Blog เล็กๆแห่งหนึ่ง รวมเกร็ดข่าวสาระประจำวัน กับ เรื่องที่อาจจะไร้สาระ ของ ลูกผู้ชายคนหนึ่ง ที่อาศัยอยู่ในมหานครใหญ่แห่งหนึ่ง ในที่โลกที่กว้างใหญ่ใบนี้
Group Blog
 
All Blogs
 
โบรกเกอร์ระบุปันผลปี52หดตัวครั้งแรกรอบ8ปี

ที่มา //www.bangkokbiznews.com

โบรกเกอร์ คาดค่าเฉลี่ยของอัตราเงินปันผลลดลงต่ำกว่า 40% เป็นอัตราลดลงต่ำสุดในรอบ 8 ปีนับตั้งแต่ปี 2544

ภายใต้ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ถดถอย กำลังซื้อตกต่ำทั่วโลก กดดันกระแสเงินสดจากการดำเนินงานและสภาพคล่องทางการเงินของผู้ประกอบการทั่วโลก ทำให้จะมีผลกระทบต่อการจ่ายเงินปันผลของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งจากการรวบรวมข้อมูลที่นักวิเคราะห์ของ บล.เอเซีย พลัส ได้ประมาณการไว้ในปี 2552 จำนวน 149 บริษัท พบว่า ผู้ประกอบการส่วนใหญ่มีนโยบายที่จะงดจ่ายปันผล หรือจ่ายอัตราเงินปันผลในอัตราที่ลดลงจากปี 2551 ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 65%

นอกจากนี้ โบรกเกอร์ ยังคาดค่าเฉลี่ยของอัตราเงินปันผลลดลงต่ำกว่า 40% และเป็นอัตราลดลงต่ำสุดในรอบ 8 ปีนับตั้งแต่ปี 2544 ซึ่งอัตราเงินปันผลที่จ่ายคืนให้กับผู้ถือหุ้นมีการปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง

ยกเว้นกลุ่มที่มีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานมั่นคง หรือมีฐานะเงินสดสุทธิโดยไม่มีภาระการลงทุนใหม่ๆ ทำให้ยังสามารถรักษานโยบายการจ่ายเงินปันผลในอัตราที่เพิ่มขึ้น หรือเท่ากับปี 2551 เช่น กลุ่มค้าปลีก-ค่าส่ง พบว่า บริษัททุกแห่งในกลุ่มมีสุขภาพดี
ส่วนกลุ่มเดินเรือ มีสภาพคล่องดี แต่กระจุกตัวอยู่เฉพาะเรือเทกอง ซึ่งเป็นการให้เช่าเรือ โดยไม่ต้องรับภาระต้นทุนน้ำมัน กลุ่มบันเทิง โดยเฉพาะที่ให้บริการสื่อโทรทัศน์เท่านั้น เพราะมีรายได้ในรูปเงินสดมั่นคง ขณะที่ไม่มีภาระการลงทุน

กลุ่มที่อยู่ตรงกลาง แต่มีฐานะการเงินมั่นคงมาก ได้แก่กลุ่มโรงไฟฟ้า เนื่องจากมีสัญญาการขายไฟฟ้าแก่การไฟฟ้าตลอดอายุโครงการ จึงมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานมั่นคง สามารถชำระหนี้ พร้อมทั้งสามารถขยายการลงทุน และจ่ายเงินปันผลได้ต่อเนื่อง รวมถึงกลุ่มกิจการโรงพยาบาล แม้จะมีหนี้สินสุทธิ แต่ไม่สูงและมีแนวโน้มลดลง เพราะได้ผ่านพ้นช่วงลงทุนหนักๆ มาแล้ว

การลงทุนในอุปกรณ์การแพทย์อย่างต่อเนื่อง ยังมีความจำเป็นเพื่อให้ก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีทางการแพทย์สมัยใหม่ และด้วยลักษณะธุรกิจบริการที่จำเป็น พื้นฐาน 1 ในปัจจัย 4 ทำให้มีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานมั่นคงสูง สามารถชำระหนี้ และขยายการลงทุนพร้อมจ่ายปันผลได้ต่อเนื่อง

รายงานระบุว่า การลงทุนในช่วง 3 เดือนนับจากนี้ จึงยังให้ความสำคัญกับบริษัทจดทะเบียนที่มีสุขภาพแข็งแรง ซึ่งหมายถึงต้องเป็นกิจการที่มีเงินสดในมือสูง มีกระแสเงินสดต่อเนื่อง สามารถชำระหนี้ได้อย่างมั่นคง พร้อมสามารถจ่ายเงินปันผลในอัตราที่สูง

