Blog เล็กๆแห่งหนึ่ง รวมเกร็ดข่าวสาระประจำวัน กับ เรื่องที่อาจจะไร้สาระ ของ ลูกผู้ชายคนหนึ่ง ที่อาศัยอยู่ในมหานครใหญ่แห่งหนึ่ง ในที่โลกที่กว้างใหญ่ใบนี้
Group Blog
 
All Blogs
 

หุ้นไทยมีโอกาสทดสอบจุดต่ำสุด265จุด

ที่มา //www.bangkokbiznews.com
โดย สาธิต อุปชา


เคจีไอคาดหุ้นไทยครึ่งปีแรก“ขาลง” กรอบการเคลื่อนไหว 265-529 จุด เงินทุนต่างชาติตัวแปรสำคัญ ค่าเงินมีสิทธิหลุด 37 บาท/ดอลล์ NPLพุ่งครึ่งปีหลัง

นายอดิศักดิ์ คำมูล ผู้อำนวยการส่วนวิจัยเศรษฐกิจและกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ประเมินแนวโน้มการลงทุนตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ว่า ตลาดยังมีความผันผวน โดยตัวแปรสำคัญยังคงเป็นการลงทุนของต่างชาติ ซึ่งพบว่ายังคงขายหุ้นไทยออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยในปีที่ผ่านมาขายสุทธิ 162,346 ล้านบาท และตั้งแต้ต้นปีจนถึงวันที่ 13 ก.พ.ที่ผ่านมาขายหุ้นไทยออกมาแล้วกว่า 4,717 ล้านบาท และถ้าหากแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐยังไม่ฟื้นตัว นักลงทุนต่างชาติก็จะยังคงขายหุ้นไทยออกมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำเงินไปใช้ในการแก้ปัญหาวิกฤติการเงินที่เกิดขึ้นในสหรัฐ

“น้ำหนักการลงทุนตลาดหุ้นไทยปีนี้ มาจากปัจจัยภายนอก 100% ถ้าหากนักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิหุ้นไทยออกมาอย่างต่อเนื่อง และแนวโน้มเศรษฐกิจโลกชะลอตัว หุ้นไทยก็จะยังคงปรับตัวลดลงต่อเนื่อง”

ในช่วง 6 เดือนข้างหน้า คาดว่าดัชนีมีโอกาสปรับตัวลดลงมาทดสอบที่รัดบ 375 จุด โดยในช่วงระหว่างเดือนมี.ค.-พ.ค. หุ้นไทยจะอยู่ในช่วงขาลง และกรอบการเคลื่อนไหวดัชนีในปีนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 265-529 จุด

นอกจากนี้ สิ่งที่ต้องจับตามองคือปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ของระบบสถาบันการเงิน ซึ่งได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวา โดยคาดว่าหนี้เสียจะเริ่มเห็นชัดเจนในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ

“ในช่วงเดือนมี.ค.ตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวลดลงอีกครั้ง สะท้อนถึงตัวเลขเงินเฟ้อเดือนก.พ. ที่คาดว่าจะติดลบประมาณ 1% ทำให้มีแรงเทขายหุ้นออกมาจากความกังวลปัญหาเงินเฟ้อ”

สำหรับตัวเลขเงินเฟ้อในปีนี้ คาดว่าเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ที่ -0.7% ต่ำกว่าตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ที่คาดว่าในปีนี้จะมีอัตราการขยายตัวประมาณ 1.3% ขณะที่แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในประเทศ คาดว่ายังอยู่ในช่วงขาลง และการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

ขณะที่แนวโน้มการใช้จ่ายของภาครัฐในช่วง 3 ปีข้างหน้า คาดว่ารัฐบาลจำเป็นต้องใช้นโยบายการขาดดุลงบประมาณเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งเห็นได้จากการตั้งงบประมาณในปีงบประมาณ 2553 ที่รัฐบาลตั้งงบประมาณขาดดุลอีก 4 แสนล้านบาท เพื่อใช้ในการลงทุน

สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาทในระยะสั้นช่วง 1-2 เดือนข้างหน้า ประเทศไทยและประเทศต่างๆในภูมิภาคเอเซียยังมีความเสี่ยงในเรื่องของเงินทุนไหลออก ซึ่งจะเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินสกุลดอลลาร์ ทำให้มีโอกาสเห็นค่าเงินบาทอ่อนค่าแตะที่ระดับ 37 บาทต่อดอลลาร์ ในระยะสั้น

