Nepenthes-trong ข้อมูลหม้อข้าวหม้อแกงลิงแปล จากหนังสือและเวบไซท์ภาษาต่างประเทศ
ทริป ปักกิ่ง 21-24 กันยายน 2551 ภาค 2

23 กย. 2551
5:30 น. ตื่นแต่เช้ารีบอาบน้ำ เพราะจะรีบกินข้าวแล้วออกไปเดินเล่น
6:10 น. ลงมาถึงห้องอาหารแต่ พนักงานยังจัดอาหารไม่เสร็จเค้าบอกให้มาอีกทีตอน 6 โมงครึ่งเลยต้องออกไปเดินเล่นกันก่อน อากาศเย็นสบาย เหมือไปเที่ยวเชียงใหม่ตอนหน้าหนาว เดินไปสักพัก เจอสวนดอกไม้ที่เค้าจัดไว้ประดับงานโอลิมปิก ก็เลยถ่ายรูปกันมา 1 รูป
Photobucket
6:40 น.กลับมากินข้าว เช้านี้คนเยอะมาก เพราะมีทัวร์คนจีนมาลงด้วย แย่งอาหารกันสนุกเลย โรงแรมก็ทำไม่ค่อยทัน แถมพวกคนจีนยังตักกับข้าวเพียบแล้วก็กินไม่หมดอีก ส่วนทัวร์พวกเราตักมาเท่าไรก็กินเรียบ
8:30 น.แวะเที่ยวโรงงานแกะสลักหยกใหญ่ที่สุดในเอเซีย ระหว่างทาง ไกด์แนะนำความรู้เกี่ยวกับเรื่องหยก ว่าหยกมี 2 ประเภท คือ หยกอ่อน และหยกแข็ง หยกอ่อนจะใช้แกะสลักของชิ้นใหญ่มีรายละเอียดมาก มีสีขาว ไปจนถึงสีเขียว มีราคาถูกกว่า(เจ้าแม่กวนอิมหยกขาว ที่เขาสมอแครง จ.พิษณุโลกก็เป็นหยกอ่อน) ส่วนหยกแข็งจะมีเนื้อแข็ง ราคาสูงกว่า หยกอ่อน ส่วนมากใช้ทำเครื่องประดับที่ไม่มีรายละเอียดมาก ส่วนหยกพม่าก็เป็นหยกแข็ง แต่เป็นหยกที่มีความแข็งมากกว่าหยกจีนแต่ว่าเปราะบาง แตกง่าย และมักมีรอยร้าว จึงมีราคาถูก หยกส่วนใหญ่จะมี 1-2 สีในก้อนเดียว แต่ถ้ามีถึง 3 สีในก้อนเดียว จะเรียกว่าหยก "ฮก ลก ซิ่ว" ซึ่งมีความหมายดีและมีราคาแพงมาก ๆ ประเพณีจีน หยกถือเป็นมรดกตกทอดของครอบครัว โดย เมื่อลูกชายแต่งงาน แม่สามีจะถอดหยกที่ใส่ให้กับลูกสะใภ้ แล้วก็ให้ต่อกันเป็นทอด ๆ ไป หยกถือว่าเป็นหินที่มีชีวิต ในเนื้อหยกจะมีเส้นสีเขียวเข้ม เรียกว่า ต้นหยก หากใส่ไปนาน ๆ ต้นหยกจะใหญ่ขึ้น และมีราคาสูงขึ้นตามไปด้วย หยกช่วยเสริมสุขภาพ และเสริมฮวงจุ้ยด้วย
Photobucket
ผักกาดเป็นของมงคลที่คนจีนจะแกะสลักหยกขาวไว้ประดับบ้าน เพราะคำว่า"ผักกาด"ในภาษาจีนพ้องเสียงกับคำว่า"ร่ำรวย"

