Group Blog
 
All blogs
 

Apple VS Exxon โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร


สัปดาห์ก่อนมีข่าว เล็กๆ เกี่ยวกับหุ้นที่น่าสนใจและน่าจะเรียกได้ว่าเป็นหุ้น "สุดยอดแห่งทศวรรษ" ของโลก นั่นก็คือ หุ้นของบริษัท Apple Inc.ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ยี่ ห้อแม็ค ไอโฟน ไอแพด และอื่นๆ ที่ครองใจผู้ใช้ทั้งโลก สินค้าหลายชนิดของบริษัทนั้นเป็นที่นิยมขนาดที่คนต้อง "เข้าคิวซื้อ" และคนที่ได้ครอบครองสินค้าในมือนั้นมีความรู้สึกภาคภูมิใจและอยากจะอวดกับ เพื่อนฝูง มันเป็นสินค้าที่ทำให้คนดูทันสมัยและ "มีระดับ" ในสังคม ข่าวที่ว่านั้นไม่ได้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์แต่เป็นข่าวที่ว่าหุ้นของบริษัทที่ ซื้อขายในตลาดหุ้นสหรัฐนั้นมีราคาปรับตัวขึ้นจนทำให้มันมีมูลค่าสูงที่สุด และเอาชนะหุ้นของบริษัท Exxon Mobil หรือที่คนไทยรู้จักกัน ก็คือ เอสโซ่ บริษัทน้ำมันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในสหรัฐและในโลกมาช้านาน

ลอง มาดูกันว่าบริษัทแอ๊ปเปิ้ลมีผลประกอบการดีอย่างไร และทำไมหุ้นจึงเติบโตมาได้ขนาดนี้เทียบกับบริษัทเอสโซ่ที่ทำธุรกิจน้ำมันและ พลังงานที่ก็น่าจะโดดเด่นสุดยอดเหมือนกัน เพราะเป็นเบอร์หนึ่งในธุรกิจที่โลกกำลังมีความต้องการสูงขึ้นเรื่อยๆ และเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งยวดในชีวิตของมนุษย์ยุคปัจจุบัน

พูดถึงมูลค่าหุ้นในตลาดของแอ๊ปเปิ้ลและเอ็กซอนนั้น ขณะนี้ ก็อยู่ที่ประมาณ 350 พันล้านดอลลาร์เท่าๆ กันหรือคิดเป็นเงินไทย ก็คือ ประมาณ 10 ล้าน ล้านบาท หรือพอๆ กับผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศไทยทั้งปี และใหญ่กว่ามูลค่ารวมของหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่อยู่ที่ประมาณ 8.7 ล้านล้านบาท พูดอีกทางหนึ่ง ก็คือ หุ้นแอ๊ปเปิ้ลตัวเดียวนั้นก็ใหญ่กว่าหุ้นไทยทั้งตลาดแล้ว

ดูทางด้าน ทรัพย์สินว่าบริษัทมีขนาดใหญ่แค่ไหนก็ปรากฏว่าแอ๊ปเปิ้ลมีทรัพย์สินเพียง ประมาณ 100 พันล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นเงินไทยก็คือ ประมาณ 3 ล้านล้านบาท แต่เนื่องจากทรัพย์สินประมาณ 8 แสนล้านบาทนั้นเป็นเงินสดที่บริษัทเก็บไว้ไม่ได้จ่ายปันผลออกมานาน ดังนั้น เอาเข้าจริงๆ แล้ว ทรัพย์สินที่จำเป็นต้องใช้ในการดำเนินงานของบริษัทนั้นน่าจะมีเพียงประมาณ 2.2 ล้านล้านบาทเท่านั้น ส่วนของเอ็กซอนนั้น มีทรัพย์สินถึงประมาณ 300 พันล้านดอลลาร์ หรือใหญ่เป็น 3 เท่าของแอ๊ปเปิ้ล หรือคิดเป็นเงินไทย ก็คือ 9 ล้าน ล้านบาท เอ็กซอนมีเงินสดอยู่ประมาณ 3 แสนล้านบาทแต่มีหนี้อยู่ประมาณ 5 แสนล้านบาท ในขณะที่แอ๊ปเปิ้ลนั้นไม่มีหนี้เลย ดังนั้น ถ้าจะพูดอย่างคร่าว ๆ ก็คือ เอ็กซอนนั้นใช้ทรัพย์สินเพื่อดำเนินงานประมาณ 4 เท่า ของแอ๊ปเปิ้ล

มองทางด้านรายได้ แอ๊ปเปิ้ลมียอดขายต่อปีประมาณ 100 พันล้านดอลลาร์ต่อปี หรือเท่ากับ 3 ล้านล้านบาท ในขณะที่เอ็กซอนมียอดขายสูงกว่ามาก คือ ประมาณ 400 พันล้านหรือคิดเป็น 4 เท่าของแอ๊ปเปิ้ล หรือคิดเป็นเงินไทยถึง 12 ล้านล้านบาท มากกว่าผลผลิตมวลรวมประชาชาติของไทย พูดง่ายๆ บริษัทเอ็กซอนบริษัทเดียวขายน้ำมันทั้งปีมีมูลค่าสูงกว่าสิ่งที่คนไทยทั้ง ประเทศผลิตในเวลาเดียวกัน

ถ้ามองจากทรัพย์สินและยอดขายก็จะเห็นว่าบริษัทเอ็กซอนนั้นมีทรัพย์สินมา กกว่าแอ๊ปเปิ้ล 4 เท่าและมีรายได้หรือยอดขายต่อปีมากกว่าแอ๊ปเปิ้ล 4 เท่าเหมือนกัน ดังนั้น เราอาจจะพูดได้ว่าถ้าเปรียบเทียบโดยขนาดของบริษัทแล้ว แอ๊ปเปิ้ลนั้นเล็กกว่าเอ็กซอนถึง 3 เท่าหรือ แอ๊ปเปิ้ลนั้นมีขนาดเพียง 1 ใน 4 ของเอ็กซอนเท่านั้น แต่มูลค่าตลาดของหุ้นของทั้งสองบริษัทกลับใหญ่เท่าๆ กัน อะไรทำให้มันเป็นอย่างนั้น หุ้นของแอ๊ปเปิ้ลมีราคา "เวอร์" เกินความเป็นจริงหรือเปล่า

ผลการดำเนินงานหรือกำไรของแอ๊ปเปิ้ลในปีที่ผ่านมาเท่ากับ 23.6 พันล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 7 แสนล้านบาท ในขณะที่ของเอ็กซอนเท่ากับ 37.9 พันล้านดอลลาร์หรือประมาณ 1.1 ล้านล้านบาท คิดแล้วมากกว่าประมาณ 60% อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการทำกำไรของแอ๊ปเปิ้ลดูเหมือนจะสูงกว่าของเอ็กซอนมาก เพราะอัตราส่วนกำไรต่อยอดขายของแอ๊ปเปิ้ลเท่ากับประมาณ 24% ในขณะที่ของเอ็กซอน เท่ากับประมาณ 10% เท่านั้น พูดง่ายๆ การขายสินค้าไฮเทคที่สุดทันสมัยของแอ๊ปเปิ้ลแต่ละเครื่องนั้น กำไรดีกว่าการขายน้ำมันทุกบาร์เรลที่เหมือนๆ กันทุกบริษัท

กำไรต่อส่วนของผู้ถือหุ้นซึ่งถือว่าเป็นกำไรที่ผู้ถือหุ้นจะได้รับนั้น ของแอ๊ปเปิ้ลสูงมากถึง 42% และถ้าหากไม่นับเงินสดที่แอ๊ปเปิ้ลมีมากเกินความจำเป็นแล้ว กำไรต่อส่วนของผู้ถือหุ้นของแอ๊ปเปิ้ลจริงๆ อาจจะสูงถึง 50-60% ทีเดียว ในขณะที่ของเอ็กซอนนั้นอยู่ที่ 25% ซึ่งถ้าจะพูดไปก็สูงมากอยู่แล้ว ดังนั้น เราจึงสามารถพูดได้ว่ากิจการของเอ็กซอนนั้นทำกำไรได้ดีมากและของแอ๊ปเปิ้ล นั้นน่าจะ "ดีสุดยอด" ในแง่ของการทำกำไร