ส่วนแนวโน้มอัตราผลกำไรสุทธิรวมของตลาดหุ้นไทยในปีนี้ คาดว่าอัตราผลกำไรรวมของบริษัทจดทะเบียนจะอยู่ที่ 4.21 แสนล้านบาท ลดลงจากปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 4.36 แสนล้านบาท หรือลดลง 3.4% ซึ่งทำให้ราคาหุ้นต่ออัตราผลกำไร (P/E) ของตลาดหุ้นไทยไม่ได้ถูกมากนัก แม้ปัจจุบันจะลดมาเหลือประมาณ 8 เท่า

ผู้อำนวยการส่วนวิจัยเศรษฐกิจและกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) แนะนำกลยุทธ์การลงทุนตลาดหุ้นไทยในปีนี้ว่า ถ้ามีเงิน 100 บาท ไม่ควรลงทุนในตลาดหุ้นเกิน 30% ที่สำคัญต้องศึกษาข้อมูลการลงทุนให้ดี อย่างไรก็ตาม แนวโน้มตลาดหุ้นที่ผันผวนและอยู่ในช่วงขาลง ที่เป็นโอกาสในการลงทุน แต่ก็ไม่แนะนำให้เข้าลงทุนในตลาดหุ้นช่วงนี้มากนัก เนื่องจากยังมองว่าตลาดหุ้นยังมีโอกาสเสมอ แม้ราคาจะปรับตัวลดลงในช่วงนี้ก็ยังไม่จำเป็นต้องเข้าไปรับ

นอกจากนี้ ยังแนะนำว่าการลงทุนในตลาดหุ้นปีนี้ต้องระมัดระวังการลงทุนเป็นอย่างมาก โดยแนะนำให้ลงทุนในหุ้นที่มีอัตรากำไรสม่ำเสอ และมีการจ่ายปันผล โดยแนะนำให้ลงทุนในหุ้น ADVANC คาดว่าจะมีการจ่ายเงินปันผลในอัตรา 3.87% EGCO คาดว่าจะจ่ายปันผล 3.19% BECL คาดว่าจะจ่ายปันผล 3.05% และ RATCH คาดว่าจะจ่ายผล 2.80%

เตือนเก็งกำไรทองระวังเจ็บตัว

ผู้อำนวยการส่วนวิจัยเศรษฐกิจและกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) กล่าวอีกว่า แนวโน้มราคาทองคำในช่วงที่ผ่านมาที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นถึงการเก็งกำไรในสินทรัพย์ หลังจากที่ตลาดหุ้นปรับตัวลดลงต่อเนื่อง และเชื่อว่าในช่วงต่อไปยังคงมีการเก็งกำไร อย่างไรก็ตาม การเข้าไปลงทุนคงต้องระมัดระวัง เนื่องจากราคาทองคำที่ปรับตัวสูง เกิดจากความต้องการ (Demand) ที่มาจากการเก็งกำไร ไม่ใช่เกิดขึ้นจากความต้องการในการบริโภค และทองคำจะเป็นแหล่งพักเงินร้อนสำหรับนักลงทุนประเภทเก็งกำไร

ขออย่างให้ถึงขั้นนั้เลยดีกว่านะครับ








 

Create Date : 23 กุมภาพันธ์ 2552    
Last Update : 23 กุมภาพันธ์ 2552 6:50:39 น.
Counter : 376 Pageviews.  

อาเซียน+3มีมติเพิ่มวงเงินเสริมสภาพคล่อง

ที่มา //www.bangkokbiznews.com



เวทีอาเซียน+3 ได้ข้อยุติตั้งกองทุนเสริมสภาพคล่องระยะสั้น เพิ่มวงเงินเป็น 120,000 ล้านดอลลาร์ เตรียมเสนอที่ประชุมสุดยอดอาเซียนปลายเดือนนี้

นายสุรินทร์ พิศสุวรรณ เลขาธิการอาเซียน เปิดเผยว่าการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียน+3 (ASEAN+3 Finance Ministers Meeting) วาระพิเศษในเช้าวันนี้ (22 ก.พ.) ที่ประชุมได้ข้อยุติร่วมกันในการขยายวงเงินตามมาตรการริเริ่มเชียงใหม่ (Chiang Mai Initiative Multilateralisation : CMIM) เพื่อเป็นกลไกในการเสริมสภาพคล่องทางการเงินระยะสั้นระหว่างกัน เพื่อให้การส่งเงินสมทบจากประเทศต่าง ๆ มากขึ้น