ประกอบด้วย บริษัท แอดวานซ์ (ADVANC) บริษัทบีอีซีเวิลด์ (BEC) บริษัทบิ๊กซี (BIGC) บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล (KH) บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) บริษัท พรีเชียส ชิพปิ้ง (PSL) บริษัท ปตท. (PTT) บริษัทโรบินสัน (ROBINS) บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น (SC) และ บริษัทไทยยูเนียน โฟรเซ่น โปรดักส์ (TUF)

สอดคล้องกับนายพิชัย เลิศสุพงศ์กิจ ผู้อำนวยการอาวุโส บล.ธนชาต ให้ความเห็นว่า ในปีนี้แนวโน้มของการจ่ายอัตราปันผลของบริษัทจดทะเบียนจะลดลง โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับงวดปี 2551 เนื่องจากความสามารถในการทำกำไรลดลง เพราะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอย ขณะเดียวกันบริษัทส่วนใหญ่ต้องการที่จะรักษาเงินสดไว้ เพื่อรับมือกับวิกฤติเศรษฐกิจ

"ตอนนี้ทุกคนคงรอดูว่าแนวโน้มเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร และจะมีสัญญาณฟื้นตัวได้ตอนไหนทำให้ทุกคนต่างต้องตุนเงินสด ซึ่งเป็นได้ชัดว่าในช่วงต้นปีมีบริษัทจดทะเบียนหลายแหล่งที่มีขนาดใหญ่ และมีศักยภาพ โดยเฉพาะบริษัทที่มีเรทติ้งดีๆ เร่งระดมทุนโดยการเสนอขายหุ้นกู้จำนวนมากมูลค่ารวมไม่ต่ำกว่า 4 แสนล้านบาท ซึ่งจะเห็นชัดในช่วงหลังเทศกาลสงกรานต์นี้" นายพิชัย กล่าว

ส่วนกลยุทธ์การลงทุนในช่วง 3 เดือนจากนี้ไปควรลงทุนในธุรกิจที่ไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ และเป็นบริษัทที่มีกระแสเงินสดที่แข็งแรงและสามารถจ่ายเงินปันผลได้ รวมถึงอัตราผลตอบแทนของเงินปันผลน่าจะยืนเกินระดับ 7% ได้แก่ กลุ่มธุรกิจค้าปลีก จะเป็นกลุ่มที่ดีที่สุดในเวลานี้ เช่น หุ้นบิ๊กซี ขณะที่หุ้นแอดวานซ์ หุ้นไทยยูเนียนโฟรเซ่นฯ น่าจะยังจ่ายปันผลได้สูงกว่าปีก่อน

ขณะเดียวกันนักวิเคราะห์บล.เคจีไอ กล่าวว่า บริษัทได้แนะนำให้ลงทุนกลุ่มค้าปลีก โดยให้น้ำหนักการลงทุนมากกว่าตลาด ซึ่งในไตรมาส 2 เชื่อว่าจะมีแรงกระตุ้นในหุ้นค้าปลีกที่ไม่ใช่อาหารเนื่องจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่สำหรับแนวโน้มระยะยาวร้านค้าปลีกที่เป็นอาหารจะยังคงปลอดภัยที่สุด

แม้จะคาดการณ์ถึงสภาวะเงินฝืดในปี 2552 ยังเชื่อว่าปัจจัยดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบต่อกำไรของผู้ประกอบการค้าปลีก ข้อมูลในอดีตแสดงให้เห็นว่า โดยปกติราคาผู้ผลิตจะเพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงกว่าอัตราเงินเฟ้อ ข้อเท็จจริงดังกล่าว แสดงให้เห็นว่า ผู้ผลิตในขั้นกลางไม่สามารถปรับราคา ให้ทันกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น แต่ในช่วงสภาวะเงินฝืด ผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคอาจขาดทุนในห่วงโซ่การบริโภค

ขณะที่คาดว่าผู้ประกอบการค้าปลีก และผู้ผลิตขั้นกลางจะได้กำไร หากไม่มีการแทรกแซงจากรัฐบาล ผู้ประกอบการค้าปลีกมีแนวโน้มที่จะตรึงราคาไว้และได้กำไรเพิ่มขึ้น หากรัฐบาลแทรกแซงด้วยอำนาจต่อรองที่มีสูง ผู้ประกอบการค้าปลีกจะส่งผ่านปัญหาด้านราคาให้กับผู้ผลิต และรักษากำไรเดิม เนื่องจากผู้ประกอบการค้าปลีกเป็นนักบริหารกำไร อย่างไรก็ดี ยังเชื่อว่ามีโอกาสที่กำไรจะเพิ่มขึ้นในปี 2552

