FWD™

ต่อ : ปฐมพร ปฐมพร




ทุกวันนี้—คุณเลิกคิดเรื่องการได้รับการยอมรับ หรือชื่อเสียงเกียรติยศหรือยัง

เชาวน์ปัญญามันทำอะไรผมไม่ได้ แต่ลึกๆ อาจยังไม่ขาด คือคนที่บอกเงินทองไม่มีประโยชน์หรอก หรือชื่อเสียงไม่มีผลกับฉัน ยาก! อีกไกล... ถามว่าเราอยากดังมากกว่านี้ไหม ก็ไม่ได้อยากดังมากกว่านี้ แต่อยากทำงาน ช่วงนี้เป็นช่วงที่อยากทำงาน แล้วจะทำมันเหมือนเป็นแรงฮึดสุดท้ายแล้ว เพราะว่าคนฟังก็ไม่ได้มีเยอะ ทำไปเพื่อตอบบางอย่างของตัวเองเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น-- ทำไปขายได้มากไหม มันก็ขายได้ไม่มาก มันก็เป็นธรรมชาติของมันอย่างนี้อยู่แล้ว มันไม่ได้มีความหวังว่าทำไปเพื่อการยังชีพหรืออะไร มันก็คือการทำงาน

วิธีการทำงานคุณเป็นอย่างไร

ผมไม่ใช่คนละเอียด เป็นคนที่รู้สึกก็ทำเลย เป็นกระบวนการของสัญชาตญาณ ตอนนี้สิ่งที่อยากจะพูดก็บอกไปแล้ว มีแค่เรื่องเดียว คือทำยังไงให้เขารู้ว่าเรามีความสุขขึ้น แล้วอยากให้คนเข้ามา

เรียกว่าทำเพื่อตอบตัวเอง
จริงๆ มันก็เหมือนเป็นหนี้บุญคุณคนฟังอยู่นะ เหมือนเป็นกฎธรรมชาติที่เราจะคิดถึงแม่ตอนแม่แก่ไปแล้ว ลูกทุกคนถึงแม้จะเลวขนาดไหน ต่อให้คุณเป็นชาติไหน ศาสนาไหน คุณอาจจะหนีออกจากบ้าน ถูกพ่อทุบตี มันต้องวินาทีนั้นน่ะ ที่คิดถึงบุคคลอย่างพ่อและแม่ มันเป็นกฎธรรมชาติ อันนี้ก็เหมือนกัน เรากลับมาทำเพลงเพราะมีคนรักเรา ซึ่งมันไม่เยอะหรอก แต่มันก็จริงใจกับเรามาก จริงใจกับเราจนเรารู้สึกว่าคนพวกนี้ก็รออะไรบางอย่างจากเรา


คุณมีเหตุผลอะไรในการใช้ชื่อ-นามสกุลว่า ปฐมพร ปฐมพร

ไม่มีเหตุผลอะไร... เวลาเราเกิดขึ้นมา--พ่อแม่ก็จะตั้งชื่อให้ลูกตามแต่ที่เขาคิดว่าเหมาะสมกับ สิ่งไหน แต่พอเราโตขึ้นมาเป็นวัยรุ่น เรารู้สึกว่าไม่ชอบ พ่อแม่เขาตั้งชื่อมาแต่เราไม่ชอบ ถามว่าเรามีสิทธิ์เปลี่ยนไหม แล้วเปลี่ยนเพื่ออะไร ความคิดแบบนี้มันก็เกิดขึ้น เหมือนเราอยากมีชีวิตของเราเอง แล้วเราก็จัดการเปลี่ยน

ในบัตรประจำตัวประชาชนของคุณก็ระบุชื่อ ปฐมพร ปฐมพรด้วยใช่ไหม

ใช่-- ก็เปลี่ยนตั้งแต่ตอนเรียนจบปริญญาตรี เราก็คิดว่าคนที่ชื่อ-นามสุกลเหมือนกันในโลกนี้มันคงมีไม่กี่คน (หัวเราะ) อาจจะไม่มีเลยก็ได้นะ

ทั้งหมดที่คุณเปลี่ยนแปลง มันมาจากความรู้สึกแบบไหน

ในช่วงวัยรุ่น เวลาเราคิดอะไรขึ้นมา มันเหมือนอยากจะไปครองโลก กูจะครองโลก!! คือมันเป็นไปไม่ได้หรอก แต่อย่างน้อยที่ทำไปมันเหมือนกับว่า นี่คือโลกของเรา โลกเล็กๆ ที่เราสามารถคอนโทรลมันได้ว่าเราต้องการแบบนี้ ต้องการให้มันเป็นแบบนี้ แต่สุดท้ายมันก็ไม่ได้ แต่ไอเดียที่เรามีขึ้นมาแล้วเราก็บอกกับตัวเองว่า เราอยากจะมองสังคมแบบนี้ เราก็เสนอไป แต่มันจะเป็นไปได้ไหม มันก็ไม่ได้

อย่างในการปฏิวัติของใครก็ตามในโลก มันก็มาจากจุดเล็กๆ อย่างนี้ แต่ขึ้นอยู่กับว่าใครจะมีพลังมากมายแค่ไหนในการที่จะเปลี่ยนแปลง สำหรับเรา-- แค่เปลี่ยนมุมมองหรือทัศนคติข้างใน แค่นั้นมันก็เก่งแล้ว แต่วันนี้เมื่อมองกลับไปยิ่งขำ ความคิดที่เราเคยมีว่าจะเปลี่ยนโลก-- ยิ่งขำ (หัวเราะ)

คุณผ่านช่วงวัยรุ่นมาแบบไหน

ครอบครัวไม่อบอุ่น เพราะพ่อแม่เลิกกัน มันเป็นเรื่องยากสำหรับเด็กที่จะรับได้ ผมว่าเด็กที่เจออย่างนี้จะสับสนว่าความรักคืออะไร อยู่ด้วยกันจนมีลูกแล้วเลิกกัน?! สมัยเด็กคิดเลยว่าจะไม่แต่งงาน ถ้าน้อยกว่าโรมิโอ&จูเลียตก็จะไม่มีครอบครัว คือเราไม่ต้องการ แต่เราไม่ได้โทษพ่อแม่เรานะ หมายถึงว่ามันเป็นความรู้สึกของเด็กที่ขาดความรัก ในเมื่อกูขาด... ก็ไม่เอา!!

