอบ แค่พยักหน้าเท่านั้น

“พี่ว่าทุกคนหยุดตั้งคำถามดีกว่านะ ฟังมิวเล่าดีกว่า” พี่หลิวเอ่ยปาก


นักร้องนำวงออกัสต์ผู้เป็นเจ้าของบ้าน ไม่อยากเล่าไปแล้วต้องสบตาเพื่อนๆไปด้วย
จึงลุกจากโซฟา แล้วเดินไปนั่งที่หน้าเปียโนของอาม่า หันหลังให้กลับเพื่อนๆของตน
นิ้วมือเรียวงามบรรจงกดแป้นเปียโน ด้วยบทเพลงที่คุ้นเคยของอาม่า ช้าๆ เบาๆ


“ปกติ กรูมีอะไร ก็มักจะเก็บไว้คนเดียว มรึงก็รู้ใช่มั้ย เอ๊กซ์” มิวถามเบาๆทั้งที่ยังหันหลัง

“ใช่ นิสัยประจำมรึงเลยล่ะ ชอบคิดว่ามรึงไม่มีใคร ทั้งๆที่มรึงมีพวกเราทุกคนอยู่ตรงนี้”

“ก็กรูยังแก้นิสัยนี้ของกรูไม่ได้นี่หว่า มรึงรู้มั้ย เวลาที่กรูต้องทนกับความเหงาตามลำพัง
น่ะ มันเชี่ยสุดๆเลย แต่กรูก็เริ่มจะชินกับความเจ็บปวดนั้น และไม่อยากให้ใครต้องรู้สึก
อย่างที่กรูเคยรู้สึก”

“แล้วไงวะ” เอ็มมือกลองที่ไม่ค่อยได้พูด เอ่ยขึ้นบ้าง

“จนกรูได้เจอโต้งอีกครั้ง กรูเริ่มรู้สึกว่า โลกของกรูสดใสขึ้นกว่าก่อนมาก กรูแต่งเพลงรักได้
วงของเราก็เริ่มดังขึ้น กรูเห็นความฝันสวยงามรออยู่ข้างหน้า ความเหงาค่อยๆหายไป”

“แต่แล้วมรึงก็กลับไปแย่ยิ่งกว่าเก่า” แวนพูดออกมา

“หลังจากที่น้านีย์มาหากรูที่นี่ วันนั้น กรูก็คิดได้ว่า ความรักที่เริ่มก่อขึ้นในใจกรู ความรักของ
กรูกับโต้ง มันไม่ใช่เรื่องที่จะทำให้ใครต่อใครยอมรับได้ง่ายๆ แต่กรูมีความรัก มีความฝัน ช่วง
นั้น มันเป็นช่วงที่กรูรู้สึกว่าความเหงามันเชี่ยที่สุดในรอบหลายปี กรูร้องเพลงไม่ได้ เล่นเปียโน
ไม่ได้ มันอึดอัด แต่มันหาทางระบายไม่ได้”

“จนกระทั่งมิวรู้ ว่าหญิงแอบหลงรักมิว” หญิงพูดออกมา

“อาหญิง ลื้อเป็นสาวเป็นนาง อย่าไปบอกใครว่าเคยแอบชอบผู้ชายสิ” เฮียว่าหญิง

“เฮียเงียบเถอะน่า ฟังมิวเล่าต่อ” หลิวตีเฮียเบาๆให้หุบปาก

“ใช่ หลังจากนั้น เราก็เริ่มเข้าใจได้ว่า บางครั้ง ความรักก็ไม่จำเป็นต้องเป็นไปอย่างที่เราหวัง
หรอก ตราบใดมีรัก ก็ย่อมมีความหวัง” มิวยิ้มให้กับเปียโน ในขณะที่หญิงก็ยิ้มเช่นกัน

“วันที่มรึงมาหากรูน่ะเอ๊กซ์ ก่อนหน้านั้น กรูเดินเจอโต้ง แต่กรูก็แกล้งเดินหนีผละจากเค้ามา
กรูเจ็บนะ แต่ก็พยายามตัดใจ จนมาเจอมรึงที่บ้าน จำได้มั้ย ว่ามรึงบอกอะไรกรู”