ทั้งนี้ กำไรเพิ่มจากต้นทุนที่ลดลง เนื่องจากคาดว่าค่าใช้จ่ายการตลาดต่อการขายสินค้าหนึ่งชิ้น จะเพิ่มขึ้นในปี 2552 ต้นทุนการขนส่งที่ลดลงและอัตราค่าจ้างที่ทรงตัว หรือลดลงจะมีส่วนช่วยบรรเทาต้นทุนการตลาด ในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ พนักงานมักจะไม่ขอเงินเดือนเพิ่ม หากผู้ประกอบการค้าปลีกประสบความสำเร็จในการเพิ่มยอดขาย ต้นทุนเงินเดือนต่อการขายของหนึ่งชิ้นจะลดลง เนื่องจากค่าใช้จ่ายเงินเดือนต่อค่าใช้จ่ายการขายและการบริหารสำหรับห้างสะดวกซื้อสูงถึง 30% ในขณะที่ถ้าเป็นห้างลดราคา ค่าใช้จ่ายดังกล่าวจะอยู่ที่เพียง 20%

ขณะเดียวกันต้นทุนค่าขนส่งคิดเป็นประมาณ 20% ในขณะที่ค่าโฆษณาคิดเป็นเพียง 4-8% ผู้ประกอบการค้าปลีกสามารถรักษาค่าโฆษณา ให้อยู่ในระดับต่ำได้ เพราะผู้ประกอบการดังกล่าว สามารถผ่องถ่ายต้นทุนบางส่วนให้กับผู้ผลิต จึงคาดว่าอัตรากำไรของผู้ประกอบการค้าปลีกจะเพิ่มขึ้นในปี 2552

ส่วนการลงทุนในหุ้นกลุ่มเดินเรือ บล.เคจีไอ ได้แนะนำให้ทยอยลดน้ำหนักการลงทุนในกลุ่มเรือเทกองก่อนเข้าสู่ช่วงฤดูกาลขนส่งชะลอตัวกลางปี 2552 เมื่อพิจารณาจากการเข้าสู่ฤดูกาลขนส่งที่ชะลอตัวสำหรับสินค้าเทกองในช่วงกลางปี 2552 คาดว่าค่า BDI จะลดลงอยู่ในช่วงระหว่าง 1,000-1,500 จุดดังนั้น จึงแนะนำให้ปรับลดน้ำหนักการลงทุนจากกลุ่มเรือเทกอง ณ ต้นไตรมาส 2 ปี 2552

กรณีที่ค่าระวางปรับตัวลดลง แตะจุดต่ำของระดับดังกล่าว อาจเป็นโอกาสในการเข้าซื้อเก็งกำไรสำหรับกลุ่มเรือเทกอง เพราะค่าระวางไม่น่าจะปรับตัวลดลงไปกว่านั้นมากนัก เนื่องจากเรือจะถูกจอดทอดสมอ หรือปลดระวางเพิ่มมากขึ้น

หากค่าระวางตกต่ำกว่าจุดคุ้มทุน อย่างไรก็ดี เมื่อค่าระวางปรับตัวเพิ่มขึ้น แนะนำให้ขายทำกำไร เพราะค่าระวางไม่น่าจะปรับตัวขึ้นอย่างรุนแรง ตามการขนส่งสินค้าเทกองที่ชะลอตัวตามความต้องการทั่วโลกที่หดตัว รวมถึงปริมาณการส่งมอบเรือใหม่จำนวนมาก จะยังคงเป็นปัจจัยกดดันตลาดในปีนี้

กลยุทธ์การลงทุนให้หลีกเลี่ยงธุรกิจเรือคอนเทนเนอร์ โดยเฉพาะในครึ่งแรกของปี 2552 ผู้ประกอบการเรือคอนเทนเนอร์มีโอกาสในการรายงานผลขาดทุนสุทธิสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2552 โดยยอดการขนส่งตู้คอนเทนเนอร์มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง ตามสภาวะการค้าโลกที่ตกต่ำ

รวมถึงค่าระวางที่มีแนวโน้มชะลอตัวลง แม้ว่าหุ้นกลุ่มเรือคอนเทนเนอร์จะมีการซื้อขายที่ระดับไม่แพง แต่แนวโน้มปัจจัยลบทั้งจากการหดตัวลงของปริมาณการขนส่ง และค่าระวางดังกล่าว จะยังคงเป็นปัจจัยกดดันราคาหุ้นต่อไปเราคาดว่ากลุ่มเรือเทกอง และคอนเทนเนอร์ จะยังคงประสบปัญหาอุปทานเกินดุลในปี 2552 ซึ่งเป็นผลมาจากการค้าโลกที่ตกต่ำและการส่งมอบเรือใหม่จำนวนมาก