ในด้านของการเติบโตของกำไรนั้น การเพิ่มขึ้นของกำไรไตรมาสนี้เมื่อเปรียบเทียบกับของปีที่แล้วก็พบว่าแอ๊ป เปิ้ลโตขึ้นถึง 125% ในขณะที่เอ็กซอนโตขึ้นถึง 41% เช่นกัน เป็นการแสดงให้เห็นว่าหุ้นสองตัวนี้ต่างก็เป็น "ดารา" ทั้งคู่ เพียงแต่แอ๊ปเปิ้ลนั้นเป็น "ซูเปอร์สตาร์" ที่มาแรงจริงๆ

มาดูทางด้านของความถูกความแพงของหุ้นกันบ้าง แอ๊ปเปิ้ลนั้นมีค่า PE เท่ากับ 14.8 เท่า และค่า PB เท่ากับ 4.9 เท่า หรือถ้าเราหักเงินสดที่มากเกินออกไปซึ่งจะทำให้มูลค่าทางบัญชีหรือค่า B ลดลง ค่า PB ก็น่าจะอยู่ในหลักประมาณ 8 เท่า ในส่วนของเอ็กซอนนั้น ค่า PE เท่ากับ 9.5 เท่า ในขณะที่ค่า PB เท่ากับ 2.2 เท่า ดูไปแล้วราคาหุ้นของทั้งสองบริษัทก็ไม่แพงเลยเมื่อเทียบกับหุ้นสหรัฐและแม้ แต่หุ้นไทย ว่าที่จริงอาจจะเข้าข่ายเป็นหุ้น Value หรือหุ้นเน้นคุณค่าด้วยซ้ำ เหนือสิ่งอื่นใด แอ๊ปเปิ้ลนั้นน่าจะ เป็น "ราชัน" ของหุ้นไฮเทค

ส่วน เอ็กซอนนั้นก็น่าจะเป็นราชันของหุ้นพลังงาน ซึ่งทั้งสองอุตสาหกรรมต่างก็กำลังร้อนแรงและเติบโตกันทั้งคู่ แต่เหตุที่หุ้นมีราคาถูกนั้นอาจจะเป็นผลจากการที่เศรษฐกิจและตลาดหุ้น ของอเมริกาตกต่ำก็เป็นได้ และนี่ก็อาจจะเป็นช่วง เวลา "ซื้อ" สำหรับคนที่ชอบหุ้นประเภทซูเปอร์สต็อก

สุดท้ายที่ผมจะพูดถึงก็คือเรื่องของการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นที่ผ่านมาใน ระยะยาว ผมมองย้อนหลังไปประมาณ 8 ปี ซึ่งเป็นช่วงที่หุ้นแอ๊ปเปิ้ลยังไม่ได้ไปไหนนิ่งๆ มานานนับสิบปีและเป็นช่วงที่ สตีฟ จ็อบส์ ซีอีโอ คนปัจจุบันเริ่มกลับเข้ามาบริหารบริษัทใหม่หลังจากที่ถูกไล่ออกไปหลายปี ในขณะนั้นหุ้น แอ๊ปเปิ้ลมีราคาประมาณ 7 ดอลลาร์ ในเวลาเดียวกัน หุ้นเอ็กซอนมีราคาประมาณ 34 ดอลลาร์ นั่นคือ ช่วงกลางปี 2003 พอถึงกลางปี 2008 หุ้นแอ๊ปเปิ้ลขึ้นไปถึง 187 ในขณะที่เอ็กซอนขึ้นไปเป็น 95 ดอลลาร์ ในเวลา 5 ปี แอ๊ปเปิ้ลขึ้นไป 25.7 เท่าและหุ้นเอ็กซอนขึ้นไปเพียง 1.79 เท่า ในช่วงวิกฤติปลายปี 2008 หุ้นแอ๊ปเปิ้ลตกลงมาเหลือ 80 ดอลลาร์ต้นๆ หรือลดลงถึง 56% ส่วนหุ้นเอ็กซอนตกลงมาเหลือประมาณ 62 ดอลลาร์ หรือลดลง 35% แต่หลังจากนั้น จนถึงปัจจุบันหุ้นแอ๊ปเปิ้ลก็ปรับตัวขึ้นมาเป็นประมาณ 374 ดอลลาร์หรือขึ้นมา 3.5 เท่า ในขณะที่เอ็กซอนขึ้นมาเป็น 72 ดอลลาร์ หรือเพิ่มขึ้นเพียง 16% และยังต่ำกว่าช่วงก่อนวิกฤติ โดยสรุปแล้วในช่วงประมาณ 8 ปี หุ้นแอ๊ปเปิ้ลขึ้นมาประมาณ 52 เท่า ในขณะที่เอ็กซอนขึ้นมาประมาณ 1.1 เท่า

ข้อสรุปรวบยอดของผม ก็คือ ในช่วงเวลา 8 ปี หุ้นแอ๊ปเปิ้ลซึ่งเคยเป็นหุ้นที่ค่อนข้างเล็กมีมูลค่าตลาดประมาณ 2 แสนล้านบาท ได้เติบโตมหาศาลกลายเป็นหุ้น 10 ล้าน ล้านบาท เท่ากับหุ้นเอ็กซอนซึ่งเป็นหุ้นยักษ์ใหญ่ระดับต้นของโลก หุ้นเอ็กซอนเองนั้นเมื่อ 8 ปีก่อนก็น่าจะเป็นหุ้นระดับต้นของโลกที่มีมูลค่าถึง เกือบ 5 ล้านล้านบาท คนที่ลงทุนในหุ้นเอ็กซอนในช่วง 8 ปีที่ผ่านมานั้นก็ได้ผลตอบแทนที่ไม่เลวเฉลี่ยประมาณปีละ 10% แต่ถ้าใครลงทุนและถือหุ้นแอ๊ปเปิ้ลผ่านร้อนผ่านหนาวและวิกฤติเศรษฐกิจมาถึง วันนี้ ก็อาจจะกลายเป็นเศรษฐีโดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย

และนี่ก็คือ ความแตกต่างระหว่างหุ้นบลูชิพอย่างเอ็กซอน กับหุ้นซูเปอร์สต็อกอย่างหุ้นแอ๊ปเปิ้ล

แหล่งที่มา กรุงเทพธุรกิจ โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

อยากให้อ่านเรื่องนี้ด้วยครับ


หุ้นค้าปลีกสมัยใหม่ โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร


หุ้นกลุ่มหนึ่งใน ตลาดหลักทรัพย์ ที่แทบไม่เคยสร้างความผิดหวังให้แก่นักลงทุนระยะยาวเลยในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ก็คือ หุ้นค้าปลีกสมัยใหม่ ที่เรียกว่า Modern Trade เพราะหุ้นในกลุ่มนี้ แทบทุกตัวให้ผลตอบแทนที่น่าพอใจทั้งในด้านของเงินปันผล และราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นเรื่อยๆ ต่อเนื่องมาตลอด ที่สำคัญ แม้ในยามที่ตลาดหุ้นเกิดวิกฤติ หุ้นส่วนใหญ่มีราคาตกลงมาก หุ้นกลุ่มค้าปลีกก็ไม่ได้ตกลงมากนัก และเมื่อภาวะวิกฤติผ่านไป ราคาก็กลับมาที่เดิมและปรับตัวสูงขึ้นไปอีก