“จำได้สิ ตอนนั้น มรึงร้องเพลงที่มรึงแต่งให้โต้งไม่ได้ กรูถามว่าทำไม มรึงก็บอกว่า กรูไม่
เข้าใจหรอก มรึงรู้มั้ยวะ ในฐานะเพื่อนสนิทกับมรึงมาหกปีเต็ม การที่เพื่อนรักมาบอกว่า
มรึงไม่เข้าใจหรอกเนี่ย มันก็เชี่ยไม่น้อยกว่าการไม่มีเพื่อนหรอกนะ กรูเก็บความเจ็บนั้นเอา
ไว้ แล้วก็บอกมรึงกลับไปว่า ถึงกรูจะไม่เข้าใจมรึง แต่มรึงก็ยังเป็นเพื่อนกรูนะเว้ย ทำไม
มรึงชอบคิดว่า ไม่มีใครสนใจมรึงวะ แล้วกรูก็ยังยืนยันคำเดิมเหมือนตอนนั้น”

“ขอบใจเว้ย” มิวยังคงหันหลังพูดเหมือนเดิม

“แล้วไงต่อล่ะพี่มิว” ปิงปองแทรกถามขึ้นบ้าง

“หลังจากนั้น พี่ก็กลับมาร้องเพลงได้อีกครั้ง ถึงจะต่างไปจากเดิม แต่ก็ยังร้องได้”

“แล้วคืนวันคริสต์มาสล่ะวะ เล่ามาดิ๊” ต่อถาม

“ก็อย่างที่พวกมรึงรู้แล้วนั่นแหละ กรูได้ของขวัญจากโต้ง แล้วเค้าก็บอกว่าเค้าคบกรูเป็น
แฟนไม่ได้ แต่ไม่ได้แปลว่าเค้าไม่ได้รักกรู”

“ผมจำได้ว่าก่อนวันเกิดผม พี่มิวดูซึมเศร้าไปมาก แล้วก็มาแต่งเพลงคนธรรมดาได้อีก”

“มันไม่ใช่ความเศร้าอย่างเดียวหรอก แต่มันคือความพยายามที่จะเข้าใจความรักด้วยอะปิง”

“แล้วมรึงก็ผ่านไปได้ ต่อมาบ้านโน้นเค้าก็ยอมรับเรื่องของมรึงกับลูกชายเค้าได้” เอ๊กซ์พูดต่อ

“หนึ่งเดือนมานี่ กรูว่ามรึงก็ดูแฮปปี้นี่หว่า ไหงมามีเรื่องอะไรอีกวะ” มือเบสถามอีก

“พวกมรึงไม่รู้จักครอบครัวนู้น พวกมรึงก์อาจจะไม่เข้าใจ แต่ว่า......” มิวกลืนน้ำลาย พูด
ไม่ออก ได้แต่หลับตาแล้วกดแป้นเปียโนเบาๆ บทเพลงที่อาม่าชอบฟังประจำ เพลงที่อากง
เคยเล่นให้อาม่าฟัง แล้วใช้สื่อความรู้สึกบอกว่า..................... คิดถึง

“บ้านโน้นทำให้หนูมิวคิดถึงอาม่า และโหยหาความรักจากป๊าใช่มั้ยลูก” ป้าอรที่เมื่อได้ยิน
เพลงนี้แล้วก็เข้าใจความรู้สึกของมิวได้ทันทีพูดขึ้น

“ยังไงเหรอครับป้าอร” เอ๊กซ์ ต่อ แวน เอ็ม ปิงปอง เอ่ยถามขึ้นพร้อมกัน

“พวกหนูก็รู้ใช่มั้ย ว่าตั้งแต่เด็กน่ะ หนูมิวต้องอยู่ลำพังมาตลอดโดยไม่มีป๊ากับแม่อยู่ด้วย”

“ครับป้า” เหล่าสมาชิกออกัสต์ยังคงตอบพร้อมกัน

“อ๋อ...เฮียเข้าใจแล้ว” จู่ๆเฮียก็แทรกขึ้นมา

“ยังไงล่ะเฮีย” หลิวเอ่ยถาม

“ก็บ้านนั้นน่ะ เค้ารักมิว และต้อนรับมิวอย่างดีน่ะสิ มิวก็เลยรู้สึกอบอุ่น เหมือนมีบ้าน
หลังที่สองไง มีพ่อแม่ของโต้ง เหมือนพ่อแม่ตัวเอง”

