|
แอลคาร์นิทีน (L-Carnitine)
เครื่องดื่มสุขภาพนู่นนี่นั่นเขาบอกเราว่าใส่ "แอล-คาร์นิทีน" แอล-คาร์นิทีนคืออะไร มีประโยชน์จริงๆ เหรอ เชื่อได้ไหมเนี่ย กินเข้าไปแล้วจะมีพิษต่อร่างกายหรือเปล่าล่ะ ดิฉันเป็นคนหนึ่งที่มีคำถามทำนองนี้อยู่เสมอ (อุ๊ยตาย...เกริ่นนำอย่างกับเป็นโฆษณาขายตรง!!!)
เข้าเรื่องเลยดีกว่าค่ะ "คาร์นิทีน" เป็นสารชนิดหนึ่งซึ่งสังเคราะห์ได้ภายในร่างกายของมนุษย์เอง โดยสารชนิดนี้สังเคราะห์ขึ้นได้ในตับ ไต และสมอง โดยใช้กรดอะมิโนสองชนิดเป็นสารตั้งต้น นั่นก็คือกรดอะมิโนที่มีชื่อว่า "ไลซีน" และ "เมทไธโอนีน" รวมทั้งต้องอาศัยวิตามินต่างๆ ในร่างกายเป็นตัวช่วยให้เกิดการสังเคราะห์คาร์นิทีนขึ้น ได้แก่ วิตามินบี6 วิตามินซี ไนอะซิน (วิตามินบี3) และธาตุเหล็ก
ดังนั้น หมายความว่า ถ้าเรากินอาหารที่มีกรดอะมิโนไลซีนและเมทไธโอนีนอย่างเพียงพอ ร่วมกับกินอาหารที่มีวิตามินบี 6 บี3 วิตามินซี และธาตุเหล็ก รวมทั้งเป็นคนปกติที่ไม่ได้เป็นโรคตับหรือโรคไต ร่างกายเราก็จะสามารถสังเคราะห์คาร์นิทีนขึ้นมาเองได้ หมายเหตุ กรดอะมิโนเป็นหน่วยย่อยของโปรตีนค่ะ เราจะได้มาจากการกินอาหารพวกโปรตีน โดยอาหารที่มีโปรตีนคุณภาพดี ได้แก่ นม และไข่ขาวนะคะ
เอาล่ะ มนุษย์ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตชนิดเดียวที่สร้างคาร์นิทีนได้นะคะ วัว ปลา ไก่ทั้งหลายก็สร้างได้ ดังนั้นแหล่งของคาร์นิทีนที่เราสามารถพบได้ก็คืออาหารจำพวกสัตว์เหล่านี้นั่นเองค่ะ โดยเฉพาะเนื้อแดงจะเป็นแหล่งที่ดีที่สุดของคาร์นิทีน
นั่นก็หมายความว่า ถ้าเรากินเนื้อแดง เนื้อปลา เนื้อไก่ นม เราก็จะได้คาร์นิทีนเข้าไปด้วย (อย่ากินเนื้อเยอะเกินไปนะคะ ...การกินโปรตีนมากเกินไปจะทำให้ไตทำงานหนักค่ะ)
บทสรุปข้อแรก คือ คาร์นิทีนสามารถสังเคราะห์ได้ภายในร่างกายของเราเอง (คนที่มีการทำงานของตับ ไตปกติ และได้รับกรดอะมิโน วิตามินและเกลือแร่ที่จำเป็นในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย) และได้รับคาร์นิทีนจากการกินอาหารค่ะ
คนที่ขาดคาร์นิทีนมีน้อยมากนะคะ แต่ก็อาจจะพบว่าคนที่มีปัญหาเกี่ยวกับการทำงานของตับและไตอาจจะขาดคาร์นิทีนได้ หรืออาจจะเป็นที่กรรมพันธุ์ค่ะ
แล้วทำไมต้องเรียกว่า "แอล-คาร์นิทีน" คาร์นิทีนที่ออกฤทธิ์มีประโยชน์ต่อร่างกายอยู่ในรูป แอล-ฟอร์ม ซึ่งอันนี้เป็นคุณสมบัติทางเคมีค่ะ ...เราจะข้ามตรงนี้ไปนะคะ เอาเป็นว่าต้องเป็น "แอล" ถึงจะมีประโยชน์ก็แล้วกัน