ที่ประชุมได้ตกลงร่วมกันที่จะขยายวงเงินจาก 80,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็น 120,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และกลุ่มสมาชิกอาเซียนจะสมทบเงินเข้ากองทุนจำนวนเท่า ๆ กัน คิดเป็น 20% ของวงเงินรวม 120,0000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือส่งเงินสมทบรวม เท่ากับ 24,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนที่เหลืออีก 80% เป็นการสมทบจากจีน เกาหลี และญี่ปุ่น

"ข้อสรุปนี้จะนำเสนอต่อที่ประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่จะมีขึ้นในประเทศไทยเร็ว ๆ นี้ เพื่อให้การดำเนินการในเรื่องนี้ จะต้องเร่งดำเนินการอย่างรวดเร็วเพื่อให้มีผลเป็นรูปธรรม"





 

Create Date : 22 กุมภาพันธ์ 2552    
Last Update : 22 กุมภาพันธ์ 2552 18:05:36 น.
Counter : 492 Pageviews.  

พลังงานปรับแผนพีดีพี ตามภาวะเศรษฐกิจ

ที่มา //www.bangkokbiznews.com



พรชัย รุจิประภา ปลัดพลังงาน



ปลัดพลังงานเผยปรับแผนพีดีพี ครั้งที่ 2 เลื่อนโครงการรับซื้อไฟฟ้าผู้ผลิตรายใหญ่ออกไป1ปี แต่รับซื้อไฟฟ้ารายเล็กเข้ามา เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

นายพรชัย รุจิประภา ปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า จากปัญหาเศรษฐกิจทั้งในประเทศและทั่วโลกกำลังถดถอย ทำให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าของประเทศชะลอลง จึงมีความจำเป็นต้องปรับพีดีพี ครั้งที่ 2 เพื่อส่งสัญญาณให้โครงการที่อยู่ในแผนงานและกำลังดำเนินการอยู่ บางโครงการกำลังเตรียมเปิดประมูล บางโครงการกำลังเจรจาจัดซื้อเครื่องจักร ให้ชะลอแผนไปก่อน ซึ่งยังถือว่าเป็นการปรับแผนเพียงเล็กน้อย ในระยะปี 52-57 โดยจะปลดโรงไฟฟ้าเก่าของ กฟผ.ที่มีอายุเกิน 30 ปีออกจากระบบ และเลื่อนโรงไฟฟ้าใหม่ของ กฟผ.บางโรงงานออกไปด้วย

รวมถึงการเลื่อนโครงการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้ารายใหญ่ (IPP) 2 รายออกไป 1 ปี เช่นกัน แต่ให้เลื่อนโครงการรับซื้อไฟฟ้าจากภาคเอกชนรายเล็ก(SPP) เข้ามา เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ สำหรับการปรับแผนครั้งใหญ่คงต้องหารือกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) คาดว่าต้องใช้เวลาถึง 8 เดือน ซึ่งต้องทำประชาพิจารณ์ร่วมกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

สำหรับการวิจารณ์เกี่ยวกับการมีโรงไฟฟ้าขนอมเพิ่มเติมในแผนพีดีพี สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ชี้แจงว่าโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ในภาคใต้ได้มีอยู่ในแผนเดิมอยู่แล้ว โดยกำหนดให้ก่อสร้างที่ อ.ขนอม ซึ่งจะสามารถส่งไฟฟ้าเข้าระบบได้ในช่วงปี 2559 เพื่อทดแทนการปลดโรงไฟฟ้าขนอมชุดที่ 1 ที่มีอยู่เดิม เนื่องจากความต้องการใช้ไฟฟ้าในภาคใต้ยังเพิ่มขึ้น และโรงไฟฟ้าขนอมใช้ก๊าซธรรมชาติจากโรงแยกก๊าซหน่วยที่ 4 ที่ผลิตก๊าซแอลพีจีเพื่อใช้ในภาคใต้ด้วย หากไม่มีโรงไฟฟ้าใหม่มาทดแทนจะส่งผลให้โรงแยกก๊าซธรรมชาติไม่สามารถดำเนินการได้ เพราะต้นทุนสูงและต้องนำเข้าแอลพีจีจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นปีละ 230,000 ตัน เพื่อชดเชยแอลพีจี ที่ผลิตได้จากโรงแยกก๊าซหน่วยที่ 4 (ขนอม) และยังต้องขนส่งก๊าซแอลพีจีจากแหลมฉบังมาใช้ในภาคใต้ ซึ่งอาจมีปัญหาต้นทุนขนส่งเพิ่มขึ้น