ถ้าจะพูดไป หุ้นค้าปลีกช่วงเร็วๆ นี้ เป็นทั้งหุ้น Defensive หรือหุ้นที่ทนทานต่อภาวะเศรษฐกิจที่เลวร้าย และเป็นหุ้น Growth หรือหุ้นที่เติบโต อยู่ในตัวเดียวกัน หุ้นหลายตัวในกลุ่ม ก็ให้ปันผลสูงและเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็น Dividend Stock หรือ "หุ้นปันผล" ที่จ่ายปันผลงดงามทุกไตรมาส และนี่อาจเป็นเหตุผลหนึ่ง ที่ทำให้หุ้นกลุ่ม Modern Trade ส่วนใหญ่มีราคาสูงเมื่อเทียบกับกำไรของบริษัท หรือมี PE สูงมากโดยเฉพาะในช่วงหลังๆ

ก่อนที่ผมจะพูดว่า ทำไมหุ้นค้าปลีกสมัยใหม่จึงได้ราคาที่สูงกว่าหุ้นในกลุ่มอื่นๆ ผมอยากจะทำความเข้าใจก่อนว่า หุ้นที่อยู่ในข่าย Modern Trade คือ หุ้นกลุ่มไหน เพราะหลายคนอาจบอกว่า นี่คือ หุ้นกลุ่มพาณิชย์ แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่เสียทีเดียว เพราะหุ้นค้าปลีกสมัยใหม่ในนิยามของผม ต้องเป็นหุ้นของบริษัทที่ขายสินค้าอุปโภคบริโภคแก่ประชาชนทั่วไปทั้งประเทศ การขายจะขายผ่านเครือข่ายร้านสาขาที่มีอยู่ทั่วประเทศ ราคาสินค้าที่ขายมักเท่ากัน ไม่ว่าจะขายในร้านหรู ในกรุงเทพฯ หรือร้านค้าต่างจังหวัด ตัวสินค้าก็มีความหลากหลายและใกล้เคียงกันในแต่ละสาขา ระบบการทำงานของสาขาทั้งหมดจะต่อถึงกันผ่านสำนักงานใหญ่ ข้อมูลการขายสินค้า จะเป็นระบบรวมศูนย์ ที่ทำให้การบริหารงานขาย มักเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพเทียบกับร้านค้าแบบ "ดั้งเดิม" ที่มักจะมีร้านเพียงร้านเดียว หรือมีสาขาน้อยมาก

หุ้นค้าปลีกสมัยใหม่ส่วนใหญ่อยู่ในหุ้นกลุ่มพาณิชย์ เริ่มตั้งแต่ หุ้น BIGC ซึ่งขายสินค้าอุปโภคบริโภคในราคาถูกที่เรียกว่า Discount Store แบบที่เป็นร้านค้าขนาดใหญ่ ขายสินค้าที่ต้องกินต้องใช้ประจำวัน และสินค้าราคาถูกอื่นๆ หุ้นCPALL เจ้าของร้านสะดวกซื้อ 7-11 ที่ขายสินค้าปริมาณเล็กๆ น้อยๆ เน้นความสะดวกเพราะอยู่ใกล้ชุมชน หุ้น HMPRO ซึ่งขายสินค้าปรับปรุงและตกแต่งบ้าน หุ้น GLOBAL ซึ่งขายวัสดุก่อสร้าง หุ้น IT ซึ่งขายสินค้าคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ไฮเทค หุ้น MAKRO ขายสินค้าให้กับร้านค้าโชห่วยและกิจการอื่นๆ เช่น ร้านอาหาร หรือโรงแรม หุ้น ROBINS ทำห้างสรรพสินค้าโรบินสัน นอกจากนี้ ยังมีหุ้นที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มพาณิชย์ เช่น หุ้น SE-ED ซึ่งเป็นร้านขายหนังสือ หุ้น JMART ขายโทรศัพท์มือถือ และยังมีหุ้นที่อาจจะเรียกว่าเป็น Modern Trade ได้เหมือนกันแต่ขายเฉพาะสินค้าจากโรงงาน หรือบริษัทของตนเองเป็นหลัก อย่างหุ้น DCC ซึ่งขายกระเบื้องก่อสร้าง หุ้น JUBILY ขายเครื่องประดับเพชร และหุ้น BGT ซึ่งขายเสื้อผ้า เป็นต้น

จุดเด่นของกิจการค้าปลีกสมัยใหม่นั้น มีหลายประการ เริ่มตั้งแต่ ข้อแรก คือ มักเป็นกิจการที่มีความสม่ำเสมอของผลการดำเนินงานทั้งยอดขายและกำไร เหตุผล ก็คือ บริษัทมีการขายสินค้าให้กับคนจำนวนมาก มักจะเป็นแสนหรือล้านๆ รายการเปลี่ยนแปลงของยอดขายในแต่ละปีจะไม่มาก สินค้าที่ขายก็มักจะเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมของคน ซึ่งมักจะไม่เปลี่ยนแปลงในระยะเวลาอันสั้น บริษัทสามารถกำหนดราคาขายให้อิงกับต้นทุนของบริษัทได้ทันที เพราะเป็นกิจการที่ซื้อมา-ขายไป ทำให้กำไรของบริษัทผันแปรไปตามยอดขายเสมอ

ข้อสอง กิจการ Modern Trade มักมีความเสี่ยงในการล้มละลายต่ำเนื่องจากบริษัทขายสินค้าเป็นเงินสด แต่จ่ายค่าสินค้าเป็นเงินเชื่อหลายเดือน ทำให้บริษัทมีเงินสดมากในขณะที่มักจะมีหนี้เงินกู้น้อย หลายบริษัทไม่มีหนี้เงินกู้จากธนาคารเลยและทำให้บริษัทสามารถจ่ายปันผลให้ แก่ผู้ถือหุ้นได้สูงเมื่อเทียบกับกำไรที่ทำได้ บางบริษัทจ่ายถึง 100% และจ่ายทุกไตรมาส

ข้อสาม กิจการ Modern Trade ในตลาดหลักทรัพย์มักจะเป็นผู้นำในกลุ่มสินค้าที่ตนเองขาย เป็นกิจการที่มีขนาดใหญ่ บริษัทจึงมีความได้เปรียบคู่แข่งโดยเฉพาะ เมื่อเทียบกับร้านค้าแบบดั้งเดิม บริษัทจึงมักได้ส่วนแบ่งทางการตลาดของสินค้ามากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้บริษัทสามารถจะเติบโตไปได้เรื่อยๆ อย่างยาวนานทั้งๆ ที่ตัวอุตสาหกรรมโดยรวมอาจไม่ได้เติบโตมากนัก การเติบโตของกิจการค้าปลีกสมัยใหม่ นอกจากจะเติบโตจากร้านสาขาเดิมแล้ว ยังมักเติบโตจากการเปิดสาขาใหม่ด้วย หุ้นในกลุ่มนี้หลายๆ ตัวจึงเป็นหุ้น ที่ "เติบโต" ระยะยาว แม้อัตราการเติบโตของบางบริษัทอาจจะไม่สูงนัก

หุ้นค้าปลีก มีผลงานที่ดีและให้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างดีมาตลอด แต่ในช่วงเร็วๆ นี้ดูเหมือนว่า จะได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นไปอีกหลังจากที่ไทยผ่านการเลือกตั้ง และกำลังมีรัฐบาลที่มีนโยบายในการเพิ่มรายได้ให้กับคนมีรายได้ต่ำ โดยการเพิ่มเงินเดือน และการ "ประกัน" ราคาสินค้าการเกษตรในระดับที่สูง ผลจากนโยบายนี้จะทำให้การบริโภคภายในประเทศเพิ่มขึ้นพร้อมๆ กับอัตราเงินเฟ้อที่จะเร่งตัวขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อยอดขายของกลุ่มค้าปลีกสมัยใหม่ให้เพิ่มขึ้นมากกว่าปกติ

การลดภาษีนิติบุคคลจาก 30% เหลือ 23% ในเวลาเดียวกัน จะช่วยลดต้นทุนของบริษัทลง จริงอยู่ที่ต้นทุนค่าแรงของบริษัทอาจจะเพิ่มขึ้น แต่บริษัทน่าจะส่งผ่านต้นทุนนี้ให้กับผู้ซื้อสินค้าได้ เพราะทุกบริษัทต้องจ่ายค่าแรงที่เพิ่มขึ้นด้วยกันทั้งสิ้น หากเป็นไปตามภาพดังกล่าวนี้ กิจการค้าปลีกสมัยใหม่ส่วนใหญ่ ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ น่าจะมีผลประกอบการที่ดีขึ้น และนี่น่าจะเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ ราคาหุ้นในกลุ่มนี้ปรับตัวขึ้นในช่วงนี้