“แล้วมันเกี่ยวกับป๊ามิวยังไงล่ะ” หลิวถาม

“เออ....นั่นดิ”

“เพราะพ่อของโต้งป่วยหนัก ต้องผ่าตัด” หญิงพูดขึ้นมาให้ทุกคนได้ยิน

“ผ่าตัด” เสียงทุกคนอุทาน พร้อมกับจ้องไปที่แผลผ่าตัดที่ซ่อนอยู่ใต้เสื้อของมิว

“กรูนึกออกแล้ว ตอนนั้นโต้งซึมเศร้า โทษเรื่องพระเจ้าไม่มีจริง ถึงกับขว้างจี้กางเขน
ทิ้งลงคลอง แล้วมรึงก็ไปตามงมมาไง” นายคิ้วหนาพูดขึ้นมา

“จี้เงินที่พี่มิวคล้องคออยู่ตอนนี้น่ะเหรอฮะพี่เอ๊กซ์” นักเป่าแซกเอ่ยถามนักกีตาร์

“อือ...ใช่ โต้งยกสร้อยเส้นโปรดนั่นให้มิวใส่ แล้วมันก็ใส่ไม่ถอดจนถึงตอนนี้ไง”

“มันมีเรื่องที่พวกนายอาจจะยังไม่รู้อีก” นักร้องนำออกัสต์เอ่ยเบาๆ

“อะไรเหรอวะ” มือคีย์บอร์ดถาม

“พวกมรึงรู้มั้ย ทำไมเมื่อก่อนพี่จูนถึงต้องมาทำงานพิเศษบ้านโต้ง”

“ก็มรึงเคยบอกว่าหน้าพี่จูนเค้าเหมือนพี่สาวโต้งที่หายไปไง” แวนตอบ

“แล้วนั่นก็เป็นสาเหตุให้น้ากรติดเหล้ารุนแรง”

“สุดท้ายก็อาการหนัก ถ้าติดเหล้า ก็ต้องผ่าตับอะดิว่ะ” เฮียพูด

“งั้น ที่มรึงไปผ่ามาก็ ...... ปลูกถ่ายตับให้พ่อโต้งเหรอวะ” เอ๊กซ์พูดไปอึ้งไป ในขณะที่
ทุกคนกำลังทึ่งในความเสียสละของมิว

“ทำไมมรึงถึงยอมยกตับมรึงให้คนอื่นวะ” มือกลองเอ่ยถาม

“ก็เพราะว่า.......” มิวนึกถึงน้ากรกับโต้ง สลับกับป๊ากับตนเอง

“ตลอดหลายปีมานี่ โต้งขาดความอบอุ่นจากพ่อ เพราะพ่อติดเหล้า เหมือนอย่างที่มิว
โหยหาป๊า โต้งก็คงจะเหมือนกันใช่ปะ แต่เพราะครอบครัวโต้งเริ่มจะดีขึ้น อบอุ่นขึ้น
อาการของพ่อโต้งก็กลับทรุดหนักลงไปอีก” หญิงพูดแทนมิว

“มรึงรักโต้งมาก แล้วก็คงทนเห็นโต้งต้องเจ็บปวดจากการสูญเสียพ่อไม่ได้ มรึงก็เลย
สละตับของมรึงให้พ่อเค้า” กรูพูดถูกปะวะ

“อือ” มิวยังคงหันหลัง แต่ก็พยักหน้าเบาๆ

“มิว” จู่ๆก็มีเสียงที่คุ้นเคยดังมาจากประตูเลื่อน ทุกคนหันไปมอง ร่างสูงชายหนุ่มใน
ชุดนักเรียนกางเกงสีดำยืนอยู่และกำลังจ้องมองมายังร่างโปร่งที่นั่งอยู่หน้าเปียโน

.......

.......












โต้งตัดสินใจจะไปดูหนังกับกลุ่มเพื่อนของตน จึงพากันออกมาจากตัวตึก แวะนั่งซื้อน้ำ
มากินที่โต๊ะหินอ่อนตัวหนึ่ง หลังจากนั้น เจ๋งและเพื่อนคนอื่นๆขอตัวไปเข้าห้องน้ำ ทิ้ง
ให้ชายหนุ่มนั่งรออยู่ที่โต๊ะคนเดียว พลันเสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น

“ให้มันเป็นเพลง บนทางเดินเคียง............”