และการก่อสร้างโรงไฟฟ้าขนอมต้องเปิดประมูลด้วยการให้ทุกฝ่ายเสนอราคาอย่างเสรีเหมือนกับโครงการอื่น ไม่ใช่เปิดทางให้บริษัทผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือเอ็กโก เป็นผู้ดำเนินการตามที่หลายฝ่ายกังวล




 

Create Date : 20 กุมภาพันธ์ 2552    
Last Update : 20 กุมภาพันธ์ 2552 6:45:18 น.
Counter : 398 Pageviews.  

สิ่งทอ-อาหารโตสวนกระแสไร้ปัญหาเลิกจ้าง

ที่มา //www.bangkokbiznews.com



วิรัตน์ ตันเดชานุรักษ์ ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ


สถาบันสิ่งทอ-อาหาร ยันไร้ปัญหาเลิกจ้างแรงงาน เผยมูลค่าการส่งออกยังเติบโตได้ โดยเฉพาะสิ่งทอ คาดโตขึ้นจากปีก่อน 10% โดยเฉพาะตลาดญี่ปุ่น

นายวิรัตน์ ตันเดชานุรักษ์ ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ เปิดเผยถึง เป้าหมายการส่งออกสิ่งทอไทยปีนี้ ว่า คาดว่าจะสามารถเติบโตจากปีที่ผ่านมา ประมาณ 10% โดยปี 2551 มีมูลค่าส่งออก 7,289 ล้านดอลลาร์ ส่วนปีนี้ คาดว่ามูลค่าส่งออกจะเพิ่มเป็น 8,000 ล้านดอลลาร์ เนื่องจากประเทศญี่ปุ่น ที่เคยลงทุนในประเทศจีน หันเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น ทำให้อุตสาหกรรมนี้น่าจะขยายตัวได้อีก

นอกจากนี้ การส่งออกสิ่งทอของไทย ยังได้รับผลดีจากข้อตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (เจเทปา) ที่เป็นปัจจัยเอื้ออีกประการหนึ่ง ทำให้ยอดส่งออกสิ่งทอ ไปตลาดญี่ปุ่น ขยายตัวได้ดี อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เป็นห่วงขณะนี้ คือ มาตรการกีดกันการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (เอ็นทีบี) จึงอยากให้รัฐบาลเข้ามาช่วยเหลือขจัดอุปสรรคดังกล่าวให้แก่ผู้ประกอบการ

ส่วนการเลิกจ้างแรงงานนั้น ยืนยันว่า ในอุตสาหกรรมสิ่งทอไม่น่าเป็นห่วง เพราะหากโรงงานใดปิด แรงงานจะสามารถไปทำงานอีกโรงงานหนึ่งได้ เพราะเป็นแรงงานที่ทักษะอยู่แล้ว ในส่วนการพัฒนาผู้ประกอบการ สถาบันสิ่งทอมีเป้าหมายจะพัฒนาไว้แล้ว อาทิเช่น อุตสาหกรรมฟอกย้อม

ทางด้านนายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร คาดว่าอุตสาหกรรมอาหารของไทย ถือเป็นอุตสาหกรรมที่แตกต่างจากอุตสาหกรรมอื่น โดยสภาพการจ้างงานขณะนี้ไม่มีการเลิกจ้าง แต่กลับมีแนวโน้มจ้างงานเพิ่มขึ้น

โดยปีนี้ คาดว่าจะมีมูลค่าการส่งออกสินค้าอาหาร ประมาณ 7.24 แสนล้านบาท ลดลง 7% จากปี 2551 เนื่องจากราคาสินค้าเกษตรที่เป็นวัตถุดิบปรับลดลงถึง 22% ขณะที่อาหารสำเร็จรูปราคาเพิ่มขึ้น 5% ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรง สาเหตุที่ทำให้มูลค่าส่งออกลดลง เพราะผู้บริโภคประหยัดการใช้จ่าย ส่วนการย้ายแรงงานจากกลุ่มอุตสาหกรรมอื่นมาทำงานในอุตสาหกรรมอาหารนั้น เป็นสิ่งที่ทำได้ แต่ต้องใช้เวลาในการจัดเตรียมพอสมควร




 

Create Date : 19 กุมภาพันธ์ 2552    
Last Update : 19 กุมภาพันธ์ 2552 6:45:03 น.
Counter : 427 Pageviews.  