ประเด็นที่ต้องคำนึงสำหรับหุ้นในกลุ่มค้าปลีกสมัยใหม่ ไม่ใช่เรื่องของผลประกอบการ หรือความเข้มแข็งของตัวธุรกิจ แต่น่าจะอยู่ที่ราคาหุ้น ที่มีการปรับตัวขึ้นมามาก และทำให้หุ้นกลุ่มนี้ส่วนใหญ่มีราคาที่ "ไม่ถูก" แล้ว ว่าที่จริง ถ้ามองจากค่า PE และค่า PB ผมคิดว่าน่าจะเป็นหุ้นกลุ่มที่ "แพงที่สุด" ในตลาดหลักทรัพย์ อาจจะพูดได้เหมือนกันว่ามันเป็นหุ้นกลุ่มที่ "ดีที่สุด" ในตลาดหลักทรัพย์ได้เช่นกัน การลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ช่วงเวลานี้ จึงจำเป็นต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ

ในความคิดของผม หุ้นกลุ่มค้าปลีกสมัยใหม่ ถ้าจะลงทุนก็คงไม่ใช่แนวทางแบบ เบน เกรแฮม ที่เน้นหาหุ้นถูกเป็นหลัก แต่อาจจะเป็นแนวทางแบบ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ที่เน้นลงทุนหุ้นแบบ "ซูเปอร์สต็อก" คือ ลงทุนในหุ้นที่ดีสุดยอด ในราคาที่ยุติธรรม ว่าที่จริง บัฟเฟตต์ก็ซื้อหุ้นวอลมาร์ท ซึ่งเป็นร้านค้าปลีกสมัยใหม่ที่ใหญ่ที่สุดในโลกเมื่อไม่นานมานี้ ในราคาที่ไม่ถูกเลย

แหล่งที่มา กรุงเทพธุรกิจ โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

เส้นทางเศรษฐีหุ้นหนุ่ม โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร


ปรากฏการณ์ที่น่า สนใจมากอย่างหนึ่งในแวดวงของนักลงทุน ที่ผมเห็นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ก็คือ มีคนหนุ่ม (ที่เป็นสาวมีน้อยมาก) จำนวนไม่น้อยเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น ตั้งแต่หรือก่อนที่จะเรียนจบมหาวิทยาลัย คนหนุ่มเหล่านี้ บางคนแทบจะไม่เคยทำงานเป็นพนักงานของหน่วยงานใด บางคนอาจจะทำงานกับธุรกิจ "ที่บ้าน" ที่เป็นธุรกิจขนาดเล็ก หลายคนก็ "ทำงานไปอย่างนั้นเอง" แต่ชีวิตจิตใจอาจจะอยู่กับการลงทุนในตลาดหุ้น

แต่สิ่งที่ผมคิดว่าน่าทึ่ง ก็คือ คนหนุ่มบางคน หลังจากที่ผ่านการลงทุนมาไม่กี่ปี ด้วยเงินที่น้อยมาก บัดนี้พวกเขาได้กลายเป็น "เศรษฐี" มีเงินหลายสิบล้าน หรือบางคนเป็นร้อยล้านบาทตั้งแต่อายุยังไม่ครบ 30 ปี ผมพยายามวิเคราะห์หาว่า พวกเขาทำอย่างไรจึงสร้างตนเองให้ร่ำรวยได้เร็วขนาดนั้น และต่อไปนี้คือเส้นทางของพวกเขา ที่ผมจินตนาการขึ้น โดยอิงจากการที่ผมได้สัมผัสกับพวกเขาหลายๆ คน นำมาร้อยเรียงเป็นนิยาย "ร่วมสมัย"

คุณไว (มาจากภาษาอังกฤษว่า VI) เริ่มต้นด้วยเงินเพียง 250,000 บาท ด้วยความทุ่มเทเขาศึกษาการลงทุนอย่างหนัก ทั้งการลงทุนแบบพื้นฐาน และความคิดแบบนักเทคนิค เขาเข้าร่วมอบรมและสัมมนาจำนวนมาก เขาได้รู้จักนักลงทุนร่วมอุดมการณ์ทั้งผ่านเว็บไซต์การลงทุน และการเข้าร่วมในกิจกรรมการลงทุนต่างๆ เช่น ในงานแนะนำหรือเยี่ยมชมบริษัทจดทะเบียน เขาเริ่มเห็นว่า มีบริษัทที่มี "คุณภาพดี" จำนวนไม่น้อยที่อยู่ๆ ก็มีราคาและปริมาณการซื้อขายหุ้นเพิ่มขึ้นมาก หลายตัวมีราคาขึ้นไปหลายเท่าตัวในเวลาอันสั้นเพียงไม่กี่เดือน เขาเริ่ม "จับได้" ว่า หุ้นเหล่านี้มักมีคุณสมบัติและ "พฤติกรรม" อย่างไร และเมื่อเขาเห็น เขาก็ทุ่มเงินทั้งหมดซื้อหุ้นตัวนั้นพร้อมๆ กับการใช้ มาร์จิน หรือกู้เงินจากโบรกเกอร์อีกเท่าตัวมาซื้อหุ้น ครั้งแรกด้วยเม็ดเงิน 500,000 บาท

หุ้นที่ซื้อมีราคาเพิ่มขึ้นตามคาดจาก 500,000 บาท เป็น 750,000 บาทในเวลาเดือนเดียว เขาสั่งซื้อหุ้นเพิ่มขึ้นตามกำไรที่ได้ด้วยเงินมาร์จินที่เพิ่มขึ้น ราคาหุ้นยังเพิ่มขึ้นอีกและเขาสั่งซื้อหุ้นเพิ่มอีกตามวงเงินมาร์จินที่ เพิ่มขึ้นอีก ในบางช่วงเมื่อหุ้นขึ้นไปแรง เขาก็ขายไปบ้างและก็กลับไปซื้อใหม่เมื่อหุ้นปรับตัวลง พอผ่านไป 3 เดือน เมื่อหุ้น เริ่ม "นิ่ง" นั่นคือ การวิ่งขึ้นลงของราคาและหรือปริมาณการซื้อขายเริ่มลดน้อยลง เขาก็ขายหุ้นทิ้งทั้งหมด เม็ดเงินที่เหลือของเขา คือ 1 ล้านบาท เขาทำกำไร 300% หรือ 3 เท่าภายในเวลา 3 เดือน

หลังจากนั้น เขาสังเกตเห็นหุ้นตัวใหม่ที่มีคุณสมบัติและพฤติกรรมคล้ายๆ กับหุ้นตัวเดิม ซึ่งเขาได้รับรู้ผ่าน "เครือข่าย" และเช่นเดิม เขาทุ่มเงิน 1 ล้านบาทที่มีอยู่พร้อมๆ กับการใช้มาร์จินเต็มอัตราอีก 1 ล้านบาทเข้าซื้อหุ้นตัวใหม่ และก็เช่นเคย หุ้นวิ่งตามคาด แต่เขาใช้เวลายาวกว่าหุ้นตัวเดิมในการทำเงินจาก 2 ล้านบาทเป็น 3 ล้านบาท หลังจากหักเงินกู้มาร์จิน เขาเหลือเงิน 2 ล้านบาท เมื่อลงทุนมาครบปีแรก เงิน 250,000 บาท กลายเป็นเงิน 2 ล้านบาท หลังจากลงทุนเพียง 1 ปี ผลตอบแทน คือ 700% ในหนึ่งปี เงินโตขึ้นมาเป็น 8 เท่า เขาเห็นแล้วว่านี่คือ "มหัศจรรย์" ของการลงทุน ในแบบ "ของเขา"