Photobucket
ปี่เซี๊ยะสลักจากหยกขาวขนาดใหญ่ แต่ไม่ค่อยจะขาวเพราะคนมักจะจับ

Photobucket
กระถางธูปมังกร แกะสลักจากหยกขาวเช่นเดียวกัน


ที่นี่ผมได้ของที่ผมตั้งใจมาซื้อ ก็คือ ตราประทับที่สลักเป็นชื่อ (ภาษาจีนเรียกว่า "จัง") ในราคาอันละ 112 หยวน อันนี้ขนาดกลาง ๆ ค่อนข้างเล็กนะ ขนาดใหญ่แบบฮ่องเต้ก็มีแต่หลายพันหยวนครับ พอซื้อแล้วเค้าจะแกะสลักให้ทันทีเลย ถ้าใครมีชื่อจีนก็เขียนชื่อจีนให้เค้าแกะ แต่ถ้าใครไม่มีก็เขียนชื่อไทยเป็นภาษาอังกฤษก็ได้ เค้าจะแกะภาษาอังกฤษ แล้วก็ใช้คำจีนที่ออกเสียงเหมือนชื่อให้ในตราประทับอันเดียวเลย ช่างแกะใช้เพียงสิ่วอันเล็ก ๆ อันเดียวแกะให้อย่างรวดเร็ว ประมาณ 3 นาทีเสร็จเลย และแกะสวยมาก เหมือนกับใช้พู่กันเขียนเลย
Photobucket
ตราประทับหรือ"จัง" มีให้เลือกเพียบ มีตั้งแต่ถูกสุด 58 หยวน

Photobucket
ซื้อปุ๊ปแกะให้ปั๊ปเลย


10:30 น. เที่ยวกำแพงเมืองจีน อยู่บนยอดเขา ชานเมืองปักกิ่ง อากาศเย็นลมพัดเย็นสบายมาก แต่พอเดินขึ้นแล้วรู้สึกเหนื่อยมาก เพราะเหงื่อไม่ออกเลย อึดอัด ทีแรกตั้งใจว่าจะเดินไปให้ครบ 7 ป้อม(บริเวณนี้มีอยู่ 7 ป้อม) ระยะทาง กิโลกว่า ๆ แต่ว่า เนื่องจากมีเวลาแค่ 1 ชั่วโมงทำให้เดินขึ้นไปได้แค่ 2 ป้อมก็ต้องลงแล้ว ลงมาได้ขาสั่นเลย

Photobucket
ถ่ายรูปกับพ่อแม่ก่อนขึ้น ป้ายด้านข้างเขียนว่ากำแพงหมื่นลี้
(มั้ง...)

Photobucket
ที่เห็นลิบ ๆ นั่น ยังไม่ครบ 7 ป้อมนะครับ

Photobucket
ถ่ายอีกรูปนึง จะไปล่ะนะ

Photobucket
ขึ้นไปถึงป้อมที่ 1 ก็ถ่ายลงมา นักท่องเที่ยวเยอะมาก บางช่วงทางเดินแคบก็ต้องรอกัน

Photobucket
ด้านบนเป็นป้อมที่ 2 เป้าหมายที่จะไปให้ถึง แล้วก็หมดเวลาต้องรีบลงครับ

Photobucket
อันนี้บนป้อม 2 ครับ มาถึงแล้ว ขอถ่ายไว้หน่อย แต่หัวบังวิวไปหมดเลย

Photobucket
รูปนี้ลงมาข้างล่างแล้ว เริ่มเหนื่อยครับ เลยต้องถอดเสื้อนอกออก

Photobucket
อีกรูปนึงที่ด้านหน้าที่จอดรถ

Photobucket
ถ่ายรูปรวมก่อนขึ้นรถไปกินมื้อกลางวันครับ ไม่ต้องมองหาครับ เพราะผมเป็นคนถ่ายเอง