อ่านจากบทสัมภาษณ์เก่าๆ ของคุณ เกือบทุกชิ้นบอกว่าคุณค่อนข้างสนใจเรื่องความตาย ขอถามอีกครั้งว่า มีอะไรน่าสนใจในความตาย

เป็นอะไรที่น่าสนใจ เป็นแง่มุมที่น่าสนใจมาก เมื่อก่อนผมจะบอกว่า ฆ่าตัวตายไปเลยดีกว่า จะได้รู้ว่าชีวิตมีค่าขนาดไหน แต่... แต่ถ้ามึงเสือกตายจริงๆ!! นี่ซวยเลย เพราะมึงฆ่าตัวตายได้!! แต่อย่าตายไง ฆ่าให้เฉียดๆ ตายได้ไหม!!! พยายามจะบอกว่าชีวิตมีค่าไง ถ้าไม่ลองก็ไม่รู้ไง ถ้ามึงอยากตายก็ลองซะสิ แต่มึงพยายามให้มันเฉียดๆ ก็พอ เพราะถ้ามึงตายก็ไม่มีโอกาสแก้ตัว แต่เราจะพูดอ่อนไปมันก็ฟังไม่รู้เรื่อง พูดแรงไปมันก็อาจจะตายได้

ความตายมันเป็นสัจธรรม มันต้องตายอยู่แล้ว ถ้าเราไม่รู้จักมัน เราก็จะไกลกับมัน แต่ถ้าเราทำความเข้าใจมัน ไม่ใช่การทำความเข้าใจแบบนั่งคิดด้วยนะ ถ้านั่งคิด เอ๊ะ!! มันอย่างนี้นะ มันคิดไม่ออกหรอก หรือถ้าคิดได้ประมาณหนึ่งมันก็ขี้เกียจคิด ไปคิดเรื่องผู้หญิงดีกว่าสนุกกว่าเยอะ เพราะในเรื่องความตายมันมีมุมที่น่าสนใจมาก แต่เราจะไปบอกให้ใครมาสนใจมันก็ไม่ได้ แต่ละคนก็ต้องมีของเขาเอง

วันนี้คุณพบเหลี่ยมมุมเรื่องความตายต่างจากช่วงวัยหนุ่มไหม

ต่างกันเยอะ เมื่อก่อนเคยมองความตายไม่สวยงาม แต่เดี๋ยวนี้สวยงาม คือเมื่อก่อนเราคิดตรงจุดหมายมันเลยคือตายแล้วก็จบ แล้วมันจะยังไงต่อ? แต่ตอนนี้เราจะเผชิญความตายอย่างไร

คุณเคยบอกว่า ได้ทิ้งศาสนาไปในช่วงทำอัลบั้มพราย เมื่อหลายปีก่อน ทำไมจึงทิ้งศาสนา

สมมุติคนทำความดีบนโลกใบนี้มันมีเยอะแยะใช่ไหม เมื่อเราหยิบยกใครสักคนขึ้นมาปุ๊บ ไอ้คนทำความดีคนนั้นอาจจะถูกใส่ความดีจนกลายเป็นพระเจ้าขึ้นมาก็ได้ ถูกสร้างขึ้นมา พรายก็เหมือนกัน ถ้ามีคนรักผมขึ้นมาก็ 'โหพี่!! โคตรดีเลย' แล้วผมก็กลายเป็นนักร้องที่แปลกแยก หรือผมอาจจะสร้างตัวเองขึ้นมาก็ได้ เพราะฉะนั้นรูปแบบของศาสนาก็ไม่ต่างไปจากภาพพจน์ อย่าไปสนใจมันเลย ลองคิดง่ายๆ ถ้าฝรั่งตายไป สวรรค์ของเขาก็เป็นแบบของเขา สวรรค์ของเราก็เป็นแบบของเรา แล้วที่บอกว่าไฮโดรเจนบวกออกซิเจนเป็นน้ำ แล้วไฮโดรเจนฝรั่งกับไฮโดรเจนไทยเหมือนกันไหม? แล้วออกซิเจนฝรั่งกับออกซิเจนไทยเหมือนกันไหม? แล้วมันรวมกันเป็นน้ำ แล้วเป็นน้ำไทยกับน้ำฝรั่งหรือเปล่าล่ะ มันก็ไม่ใช่ มันเป็นแค่ชื่อเรียกเฉยๆ ไอ้ความเป็นมนุษย์ของฝรั่งหรือของคนไทยมันก็คือการเป็นมนุษย์ สมมุติมันตายไปก็เป็นลักษณะเดียวกัน ลักษณะของ... ของที่มันเป็นยังไงมันก็ต้องเป็นอย่างนั้น ดังนั้นไม่ต้องไปมีชื่อเรียก เพราะเราไม่รู้ เราไม่สามารถไปอธิบายได้ แต่วันหนึ่งถ้าเราเข้าใจในจุดยืนเล็กๆ นี้ เราก็น่าจะเริ่มจากการเป็นมนุษย์

อัล กอร์ ที่ได้รางวัลโนเบล เขาก็พูดถึงเรื่องโลก ซึ่งมันก็เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว แต่เขาสามารถพรีเซ็นต์ให้เห็นภาพรวมชัดว่าเป็นยังไง แล้วคนก็ให้รางวัลเขา ถามว่าให้รางวัลเขาแล้วไง? เหมือนเดิมหรือ แล้วจะมีประโยชน์อะไรวะ? คุณให้รางวัลเขา คุณก็ต้องเชื่อเขา ก็ช่วยกันทำสิ นั่นคือรางวัลที่จะให้เขา เขาได้รางวัลแล้วไงต่อ ไม่เห็นมีอะไร

คุณนับถือศาสนาอะไร

ไม่คิดว่านับถือศาสนาอะไร ตอนแรกก็ไม่ค่อยมีความกล้าที่จะพูดอย่างนี้หรอก แต่วันนี้กล้าที่จะบอกว่าไม่มีศาสนา แต่รู้ว่ากำลังดำเนินวิถีปฏิบัติของพระพุทธเจ้า ลองจินตนาการดูนะ ถ้าพูดถึงพระพุทธเจ้าที่เคยเป็นมนุษย์คนหนึ่ง พอไปตรัสรู้ เมื่อพูดคำว่า 'ตรัสรู้' จะมีคนกี่คนเข้าใจความหมายของตรัสรู้ แล้วเราเองยังไม่ใกล้ตรงนั้นเลยยิ่งไม่เข้าใจใหญ่ แต่รู้อยู่อย่างว่าพระพุทธเจ้าเกิดมาเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่เกิดคิดอะไร บางอย่างขึ้นมาได้ด้วยประสบการณ์ของพระองค์ แล้วถ้าเกิดท่านจะบอก... ท่านคงไม่บอกหรอกว่า ไอ้นี่เป็นฝรั่งอยู่วรรณะนี้ ศาสนานั้น

ทุกวันนี้ ผู้คนกล้าออกมาประกาศว่าไม่นับถือศาสนากันมากขึ้น คุณคิดว่าปรากฏการณ์นี้มันสะท้อนให้เห็นอะไร

ถ้าเขารู้จริงนะ ศาสนามีแต่ทำให้คนฆ่าฟันกัน ศาสนาของฉันดีที่สุด อ้าว!! ศาสนาอื่นไม่ดีหรือไง คำว่าศาสนาก็แบ่งพรรคแบ่งพวกแล้ว เวลาคุณตายขึ้นไปสวรรค์ สวรรค์ของคุณกับสวรรค์ของคนอื่นมันเหมือนกันหรือเปล่า คุณยังไม่รู้เลย คุณก็จินตนาการของคุณไป