กลุ่มเรือมีหุ้นที่น่าสนใจคือหุ้นพรีเชียส ชิพปิ้ง (PSL) เนื่องจากกำไรที่แน่นอนจากการทำสัญญาค่าระวางเรือล่วงหน้า โอกาสขาดทุนจากการดำเนินงานที่น้อยกว่าในภาวะธุรกิจตกต่ำ เนื่องจากส่วนต่างระหว่างค่าระวางและต้นทุนคงที่ค่อนข้างมาก ผลตอบแทนในรูปเงินปันผลที่น่าสนใจ และราคาหุ้นที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่ากลุ่มท่ามกลางแนวโน้มค่าระวางขาลง

บทวิเคราะห์ของบล.กรุงศรีอยุธยา ได้แนะนำให้น้ำหนักการลงทุน เท่ากับตลาด โดยแนะนำ ซื้อลงทุนหุ้นโรงพยาบาลขนาดเล็ก เช่นบริษัทบางกอกเชน (KH) และ บริษัท โรงพยาบาลไทยนครินทร์ (TNH) ซึ่งสองบริษัทถือเป็น DEFENSIVE STOCKS ซึ่งผลประกอบการยังคงเติบโตดีกว่าโรงพยาบาลใหญ่โดยเฉพาะในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว และยังมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งด้วยลักษณะธุรกิจเป็นเงินสด มีหนี้สินต่อทุนในระดับต่ำ และมีการจ่ายปันผลสม่ำเสมอ

ประเด็นสำคัญของอุตสาหกรรมโรงพยาบาลเอกชนช่วง 3 ปีที่ผ่านมาเติบโตต่อเนื่อง ตามกลยุทธ์ในการขยายฐานลูกค้าต่างประเทศ และการเติบโตของธุรกิจการแพทย์เฉพาะทาง เช่น โรงพยาบาลกรุงเทพ (BGH) ถือเป็นโรงพยาบาลใหญ่ที่มีส่วนแบ่งตลาดสูงสุดจากเครือข่าย 19 โรงพยาบาลครอบคลุมทั่วประเทศ ในขณะที่โรงพยาบาลไทยนครินทร์ (TNH) ถือเป็นโรงพยาบาลขนาดเล็ก แต่มีผลการดำเนินงานเติบโตดีสุดในกลุ่ม

ในปี 2552 ภาวะการแข่งขันในธุรกิจสูง คาดว่าการภาวะแข็งขันจะรุนแรงในด้านราคาเป็นสำคัญซึ่งจะเกิดทั้งจากกลุ่มโรงพยาบาลเอกชนของไทยด้วยกัน และการแข่งขันจากประเทศคู่แข่ง อย่าง สิงคโปร์ มาเลเซีย และอินเดีย ขณะที่กลุ่มโรงพยาบาลในโครงการประกันสังคมได้ผลดีจากการปรับขึ้นงบประมาณต่อหัว สำหรับงวดปี 2552 จะมีอัตราเติบโต 19.4% ต่อคนต่อปี ซึ่งสูงกว่าระดับปกติซึ่งปรับเพิ่มขึ้นเพียง 3-5% ส่งผลให้ประสิทธิภาพในการทำกำไรมีแนวโน้มดีขึ้น

กลุ่มโรงพยาบาลมุมมองระยะสั้นเป็นลบ แต่ระยะยาวเป็นบวก ในปี 2552 คาดว่าผลประกอบการของกลุ่มอุตสาหกรรมโรงพยาบาลจะได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจ เช่นเดียวกับธุรกิจบริการอื่นๆ แต่ด้วยประเทศไทยยังมีความได้เปรียบในด้านต้นทุนการรักษาที่ต่ำกว่า ด้วยคุณภาพการให้บริการตามมาตรฐานสากล จึงคาดว่าแนวโน้มระยะยาวกลุ่มลูกค้าต่างประเทศจะยังคงกลับมาใช้บริการเพิ่มขึ้น








Create Date : 06 เมษายน 2552
Last Update : 6 เมษายน 2552 7:55:55 น. 0 comments
Counter : 502 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Rushing Dandy
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




สวัสดีทุกๆท่านครับ ขอต้อนรับเข้าสู่ Bloggang ผมนะครับ
อยาก Comment อะไรเชิญได้เต็มที่ครับ
แล้วก็ยังไง ช่วยกรุณาสนับสนุน Sponsor link ด้านล่างนี้ ด้วยนะครับ




มีผู้เข้าชม Blog แห่งนี้นับตั้งแต่ 14 ธ.ค 51 แล้ว free counters
free counter

Friends' blogs
[Add Rushing Dandy's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.