11:50 น. ออกจากกำแพงเมืองจีนเพื่อไปทางมื้อกลางวัน วันนี้เป็นสุกี้มองโกลครับ น่าอร่อยเชียว ระหว่างทางไกด์มีขนมของฝากมาให้พวกเราสั่งซื้อด้วย จะได้ไม่ต้องไปเดินซื้อหา ซึ่งราคาก็ถูกดีครับ ขายยกลัง อยากแบ่ง ก็ต้องหาคนหารกันเองครับ
เกาลัด 50 ซอง 250 หยวน
พุทราเชื่อมอบแห้ง 50 ซอง 300 หยวน
บ๊วยกรอบ 30 ซอง 300 หยวน
มันเผา 50 ซอง 300 หยวน
เม็ดบัว 30 ซอง 300 หยวน
ของผมสั่งแต่เกาลัดอย่างเดียวครับเหมาลังเลย อย่างอื่นไม่ได้ซื้อเลย
12:15 น.มื้อกลางวันวันนี้ ได้กินสุกี้มองโกล ก็เป็นสุกี้คล้าย ๆ บ้านเรา มีผักมีหมูเหมือนกัน แต่ว่าหม้อใครหม้อมัน น้ำซุปเหมือนน้ำเปล่าต้ม น้ำจิ้มก็จืด ๆ เค็ม ๆ ยังไงก็ไม่รู้ ไกด์คงรู้ดีว่าพวกเรากินแบบนี้ไม่ได้ ก็เลยเตรียมน้ำจิ้มสุกี้มาจากเมืองไทย พอจิ้มแล้วกลายเป็นสุกี้ไทยเลยครับ แต่ทีเด็ดของสุกี้มองโกลคือ เนื้อแพะ ซึ่งอร่อยมาก และไม่เหนียว ไม่สาบ หรือมีกลิ่นอะไรเลย นอกจากนั้นก็มีเนื้อหมูและเนื้อไก่ด้วย แต่ว่าที่ขายดีที่สุดก็คือเนื้อแพะนี่แหละ แถมเสิร์ฟแบบไม่อั้นซะด้วย อิ่มเลยครับงานนี้(ไม่ได้ถ่ายรูปอีกแล้วครับ มัวแต่กินเพลิน ลุกจากโต๊ะอาหารเป็นคนสุดท้ายเลยผม) เมื่อออกมาหน้าร้าน พอดีเจอรถเข็นขายผลไม้ ก็เลยซื้อกิน ซื้อพุทรา กับลูกท้อมากิน อร่อยมาก เลยเก็บเมล็ดกลับมาเมืองไทย แต่ไม่รู้ว่าจะเพาะขึ้นรึเปล่า
13:30 น. แวะเที่ยวพิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งราชวงศ์หมิง แต่ไม่สวยเท่าของบ้านเรา ทั้งยังเก่าฝุ่นเขรอะ ก็เลยไม่ได้ถ่ายรูปมา เพราะไกด์บอกว่าถ้าจะถ่ายรูปต้องเสียค่าบัตรเพิ่มอีกด้วย นอกจากนั้น วันนี้คุณจอยที่เป็นไกด์ของบัสอีกคันมาบรรยายให้ระหว่างที่คุณแก้วดูแลพวกเราที่แวะถ่ายรูปสตูดิโอ(มีจัดเป็นชุดฮ่องเต้ ฮองเฮาให้ถ่าย เสียค่าถ่ายเฉพาะจุดนั้น 25 หยวน) คุณจอยพูดไทยไม่ชัดเท่าคุณแก้ว แล้วก็พูดเร็วมาก ก็เลยฟังไม่ค่อยจะรู้เรื่อง สำหรับท่านอื่นที่มาเที่ยวเองแบบไม่ใช่กรุ๊ปทัวร์ แนะนำเลยว่าพิพิธภัณฑ์นี้ไม่ค่อยน่าเที่ยวเท่าไหร่
15:00 น. แวะเที่ยวชมโรงงานผลิตยาบัวหิมะ ไกด์บอกว่าชื่อบัวหิมะเป็นชื่อที่คนไทยตั้งกันเอง ภาษาจีนเรียกยาชนิดนี้ว่า ยาผิวดีเท่านั้นเอง จะมีส่วนผสมของบัวหิมะด้วยรึเปล่าเค้าไม่บอก เพราะว่าเป็นสูตรลับของโรงงาน นอกจากยาบัวหิมะแล้วยังมียาอื่น ๆ อีกหลายตัวที่แนะนำ
Photobucket
ด้านหน้าโรงงาน