ไม่มีศาสนา!! ไม่มีอะไร มีแต่วิธีที่จะใช้ชีวิตอยู่ให้มันมีความสุข แล้วอะไรจะช่วยให้มีความสุข เช่น ลมหายใจ แล้วลมหายใจเป็นศาสนาที่ไหนเล่า ไม่ใช่ศาสนา แต่ถ้าพุทธศาสนาก็พุทโธ ให้ง่ายขึ้น พุท-เข้า โธ-ออก เอาศาสนาเข้ามาใส่ แต่ต่อให้คุณเป็นลัทธิไหนคุณก็หายใจ ถ้าคุณสนใจการหายใจ คุณก็เพิ่มการทำความรู้จักตัวเองมากขึ้นอีกนิดหนึ่งว่า การหายใจของคุณในอารมณ์ต่างๆ เป็นยังไง หลังจากนั้น คุณจะทำอย่างนี้ได้ไหม ไม่ง่าย-- ถึงคุณรู้วิธีก็ไม่ง่ายอยู่ดี แล้วเขาบอกว่า ถ้าเราจะทำสมาธิหรือโฟกัสสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แล้วคุณไม่มีศีลมันก็ยากมาก

ผมเคยคุยกับเพื่อนสมัยเดอะพาเลซ-- เต้นๆ กันอยู่ในฟลอร์ก็ดันคุยเรื่องธรรมะ มันมีเซนส์ของมัน ชอบเรื่องแบบนี้ไง 'เหี้ย มึงดูสิ ซากศพกระโดดได้' เราก็มองอย่างนั้นจริงๆ แต่โดยลึกๆ มันคงไม่ได้ไปชอบขนาดนั้น แต่ก็ไม่ใช่ว่าปฏิเสธ ตอนนั้นยังไม่ด้านใดด้านหนึ่งโดยเฉพาะ แต่มีความสนใจ ก็เลยขำๆ จนถึงวันนี้—พูดง่ายๆ ทางสวรรค์นี่เปิดโล่ง แต่ผมยังไม่ไป เหมือนเพลงที่แต่งกับเมธี (เมธี น้อยจินดา) 'สวรรค์ชี้ทางให้เดิน แต่มันไม่ไป' ไม่ได้ว่าใคร ก็ว่าตัวเอง มันก็มีเหตุผลของมัน มนุษย์มีเหตุผลทุกอย่างเวลาจะทำอะไร ต่อให้เป็นเรื่องเลวร้ายก็มีเหตุผล เมื่อเรามี-- คนอื่นไม่มีหรือไง ก็ต้องมีเหมือนกัน ถึงบอกไงว่าความเป็นมนุษย์มันสุดหยั่งแล้ว ถ้าเรายอมรับเขาได้ เพราะเขาเป็นมนุษย์ แล้ววิธีคิดแบบพระบางข้อมันช่วยได้ เราก็เอามาใช้ วิธีคิดที่เป็นประสบการณ์ของท่าน อย่างพระพะยอมบอก 'โกรธคือโง่ โมโหคือบ้า' ใครฟังก็รู้ซึ้งดี แต่ทำไม่ได้ แต่อันนี้มันยังไม่เท่ากับ 'ไม่ใช่เขา เพราะเราเอง' นี่มันสัจธรรมนะ ทุกข์ที่เกิดขึ้น ไม่ใช่เขา-- แต่เป็นเพราะเราเอง ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วเราไม่สบายใจ ไม่มีคนอื่นเกี่ยวข้องเลย นี่คือเชาวน์ปัญญา-- จำไว้เลยนะ แต่ว่าวันหนึ่ง ถ้าเราเข้าใจมันจริงๆ นะ แล้วโลกนี้จะเหลืออะไรให้ทุกข์อีกล่ะ

คนคนหนึ่งยืนตะโกนคุยเรื่องธรรมะในผับบาร์ ยังดีกว่าไม่สนใจเลย หรือมันเป็นเรื่องของคนเพ้อเจ้อที่เปล่าประโยชน์

มันคงไม่เปล่าประโยชน์นะ แต่คนบางคนแค่ได้คิดแค่นี้เขาก็เข้าใจแล้ว คนบางคนทั้งฝึกทั้งอะไรก็ยังไม่เข้าใจ ฉะนั้นการที่เราจะคุยเรื่องใดเรื่องหนึ่งมันก็ไม่ได้มีสาระสำคัญมาก แต่โดยส่วนตัว—เราคิดว่าไม่ทางใดทางหนึ่ง มันต้องเกี่ยวข้องกับตัวเอง แล้วต้องคิดให้มันเป็นเรื่องสนุก

...มันเหมือนกับว่า ธรรมชาติมันล่อเราไว้ทุกขั้นตอนเลย แต่ถ้าเกิดคุณจะตามธรรมชาติของอีกแบบหนึ่ง ซึ่งเขาล่อคนอีกทาง คุณจะไม่สดใส จะไม่มีโอกาสได้เบิกบาน ได้แค่ดีใจแล้วก็จบ คุณจะไม่เข้าใจคำว่า 'อิสระ' อิสระจริงๆ คืออันนี้บอกยาก มันเหมือนกับว่า... คำพระท่านบอกว่า 'เปิดของคว่ำให้หงาย' ถ้าคุณเข้าใจ คุณก็จะเข้าใจ ถ้าคุณไม่เข้าใจ คุณก็จะไม่มีทางเข้าใจ มันต้องลองดู

อย่างกรณีที่เราทำอะไรแล้วไม่สำเร็จ หรือแพ้ทุกครั้งๆ เช่น ติดบุหรี่แล้วพยายามจะเลิก แต่เลิกไม่ได้ ก็ไม่เห็นเป็นไร เพราะเราแพ้มาตั้งแต่ต้น แต่ได้ลองสู้ดูไหม ตรงนี้ต่างหาก สู้ก็ไม่ได้ เพราะเราแพ้มาตั้งแต่ต้น แต่เรารู้ไหมว่าอาการเป็นยังไง ณ ขณะนั้น




 

Create Date : 11 พฤษภาคม 2552    
Last Update : 12 พฤษภาคม 2552 13:18:38 น.
Counter : 452 Pageviews.  