“มือถือกรูนี่หว่า มิวโทรมามั้ง” ชายหนุ่มควานหาโทรศัพท์มือถือของตน ปรากฏว่า
เครื่องของตนก็ยังปกติดี ไม่มีใครโทรเข้า สองตาสีน้ำตาลของโต้ง จึงค่อยๆสอดส่อง
อีกครั้งว่าเป็นเสียงจากโทรศัพท์มือถือของใครกันแน่

“เครื่องไอ้เจ๋งนี่หว่า ไอ้ห่านี่ เสรือกใช้เพลงเดียวกันกับกรู กรูรู้ว่าเพลงเค้าดี แต่คนแต่ง
เค้าตั้งใจแต่งให้กรูเว้ย” โต้งตั้งใจจะรับสายแทนแต่สายตัดไปซะก่อน ชายหนุ่มจึงหยิบ
โทรศัพท์ของเพื่อนมา ตั้งใจจะเปลี่ยนเสียงเรียกเข้าเป็นเพลงอื่น

ในระหว่างที่ชายหนุ่มกำลังเลือกว่าจะใช้เพลงไหนอยู่นั้น พลันเหลือบไปเห็นโฟลเดอร์
นึงในเครื่องที่เจ๋งใช้ชื่อว่า “เสียงของมิว” ด้วยความสนใจอยากรู้ ผสมกับความหึงหวง
เล็กๆ โต้งจึงเลือกที่จะเปิดฟัง


“พวกนายมาได้ไงเนี่ย”
“เสียงของมิวนี่หว่า” โต้งเปรย

“ก็เพราะว่าพวกเรารู้อะดิ ว่านายมานอนอยู่ที่นี่ แล้วถ้าเราเดาไม่ผิดล่ะก็ นายสละตับ
ให้พ่อโต้งใช่ปะ แต่ที่ไม่เข้าใจคือ ทำไมต้องปิดบังโต้งด้วย”

“เสียงไอ้เจ๋งบอกว่ามิวสละตับให้พ่อ มันยังไงกันวะ” โต้งเริ่มแปลกใจ

“ก็.....ไม่รู้ดิ ไม่รู้เหมือนกัน”

“ตอบเหมือนกันเด๊ะ ให้ตายเถอะ คู่กันจริงๆด้วย”

“เสียงไอ้แหว มันก็อยู่ด้วบเหรอวะ” โต้งครุ่นคิด

“มีคำตอบที่ดีกว่านี้รึเปล่า”

“ทำไมต้องมีคำตอบด้วยล่ะ การที่เราทำสิ่งดีๆเพื่อใครซักคนที่เรารัก จำเป็นต้องให้เค้า
คนนั้นรับรู้และสำนึกบุญคุณด้วยหรอ เราว่าไม่จำเป็นหรอก แค่ได้ทำก็มีความสุข
แล้ว ขอเพียงให้น้ากรยังอยู่ โต้งก็ไม่ต้องเสียน้ำตาเพราะสูญเสียพ่อไปอีกคน พวกนาย
เคยรู้มั้ย ว่าการที่เรารักใครมากๆ แล้ววันนึงต้องเสียเค้าไป มันเจ็บปวดแค่ไหน ตอนที่
พี่แตงจากไป เราเคยเห็นความบอบช้ำของครอบครัวโต้งมาแล้ว จนทุกวันนี้ โต้งก็ยังลืม
ความทุกข์นั้นไม่ได้ ความสูญเสียพี่แตง ที่เป็นเหตุให้น้ากรติดเหล้าจนเกือบจะจากไปอีก
คน ถ้าเป็นพวกนาย เห็นคนที่ตนรัก กำลังตกอยู่ในความทุกข์ นายจะไม่ทำอะไรเพื่อเค้า
เลยหรอ ขอเพียงได้เห็นโต้งมีความสุขกับครอบครัว ครอบครัวที่โต้งโหยหามาหกปี
แค่นี้ มันก็คุ้มค่าที่จะเสี่ยงแล้วล่ะ”
“มิว..... นี่มิว....” โต้งรู้สึกซาบซึ้งที่มิวรู้สึกกับตนถึงเพียงนี้

“นายนี่มัน...บ้าสิ้นดีเลยว่ะ เสี่ยงตายนะเว้ย”

“จะเรียกว่าอะไรก็ตาม เรามีความสุขที่ได้ทำเพื่อโต้ง”