เงิน 2 ล้านบาทของเขายังคงถูกใช้ในการลงทุนตาม "สูตรเดิม" แต่ปรับเปลี่ยนบ้าง เขาเริ่มมีหุ้นเล่น 2-3 ตัวในเวลาเดียวกัน การใช้เงินมาร์จินก็ปรับลดลง จากเดิม 100% ก็อาจจะเปลี่ยนไปเป็น 80% เหตุผลก็เป็นเพราะเขาไม่เจอหุ้นตัวที่ "ใช่" อย่างปีก่อน เขาเริ่มกลัวบ้างว่า การเล่นหุ้นตัวเดียวและใช้มาร์จินเต็มที่นั้นอันตราย เขาอาจจะพลาดได้ ว่าที่จริง เขาก็เคยพลาดจากหุ้นบางตัวแต่โชคดีที่เขา "ออก" ได้ทัน ปีที่สองนี้ พอร์ตของเขาเพิ่มขึ้นเป็น 4 ล้านบาท ผลตอบแทน 100% แต่เขา รู้สึก "ผิดหวัง" เพราะเมื่อเทียบกับผลตอบแทนของปีก่อนแล้ว น้อยลงมาก นั่นก็คือ ผลตอบแทนของเขาแพ้เพื่อนในกลุ่มอย่าง "ยับเยิน"

ปีที่สามของเขาผ่านไปอย่าง "ยากลำบาก" เพราะเกิด "ภาวะวิกฤติ" ผลตอบแทนติดลบถึง 25% เงินในพอร์ตเหลือ 3 ล้านบาท สูตรที่เคยใช้การได้ดีกลับกลายเป็นตรงกันข้าม หุ้นที่เขาเข้าลงทุนมีราคาลดลงมาก โชคยังดีที่เขาไม่ถูก "บังคับขาย" เพื่อรักษาอัตรามาร์จินไว้ พอขึ้นปีที่สี่ ทุกอย่างกลับมาสดใสดังเดิม เขามีความรู้และประสบการณ์เพิ่มขึ้นมาก บางครั้งเขาไม่ใช่แค่เป็น "ผู้ตาม" แต่เขาเป็น "ผู้นำ" ในการค้นหาหุ้นที่จะลงทุนและ "ผลักดัน" ราคาหุ้นให้ขึ้นไปด้วย สิ้นปีที่สี่ พอร์ตของเขาผ่านหลัก 10 ล้านไปได้เหมือน "ฝัน" เขาเริ่มได้รับการยอมรับว่าเป็น คนที่มีความสามารถสูงแม้อายุยังน้อย

ปีที่ห้าของคุณไว เขาเริ่มมีหุ้นหลายตัวมากขึ้น การใช้มาร์จินลดลง เฉลี่ยแล้วเขาใช้เพียง 50% เขาเริ่มเห็นว่าการรักษาเงินต้นไว้ เป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้การทำเงินมากๆ แต่มีความเสี่ยงสูง ด้วยภาวะตลาดหุ้นที่ยังสดใสและ "สูตร" การลงทุนของเขายังทำงานได้ดี ในช่วงหลังๆ นี้ สื่อสมัยใหม่ช่วยให้มีการเผยแพร่สูตรสำเร็จ ในการลงทุนรวมถึงตัวหุ้นที่น่าสนใจได้มากและเร็วขึ้น ทำให้พอร์ตลงทุนของเขาโตขึ้นอีก 100% เขามีเงิน 20 ล้าน และถือว่าเป็นเศรษฐีน้อยๆ คนหนึ่ง พ่อแม่เขาภาคภูมิใจมากที่ลูกหาเงินได้มาก และกลายเป็น "เศรษฐี" คนแรกของ "เครือญาติ" เพื่อนฝูงและคนรู้จักยอมรับในฝีมือของเขา บางคนถือว่าเขาเป็น "กูรู" คนหนึ่งของวงการหุ้น

ปีที่หกเริ่มต้นด้วยตลาดหุ้นที่ไม่สดใสนัก พอร์ตของคุณไวไม่ใคร่จะไปไหน ขณะนี้ เขาเริ่มรู้สึกว่าหุ้นมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น เหนือสิ่งอื่นใด เงิน 20 ล้านของเขา หมายถึง ชีวิตที่ดีๆ ที่เขาต้องรักษาไว้โดยให้มีความเสี่ยงน้อยลง แน่นอน เขาอยากได้ผลตอบแทนมาก แต่ถ้ามันเป็นเรื่องเสี่ยงเกินไป เขาไม่อยากรับ มาร์จินที่เขาเคยใช้เต็ม ขณะนี้ลดลงมาก บางช่วงเขาไม่ได้ใช้เลย หุ้นที่เคยมีอยู่เพียง 2-3 ตัวก็กลายเป็น 7-8 ตัว เขายังใช้สูตรเดิมในการลงทุน แต่ผลกำไรที่ได้จากหุ้นแต่ละตัว เมื่อคิดเทียบกับพอร์ต 20 ล้านแล้วไม่มากนัก ซึ่งหุ้น 7-8 ตัวนั้น โอกาสที่เขาจะได้กำไรโดดเด่นทุกตัวดูเหมือนจะยาก จบปีที่หก ผลตอบแทนของเขาลดลงเหลือ 20% เมื่อเทียบกับอดีตแล้วลดลงมาก แต่เป็นผลตอบแทนที่ดีเมื่อเทียบกับตลาดหลักทรัพย์ที่หุ้นแทบไม่ให้ผลตอบแทน เลย

ปลายปีที่หก คุณไวแต่งงานกับสาวสวยที่มีดีกรีเป็นแพทย์ ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับเขา เพราะเพื่อนๆ นักลงทุนของเขาที่ "ลงทุนเป็นอาชีพ" และไม่ได้ทำงานในบริษัทใหญ่ๆ ที่ "มีหน้ามีตา" หลายคน ต่างแต่งงานหรือมีแฟนเป็นผู้หญิงที่ผู้ชายต่างหมายปอง บางทีการเป็น "เศรษฐี" ตั้งแต่อายุน้อย อาจจะลบล้างค่านิยมเก่าๆ ว่า คุณต้องมีงานการเป็นหลักเป็นฐานที่แน่นอนได้

ความสำเร็จในแบบของคุณไว ผมคิดว่าไม่ใช่เป็นเรื่องง่ายถ้ามองไปในอนาคต บางที คุณไวอาจจะโชคดีที่เริ่มต้นช่วง "โอกาสทอง" ที่หุ้นบางประเภท ปรับตัวขึ้นมาก คนรุ่นใหม่อาจไม่ได้เจอแบบนั้น การใช้มาร์จินและลงทุนในหุ้นน้อยตัวเกินไป เป็นความเสี่ยงที่สูงเกินไป และอาจทำให้เรา "ติด" จนในที่สุดวันหนึ่งเราอาจจะพลาดอย่างร้ายแรงจนทำให้เกิดหายนะได้ ผมคิดว่า การลงทุนโดยยึดหลักการที่เหมาะสม น่าจะเป็นทางเดินที่ดีกว่าสำหรับคนส่วนใหญ่ที่ไม่ได้มีความสามารถพิเศษในการ ลงทุน

แหล่งที่มา กรุงเทพธุรกิจ โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

อยากให้อ่านเรื่องนี้ด้วยครับ


หุ้นสถาบันการเงิน โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร


หุ้นในกลุ่มสถาบัน การเงินที่ผมจะพูดถึงนั้น ผมรวมถึงกลุ่มต่อไปนี้ คือ 1.กลุ่มที่เป็นธนาคารพาณิชย์ 2.กลุ่มที่ทำธุรกิจเช่าซื้อและลิสซิ่ง ก็คือบริษัทที่ปล่อยกู้ ให้กับลูกค้าเพื่อซื้อสินค้าเงินผ่อนทั้งหลาย 3.กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ที่ให้บริการเกี่ยวกับการซื้อขายหุ้นในตลาดหลัก ทรัพย์ และ 4.กลุ่มบริษัทประกันภัยและประกันชีวิต ทั้งหมดนี้ผมแทบไม่ได้ซื้อหุ้นเพื่อลงทุนเลยในระยะสิบปีที่ผ่านมา เพราะผมเห็นว่าหุ้นในกลุ่มเหล่านี้มีความเสี่ยงที่ผมไม่ใคร่สบายใจนักที่จะ ลงทุนระยะยาว และต่อไปนี้คือความคิดของผม