ต่อ : แสงสว่างจากสีฟ้า

เพราะอะไรคุณจึงทาตัวสีฟ้าเวลาเล่นคอนเสิร์ต



ชอบสื่อสัญลักษณ์ สีฟ้าบนตัวผมเป็นตัวแทนของมนุษย์คนหนึ่ง ซึ่งมนุษย์ทุกคนมี 'ศักยภาพ' ที่จะเรืองแสง อันนี้มันเป็นแค่สัญลักษณ์นะ คือสามารถที่จะรู้ตัวเอง สามารถส่องสว่างเป็นดาวฤกษ์ พูดอย่างง่ายๆ-- ทุกคนสามารถบรรลุธรรมได้ ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นฆาตกร ไม่ว่าคนนั้นจะเลวบัดซบขนาดไหน คนเหล่านั้นมีศักยภาพที่จะบรรลุธรรมได้ ฉะนั้นใครจะไปว่าใครก็คิดให้ดี อะไรก็ตามที่เกิดเป็นมนุษย์ย่อมมีสิทธิ์บรรลุธรรมได้ เข้าใจธรรมชาติของจักรวาลหรืออะไรก็ตามแต่ แล้วสามารถหลุดออกจากความทุกข์ไปได้ นี่คือ 'ศักยภาพ' มีคำที่บอกว่าเกิดเป็นคนน่ะเกิดยาก มันก็คือคำนี้เลย แต่ว่ามันจะมีหลายเฟส ทุกคนเกิดมาอาจจะรับรู้ไปก่อน ตายไปแล้วเกิดใหม่ก็ว่ากันไป แต่นั่นคือคุณสมบัติของมนุษย์ที่สามารถรับรู้ได้ด้วยตัวเอง คือเราอยากจะบอกว่าคนทุกคนมีค่า เพียงแต่ว่าคนบางคนอาจมองไม่เห็นว่าเกี่ยวอะไรกับเรา อันนี้ก็อีกเรื่อง ถ้าคนคนหนึ่งเกิดมาเพื่อกิน-อยู่-หลับ-นอน มันก็ไร้ค่า! แต่หากเขาแสวงหาขวนขวายอะไรบางอย่าง ซึ่งมนุษย์มีศักยภาพอย่างนั้นอยู่ในตัวเอง

เราเป็นดาวฤกษ์…

ใช่-- เราน่าจะเป็นดาวฤกษ์ แต่คนบางคนก็อาจจะยากหน่อย เพราะพยายามไม่อยากจะเป็น แต่จริงๆ มันก็เป็นภาวะหนึ่งของเขา ในวันหนึ่งเขาก็ต้องเป็น (ดาวฤกษ์) คนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าตัวเองโชคดีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ (หัวเราะ) แต่อย่างน้อยๆ-- คนบางคนเขารู้ว่าสามารถสร้างพื้นฐานตัวเองจากการปฏิบัติ หรือจากความเชื่อ เขารู้ว่าเขาโชคดี แต่ในความโชคดีของเขา ใช่ว่าจะโรยรื่นด้วยดอกกุหลาบ-- ต้องประสบความสำเร็จอย่างเดียว ไม่ใช่!! วันที่เราแย่ โดนไล่ออก-ไม่มีเงินกินข้าว-เมียหย่า นั่นคือความโชคดีอย่างหนึ่ง เพราะมนุษย์มันต้องรู้ต้องเจอของจริง-- ถึงจะเห็นมัน

ส่วน ใหญ่แล้ว เพลงของคุณมักพูดถึงความเศร้า ความหดหู่ ความมืดในชีวิต คุณเคยตั้งคำถามกับตัวเองไหมว่า ทำไมพูดถึงสิ่งเหล่านี้มากมายอย่างนั้น

ความเศร้ามันเป็นอารมณ์ที่อยู่ในระดับที่เห็นว่า มันค่อนข้างบั่นทอนศักยภาพของเรา เพราะสังเกตดูเวลาคนเศร้า มันจะทำอะไรไม่ได้เรื่องไม่ได้ราวนัก แต่เรากลับมองว่า ความเศร้ามันมีพลังซ่อนอยู่ มองในมุมอีกมุมหนึ่ง แม้ว่ามันจะยังไง หนักหนาขนาดไหน เราก็ต้องเอามาใช้ให้ได้ คือพลังงานของสิ่งใดสิ่งหนึ่งมันสามารถนำกลับมาใช้ได้ เพลงเราถึงมันเศร้าขนาดไหน มันก็มีความหวังเหมือนมันสะท้อนกับตัวเราว่า จะยอมไม่ได้!! ทุกครั้งที่ทำเพลงออกไป เหมือนเป็นการร้องเพลงให้ตัวเองฟัง ร้องเพลงปลอบใจตัวเอง แล้วมันก็กลายเป็นว่า 'เฮ้ย มีคนแบบนี้ด้วยเหรอ เหมือนกับเราเลย' เพียงแต่ว่าเขาไม่มีโอกาสได้พูด เราอาจเป็นเสียงร้องในใจของเขา ในวันที่ทดท้อๆ-- อย่าเพิ่งยอม และอย่าท้อแท้ เพราะในความมืดมันก็ยังสวยงาม ซึ่งเราเห็นจริงๆ ว่ามันสวยงาม

ในฐานะที่เป็นนัก ดนตรี ที่ทำเพลงออกมาด้วยสุ้มเสียงความหดหู่ เศร้าหมอง บางเพลงเกรี้ยวกราดรุนแรงอย่างที่ยกตัวอย่างไป บางคนฟังอาจมองเพลงของคุณในแง่ลบ แม้กระทั่งคนฟังอาจตีความไปผิดๆ คำถามคือในความเห็นของคุณอะไรคือพันธกิจของนักดนตรี

ความรับผิดชอบในการแต่งเพลง ผมว่ามันเหมือนกันในทุกสาขาอาชีพ อย่างศิลปะ--สมมุติ คนถ่ายรูปโป๊ ในมุมมองใดมุมมองหนึ่งก็ตาม มันเป็นสื่อ หรือส่งผลลักษณะไหนก็ตาม จรรยาบรรณก็คือถ่ายรูปโป๊!!! มันอาจจะโป๊แบบอุจาดเลยก็ได้ ในมุมของอีกคนอาจจะมองว่ามันเป็นศิลปะ แต่ไอ้คนเสพก็มีหลายระดับ ซึ่งเขาก็จะดูว่าอันนี้ใช่หรือไม่ใช่ แต่ถ้าคนทำหลุดออกไปมากๆ คนก็ตามไม่ทัน สมมุติจะถ่ายรูปโป๊ ถ้าถ่ายอวัยวะเพศเลย คนก็มองว่าน่าเกลียด แต่คนถ่ายอาจจะอยากสื่อถึงความน่าเกลียด--นั่นก็เป็นอีกมุม ฉะนั้น จรรยาบรรณมันจะคาบเกี่ยวอยู่สองอย่าง แต่ท้ายที่สุด--คนทำต้องรู้ว่าสิ่งที่เขาทำออกไปแล้วมีผลร้าย เช่น คำนั้นอาจจะทำให้เกิดความรุนแรง หรือจินตนาการในด้านลบ ผลที่ได้มันน่ากลัว แต่ถามว่า... มันเป็นเพราะเหตุนี้เหตุเดียวหรือ มันคงไม่ใช่ เหมือนอย่างที่บอกว่า เพลงเพลงนี้ทำให้คนอยากฆ่าตัวตาย มันไม่ใช่หรอก มันมีหลายอย่างมาประกอบกัน หรือเพลงเพลงนี้ทำให้คนมีความคิดรุนแรง มันก็ไม่ใช่เรื่องนี้เรื่องเดียว แต่มันอาจมีส่วน อย่างที่ผมแต่งท่อนหนึ่งว่า 'ฆ่ามัน ฆ่ามัน ทำลายมันๆ' (ท่อนฮุกในเพลง ปีศาจ จากอัลบั้มเจ้าชายแห่งทะเล) ลึกๆ แล้วผมรู้ไงว่ามันคืออะไร 'ฆ่ามัน' ในที่นี้คือการที่เราย้อนกลับมาฆ่าบางสิ่งซึ่งอยู่ในตัวเรา แต่คนฟังอาจจะไม่ได้ฟังลึกซึ้งขนาดนั้น แต่ลึกๆ แล้ว เรารู้ว่าเราไม่ต้องการไปฆ่าใคร เราไม่ได้ฆ่าข้างนอก เราฆ่าข้างในของเราเอง