หน้าที่ของคาร์นิทีนในร่างกายของคนเรา คาร์นิทีน มีบทบาทเกี่ยวกับการสังเคราะห์พลังงานของร่างกายค่ะ โดยเกี่ยวข้องกับการนำไขมันมาใช้ผลิตเป็นพลังงานภายในร่างกาย โดยการเป็นตัวพากรดไขมันสายยาวที่เรากินเข้าไป (อาหารที่มีไขมัน จะถูกย่อยเป็นกรดไขมันก่อนดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งกรดไขมันนี้แบ่งเป็นสายสั้น สายกลาง และสายยาวค่ะ แต่กรดไขมันจำเป็นเป็นหนึ่งในกรดไขมันสายยาวนะคะ ไว้เราจะค่อยพูดถึงกันในวันหลังก็แล้วกัน) คาร์นิทีนพากรดไขมันสายยาวไปไหน... ก็ไปในส่วนของไมโทคอนเดรียซึ่งอยู่ในเซลล์ของเรา เพื่อจะเอาไปสร้างพลังงานต่อไปนั่นเอง
นอกจากคาร์นิทีนจะมีผลเกี่ยวกับการสังเคราะห์พลังงานองร่างกายแล้ว คาร์นิทีนยังทำหน้าที่คล้ายสารต้านอนุมูลอิสระภายในร่างกายได้อีกด้วย
คนที่ขาดคาร์นิทีนอาจจะมีปัญหาน้ำตาในเลือดต่ำอย่างรุนแรง, เฉื่อยชาไม่มีพลังงาน และอาจมัปัญหาเกี่ยวกับการทำงานของหัวใจได้ (ย้ำนะคะว่า ปกติคนเราไม่ค่อยขาดคาร์นิทีนค่ะ) แม้แต่เด็กทารกยังได้รับคาร์นิทีนจากน้ำนมแม่ (ดังนั้น คุณแม่ควรกินอาหารที่มีประโยชน์ด้วยนะคะ ลูกน้อยจะได้รับสารอาหารในน้ำนมที่เพียงพอค่ะ และควรเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ด้วยนะ)
มีการศึกษาพบว่าการเสริมคาร์นิทีนมีประโยชน์ดังนี้ค่ะ - ประโยชน์ในผู้ที่เป็นนักกีฬที่ออกกำลังกายแบบใช้เวลานาน เช่น วิ่งมาราธอน เพราะคาร์นิทีนจะช่วยให้ร่างกายนำไขมันไปใช้เป็นพลังงานได้ดีขึ้น ทำให้ไกลโคเจนซึ่งเป็นสารพลังงานสำรองที่ร่างกายเก็บสะสมไว้ในกล้ามเนื้อถูกใช้ไปหมดช้าลง ทำให้เกิดการล้าของกล้ามเนื้อช้าลง และทำให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงกล้ามเนื้อได้ดีขึ้น - ประโยชน์ในคนไข้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน พบกว่าการให้รับประทานคาร์นิทีน 2 กรัมต่อวัน เป็นระยะเวลา 28 วัน จะมีอาการเจ็บหน้าอกลดลง ลดการเกิดหัวใจวาย ลดการเกิดหัวใจเต้นผิดจังหวะได้ - ในคนไข้โรคไตที่ต้องรับการฟอกไต อย่างที่กล่าวถึงไปในตอนต้นนะคะว่า คาร์นิทีนถูกสร้างขึ้นที่ไต เมื่อคนไข้เป็นโรคไต การทำงานของไตไม่ดี การสร้างคาร์นิทีนก็จะลดลง ยิ่งคนไข้ต้องฟอกไต ระดับคาร์นิทีนในร่างกายก็จะยิ่งน้อยลงค่ะ ดังนั้นการให้คนไข้กินคาร์นิทีนเข้าไปก็จะมีผลดี โดยมีการศึกษาพบว่าจะทำให้อาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงลดลง, ทำให้เกิดความดันต่ำน้อยลง, ออกกำลังกายได้ดีขึ้น, มีการทำงานของหัวใจดี