|
TCAP ธนชาตสนเทค SCIB หวังสินทรัพย์ขึ้นอันดับ5
ที่มา //www.bangkokbiznews.com
นายบันเทิง ตันติวิท ประธานกรรมการบริษัททุนธนชาต
ธนชาตรับสนใจควบรวมแบงก์ชฎา หลังทยอยเก็บหุ้นรวม 8.79% รอสัญญาณกองทุนฟื้นฟูเปิดทาง หวังเพิ่มขนาดสินทรัพย์ขึ้นเป็น 8 แสนล้านบาท แบงก์อันดับ 5
นายบันเทิง ตันติวิท ประธานกรรมการบริษัททุนธนชาต ในฐานะผู้ถือหุ้นธนาคารธนชาตในสัดส่วน 50.92% เปิดเผยว่า มีความสนใจที่จะซื้อกิจการธนาคารนครหลวงไทยจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเข้ามาควบรวมกับธนาคารธนชาต
โดยธนาคารมีแนวทางในการเติบโต 3 แนวทางด้วยกัน คือ การเติบโตด้วยตัวเองตามแผนที่ธนาคารได้วางไว้อยู่แล้ว 2 การมีพันธมิตรที่ดี ซึ่งในขณะนี้ธนาคารก็มีอยู่แล้วนั่นคือธนาคารโนวาสโกเทีย และแนวทางที่ 3 คือการมองหาโอกาสที่จะเติบโตจากภายนอกด้วยการควบรวมกิจการ
อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้บริษัททุนธนชาตและบริษัท เอ็ม บี เค โฮเต็ล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด ได้เข้าไปถือหุ้นในธนาคารนครหลวงไทยแล้ว 8.79% ซึ่งในแง่การลงทุนแล้ว ธนาคารนครหลวงไทยถือว่ายังมีราคาต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี (book value) โดยมีบุ๊คเวลูที่ 20 บาท แต่ราคาหุ้นในตลาดขณะนี้อยู่ที่ 10 บาทต่อหุ้น ในปีที่ผ่านมามีกำไรสุทธิ 4,000 ล้านบาทและมีอัตราการจ่ายปันผลที่ 0.70 บาทต่อหุ้น
นายบันเทิง กล่าวว่า ธนาคารนครหลวงไทยในขณะนี้ติดปัญหาในเรื่องเพดานต่างชาติ ทั้งนี้ในปัจจุบันธนาคารนครหลวงไทยมีผู้ถือหุ้นต่างชาติประมาณเกือบ 20% จากเพดานการถือหุ้นต่างชาติที่ 25% ขณะที่กองทุนฟื้นฟูถือหุ้นอยู่ 47.58% ซึ่งจะต้องขึ้นอยู่กับแนวทางของกองทุนฟื้นฟูฯ ที่อยู่ระหว่างการว่าจ้าง บล.ภัทรเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน โดยก่อนหน้านี้ธนาคารได้มีการหารือกับกองทุนฟื้นฟูแล้ว และคาดว่ากองทุนฟื้นฟูอาจจะใช้วิธีการเปิดให้มีการประมูลเพื่อความโปร่งใส ซึ่งธนาคารจะเข้าร่วมประมูลเพื่อศึกษาข้อมูลและกำหนดราคาที่เหมาะสม อย่างไรก็ตามจะต้องพิจารณาเงื่อนไขที่ชัดเจนอีกครั้งหนึ่ง
หากไม่สนใจบริษัททุนธนชาตคงไม่เข้าไปถือหุ้นในแบงก์นครหลวงไทย เพราะธนชาตเองก็เติบโตด้วยตัวเองได้ แต่หากควบรวมได้ก็เป็นโอกาสที่จะเติบโตได้เร็วกว่านี้ ทั้งนี้กองทุนฟื้นฟูมีโอกาสขาย เมื่อไรที่ประกาศขาย เราก็มีโอกาสที่จะเข้าไป แต่ก็ต้องขึ้นกับการตัดสินใจของกองทุนรวมถึงการพิจารณาเงื่อนไขด้วย เพราะต้องเป็นเงื่อนไขที่รับได้
นายบันเทิงกล่าวว่า ปัจจุบันธนาคารนครหลวงไทยมีขนาดสินทรัพย์ประมาณ 4.2 แสนล้านบาท ขณะที่ธนาคารธนชาตมีขนาดสินทรัพย์ประมาณ 3.8 แสนล้านบาท หากรวมกันจะทำให้ขนาดสินทรัพย์เพิ่มขึ้นมาเป็น 8 แสนล้านบาท หรือขึ้นเป็นธนาคารพาณิชย์อันดับที่ 5 ของระบบธนาคารพาณิชย์ไทย ใหญ่กว่าธนาคารกรุงศรีอยุธยาในขณะนี้ ขณะที่สาขาในปัจจุบันของธนาคารนครหลวงไทยอยู่ที่ 400 สาขา ธนาคารธนชาตมี 200 สาขา รวมแล้วจะมี 600-700 สาขา ทั้งนี้ขนาดมีความสำคัญกับธุรกิจธนาคารพาณิชย์ หากธนาคารธนชาตสามารถขึ้นเป็นธนาคารขนาดกลางก็จะช่วยให้ขยายธุรกิจได้ง่ายขึ้น รวมถึงการบริหารสาขา หรือการลงทุนทางด้านระบบเทคโนโลยี ซึ่งมีความสำคัญกับธุรกิจธนาคารก็จะมีความคุ้มค่าในการลงทุนมากขึ้น เพราะมีขนาดใหญ่พอ นอกจากนี้ยังช่วยให้ต้นทุนเงินฝากลดลงได้ด้วย