แต่เมื่อฟังบริบทโดยรอบของเพลง คนฟังก็น่าจะเข้าใจเจตนา

ผมว่าคนที่ตั้งใจฟัง มันต้องเข้าใจ แต่บางครั้งมันต้องให้เวลา เพราะเราเขียนเพลงก็ใช่ว่าฟังครั้งเดียวจบ บางเพลงมันก็ไล่มาตั้งแต่ชุดที่แล้ว บางเพลงมันอาจจะไม่น่าฟังเลย ทั้งเพลง—อาจจะมีประโยคน่าฟังเพียงประโยคเดียว

ทำไมไม่แต่งเพลงให้คนฟังเข้าใจง่ายๆ ขายได้ ดังด้วย

มันไม่ใช่ว่าที่เราทำแบบนี้เราจะอยากให้เขาฟังไม่ได้ มันไม่ใช่! สมมุติเพลง '...ก่อน' ที่เราแต่ง ถึงเราไปร้องมันก็ไม่ดังอยู่ดี มันเป็นลักษณะของมันอย่างนั้น มันไม่เกี่ยวว่าแต่งเพลงแล้วคนรับไม่ได้ แต่มันอาจจะเกี่ยวกับหลายๆ อย่าง แต่มันเป็นลักษณะที่ดีนะ แม้แต่ตุล (ตุล ไวทูรเกียรติ—นักร้องและมือเขียนเพลงประจำวงอพาร์ตเมนต์คุณป้า) ที่เขาแต่งเพลง 'ไม่รู้จักฉัน ไม่รู้จักเธอ' แล้วร้องเองไม่ดัง แต่พอคนอื่นเอาไปร้อง มันกลับดัง!! มันก็เป็นลักษณะที่ใกล้เคียงกัน หรือมันอาจเป็นคลื่นอะไรที่มันใกล้ๆ กันก็ได้ (ยิ้ม) ทำเหี้ยอะไรก็ไม่ประสบความสำเร็จ แต่ถ้าให้คนอื่นทำจึงจะประสบความสำเร็จ แต่สำหรับผม ผมมองว่านั่นคือประสบความสำเร็จของเรานะ เมื่อก่อนจำได้ว่าเคยฟังเพลง '...ก่อน' มันดังมาก ขึ้นชาร์ต--ขับรถฟังวิทยุก็เปิดตลอด มันเกิดเป็นอารมณ์ความรู้สึกข้างในเราว่า 'มันไม่ยุติธรรม!!' แต่พอผ่านมาได้... ผ่านมันมาได้ถึงตอนนี้ มันก็ยุติธรรมดีแล้วสำหรับเรา เพราะเพลง '...ก่อน' ก็เป็นเพลงที่คนร้องได้ทั้งบ้านทั้งเมือง ถ้าอยู่กับเรามันอาจเป็นเพลงที่ไม่มีใครรู้จัก ถึงบอกว่าธรรมชาติยุติธรรมที่สุดแล้ว ยิ่งเรายอมรับมันได้เร็วเท่าไหร่... เหมือนศาสนาที่บอกว่า ถ้าคุณเปิดใจรับพระเจ้า พระเจ้าก็จะอยู่กับคุณ--ก็เหมือนกัน ถ้าคุณยอมรับว่ามันมีความเป็นจริงของสัจธรรมอยู่แล้ว มันก็จบ และง่ายขึ้น แต่มันไม่ง่าย!! เพราะเรายอมรับมันไม่ได้ เรื่องพวกนี้มันต้องฝึก เจอเหตุการณ์จริงเข้ามากระทบ แล้วเราก็ต้องรู้ ต้องอ๋อ

เมื่อยอมรับได้ แล้วคนคนนั้นจะเจอกับอะไร

ยอมรับมันก็แค่เชาวน์ปัญญา! ยอมรับว่าอกหักเว้ย! เขาไปหาคนอื่นแล้ว แต่พอกลับบ้านนอนร้องไห้ เพราะในใจลึกๆ แล้ว-- มันไม่รับ! แล้วถามว่าไอ้ใจลึกๆ จะให้มันรับได้ไหม? ได้-- มันเป็นไปได้ ขึ้นอยู่ที่การฝึกฝน แล้วต้องเข้าใจว่าที่เราไม่ยอมรับ ก็เพราะเราคิดอย่างนี้นะ ไอ้ใจที่มันไม่ยอมรับยังคงซ่อนอยู่นะ ถามว่าไอ้ใจที่ไม่ยอมรับเราจะทำยังไงกับมัน เราก็ลองทำอย่างอื่น เหมือนเราถ่ายรูปอยู่ แก้ไขรูปเดิมอย่างนั้นแหละ-- มันก็เซ็ง ไม่มีประโยชน์แล้ว บางทีลองวางกล้องแล้วไปทำอย่างอื่นค่อยกลับมาทำใหม่ มันอาจจะดีขึ้น คล้ายๆ อย่างนี้-- คือเปลี่ยนไปหาอย่างอื่นก่อนแป๊บนึง

ความที่เราจดจ่อกับสิ่งที่เราทำมากเกินไป บางครั้งมันก็คาดหวังว่าจะต้องออกมาดี บางทีเราอาจจะถ่ายไปด้วยความรู้สึกสบายๆ มันกลับได้รูปที่ดีกว่า หรือถ้าเราพูดคุยสบายๆ มันอาจจะได้ประโยคที่ดีกว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่เราทำให้มันเป็นไปโดยธรรมชาติของตัวเอง ไม่ต้องไปบีบคั้นมันมาก มันก็จะเป็นอะไรที่สบายขึ้น เหมือนเราอ่านหนังสือบางเล่มของศิลปินรุ่นเก๋า เราไม่เข้าใจเลยว่าเขาพูดเรื่องอะไร แต่พอผ่านไป-- เราถึงเริ่มเข้าใจ ฉะนั้น แต่ละคนเกิดมาก็เพื่อมีประสบการณ์ในแต่ละเรื่องเพิ่มขึ้นๆ เข้าใจมากขึ้นๆ แต่บางคน ยิ่งอายุมากขึ้นก็ยิ่งไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้นก็อยู่ที่ว่าคนคนนั้นใฝ่หาความเป็นจริงของสัจธรรมมากแค่ไหน แต่ถ้าเขาไม่หาเลย ปัญหาเขาจะเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ แต่ถ้าเขาไขว่คว้าหาสัจธรรมของตัวเอง ชีวิตก็จะง่ายขึ้นๆ ตามลำดับ ศิลปะมันก็เป็นอย่างนี้ มันจะง่ายขึ้นเรื่อยๆ แต่อย่าเพิ่งไปถามว่าชื่อเสียงกับเงินทองมันจะมาพร้อมกันไหมนะ