Photobucket
คุณลีลาวดี ชื่อเล่น ลั่นทม ผู้แนะนำสินค้าซึ่งเป็นคนจีน

Photobucket
หลังจากแนะนำยามีโชว์จับโซ่เผาไฟด้วย สยองมาก


เพราะถึงยามันจะรักษาแผลได้แต่มันก็เจ็บจริง แสบจริง แบบไม่ใช้สลิง ไม่มีตัวแสดงแทนเลย แถมต้องแสดงให้คนดูวันละตั้ง 2 รอบแน๊ะ เห็นแล้วอึ๋ยเลย
Photobucket
พอออกจากโรงงานบัวหิมะ ผ่านสนามกีฬารังนก ก็เลยถ่ายไว้
เพราะไกด์บอกว่าทางการยังไม่เปิดให้เที่ยวชม มีนักท่องเที่ยวจอดรถถ่ายรูปกันเพียบ

Photobucket
ด้านข้างสนามกีฬารังนกก็มีตึกรูปหัวมังกร สวยดี


17:00 น. แวะชิมชา ร้าน ดร.จินตู ขายชากันอีก ร้านนี้ทำให้เราเสียตังค์อีกหน่อยนึง ซื้อใบชากลับมา ไกด์แนะนำเรื่องการชงชาว่า คนไทยชงชาไม่ถูกวิธีทำให้ชาไม่หอม ไม่อร่อย และไม่มีประโยชน์ วิธีการที่ถูกต้องต้องเริ่มจาก ลวกใบชาในกา 1 ครั้ง แล้วรินน้ำทิ้ง (ทางที่ดีควรมี 2 การ ให้รินน้ำราดกาเปล่าอีกใบ) หลังจากนั้นรินน้ำร้อนใส่ครึ่งกา แล้วเททั้งใบชาและน้ำชาในกาน้ำใบที่เราเอาน้ำแรกราดไป แล้วเติมน้ำชาให้เต็มกา นำไปกินได้ ชงแล้วชงอีกได้เรื่อย ๆ จนกว่าจะรู้สึกจืด ค่อยทิ้งแล้วเริ่มขั้นตอนแรกใหม่ หากคนชอบชาหวานหรือชานม ก็เติมน้ำตาล นม น้ำผึ้งตามชอบ แต่ถ้าชอบชาเย็น ห้ามใส่น้ำแข็ง ให้ทิ้งชาไว้ให้คลายความร้อนแล้วจึงนำไปแช่ตู้เย็นให้เย็น เพราะหากเติมน้ำแข็งจะทำให้รสชาเสียไป และทำให้ท้องผูก(แบบนี้เองที่เค้าว่ากินชาแล้วท้องผูก ถ้าชาร้อนจะเป็นยาระบาย)
Photobucket
พนักงานสาธิตวิธีการชงชา ให้ชิมชา แล้วก็ขายใบชาด้วย

Photobucket
เสร็จแล้วก็มาถ่ายรูปรวมกัน ด้านหน้าที่เห็นเป็นโต๊ะชงชาแกะสลักจากไม้

Photobucket
ถ่ายกับกาน้ำใบใหญ่ภายในร้าน

Photobucket
ฝั่งตรงข้ามร้านชาเป็นห้างสรรพสินค้าแล้วจัดทางเดินเชื่อมต่อสวยดี เลยออกมายืนถ่ายรูปกัน ดูดี ๆ จะเห็นว่ายืนกันบริเวณเกาะกลางถนน

