|
ธปท.เผยเอ็นพีแอลรวมสิ้นปี 51 ลดเหลือ 5.29%
ที่มา //www.bangkokbiznews.com
แบงก์ชาติเผยเอ็นพีแอลรวมสิ้นปี 51 ลดเหลือ 5.29% ของสินเชื่อรวม จากไตรมาส 3 ที่มีเอ็นพีแอลรวม 6.06%
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยข้อมูลสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) สิ้นปี 2551 ว่าสถาบันการเงินทั้งระบบมีจำนวนเอ็นพีแอลรวม (Gross NPLs) จำนวน 401,438 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 5.29% ของสินเชื่อทั้งระบบ ลดลงจากไตรมาส 3 ปี 2551 ที่มีจำนวนเอ็นพีแอลรวมทั้งสิ้น 436,244 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 6.06% ของสินเชื่อรวม
ส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้สุทธิซึ่งหักกันสำรองแล้ว (Net NPL) มีจำนวนทั้งสิ้น 217,561 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 2.94% ของสินเชื่อรวม ลดลงจากไตรมาส 3 ที่มีจำนวนเอ็นพีแอลสุทธิจำนวน 230,257 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 3.29% ของสินเชื่อรวม
ทั้งนี้ จำนวนเอ็นพีแอลเฉพาะส่วนของธนาคารพาณิชย์ สิ้นไตรมาส 4 มีเอ็นพีแอลรวม 397,126 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 5.26% ของสินเชื่อรวม ลดลงจากไตรมาส 3 ที่มีสัดส่วนเอ็นพีแอล 6.03% ส่วนเอ็นพีแอลสุทธิมีจำนวน 215,448 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 2.93% ลดลงจากสัดส่วน 3.28% ของสินเชื่อรวมในไตรมาส 3
ด้านนายเกริก วณิกกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายสถาบันการเงิน ธปท. กล่าวถึงผลกระทบของการใช้เกณฑ์กำกับดูแลเงินกองทุนบาเซิล 2 ต่อการดำรงเงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์ว่าแม้ตามเกณฑ์บาเซิล 2 จะกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ต้องดำรงเงินกองทุนสำหรับเอ็นพีแอลสูงขึ้นจากเดิมเนื่องจากน้ำหนักความเสี่ยงเอ็นพีแอลเพิ่มขึ้นจาก 100% เป็น 150%
แต่เกณฑ์บาเซิล 2 ก็ได้ยกเว้นให้ธนาคารที่มีกันสำรองเอ็นพีแอลในสัดส่วนสูง สามารถลดน้ำหนักความเสี่ยงสำหรับลูกหนี้เอ็นพีแอลได้ โดยหากมีการกันสำรองถึง 20% น้ำหนักความเสี่ยงจะลดลงจาก 150% เหลือ 100% ดังนั้น เกณฑ์บาเซิล 2 จึงไม่ได้เป็นภาระต่อการดำรงเงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์
นอกจากนี้ การที่อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงของธนาคารพาณิชย์ลดลง 1.8% จากเดิมที่ 15.7% เหลือ 13.9% แต่หากพิจารณาจากเงินกองทุนส่วนเกินธนาคารพาณิชย์ที่สามารถรองรับการขยายสินเชื่อเพิ่มขึ้นได้ยังมีสูงถึง 5.1 ล้านล้านบาท แสดงให้เห็นว่าความสามารถในการปล่อยสินเชื่อยังมีอยู่ และธนาคารพาณิชย์สามารถขยายสินเชื่อได้ แม้อาจจะมีความเคร่งครัดในการปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้นบ้าง
เงินกองทุนที่ถูกตัดไป 1.8% ลดลงบ้าง แต่หากดูจากความสามารถในการปล่อยสินเชื่อที่ยังปล่อยได้อีกกว่าล้านล้านบาท แม้ธนาคารอาจจะเคร่งครัดบ้าง แต่ไม่มีผลกระทบในความเป็นจริงและธนาคารยังสามารถขยายสินเชื่อได้อยู่แล้ว เพียงแต่ก็อาจจะไม่มีใครขยายสินเชื่อในขณะที่คำสั่งซื้อลดลง นายเกริก กล่าว
นายเกริก กล่าวด้วยว่าการใช้เกณฑ์บาเซิล 2 เป็นผลดีต่อธนาคารขนาดเล็กที่หลายธนาคารปล่อยสินเชื่อรายย่อยและสินเชื่อที่อยู่อาศัย ซึ่งเป็นสินเชื่อประเภทที่มีน้ำหนักความเสี่ยงในการคำนวณเงินกองทุนลดลงจากเดิม คือ สินเชื่อรายย่อยมีน้ำหนักความเสี่ยง 75% ลดลงจาก 100% ส่วนสินเชื่อที่อยู่อาศัยมีน้ำหนักความเสี่ยงเหลือ 35% ลดลงจากเดิม 50% ดังนั้นเกณฑ์บาเซิล 2 จะเอื้อต่อธนาคารขนาดกลางและเล็ก อย่างไรก็ตามเกณฑ์ดังกล่าว คงไม่ได้เอื้อหากธนาคารไม่ได้ปล่อยสินเชื่อ
เขากล่าวอีกว่าการปรับใช้เกณฑ์บาเซิล 2 ของสถาบันการเงินไทยส่วนใหญ่เป็นการดำรงเงินกองทุนขั้นต่ำตามวิธีมาตรฐาน (Standard Approach:SA) ซึ่งคล้ายกับเกณฑ์ที่ใช้ในบาเซิล 1 ดังนั้น การใช้เกณฑ์บาเซิล 2 ของสถาบันการเงินไทย จึงไม่ได้มีอะไรที่แตกต่างจากเดิมมากนัก เพียงแค่มีเกณฑ์วัดน้ำหนักความเสี่ยงของสินเชื่อแต่ละประเภทที่ละเอียดขึ้นกว่าเดิมเท่านั้น
ทั้งนี้ ธนาคารพาณิชย์ในไทยมีเพียง 3 แห่งที่ใช้วิธีการดำรงเงินกองทุนขั้นต่ำวิธีที่ซับซ้อน (Internal Ratings Based Approach: IRB) คือ ธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด ธนาคารคาลิยง และธนาคารบีเอ็นพี พาริบาส์
อย่างไรก็ตาม นายเกริก กล่าวว่าธนาคารพาณิชย์ที่ใช้วิธีดำรงเงินกองทุนวิธีมาตรฐาน (SA) ไม่จำเป็นต้องยกระดับไปใช้วิธีที่ซับซ้อน (IRB) ขึ้นก็ได้ แต่ถ้าสามารถทำได้ก็จะมีวิธีคำนวณความเสี่ยงที่ละเอียดขึ้นกว่าเดิม ทำให้สามารถบริหารความเสี่ยงได้รองรับกับความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจริงได้ดีขึ้น แต่วิธีการดังกล่าวก็ต้องอาศัยข้อมูลระยะยาว
Create Date : 27 มกราคม 2552 |
Last Update : 27 มกราคม 2552 7:34:50 น. |
|
0 comments
|
Counter : 429 Pageviews. |
|
|
|
| |
|
|
Location :
[Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]
|
สวัสดีทุกๆท่านครับ ขอต้อนรับเข้าสู่ Bloggang ผมนะครับ อยาก Comment อะไรเชิญได้เต็มที่ครับ แล้วก็ยังไง ช่วยกรุณาสนับสนุน Sponsor link ด้านล่างนี้ ด้วยนะครับ
|
|
|
|
|
|
|
|