ศก.ซบ!ไทยพาณิชย์ปรับแผนออกกองอสังหา

ที่มา //www.bangkokbiznews.com


พิษเศรษฐกิจซบ บลจ.ไทยพาณิชย์พลิกแผนออกกองอสังหาฯ ขนาดเล็กลง ปลื้มผลการดำเนินงานกองอสังหาฯควอลิตี้เฮาส์ ปันผลเข้าเป้า

นางโชติมา โชติบัณฑิต ผู้อำนวยการอาวุโส และหัวหน้าหน่วยงานฝ่ายกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด กล่าวยอมรับว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก จากปัญหาวิกฤติการเงินในสหรัฐ ซึ่งทำให้มีเงินทุนเคลื่อนย้ายว่า ส่งผลกระทบต่อตลาดกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (พร็อพเพอร์ตี้) ในปีนี้ เนื่องจากต้องยอมรับว่านักลงทุนส่วนใหญ่ที่ลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ที่มีขนาดใหญ่ ต่างเป็นนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งทำให้แผนการจัดตั้งกองทุนอสังหาฯที่มีขนาดใหญ่ ต้องชะลอออกไปก่อน และหันมาจัดตั้งกองทุนที่มีขนาดเล็กลง รองรับดีมานด์นักลงทุนในประเทศเป็นหลัก

ทั้งนี้ ในช่วงต่อไปบริษํทคงต้องเน้นด้านการประชาสัมพันธ์ให้นักลงทุนในประเทศมีความเข้าใจในผลิตภัณฑ์ และจะมีการพัฒนาขึ้นไปตามลำดับ

นางโชติมา กล่าวว่า ที่ผ่านมาเจ้าของคอนโดมิเนียมเป็นจำนวนมากให้ความสนใจเข้ามาจัดตั้งกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เช่นกัน แต่หากมีการขายสินทรัพย์ส่วนใหญ่ไปแล้วคิดจะนำมาตั้งเป็นกองทุนค่อนข้างลำบาก เนื่องจากการที่จะตั้งเป็นกองทุนนั้นจะต้องอยู่ในรูปแบบเซอร์วิสต์ อพาร์ทเมนท์ และจะต้องแบ่งเป็นสัดส่วนของสินทรัพย์ให้ชัดเจน ไม่ใช่ว่าขายคอนโดมิเนียมแต่ละยูนิตกระจายตัวไป และพื้นที่ไม่เชื่อมต่อกัน

นอกจากนี้ จะต้องมีประสบการณ์ในการบริหารจัดการในรูปแบบเซอร์วิสต์ อพาร์เม้นต์ ด้วย เนื่องจากรายได้ส่วนใหญ่ของกองทุนจะมาจากค่าเช่านั่นเอง ไม่ใช่เป็นเพียงการนำคอนโดมิเนียมมาตั้งเป็นกองทุนเพื่อให้เช่าแล้วรอขายเท่านั้น และสัดส่วนคอนโดมิเนียมจะต้องมีตั้งแต่ 50% ขึ้นไป เพราะว่าจะสามารถใช้สิทธิในการออกเสียงได้ ไม่ใช่เสียงส่วนน้อย ซึ่งจะทำอะไรลำบาก ไม่ใช่ว่าขายไม่หมดแล้วจะมาคิดทำกองทุน

ปลื้มกองอสังหาฯควอลิตี้เฮ้าส์ปันผลตามเป้า/ลูกค้าไม่กระจุก

นางโชติมา กล่าวว่า บริษัทจะเข้าไปให้ความรู้เกี่ยวกับกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ โดยเข้าไปร่วมมือกับธนาคารพาณิชย์ในการจัดพอร์ตลงทุน และแนะนำให้นักลงทุนแบ่งสัดส่วนสินทรัพย์ โดยกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ควอลิตี้ เฮ้าส์ (QHPF) ยังมีนโยบายจ่ายเงินปันผลทุกไตรมาสอีกด้วย โดยผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมายังไม่มีสัญญาณที่บ่งบอกว่าไม่ดีเลย และยังได้รับผลกระทบน้อย เนื่องจากยังไม่มีผู้เช่ามาแจ้งยกเลิกสัญญาเช่าแต่อย่างใด โดยปกติผู้เช่าจะเซ็นสัญญาประมาณ 3 ปีต่อครั้ง และหากผู้เช่าจะไม่ต่อสัญญาเช่าต่อจะต้องแจ้งก่อนล่วงหน้าประมาณ 6 เดือน