ช่วงที่คุณหายไปนาน คุณเคยให้สัมภาษณ์ว่าที่ยังไม่ออกอัลบั้ม เพราะยังไม่มีแรงบันดาลใจ ขณะที่ในปีนี้คุณก็ออกมาประกาศว่ากำลังจะทำงานเพลง 5 อัลบั้มพร้อมกัน มันเกิดอะไรขึ้น แรงบันดาลใจมาจากไหนมากมายขนาดนั้น

แรงบันดาลใจมันมาจากเพื่อนเรา จากคนที่รักเรา เมื่อก่อนเราก็รู้เหมือนกันว่ามีคนรักเรา แต่ไม่คิดว่าเขาจะเข้มแข็งกัน เพราะคนที่รักและฟังเพลงเรา เขาต้องแอบฟัง ในยุคที่เพลงเราทำออกไปเขาต้องแอบฟัง เพราะจะถูกตำหนิว่าฟังไปได้ยังไง ฟังอะไร เป็นลักษณะนี้ แต่พอเวลาผ่านไป คนที่ฟังเพลงเราเขาโตขึ้น เขามีความเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น มีอาชีพการงาน และรู้แล้วว่าเขาต้องการฟังอะไร เขาไม่มีความกลัว ขณะที่ความกล้ามากขึ้น สังคมยอมรับเขามากขึ้น ทีนี้-- แรงบันดาลใจมันคงมาจากความที่เรามีแนวคิดของชีวิตที่ค่อนข้างจะสดขึ้นมา เราเลยอยากให้เขารับรู้ด้วยว่าเราไปถึงไหนแล้ว แล้วเขาควรจะได้รับรู้อะไรในจิตใจเรา แต่ตอนนี้คงเหลือสามอัลบั้ม เพราะที่จะทำกับโมเดิร์นด็อกชุดหนึ่งก็ไม่ได้ทำแล้ว แล้วอัลบั้ม 'ศาสดา' เป็นสิ่งที่ยาก ด้วยค่าใช้จ่ายที่มันสูงหรืออะไรต่างๆ ก็ตัดใจทำได้สามอัลบั้มก็น่าพอใจแล้ว

รู้สึกยังไงกับคนที่ต้องแอบฟังเพลงคุณ

สงสารเขา และเข้าใจเขาว่าบางทีเขาก็ไม่มีพลังไปต่อสู้กับกระแส สมมุติเขาชอบกางเกงม่อฮ่อมแล้วเขาจะไปต่อสู้กับเพื่อนที่ใส่ลีวายส์ มันคล้ายๆ อย่างนี้น่ะ แต่ของเรามันก็ไม่อนุรักษนิยมขนาดนั้น แล้วไม่ได้ใหม่ขนาดนั้นด้วย เพียงแต่เรามีแนวความคิดอยู่ในเพลง มีเรื่องบางเรื่องอยู่ในนั้น แล้วเพลงมันก็ออกมาไม่ใช่แบบเป็นที่ยอมรับ ฉะนั้น-- คนที่ฟังเพลงเรา เขาก็จะมีมุมมองของเขาพอสมควร แต่เป็นที่ชัดเจนอยู่แล้วว่า คนที่ฟังเพลงเราจะต้องมีแง่มุมใดแง่มุมหนึ่งในจิตใจที่มันสื่อสารเชื่อมโยง กับเราได้ เมื่อก่อนเราเป็นคนหนึ่งที่ค่อนข้างมีปัญหาในจิตใจ ฉะนั้นเพลงมันจะมีคลื่นคล้ายๆ กัน ไอ้คนที่คล้ายๆ กันมันเลยมาฟัง มันก็เป็นไปได้ ซึ่งเราจะไปโทษคนอื่นก็ไม่ได้ที่เขาบอกเพลงเราไม่ดี เพลงอะไร? ฟังทำไม?! เพราะว่าเขาอาจจะเป็นคนที่สมบูรณ์พร้อมแล้ว มีชีวิตที่ดี เขามองขาดจากพวกเราไป พวกเราอาจจะเป็นพวกสลัวๆ อยู่ (หัวเราะ) ยังงงๆ อยู่

ในบทเพลงสำหรับคนที่ยังสลัวๆ อยู่เหล่านั้น อะไรคือสิ่งที่ขาดหายไปอย่างที่คุณบอก คุณกำลังค้นหาอะไร

แสงสว่าง…

คือมนุษย์เราเกิดมาใช้ชีวิต-- ถ้าจะถามคำถามในชีวิตมันก็เป็นพวกปรัชญา ซึ่งเราก็ชอบอยู่แล้วเรื่องปรัชญา แต่เอาเข้าจริงๆ แล้ว ปรัชญามันให้คำตอบเราไม่ได้นะ ไม่ว่าเราจะศึกษาขนาดไหน มันเป็นเหตุเป็นผลเท่านั้นเอง มันไม่ได้ตอบคำถามในใจเราหมดทุกเรื่องว่า เราเกิดมาเพื่ออะไร? ทำสิ่งนี้เพื่ออะไร? มันจะเป็นคำถามค้างคาอยู่ในใจตลอด ไม่ว่าจะทำอะไรมันจะมีคำถามวนเวียนอยู่อย่างนี้ จุดมุ่งหวังสุดท้ายเพื่ออะไร? นี่คือคำว่า 'แสงสว่าง' มันไม่มีแสงสว่างให้เราเห็นชัดๆ ว่ามันเป็นยังไงในยุคนั้น

เรียกว่าการหาคำตอบให้ข้างในใช่ไหม อะไรคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้คุณพบช่องทางในการหาคำตอบให้ข้างในตัวเอง

ในสมัยเด็กๆ ผมมีความสนใจเรื่องการเมือง เรื่องคอมมิวนิสต์ คือเรารู้สึกว่ามนุษย์ที่ชูกำปั้นขึ้นมาต่อสู้กับอำนาจที่เหนือกว่า เขาเหล่านั้นคือวีรชน เราจะยืนข้างเขา ในเมื่อเขาชูกำปั้นต่อสู้กับรถถัง มันต้องมีอะไรบางอย่าง เขาไม่กลัวตาย มันทำให้มีเลือดอะไรบางอย่างในตัวเราให้อยากจะทำสิ่งเหล่านั้นออกมา...
แล้วช่วงทำอัลบั้มชุดที่ 2 (พราย-2534)



ตอนนั้นเริ่มไม่เอาศาสนาแล้ว ไม่สนใจด้วย แต่รู้อยู่ว่า เราต้องอยู่บนพื้นฐานความเป็นไทย บนรากเหง้าของเรา แม้ว่าดนตรีของเราจะเป็นดนตรีฝรั่ง ในฐานะของมนุษย์คนหนึ่งที่เกิดขึ้นมาบนแผ่นดินนี้ เราจะสามารถสร้างอะไรให้กับแผ่นดินได้บ้าง นั่นก็คือความคิดที่เป็นอิสระของเรา ซึ่งเรายังคงชูกำปั้นต่อสู้กับรถถังอยู่ พอเข้าใจใช่ไหม? 'เพราะกูไม่กลัวมึงหรอก แต่ว่าสุดท้ายกูต้องกลัวมึง เพราะกูต้องแอบทำ กูจะว่ามึงเผด็จการไม่ได้ กูต้องแอบทำ เพราะถ้าด่ามึงตรงๆ มึงก็เล่นกู' นั่นคือสิ่งที่แอบทำแฝงไว้ตรงนั้น แล้วคนที่ต่อสู้กับอำนาจที่ไม่ถูกต้องในมุมมองตอนที่เราเป็นวัยรุ่น นั่นคือฮีโร่ของเรา