18:00 น. รับประทานอาหารเย็น มื้อนี้เป็นมื้อสุดท้าย เมื่อนี้มีเป็ดปักกิ่งขนานแท้ให้กินด้วย จะแตกต่างจากเมืองไทยบ้าง เมืองไทยเป็ดปักกิ่งจะมีแต่หนัง แต่ของที่นี่จะใช้หนังติดเนื้อด้วย แล้วห่อด้วยแผ่นแป้ง มีแตงกวากับต้นหอม แล้วก็ซอสหวานราด คล้าย ๆ ปอเปี๊ยะสดใส้เป็ดยังไงก็ไม่รู้นะ ส่วนเนื้อเป็ดที่ติดกระดูกเค้าก็จะเอาไปทอดกรอบโรยเกลือ คล้าย ๆ ไก่ทอดเกลือ แต่เป็นเป็ดทอดเกลือแทน ส่วนกับข้าวอื่น ๆ ก็ธรรมดา ลืมบอกไป ทุกมื้อ ผลไม้หลังอาหารจะเป็นผลไม้พิเศษ สำหรับเลี้ยงแขกโดยเฉพาะ นั่นคือ แตงโม เพราะเมืองจีนถือว่าเป็นผลไม้ดี มีราคาแพง สมัยก่อนต้องนำเข้ามา แต่พวกเราไม่กินกันจนเบื่อเลย อยากกินผลไม้พื้นบ้าน ประเภท พุทราจีน ลูกท้อ เสียมากกว่า แต่ก็ไม่ได้กินมีแต่ต้องซื้อเอง

19:40 น. ไปเดินเล่นที่ถนนคนเดิน เป็นถนนที่ตลอดสายมีแต่ห้างสรรพสินค้าตลอดสาย แต่มาแค่เดินเล่น เพราะสินค้าส่วนใหญ่เป็นแบรนด์เนม ซึ่งมีราคาแพงกว่าเมืองไทย ส่วนของอื่น ๆ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะไปตลาดรัสเซียก็น่าจะถูกกว่า

พอดีเดินไปเจอนิทรรศการประติมากรรมโอลิมปิคก็เลยถ่ายรูปเก็บมาทุกชิ้นเลย เดินจนใกล้ถึงเวลานัดหมาย ก็มีฝนลงเม็ดก็เลยต้องรีบกลับไปรวมกันที่รถ รับกลับโรงแรม
Photobucket
Photobucket
Photobucket
บรรยากาศแสงสียามค่ำคืนของถนนคนเดิน

Photobucket
Photobucket
Photobucket
Photobucket
Photobucket
Photobucket
Photobucket
Photobucket
Photobucket
Photobucket
Photobucket
Photobucket
Photobucket
Photobucket
Photobucket
Photobucket
Photobucket
Photobucket
Photobucket
Photobucket
Photobucket
Photobucket
Photobucket
Photobucket

รวมภาพประติมากรรมโอลิมปิคนะครับ ไม่มีคำบรรยาย


24 ก.ย. 2551

7:30 น. หลังจากทานข้าวเสร็จแล้ว เช็คเอาท์จากโรงแรม ฝนก็เริ่มลงเม็ดเลย ขามาฝนก็ตก ขากลับฝนก็ยังตกอีก ไกด์บอกว่า ฝนตกถือว่าดี ร่ำรวย ๆ
8:30 น. ไปเที่ยวประตูชัยปักกิ่ง เป็นประตูเมืองสำหรับส่งแม่ทัพออกศึก ถ้าขึ้นไปบนป้อมแล้วมองไปยังหัวมังกร(ที่อธิบายไว้ตอนเที่ยวพระราชวังโบราณ) จะเห็นได้ว่า ไม่มีการสร้างตึกที่สูงกว่าป้อมนี้เลย เพราะถือว่าบนป้อมนี้ ฮ่องเต้จะมายืนส่งแม่ทัพไปรบ จะมีตึกอื่นสูงกว่าไม่ได้(ถือเป็นวาระแห่งชาติกันเลยทีเดียว)

ในประตูชัยยังมีพิพิธภัณฑ์ที่น่าสนใจทั้งพิพิธภัณฑ์เงินโบราณ และพิพิธภัณฑ์ปี่เซี๊ยะ วันนี้พวกเราได้เที่ยวพิพิธภัณฑ์ปี่เซี๊ยะที่เดียว(เพราะเดี๋ยวต้องไปช๊อปปิ้งต่อที่ตลาดรัสเซีย)