อย่างไรก็ตาม หากธนาคารยังมีขนาดเล็กอยู่ อัตราผลตอบแทนต่อหุ้น (ROE) และอัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ (ROA) ก็จะมีข้อจำกัดในระดับหนึ่งเท่านั้น
ที่ผ่านมาธนาคารเข้าไปศึกษากิจการของธนาคารหลายๆ แห่ง ไม่ว่าจะเป็นไทยธนาคารหรือเอไอจี แต่ในการที่จะควบรวมธนาคารอื่นเข้ามาจะต้องส่งผลให้ธนาคารมีขนาดใหญ่ขึ้น ซึ่งหากเป็นธนาคารนครหลวงไทยก็ถือว่าเหมาะสมกันดี เพราะพอร์ตสินเชื่อของธนาคารธนชาตส่วนใหญ่เป็นรายย่อย ขณะที่พอร์ตสินเชื่อของนครหลวงไทยส่วนใหญ่เป็นรายใหญ่และเอสเอ็มอี แต่ในเรื่องของราคาธนาคารคงสู้ได้ในระดับหนึ่ง
ก่อนหน้านี้นายชัยวัฒน์ อุทัยวรรณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารนครหลวงไทย ให้สัมภาษณ์ว่าแผนปรับโครงสร้างทุนที่มี บล.ภัทร และเมอร์ริลลินช์ เป็นที่ปรึกษาการเงิน คาดว่าจะเสนอให้กับกองทุนฟื้นฟูได้ภายในเดือนนี้และคาดว่ากระบวนการปรับโครงสร้างทุนจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 2 ปีนี้
ส่วนแผนลดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) อยู่ระหว่างการว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาเพื่อพิจารณาแนวทางการขายเอ็นพีแอลออกไปประมาณ 7 พันล้านบาท โดยคาดว่าไตรมาส 3 จะขายหนี้ออกไปได้ ผสมกับเร่งปรับโครงสร้างหนี้กับลูกหนี้ขนาดใหญ่เพื่อให้เอ็นพีแอลสิ้นปีนี้อยู่ที่ระดับ 5% จากไตรมาสแรกเอ็นพีแอลมีสัดส่วน 7% ของสินเชื่อรวม
นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า การขยายสินเชื่อในไตรมาสแรกยังทรงตัว โดยธนาคารยังคงเป้าโต 6.7% หรือคิดเป็นเม็ดเงิน 1.8 หมื่นล้านบาท เนื่องจากยังมีสินเชื่อรายใหญ่ที่เข้าไปปล่อยกู้ร่วมกับสถาบันการเงินอื่น ขณะเดียวกันยังมีโอกาสของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว และอุตสาหกรรมอาหารที่ยังพอขยายตัวได้
Create Date : 05 พฤษภาคม 2552 |
Last Update : 5 พฤษภาคม 2552 14:28:44 น. |
|
1 comments
|
Counter : 551 Pageviews. |
|
|
|
โดย: Tanaphon_p IP: 118.172.139.196 วันที่: 24 พฤษภาคม 2552 เวลา:22:58:26 น. |
|
|
|
| |
|
|
Location :
[Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]
|
สวัสดีทุกๆท่านครับ ขอต้อนรับเข้าสู่ Bloggang ผมนะครับ อยาก Comment อะไรเชิญได้เต็มที่ครับ แล้วก็ยังไง ช่วยกรุณาสนับสนุน Sponsor link ด้านล่างนี้ ด้วยนะครับ
|
|
|
|
|
|
|
|
ผมมองว่าความเสี่ยงของมันต่ำกว่า ACL ตรงที่ ถ้าหากดิวควบรวมนี้ไม่เกิดขึ้น ราคาที่ซื้อขายกันอยู่ผมเห็นก็มีแต่ SCIB ที่ ระดับ P/BV 0.7 เท่า ยังไงก็น่าลงทุนกว่า ถึงดิวนี้จะไม่เกิด เพราะถ้ารอไปราคาเกินบุคก็มีโอกาสมากเพราะมันยังทำกำไรได้อยู่ มาทุกปี ยกเว้นปีที่มีการตั้งสำรองเผื่อหนี้ ตามกฎบาเซิล วัน
ส่วนกองทุนฟื้นฟูนั้น ยังไงก็ต้องขายเพราะมันเป็นนโยบาย ไม่เกินอายุกองทุนที่จะหมดลงใน 4 ปีนี้แน่นอน
ผมมองว่า การที่ TCAP ทำหนังสือแจ้งออกมากับกลต.ยิ่งเป็นอะไรที่ชัดเจนยิ่งกว่า และแบงค์แม่สโกเทียร์ นั้นก็ไม่ได้รับผลกระทบจากวิกฤต เงินพร้อมเสมอ เกิดแน่ๆครับ ขอเพียงรัฐบาลถังแตก แล้วรีบดันกฎหมายการถือหุ้น ยิ่งน่าลุ้นเข้าไปอีก
หากข้างเติ่ง ดิวนี้ไม่เกิดขึ้นราคานี้โอกาสเกินบุคในปีถัดไปก็มีโอกาสสูง จึงน่าลงทุนกว่า ACL ด้วยประการทั้งปวง
ผู้บริหารคนนี้เก่งครับ ผมเคยฟังสัมภาษณ์ทางมันนี่ชาแนลในรายการ ดร.นิเวศ money talk dayly