พอย้อนกลับมาวันนี้มันไม่ใช่คำตอบเดียวกันแล้วนะ ผมเคยมองสิบสี่ตุลาฯ เก่งมากเลย แต่พอมามองตอนนี้กลับพบว่ามันก็เป็นไปตามเหตุผลของมัน ไม่ได้คิดว่าใครจะมาต่อสู้เพื่ออะไร ทุกคนก็มีหน้าที่ของตัวเอง วันนี้ผมมาในฐานะนักร้องตัวเล็กๆ ที่จะมาพูดในมุมมองของตัวเอง ซึ่งเมื่อก่อนผมไม่ชอบพูด แต่ก็ทำออกมาเป็นเพลงแล้ว 10 กว่าปี มันก็ยังคงอยู่ เพราะผมพูดความจริง ไม่ได้โกหก แล้วถามว่าตอนนี้ผมจะทำอะไรให้กับสังคมไทย มันก็กลายเป็นว่าความรุนแรงที่ยังอยู่ภายในลึกๆ ของเรามันยังคุกรุ่นอยู่มาก ยิ่งเห็นเหตุการณ์ต่างๆ ยิ่งคุกรุ่นมากขึ้น แต่ถามว่าจะเหมือนเมื่อก่อนไหม ขอบอกว่าเหมือนเมื่อก่อน แต่สั้นลง

…สมมุติเรื่องการเมืองในวาระที่เราเกิดพันธมิตรฯ กับรัฐบาล ซึ่งมันก็อยู่ในเพลงที่ชื่อว่า 'กลาง' (อัลบั้มเพื่อนของฉัน--2551) ถามว่าแล้วเพลงนี้มันไปบอกอะไรให้คนฟังคิด ก็เปล่าเลย แค่ฟังเฉยๆ เพียงแต่ไม่ได้รุนแรงเหมือนเมื่อก่อนที่บอกต้องทำนู่นทำนี่ ไม่ใช่-- แค่อยากบอกว่าเราตื่นขึ้นมาไม่อยากได้ยินข่าวพวกนี้หรือได้ยินก็ไม่รู้สึก อะไร ผมเคยได้ยินเรื่องหนึ่งที่อินเดีย เมื่อก่อนเขาอยู่ในหมู่บ้านร่วมกันมีความสุขมาก วันหนึ่งคนที่เคยนับถือศาสนาเดิมหันไปนับถืออีกศาสนา อีกไม่กี่ปีเขาฆ่ากันเลย ไอ้ความเชื่ออย่างนี้ มันเป็นความเชื่อการเมืองนั่นแหละ เพราะแค่ความคิดเห็นไม่ตรงกันก็จะฆ่ากัน มันไม่มีอะไรเลย

ผมอยากจะบอกว่า วันนี้กูไม่ใช่คนไทยแล้ว!! กูไม่อยากเป็นคนไทย!!! กูเป็นแค่มนุษย์คนหนึ่งบนโลกนี้ แค่อยากทำหน้าที่มนุษย์ ซึ่งควรจะเรียกร้องสันติภาพ (เน้นเสียง) ไม่ใช่ทะเลาะเบาะแว้ง ที่ผมอยากพูดคือผมไม่ใช่คนไทย ผมอยากเป็นมนุษย์ ผมพูดออกไปอย่างนี้ก็จะมีคนด่าผม 'มึงไม่อยากเป็นคนไทยก็ไปอยู่ประเทศอื่น' ก็เรื่องของมึง แต่กูก็ทำหน้าที่มนุษย์ต่อแผ่นดินที่มีบุญคุณกับกู มีต้นไม้ให้ร่มเงา เราทำความเป็นมนุษย์ของเราให้สมบูรณ์

มนุษย์แบบที่คุณบอก เขาควรทำอะไรให้กับโลก

เขาก็ควรไม่รังแกตัวเองและโลก ไม่รังแกคนทุกคน เมื่อไหร่ก็ตามที่มนุษย์เริ่มเอาเปรียบซึ่งกันและกัน ความเป็นมนุษย์มันก็น้อยลง มันจะเป็นแค่สัตว์ที่มีกำลังแล้วเอาเปรียบเขา

ในมุมมองของคุณ--ระหว่างมนุษย์ที่ยิ่งใหญ่กับมนุษย์ที่ดี เราควรให้น้ำหนักเพื่อไปยืนฝั่งไหน

วันนี้เราต้องยอมรับว่ายูเรเนียมมันต้องแตกต่างจากเพชรอยู่แล้ว ขณะที่คนให้ค่ายูเรเนียมกับเพชรก็แตกต่างเหมือนกัน เขาอาจเห็นค่าไม่เท่ากัน มันเปรียบเทียบกันไม่ได้ คุณทำหน้าที่ของคุณไป ต่อให้คุณเป็นดินวันนี้หรือเป็นขี้หมาสักก้อนก็ตาม จงทำหน้าที่ของขี้หมาไปเถอะ แล้วคุณจะรู้ว่าถ้าคุณยอมรับมันนะ คุณจะสุดยอดแม้ไม่มีใครสรรเสริญคุณ แต่คุณสุดยอดด้วยตัวคุณเอง คุณก้มหน้าทำงานของคุณไปด้วยความชื่นชม และรู้ว่านี่คือมุมมองของคุณในช่วงเวลานั้นนะ ขอให้มีสัจธรรมในงานตัวเอง แค่นั้นพอแล้ว




 

Create Date : 07 พฤษภาคม 2552    
Last Update : 12 พฤษภาคม 2552 13:19:18 น.
Counter : 369 Pageviews.  