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะเกิดภาวะวิกฤติ บริษัทจะไม่ปรับลดค่าเช่า หรือจัดแคมเปญลดแลกแจกแถม เนื่องจากเป็นวิธีการที่ไม่ถูกต้อง และรายได้ของกองทุนมาจากค่าเช่า หากต้องปรับลดค่าเช่ามากจะไม่ทำ โดยจะรอลูกค้าที่มีศักยภาพ และสามารถจ่ายค่าเช่าได้ในระยะยาวดีกว่ามาเช่าเพราะว่าราคาถูก ซึ่งการปรับลดค่าเช่าลงมา หากจะปรับขึ้นไประดับเดิมค่อนข้างลำบาก โดยยังมีอัตราค่าเช่าค่อนข้างดี แต่การที่กองทุนมีนโยบายจ่ายเงินปันผลทุกไตรมาส ส่งผลให้มีเม็ดเงินไหลออกไป และบริหารยาก ล่าสุดกองทุนได้จ่ายเงินปันผลประมาณ 0.21 บาทต่อหน่วยลงทุน

ขณะเดียวกัน ผู้เช่าของกองทุน QHPF จะอยู่ในทุกธุรกิจ ไม่กระจุกตัว ส่งผลให้เมื่อภาวะเศรษฐกิจไม่ดี ทำให้ได้รับผลกระทบน้อย ส่วนใหญ่บริษัทลูกจะย้ายไปยังอาคารสำนักงานอื่นอันเป็นผลมาจากนโยบายบริษัทแม่ แต่การย้ายเพราะปิดกิจการยังไม่มี ส่วนการที่มูลค่าหน่วยลงทุน (NAV) มีราคาต่ำกว่าในตลาดรองนั้นเป็นสิ่งที่ไม่สามารถควบคุมได้ แต่อยากให้ดูที่ NAV มากกว่า เนื่องจากเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงรายได้ที่แท้จริงของกองทุน และอายุที่เหลือของสัญญาเช่า โดยเป็นการประเมินจากผู้ประเมิน และสินทรัพย์ของกองทุนส่วนใหญ่จะอยู่ไม่ไกลจากแนวรถไฟฟ้าเชื่อมการเดินทางสะดวกสบาย

ทั้งนี้ จากการสำรวจของซีบี ริชาร์ดพบว่าพื้นที่อาคารสำนักงานทั้ง CBD และ Non-CBD และ New Supplies ในปี 2008 – 2011 มีประมาณ 7.8 ล้านตารางเมตร ส่วนพื้นที่ว่างของอาคารสำนักงานเกรด A ในย่าน CBD ในไตรมาส 4/2551 มีเพียง 2.5 แสนตารางเมตร หรือปรับเพิ่มขึ้นเป็น 16.7% จากไตรมาส 3/2551 ที่มีอยู่ 14.3% ขณะเดียวกัน Supplies ใหม่ในอีก 3 ปีข้างหน้ามีเพิ่มเพียง 1.5 แสนตารางเมตร หากพิจารณาจากสถานการณ์ในช่วงภาวะเศรษฐกิจและการเมืองปกติจะพบว่ามีอัตราการเข้าใช้พื้นที่เฉลี่ย 1.0 แสนตารางเมตรต่อปี ฉะนั้น Supplies ในอนาคตอาจจะไม่เพียงพอต่อความต้องการ




 

Create Date : 18 กุมภาพันธ์ 2552    
Last Update : 18 กุมภาพันธ์ 2552 6:35:04 น.
Counter : 445 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  

Rushing Dandy
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




สวัสดีทุกๆท่านครับ ขอต้อนรับเข้าสู่ Bloggang ผมนะครับ
อยาก Comment อะไรเชิญได้เต็มที่ครับ
แล้วก็ยังไง ช่วยกรุณาสนับสนุน Sponsor link ด้านล่างนี้ ด้วยนะครับ




มีผู้เข้าชม Blog แห่งนี้นับตั้งแต่ 14 ธ.ค 51 แล้ว free counters
free counter

Friends' blogs
[Add Rushing Dandy's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.