“มิน่า โต้งมันถึงรักนายมาก เพราะคงมีแต่นาย ที่รักมันได้ขนาดนี้ รักโดยไม่หวังอะไร”
“แต่ก็ต้องมีบ้างแหละน่า สิ่งที่นายอยากได้จากโต้งนะ”

“เสียงไอ้เอิร์ธ นี่พวกมันไปแอบอัดเสียงมิวที่ไหนวะเนี่ย ..... โรงบาล” โต้งสงสัย

“ถ้าหมายถึงของขวัญล่ะก็ เราได้มานานแล้วล่ะ”
“มิวต้องหมายถึงตัวต่อไม้แน่ๆเลย” โต้งคิดในใจ

“ตัวต่อไม้นี่น่ะหรอ คุ้นๆแฮะ เหมือนเคยเห็นวางขายแถวสยามฯ”
“นั่น ... ว่าแล้วเชียว” โต้งพูดเองเออเองอยู่คนเดียว

“แต่ตัวนี้มาจากเชียงใหม่ เป็นของขวัญคริสต์มาสจากโต้งเมื่อหกปีก่อน”
“ใช่...กว่าจะซื้อได้ ลำบากแทบแย่” โต้งยังคนฟังไปบ่นไปอยู่

“ตั้งแต่เด็กเลยเหรอวะ นี่พวกนายรักกันตั้งแต่เด็กเลยหรอ” “ไอ้เจ๋ง นี่ เสรือกไม่เข้าเรื่องนะมรึง”

“ไม่รู้ดิ ไม่รู้เหมือนกันว่าความรู้สึกตอนนั้นเรียกว่าอะไร รู้แต่ว่า มีความสุขที่ได้คิดถึง”

“แต่จมูกมันแปลกๆนะ เหมือนจะไม่ได้มาพร้อมกัน”

“ตอนโน้นเราเล่นเกมหาของกัน แล้วจมูกมันหายไป ที่จริง ตัวต่อไม้ตัวนี้ ขาดจมูกมาหกปี
พอตอนหลัง โต้งก็เลยทำให้ใหม่”

“มิน่าล่ะ ฝีมือถึงได้ไม่ดีเท่าไหร่ แต่ก็สมบูรณ์ขึ้นล่ะนะ ตัวต่อไม้แห่งความทรงจำของพวกนาย”
“แล้วสร้อยที่คอนายล่ะ ได้มายังไง”

“นั่นมันสร้อยที่ไอ้โต้งชอบใส่นี่หว่า กรูว่าจะถามมันหลายหนแล้ว ว่าสร้อยหายไปไหน”

“ไอ้แหวนี่ก็ใช้ได้เว้ย จำสร้อยกรูได้ด้วย”

“ตอนที่โต้งรู้ว่าน้ากรต้องปลูกถ่ายตับ แต่ใช้ตับของโต้งหรือน้านีย์ไม่ได้ ตอนนั้นโต้งสิ้นหวัง
มาก ถึงขั้นขว้างสร้อยทิ้งลงคลอง เราไปตามเก็บมาให้ โต้งก็เลยยกให้เราแทน”

“ทำเอามิวเกือบแย่แน่ะ ยังรู้สึกผิดอยู่เลยเนี่ย” โต้งพูดกับตัวเอง

“จำได้แล้ว หญิงเคยเล่าให้ฟังเหมือนกัน ไม่น่าเชื่อ ว่าพวกนายจะผ่านเรื่องอะไรมาขนาดนี้
มิน่า ถึงได้รักกันนัก ขนาดเราเป็นเพื่อนกับโต้งมันมาหกปี ยังไม่เคยรับรู้และเข้าใจเรื่องของ
มันเท่ากับนายเลย มิน่าล่ะ ถึงได้รักกันนัก”

“ เพราะอย่างงั้น นายจึงตัดสินใจ เสียสละตับของนายให้งั้นดิ นายนี่มัน สุดยอดจริงๆว่ะ”

“ถ้ามิวไม่สุดยอด กรูจะรักเหรอวะ” โต้งพูดคนเดียวอีก

“ว่าแต่ ถ้าพวกนายรู้ว่าเราอยู่นี่ งั้นก็แปลว่า โต้งต้องรู้แล้วอะดิ”

“เปล่า ยังไม่รู้ โต้งมันดูแลพ่ออยู่ ตอนนี้ก็ยังไม่รู้หรอก”