แสงสว่างจากสีฟ้า และบทอวสานของปีศาจ : ปฐมพร ปฐมพร

สวัสดีครับ ในวันที่พอมีเวลาสักนิดในการคิดถึงเพื่อนเก่าๆ ก็คว้าบทความในอดีตที่เพื่อนเคยส่งมาให้อ่าน เห็นว่าเพลิดเพลินและน่าจะมีประโยชน์ หรืออย่างน้อยๆ ก็รวบรวมไว้กลับมาอ่านเองได้ตามต้องการ เข้าเรื่องเลยดีกว่าครับ


ในวันที่วงการเพลงไทยยังไม่มีดนตรีทางเลือกมากมายก่ายกองอย่างทุกวันนี้…

ในพ.ศ.ที่โมเดิร์นด็อกยังไม่แจ้งเกิดกับนายอำเภอ ในวันเวลาที่เด็กแนวยังไม่มีอพาร์ตเมนต์คุณป้าให้เช่าอาศัยหลับใหลไปกับบท เพลง ในวันที่สมอลล์รูมยังอยู่แต่ในรูมของตัวเอง คอเพลงที่ต้องการหลบหลีกความซ้ำซากจำเจของเพลงกระแสหลัก มีทางเลือกไม่มากนัก

ไม่หันหนีไปหากระแสต่างประเทศ ก็ต้องพึ่งพาสัจธรรมในบทเพลงเพื่อชีวิต

ขณะมีผู้ชายคนหนึ่งอนุญาตตัวเองต่อที่สาธารณะให้นำเอานามสกุลมาตั้งเป็นชื่อ ใหม่ภายหลังว่า 'ปฐมพร ปฐมพร' ด้วยเหตุผลง่ายๆ ที่ว่า "เรารู้สึกไม่ชอบ"



ภาพลักษณ์ของเขาไม่เหมือนใคร เพราะทาสีดำคาดคั่นเป็นแนวยาวพาดสันจมูก ทำเทปเพลงออกมาในชื่อ 'ไม่ได้มามือเปล่า' ซึ่งหน้าแรกเต็มไปด้วยเพลงป๊อปตามกระแสตลาดทั่วไป ขณะที่หน้าหลังแอบซ่อนเนื้อหาเพลงที่ฉีกออกไปจากวังวนเดิมๆ

ตามมาด้วยอัลบั้มชุดต่อมาที่เป็นปฐมบทแนวทางของเขาจนถึงปัจจุบัน ในอัลบั้ม 'พราย' ซึ่งเขาคิดคอนเซ็ปต์ขึ้นมาเองว่า 'อัลบั้มชุดนี้ไม่โปรโมต!'--เล่นเอานายทุนปวดกบาลไปตามๆ กัน ไหนจะเปลื้องผ้าถ่ายนู้ดต่อต้านการค้าประเวณี จนกระแสสังคมหันมาให้ความสนใจอย่างหวาดระแวง!

และด้วยการแสดงออกที่ดูแปลก จนสามารถแยกความแตกต่างระหว่างคนอื่นๆ กับเขาได้ชัดเจนราวสีขาวสีดำ

บางความคิด และหลายการกระทำของเขา แปลก-พิลึก-แรง จนเป็นแรงดูดให้บางสายตาอยากค้นหา พอๆ กับเป็นแรงผลักให้หลายสายตาผละหนี ถอยห่าง

นี่หมายรวมถึงงานเพลงของเขาด้วย!!!

จากอัลบั้มแรกเมื่อปี 2532 (ไม่ได้มามือเปล่า) จนถึงปี 2544 (พรายชุดพิเศษ) งานเพลงทั้งหมดหกอัลบั้ม (พราย-2534, เจ้าหญิงแห่งดอกไม้และเจ้าชายแห่งทะเล-2536, ใต้สำนึก-2538, ปกเหลือง-2540 และพิเศษ-2544) ดูเหมือนว่า งานเพลงของเขาเลือกคนฟัง มากกว่าให้คนฟังเลือก งานเพลงของพรายถูกตั้งคำถามมากมาย

บ้างขว้างปาคำถามอย่างเกรี้ยวกราด และสุรุ่ยสุร่าย 'เพลงห่าอะไรของมึงวะ?!'
บ้างตัดสินฟันธงอย่างผิวเผิน 'แม่ง-- มันบ้าว่ะ!'

แน่นอนว่า--งานเพลงของพรายเป็นที่นิยมยกย่องอย่างจำกัดเฉพาะกลุ่มแฟนเพลงของเขา ซึ่งนับหัวหาจำนวนที่แน่ชัดไม่ได้

ไม่ถึงกับมากมาย--แต่ใช่ว่าจะน้อย ที่แน่ๆ-- งานเพลงของเขาไม่ถูกจัดอยู่ในหมวดหมู่ความนิยมในวงกว้าง

หากแต่คนค่อนประเทศรู้จักโมเดิร์นด็อกจากเพลง '...ก่อน' ขณะเดียวกัน คนค่อนประเทศ กลับไม่รู้จักชื่อพราย--ปฐมพร ปฐมพร ผู้ประพันธ์บทเพลงอันเป็นทั้งงานเพลงแจ้งเกิด และตำนานของวงดนตรีขวัญใจวัยรุ่นอย่างโมเดิร์นด็อก

ถึงวันนี้--พรายกลับมา และประกาศว่าจะทำงานเพลงห้าอัลบั้มพร้อมกัน!!!

เวลาที่ผ่านไป--พรายยังคงคึกคักกระโดดโลดเต้นราวคนในวัยหนุ่มที่เต็มไปด้วยพลัง ความกระตือรือร้น และความสนุก

ขณะเดียวกัน--เวลาที่ผ่านไปนี้ได้พาให้ตัวเลขของชีวิตเขาไปแขวนอยู่บนหมาย เลขสี่สิบหก และด้วยเวลาที่ผ่านไปนี่แหละ เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ mars อยากอ่านความคิดความฝันของเขา

เพราะเวลาทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง

หลายเรื่องที่ได้พูดคุยกับพราย ไม่ว่าเราจะชวนเขาไปในเรื่องราวใด ตอนจบของหัวข้อนั้น พรายมักพาเราไปปล่อยไว้ที่คำตอบของ... ของความสุข-อิสระ-สบาย... หรือจะในคำใดที่สามารถรองรับและอธิบายความหมายของมันได้

ไม่ใช่ว่านายปฐมพร ปฐมพรจะแล้วซึ่งความรู้!! หรือหลุดพ้นจากพันธนาการทั้งหลายที่อยู่เหนือมนุษย์คนอื่นๆ แต่อย่างใด-- นี่คือสิ่งที่เขาเน้นย้ำ เพียงแต่ทุกวันนี้ นายปฐมพร ปฐมพร เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่นิยมชมชื่นในคนที่ชูกำปั้นสู้กับภายในของตัวเอง และกำลังพยายามทำอย่างนั้นอยู่ทุกวัน-- เขาย้ำเช่นนี้

ทำความเข้าใจกันก่อนดีไหม

ในเมื่อบางเดียงสาของคนในวัยหนุ่มอาจยืนตะโกนคุยเรื่องสัจธรรมของชีวิต แข่งกับเสียงเพลงแนวเทคโนแดนซ์ในผับที่เหล้าราคาแพงระยับ แต่เมื่อเวลาผ่านไป-- ชายกลางคนผู้เริ่มสงบคนนั้นอาจย้อนกลับไปมองเรื่องราวในคืนหนึ่งเมื่อครั้ง เยาว์วัย ว่ามันเป็นจุดเริ่มต้น และหนึ่งในการสั่งสมเมล็ดพันธุ์จนถึงวันนี้

ไม่น่าจะผิดบาป หากเราชวนพรายนั่งลง แล้วคุยกันถึงเรื่องอย่างว่า!
เรื่อง : วีรพงษ์ สุนทรฉัตราวัฒน์




 

Create Date : 07 พฤษภาคม 2552    
Last Update : 12 พฤษภาคม 2552 13:20:14 น.
Counter : 450 Pageviews.  

1  2  

night prayer88
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Bookmark and Share

Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add night prayer88's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.