ก่อนที่จะพูดถึงความเสี่ยงผมอยากจะบอกว่า ที่จริงหุ้นในกลุ่มสถาบันการเงินนั้น ส่วนใหญ่มีผลประกอบการที่ดีน่าประทับใจ ถ้าดูจากกำไรต่อส่วนของผู้ถือหุ้นก็จะเห็นว่าหุ้นเหล่านี้มีผลกำไรอยู่ใน เกณฑ์ที่สูงลิ่ว เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของหุ้นในอุตสาหกรรมอื่นๆ ในตลาดหลักทรัพย์ และเมื่อมองดูถึงความสม่ำเสมอของกำไรก็เห็นว่าบริษัทเหล่านั้น ทำได้ค่อนข้างดีพอจะบอกได้ว่าเป็นผลประกอบการที่สามารถคาดการณ์ได้

ประกอบกับการที่บริษัทเหล่านี้มีลูกค้าเป็น "ล้านๆ" คน ดังนั้นความผันผวนของรายได้ก็มักจะน้อย ข้อสรุปก็คือ โดยทั่วไปแล้ว เราสามารถหา "มูลค่าที่แท้จริง" ของกิจการ ได้ไม่ยากนักเทียบกับกิจการอื่นๆ อีกหลายอย่าง พูดง่ายๆ สามารถใช้ค่า PE และ/หรือ PB มาวัดค่าความถูก/แพงของหุ้นได้

ข้อดีของหุ้นสถาบันการเงินอีกอย่างหนึ่งก็คือ ส่วนใหญ่บริษัทเหล่านั้น มีกฎหมายและหน่วยงานของรัฐควบคุมอย่างเข้มงวด ข้อมูลต่างๆ ของบริษัทโดยเฉพาะบัญชีการเงินค่อนข้างเชื่อถือได้ เช่นเดียวกัน ผู้บริหารไม่สามารถนำเงินไป "ถลุง" ในกิจการอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องได้ง่ายนัก อีกเรื่องหนึ่งก็คือ นโยบายจ่ายปันผลมักจะดีเหตุ เพราะบริษัทเหล่านี้มีเงินสดเหลือเฟือที่จะจ่ายปันผล และที่น่าสนใจสุดยอดอีกอย่างหนึ่งก็คือ หุ้นเหล่านี้ จำนวนมากมีค่า PE และ PB ไม่สูง บางบริษัทต่ำมาก ดูไปแล้วน่าจะเป็นหุ้นที่เข้าข่ายเป็นหุ้น "Value" ที่น่าซื้อลงทุนระยะยาว แต่สิ่งที่ทำให้ผมไม่สบายใจนักที่จะลงทุนในหุ้นกลุ่มสถาบันการเงินก็คือ

ประการแรก หุ้นสถาบันการเงินยกเว้นบริษัทหลักทรัพย์ มีการกู้หรือรับฝากเงินจำนวนมาก อัตราการกู้ยืม กรณีธนาคารพาณิชย์สูงมาก อาจเกือบสิบเท่าของเงินในส่วนของผู้ถือหุ้น การกู้มากเป็นความเสี่ยงมหาศาล เพราะถ้าเงินที่กู้มาและนำไปปล่อยกู้หรือลงทุนต่อ เกิดเสียหายกลายเป็น NPL หรือหนี้สูญเพียงแค่ 10% แบงก์นั้นก็หมดทุนหรือล้ม จริงอยู่ที่ว่าอัตราการเกิด NPL ของแบงก์ในภาวะปกติ จะมีน้อยมากเพียง 1-2% และแบงก์ก็มักจะกันสำรองหนี้สูญทุกปีจนเพียงพอหรือเกินพอ แต่นั่นก็คือสภาวการณ์ "ปกติ" แต่ในสถานการณ์ "วิกฤติ" เช่นในปี 2540 ลูกหนี้ของแบงก์ต่าง "ล้มละลาย" เป็นลูกโซ่ และแบงก์เกือบทั้งหมดแทบเอาตัวไม่รอด หลายแห่งล้มลงไป และนี่ก็คือความเสี่ยงของหุ้นแบงก์

หุ้นของบริษัทลิสซิ่งและบริษัทที่ให้กู้สำหรับซื้อสินค้าเงินผ่อน ส่วนใหญ่กู้เงินไม่ต่ำกว่า 4-5 เท่าของเงินทุนตนเอง การปล่อยกู้ให้กับลูกค้า บริษัทมักจะคิดดอกเบี้ยสูงกว่าแบงก์มาก เพราะปล่อยกู้ให้กับคนที่มีรายได้น้อย หรือคนที่ยังไม่มีกำลังซื้อสินค้าราคาสูง เช่น รถยนต์ แต่อยากได้สินค้ามาใช้ก่อน ดังนั้นโอกาสที่ลูกหนี้จะกลายเป็นหนี้เสียสูงกว่ากรณีของแบงก์ ในกรณีที่เศรษฐกิจโดยทั่วไปดี อัตราหนี้เสียมักจะไม่สูงนัก ทำให้ผลประกอบการของบริษัทดี แต่บางช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดี อาจเป็นเพราะพืชผลทางการเกษตรมีราคาตกต่ำ NPL จะเกิดขึ้นจำนวนมาก ผลก็คือ บริษัทอาจขาดทุนหนัก บางแห่งอาจไปไม่รอด เพราะบริษัทในกลุ่มนี้ไม่ได้ถูกถือว่า เป็นสถาบันการเงินที่มีการรับเงินฝากจากประชาชน การควบคุมจากทางการก็มีน้อย การบริหารงานภายในบริษัทอาจหละหลวมหรือมีการทุจริตได้ง่าย นี่ก็เป็นความเสี่ยงด้านบริหารงานที่เพิ่มขึ้นมาจากเรื่องภาวะทางเศรษฐกิจ

ข้อสรุปสั้นๆ ของผมสำหรับหุ้นสองกลุ่มนี้ ก็คือ "เป็นธุรกิจที่ดีจนถึงวันที่มันเจ๊ง" หากจะลงทุนในหุ้นสองกลุ่มนี้ ก็คงต้องพิจารณาและติดตามว่า จะมีโอกาสเจ๊งไหม ทั้งจากเรื่องของภาวะเศรษฐกิจและเรื่องของตัวบริษัทในด้านของการบริหารงาน ภายใน และนำมาเทียบกับราคาหุ้นที่จะเป็นตัวกำหนดผลตอบแทนที่เราจะได้จากการลงทุน

หุ้นในกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ ความเสี่ยงอยู่ที่การเปิด "เสรี" ธุรกิจหลักทรัพย์ซึ่งจะทำให้บริษัทแต่ละแห่ง คิดค่าธรรมเนียมการซื้อขายหุ้นได้อย่างอิสระ นี่จะทำให้รายได้หลักของโบรกเกอร์ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เพราะโบรกเกอร์บางแห่งที่มีลูกค้าและคำสั่งซื้อขายหุ้นน้อย เสนออัตราค่านายหน้าในอัตราที่ต่ำ เพื่อดึงดูดให้ลูกค้ามาซื้อขายหุ้นกับตนเอง เมื่อคู่แข่งถูก "ตัดราคา" ค่าบริการ เขาต้องเสนอราคาที่ต่ำลงเพื่อรักษาลูกค้า ผลก็คือ ราคาค่าบริการจะต่ำลงเรื่อยๆ จนอาจเข้าใกล้ศูนย์ในบางกรณี กำไรของบริษัทหลักทรัพย์ส่วนใหญ่ก็จะลดลง และไม่สามารถคาดได้ว่าจะเป็นเท่าไร นอกจากเรื่องของค่าคอมมิชชั่นแล้ว อาจจะมีบริษัทหลักทรัพย์ โดยเฉพาะจากต่างประเทศ ที่จะมาเปิดให้บริการเพิ่ม ซึ่งจะทำให้เกิดการแย่งส่วนแบ่งตลาดของโบรกเกอร์เดิมอีก นี่คือความเสี่ยงสำคัญที่คาดการณ์ได้ยากสำหรับหุ้นบริษัทหลักทรัพย์

