จากรูปกราฟ ถ้าเราเริ่มซื้อที่ วันที่ 21 เมษายน ปี 2547 ราคา NAV/หน่วย จะอยู่ที่ 19.6663 บาท ถ้าผมมีเงิน 1 แสนบาท ก็ซื้อได้ 5084.84 หน่วยลงทุน ซึ่งถ้าผมถือยาวไม่ขายเลย จนถึงปัจจุบัน (22 ต.ค 2557) ราคา NAV ต่อหน่วย จะเป็น 85.4928 บาท มูลค่าของ กองทุนที่ถือจะเป็น 5084.84 หน่วย X 85.4928 บาท = 434,717.27 บาท หรือมีกำไรอยู่ประมาณ 334.72% รายละเอียดดังแสดงใน ตารางการคำนวณด้านล่าง
แต่ว่าถ้ามาดู ค่าสถิติ อื่นๆ เพิ่มเติม จากตาราง จะพบว่ามูลค่าของทรัพย์สินที่ลงทุน มันมีการแกว่งตัวจากจุดที่สูงสุดไปต่ำสุด (Maximum Drawdown) ถึง -50.62 % หรือ -101,749 บาท
กราฟ แสดงมูลค่าทรัพย์สิน ในช่วงเวลาตั้งแต่ซื้อ ถึง เดือน ตุลาคม ปี 2557
กราฟแสดง % Drawdown ของ ทรัพย์สินที่ลงทุนแบบถือยาวจากกราฟ Drawndown ด้านบน จะแสดงให้เห็นว่า มูลค่ากองทุนที่ซื้อปลายปี 2008จะลดลง ต่ำกว่าจุดที่เคยขึ้นไปสูงสุด ตอนปลายปี 2007 ประมาณ -51%
การสลับระหว่าง กองทุน BERMF กับ MM-RMF ทีนี้มาดูกันว่า ถ้าเรามีการสลับ กองทุนในช่วงที่ หุ้นกำลังจะตก และ สลับกลับในช่วงที่กำลังอยู่ในขาขึ้น ผลจะเป็นอย่างไร
ผมใช้หลักการของการดูแนวโน้วค่าเฉลี่ยของราคา NAV แบบ Moving (MA) 2 เส้น คือ
Moving Average ย้อนหลัง 86 วัน (MA89) กับ Moving Average ย้อนหลัง 12 วัน (MA12)
โดยที่ เส้นกราฟ MA12 (เส้นสีน้ำเงิน) จะวิ่งแกว่งเร็วกว่า เส้นกราฟ MA86 (เส้นสีแดง) ดังรูปกราฟด้านล่าง และเมื่อไรที่สองเส้นนี้มีการตัดกัน โดยที่ เส้น MA12 ตัดขึ้น เราก็จะซื้อ กองทุน BERMF และจะขายเมื่อ เส้นกราฟ MA12 ตัดลง ( ซื้อ : ลูกศรน้ำเงิน , ขาย : ลูกศรสีแดง)
ถ้าดูเปรียบเทียบช่วงเวลาสำหรับการถือกองทุน BERMF vs MM-RMF (กราฟด้านบน ส่วนล่าง ) สีเขียวจะเป็น ช่วงเวลาที่ถือ MM-RMF และ ช่วง สีเทาจะเป็นช่วงที่ถือ BERMF จะเห็นว่าเมื่อไรที่ ราคา BERMF เริ่มตก จะมีการสลับไปอยู่ที่ MM-RMF และ เมื่อราคา BERMF เริ่มจะแพงขึ้น จะสลับไปถือ กองทุน BERMF