“งั้นเราขอร้องพวกนาย อย่าบอกเรื่องนี้กับโต้งได้ปะ”

“ทำไมมิวต้องไม่อยากให้เรารู้ด้วยวะ” โต้งบ่นเบาๆ

“ก็ตามใจนายดิ เอาเป็นว่า เรารับปากว่าเรื่องที่พวกเรามาคุยกับนายที่นี่ จะไม่มีใครเอาไปพูด
ให้ไอ้โต้งมันฟังแน่นอน”

“ไอ้พวกนี้ ไม่ยอมบอกกรูนะมรึง”

“แต่นายไม่คิดจะบอกมันจริงๆนะเหรอ”

“ไม่หรอก เราไม่อยากให้เรื่องนี้มากลายเป็นเรื่องบุญคุณกับคนที่เรารัก เรื่องของความรัก
กับเรื่องของบุญคุณ ไม่ควรจะเอามาผูกไว้ด้วยกัน”

“สมมตินะ สมมติว่ามีอะไรที่นายอยากจะให้โต้งทำให้น่ะ นายอยากจะให้มันทำอะไรหรอ”

“ไม่รู้ดิ คงอยากเห็นโต้งเล่นดนตรีให้เราฟังบ้างมั้ง”

“แล้วถ้าร้องเพลงให้ฟังล่ะ ไม่ชอบหรอ”

“ก็ชอบ แต่ว่าเสียงโต้งน่ะ แย่เอาการ แต่ก็ไม่แน่หรอก การร้องเพลงไม่ได้ใช้แค่เสียงอย่างเดียว
แต่ต้องส่งผ่านความรู้สึก ของคนร้องไปถึงคนฟังด้วย เพลงถึงจะเพราะ”

“หรอ งั้นพวกเรารบกวนนายแค่นี้นะ รับรอง เราทุกคนปิดปากสนิทแน่นอน”
“มิน่าล่ะ วันนั้น พวกมันถึงยุให้เราร้องเพลงให้มิวฟัง ที่แท้ก็แบบนี้นี่เอง”


“แล้วมรึงรู้อย่างนี้แล้ว จะเอาไงต่อล่ะวะ” เสียงเจ๋งดังมาจากข้างหลัง

“กรูเปลี่ยนใจแล้วว่ะ” โต้งบอกเพื่อนๆ

“เปลี่ยนใจจากมิวเหรอวะ” แหวแซวเล่น

“ไอ้เวน ไม่ใช่เว้ย กรูเปลี่ยนใจไม่ไปดูหนังกับพวกมรึงแล้ว”

“แล้วมรึงจะไปไหน”

“ไปรอพูดกับมิวที่บ้าน”

“เออ... คุยกันดีๆล่ะ” เอิร์ธบอกเพื่อน

“กรูไปล่ะนะ” โต้งเดินแยกออกมา

“เดี๋ยวก่อน” เจ๋งตะโกนเรียกโต้ง

“มรึงไม่ต้องอวยพรอะไรกรูก็ได้” โต้งบอกเจ๋ง

“เปล่า...กรูจะเอาโทรศัพท์กรูคืน ไอ้ห่านี่ ทำเนียนนะมรึง”

“เออ...โทษที กรูลืม” โต้งคืนโทรศัพท์มือถือให้เจ๋ง แล้ววิ่งไปเรียกรถทันที

ชายหนุ่มเดินเข้ามาในซอยบ้านมิว จังหวะเดียวกับที่เห็นคนมากมายอยู่ในบ้าน โต้ง
จึงเดินเข้ามาเงียบๆ ไม่ส่งเสียง และแอบอยู่ที่หน้าประตูเหล็ก ฟังมิวเล่าเรื่องต่างๆให้ออกัส
และคนอื่นๆฟัง ในใจก็แอบน้อยใจอยู่บ้างที่มิวไม่เล่าให้ตนฟังบ้าง จนโต้งทนไม่ไหวต้อง
เปิดเผยตัวให้คนอื่นรู้ว่าตนมาฟังนานแล้ว







Create Date : 08 มีนาคม 2553
Last Update : 8 มีนาคม 2553 22:00:31 น.
Counter : 425 Pageviews.

1 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  

Niramitr
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]



สาวก"รักแห่งสยาม"

New Comments