หุ้นกลุ่มสุดท้าย คือหุ้นของบริษัทประกันภัยและประกันชีวิต หุ้นกลุ่มนี้ ส่วนใหญ่คือการประกันภัยรถยนต์ ส่วนน้อยและมักจะเป็นเครือของแบงก์จะมีรับประกันภัยบ้าน และอสังหาริมทรัพย์อื่น เช่น อาคาร และโรงงานต่างๆ ด้านการประกันภัยรถยนต์ การแข่งขันสูงมาก ทำให้บริษัทส่วนใหญ่มีกำไรไม่ดีนัก บางปีก็ขาดทุน โดยพื้นฐานแล้ว ไม่ถือว่าเป็นกิจการที่ดีนัก ส่วนบริษัทประกันภัยที่เป็นเครือของธนาคาร มักได้เปรียบเพราะจะได้ลูกค้าที่ถูกส่งต่อมาจากแบงก์ที่ให้เงินกู้ และบังคับให้ลูกค้าทำประกันทรัพย์สินที่นำมาจำนอง ซึ่งมักเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่โอกาสในการเคลมต่ำ ผลก็คือ บริษัทเหล่านี้มักจะมีกำไรดีต่อเนื่อง หุ้นก็มักจะไม่ถูก

หุ้นบริษัทประกันชีวิตในตลาดมีน้อย แต่เป็นหุ้นที่คึกคักมากในช่วงเร็วๆ นี้สำหรับ VI หลายคน เหตุผลเพราะว่า ธุรกิจประกันชีวิตโดยเฉพาะช่วงนี้เติบโตค่อนข้างสูง การที่บริษัทเป็นบริษัทในเครือแบงก์ ทำให้ขยายธุรกิจไปได้ง่าย โดยทำผ่านพนักงานของแบงก์ที่เรียกว่า "แบงก์แอสชัวรันส์" นั่นคือ ให้พนักงานแบงก์เป็นคนช่วยขายให้กับลูกค้าที่มีเงิน การขายทำได้ง่าย เพราะมีข้อมูลของลูกค้าครบ ประกอบกับดอกเบี้ยเงินฝากที่ต่ำมาก ทำให้การชักชวนคนทำประกันชีวิตทำได้ง่าย เพราะผลตอบแทนจากกรมธรรม์ดีกว่าการฝากเงิน หุ้นประกันชีวิตมีความเสี่ยงอยู่บ้าง เพราะต้องเอาเงินเบี้ยประกันไปลงทุน แม้มักจะลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำเป็นส่วนใหญ่ แต่ความเสี่ยงก็ยังมีอยู่ เหนือสิ่งอื่นใดที่ทำให้ผมยังไม่ลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ คือ ราคาหุ้นไม่ถูกเลย โดยเฉพาะเมื่อดูจากค่า PB ของหุ้น

แหล่งที่มา กรุงเทพธุรกิจ โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

อยากให้อ่านเรื่องนี้ด้วยครับ


ระยะเวลาลงทุน โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร


การซื้อหุ้นลงทุน แต่ละตัว นักลงทุนแต่ละคน มักจะมีแนวคิดคร่าวๆ ว่า หุ้นตัวนั้นเขาจะ "ถือยาวหรือสั้น"แน่นอนว่า สำหรับบางคนแล้ว เขาแทบไม่คิด เพราะสำหรับเขา การซื้อหุ้นลงทุน ไม่มีคำว่ายาว นั่นเป็นเพราะเขาเป็น "นักเทรดหุ้น" หรือเล่นหุ้น "รายวัน" สิ่งที่เขาทำ ก็คือ คอยดูว่าตลาดหุ้นวันนั้นจะมีทิศทางอย่างไร หรือหุ้นตัวนั้นจะมีทิศทางอย่างไรในแต่ละนาทีหรือชั่วโมง เขาเก็งกำไรจากความผันผวนของราคาหุ้น นี่คือ นักลงทุนรายย่อยจำนวนมากในตลาดหลักทรัพย์ ที่มีเม็ดเงินลงทุนไม่มากและซื้อขายหุ้นเป็น "งานอดิเรก"

นอกจากรายย่อยเหล่านี้แล้ว คนที่ซื้อขายหุ้นรวดเร็วมากยังรวมถึง "ขาใหญ่" หรือนักลงทุนที่มีเม็ดเงินลงทุนจำนวนมากที่เข้าไปซื้อขายหุ้น "รายวัน" ด้วยเม็ดเงินมหาศาล คนกลุ่มนี้ นอกจากจะเก็งกำไรจากความผันผวนของราคาหุ้นแล้ว บ่อยครั้งยังเป็นคนที่ "สร้างความผันผวน" ให้กับราคาหุ้นเอง เพื่อให้ตนได้เปรียบในการเก็งกำไรจากการซื้อขายหุ้น

กลุ่มคนที่ "เล่นสั้น" ถ้าเป็นรายเล็ก ซึ่งการซื้อขายไม่สามารถมีอิทธิพลต่อราคาหุ้นได้ ในบางช่วงที่ตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวขึ้นดีเป็นกระทิง พวกเขาอาจมีกำไรบ้าง แต่ช่วงที่ตลาดหุ้นลง หรือขึ้นๆ ลงๆ พวกเขาก็มักจะขาดทุน และในระยะยาว พวกเขาแทบจะต้องขาดทุนเสมอ เหตุผลก็คือ ค่าคอมมิชชั่นในการซื้อขายหุ้นจะ "กิน" ผลตอบแทนที่อาจจะทำได้จากการซื้อขายหุ้นหมด ส่วนรายใหญ่ที่เก็งกำไรหุ้นระยะสั้น เช่นเดียวกัน ในช่วงที่ตลาดหุ้นดี พวกเขาอาจจะมีกำไรมหาศาล แต่ในยามที่ตลาดหุ้นแย่ หลายคนก็เสียหายหนัก ในระยะยาว คนที่ทำผลตอบแทนได้มหาศาลก็น่าจะมีจำกัด

ตัวอย่างของคนที่เล่นสั้นและประสบความสำเร็จอย่างสูง ก็คือ จอร์จ โซรอส ถ้าย้อนหลังไปยาวกว่านั้น อาจรวมถึงนักเก็งกำไรระดับโลกหลายๆ คนอย่าง เจสซี่ ลิเวอร์มอร์ เบอร์นาร์ด บารูช และ เจอราลด์ เลิบ เป็นต้น แม้บางคนจะล้มเหลวช่วงท้ายๆ ของชีวิต

กลุ่มคนอีกกลุ่มหนึ่งที่มี Time Frame หรือช่วงเวลาการลงทุนค่อนข้างสั้น แต่ไม่ถึงกับเป็น Day Trader หรือเล่นหุ้นรายวันแต่น่าจะลงทุนในระยะเวลาเป็น "รายเดือน" หรืออาจจะหลายเดือน คนที่เล่นหุ้นแนวนี้ มักจะมอง "พื้นฐาน" ของหุ้น ประกอบกับ "โมเมนตัม" หรืออาจจะเรียกว่าเป็น "แรงส่ง" ที่เกิดจากการเก็งกำไรของนักลงทุนกลุ่มต่างๆ รวมถึงแรงส่งที่มาจาก "สตอรี่" หรือเรื่องราวที่น่าตื่นเต้นของหุ้น พูดง่ายๆ พวกเขาลงทุนโดยเน้นทั้งแนวพื้นฐานและแนวเทคนิค เพื่อที่จะซื้อหุ้นที่มีพื้นฐานในเวลาที่มันกำลัง "ร้อนแรง" นักลงทุนหลายคนในกลุ่มนี้มี วิลเลียม โอนีล เซียนหุ้นที่ใช้กลยุทธ์ที่มีชื่อย่อว่า "CANSLIM" เป็นไอดอล นักลงทุนในกลุ่มนี้มักจะทำผลตอบแทนได้น่าประทับใจมากในช่วงที่ตลาดหุ้น คึกคักร้อนแรงอย่างที่เกิดขึ้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ในยามที่ตลาดหุ้นตกต่ำลง พวกเขาก็อาจจะ "เจ็บตัว" ไม่น้อยไปกว่านักเก็งกำไรกลุ่มอื่นๆ