และช่วยเรื่องลดการอักเสบได้ การให้คาร์นิทีนเพียง 500 มิลลิกรัมต่อวันเป็นระยะเวลานานๆ ก็จะสามารถช่วยเรื่องหัวใจได้ - ในคนไข้อัลไซเมอร์ การให้รับประทานคาร์นิทีนวันละ 1.5-3 กรัมต่อวัน อย่างน้อย 3 เดือน จะสามารถทำให้อาการดีขึ้นได้ - คนไข้ที่มีอาการอ่อนเพลียเรื้อรัง ก็จะมีอาการดีขึ้นเมื่อให้รับประทานคาร์นิทีน - คนไข้ที่ใช้ยากันชัก "วาลโปรเอท" (Valproate, valproic acid, sodium valproate) คนไข้อาจจะมีระดับคาร์นิทีนที่ต่ำลง ดังนั้นการเสริมคาร์นิทีนในคนไข้กลุ่มนี้อาจจะมีประโยชน์ได้
ทั้งนี้ก็ยังไม่มีการศึกษาที่แน่ชัดว่าคาร์นิทีนจะช่วยลดน้ำหนักได้นะคะ ดังนั้น ถ้าจะหวังผลในด้านนั้นก็คงต้องคิดอีกทีค่ะ
ขนาดปกติที่แนะนำว่าใช้แล้วปลอดภัย คือ 1 - 6 กรัมต่อวันของแอล-คาร์นิทีน
อาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่ ปวดท้อง คลื่นไส้ ท้องเสีย และอาจทำให้ตัวมีกลิ่นเหม็นค่ะ (เนื่องจากคาร์นิทีนสามารถเปลี่ยนเป็นสารไตรเมธิลเอมีนในร่างกาย ซึ่งสารนี้ทำให้ตัวมีกลิ่นเหม็น เขาบอกว่าจะมีกลิ่นคล้ายกลิ่นปลาค่ะ แต่กลิ่นนี้จะมาเมื่อกินคาร์นิทีนไปในขนาดสูงๆ ค่ะ)
เอาล่ะ กลับมาย้อนดูผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่บอกว่ามี "คาร์นิทีน" กันดีกว่า ...ถ้าคิดจะกินคาร์นิทีนเพื่อสุขภาพ อย่าลืมดูฉลากโภชนาการด้วยนะคะว่าอาหารหรือเครื่องดื่มนั้นๆ ให้พลังงานเท่าไหร่ เป็นพลังงานจากแหล่งไหนบ้าง มีน้ำตาลผสมอยู่เท่าไหร่ มีโซเดียมอยู่เท่าไหร่ ...เราทุกคนต่างก็ทราบนะคะว่าอาหารที่มีน้ำตาลสูง โซเดียมสูง เป็นอาหารที่ทำลายสุขภาพ และจริงๆ หากคนเรารับประทานอาหารที่เหมาะสม เพียงพอก็จะสามารถสังเคราะห์คาร์นิทีนได้ตามความต้องการของร่างกายค่ะ
หมายเหตุอีกครั้ง ย้ำกันบ่อยๆ ว่าปกติร่างกายคนเราไม่ค่อยขาดคาร์นิทีนนะคะ
หมายเหตุที่ 2 ร่างกายของเรามีความสามารถในการรักษาสมดุลของระดับคาร์นิทีนในร่างกาย เมื่อร่างกายมีคาร์นิทีนในปริมาณมากเพียงพอแล้ว ก็จะลดการดูดซึมคาร์นิทีนลงได้ด้วยตัวเองค่ะ ดังนั้นกินไปมากๆ ก็ไม่ได้ประโยชน์ใช่ไหมล่ะคะ
ด้วยความห่วงใยจากเภสัชกรค่ะ
Create Date : 29 สิงหาคม 2555 |
Last Update : 29 สิงหาคม 2555 21:44:06 น. |
|
2 comments
|
Counter : 4203 Pageviews. |
|
|
|
โดย: Louis_v IP: 124.121.218.227 วันที่: 30 สิงหาคม 2555 เวลา:0:11:15 น. |
|
|
|
| |
|
|