กลุ่มที่ลงทุนยาวเป็นปี หรืออาจจะ 2-3 ปี เป็นกลุ่มใหญ่พอสมควร ก็คือ กลุ่มที่เรียกว่าเป็น Value Investor "กระแสหลัก" นี่คือ กลุ่มที่ยึดแนวทางของ เบน เกรแฮม บิดาของการลงทุนแบบ Value Investment กลยุทธ์การลงทุนของนักลงทุนกลุ่มนี้ เน้นเรื่องราคาหุ้นว่าต้องเป็นหุ้นที่ "ถูกมาก" เป็นหุ้นที่มี Margin of Safety หรือมีส่วนเผื่อความปลอดภัยสูง พวกเขามักเป็นนักลงทุนที่อนุรักษนิยม และไม่กล้าที่จะซื้อหุ้นที่มีค่า PE สูงที่เขาเห็นว่าเป็นหุ้นที่มีราคาแพง แม้หุ้นนั้นจะเป็นบริษัทที่มีคุณสมบัติยอดเยี่ยมก็ตาม

ผลงานการลงทุนของนักลงทุนสาย เกรแฮม น่าจะไม่หวือหวามากนัก โดยเฉพาะช่วงตลาดหุ้นบูมมากๆ เพราะหุ้นที่พวกเขาซื้อ มักจะไม่ใช่หุ้นที่มีสตอรี่ หรือมีเรื่องราวให้นักเก็งกำไรเข้ามาสนใจมากนัก ผลงานระยะยาวก็มักจะดีใช้ได้ เหนือสิ่งอื่นใด ก็คือ ยามที่ตลาดหุ้นไม่ดีหรือ "ไม่ไปไหน" เป็นเวลานาน นักลงทุนกลุ่มนี้น่าจะรักษาผลตอบแทนของตนเองได้ดีพอสมควรเทียบกับกลุ่มอื่นๆ

นักลงทุนกลุ่มที่มีระยะเวลาการลงทุนไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับวัฏจักร หรือสถานการณ์ของตัวหุ้น หรือสภาวะเศรษฐกิจบางอย่าง อาจจะเรียกว่า "นักเล่นหุ้นตามสถานการณ์" นี่คือ นักลงทุนที่น่าจะมี Time Frame ไม่เกิน 3-4 ปี และบ่อยครั้งอาจจะน้อยกว่านั้น ไอดอลของนักลงทุนกลุ่มนี้น่าจะเป็น ปีเตอร์ ลินช์ ซึ่งมีกลยุทธ์การลงทุนที่ "เล่นหุ้นได้ทุกรูปแบบ" โดยเน้นพื้นฐานของตัวกิจการเป็นหลัก การเล่นหุ้นได้ทุกรูปแบบ เกิดจากการที่ลินช์จัดกลุ่มหุ้นทุกตัวตามคุณสมบัติของบริษัท เช่น เป็นหุ้นโตเร็ว หุ้นที่อยู่ในกิจการที่เป็นวัฏจักร หุ้นทรัพย์สินมาก และหุ้นฟื้นตัวจากวิกฤติ เป็นต้น

ผลงานการลงทุนแบบของปีเตอร์ ลินช์ ผมคิดว่า คนที่ทำได้ดี นั่นคือ ซื้อขายหุ้นได้ถูกต้องตามคุณสมบัติของบริษัท น่าจะได้กำไร หรือผลตอบแทนเป็นกอบเป็นกำ โดยเฉพาะหุ้นวัฏจักรและกลุ่มฟื้นตัว การที่จะทำเช่นนั้นได้ ไม่ใช่สิ่งที่ง่ายสำหรับนักลงทุนที่ไม่ได้ศึกษา หรือมีความรู้ความสามารถพอ ถ้าเป็นการเข้าไปซื้อขายหลังจากที่หุ้นปรับตัวขึ้นมามากแล้ว นักลงทุนอาจจะขาดทุนได้ และนี่ทำให้การลงทุนแบบนี้ก็มีความเสี่ยงไม่น้อย

กลุ่มสุดท้าย ก็คือ นักลงทุนที่ลงทุนยาวมาก คือ ประมาณตั้งแต่ 3-4 ปีขึ้นไป ไอดอลของกลุ่มนี้ ก็คือ ฟิลลิป ฟิสเชอร์ และ วอร์เรน บัฟเฟตต์ นี่คือ นักลงทุนที่เน้นลงทุนในกิจการที่ดีเยี่ยมที่สุดในประเทศ พวกเขาจะไม่ใคร่สนใจหุ้นของกิจการที่ "หาจุดเด่นไม่ค่อยได้" แม้จะมีราคาถูก หรืออาจจะมีสตอรี่ที่น่าสนใจ เป็นบริษัทที่กำลังอยู่ในวัฏจักร "ขาขึ้น" หรือแม้แต่บริษัทที่ "กำลังฟื้นตัวอย่างเห็นได้ชัด" สิ่งที่พวกเขามองก็คือ ความสามารถการแข่งขัน หรือความได้เปรียบที่ยั่งยืนที่บริษัทมีต่อคู่แข่ง ความเข้มแข็งทางการเงิน การเจริญเติบโตของอุตสาหกรรมและบริษัท เหล่านี้เป็นต้น ส่วนราคาหุ้นนั้นก็สนใจว่าต้องไม่แพง แต่ราคาหุ้นที่ถูกมากนั้นไม่ใช่ประเด็นหลักในการเลือกหุ้น

นักลงทุนที่เน้นในหุ้นแบบซูเปอร์สต็อกและถือหุ้นยาวนาน น่าจะมีน้อยมาก เหตุผลก็อาจจะเป็นเพราะว่าเป็นกลยุทธ์ที่ "น่าเบื่อ" นอกจากนั้น กิจการที่เป็น "ซูเปอร์" จริงๆ ในไทยและอยู่ในตลาดหุ้นอาจจะมีไม่มาก เหนือสิ่งอื่นใด การปรับตัวขึ้นของราคาหุ้น ก็มักจะไม่หวือหวาในระยะเวลาอันสั้น ในช่วงเร็วๆ นี้ หุ้นซูเปอร์สต็อกก็มีผลงานค่อนข้างดี ทำให้ผลตอบแทนของนักลงทุนโดดเด่นพอสมควร โดยที่ความเสี่ยงไม่สูงนัก

เป็นเรื่องยากที่นักลงทุนคนหนึ่งจะมี Time Frame หรือกลยุทธ์แน่นอนเพียงแนวเดียว นักลงทุนที่มุ่งมั่นและมีประสบการณ์มาก มักจะมีจุดเน้นของตนเองที่พอบอกได้ว่าเขาเป็นนักลงทุนแนวไหน การเลือกตำแหน่งของตนเองผมคิดว่าจะเป็นตัวตัดสินผลงานระยะยาวของการลงทุน เพราะเป็น "ยุทธศาสตร์" ที่จะกำหนดสิ่งต่างๆ ที่เราจะเดินไป

แหล่งที่มา กรุงเทพธุรกิจ โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

อยากให้อ่านเรื่องนี้ด้วยครับ


1  2  3  4  5  6  7  8  9  

girdpol
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 15 คน [?]




Friends' blogs
[Add girdpol's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.