ปี่เซี๊ยะ(ภาษาจีนกลางออกเสียง "ผิซิ่ว" แต้จิ๋วออกเสียง "เพเย้า" ไม่รู้พี่ไทยไปเอาคำปีเซี๊ยะมาจากไหน) ที่ประตูชัยแห่งนี้เป็นสถานที่สำหรับเช่าบูชาปี่เซี๊ยะตั้งแต่สมัยโบราณ ซึ่งมีเพียง 2 แห่งในประเทศจีน คือประตูชัยปักกิ่ง และที่เมืองซีอาน(ที่มีสุสานจิ๋นซี) ที่นี่พวกเราได้สัมผัสและอธิษฐานกับปี่เซี๊ยะโบราณอายุกว่า 800 ปีสร้างสมัยต้นราชวงศ์หมิง เป็นปี่เซี๊ยะสำหรับฮ่องเต้ และจะนำมาไว้ที่นี่ขณะที่แม่ทัพไปออกศึก แต่เมื่อเปลี่ยนการปกครอง ปี่เซี๊ยะก็เลยอยู่ที่นี่ตลอด ไม่ได้กลับไปพระราชวังโบราณอีกเลย ปี่เซี๊ยะตัวนี้ถือเป็นปี่เซี๊ยะที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศจีน แกะสลักจากหยกขาว ไกด์เล่าว่าปี่เซี๊ยะที่ช่วยปรับฮวงจุ้ยได้ต้องแกะสลักจากหยกเท่านั้น (อย่างนี้เอง ปี่เซี๊ยะที่บ้านเลยไม่ได้ช่วยอะไรเลย เพราะมันเป็นหิน ไม่ใช่หยก) ถ้าเป็นหิน เป็นทองเหลือง หรือเป็นเรซิ่น ก็จะไม่มีพลัง ไม่มีอิทธิฤทธิ์ เป็นได้แค่ของประดับตกแต่งเท่านั้น นอกจากนั้นแล้ว ปี่เซี๊ยะก็มีหลายแบบ เคยมีคนเช่าบูชาแล้วบอกว่าไม่เห็นดี พอส่งรูปมาให้ผู้เชี่ยวชาญดูเค้าบอกว่า ปี่เซี๊ยะที่เช่าไปเป็นปี่เซี๊ยะสำหรับเฝ้าสุสาน(แต่เค้าก็ไม่ได้บอกว่าปี่เซี๊ยะเฝ้าสุสานมีลักษณะแตกต่างจากปี่เซี๊ยะทั่วไปยังไง แต่เท่าที่เห็นจากรูปถ่ายปี่เซี๊ยะเฝ้าสุสานราชวงศ์หมิงคือ ลักษณะจะเรียบ ๆ ไม่มีลวดลาย ไม่มีปีก แล้วก็ปากหุบ กัดฟัน ลักษณะนอกจากนี้ไม่ทราบนะครับ หาข้อมูลกันเอาเอง)
Photobucket
ปี่เซี๊ยะโบราณสลักจากหยกขาว อายุ 800 ปี จับมาแล้วครับ!


ส่วนหยกที่ใช้แกะปี่เซี๊ยะ ส่วนใหญ่จะใช้หยกอ่อน(ซึ่งจะมีเนื้ออ่อนและแกะสลักได้ง่ายกว่าหยกแข็ง) โดยหยกที่นิยมมากที่สุดจะเป็นหยกอ่อน จากซินเกียง ซึ่งหยกสีต่าง ๆ ก็มีความหมายที่ต่างกันไปดังนี้
สีเขียวเข้ม ค้าขายร่ำรวยยิ่งเข้มยิ่งดีแต่อย่าให้ดำสนิท
สีเขียวอ่อน ส่งเสริมสุขภาพ
สีขาว สำหรับข้าราชการ
สีม่วง สำหรับนักลงทุนเล่นหุ้น
สีชมพู ช่วยให้สามัคคี มีเพื่อน
สีตาเสือ(คล้ายคดสัก) สำหรับคนขับรถบ่อย และชอบเสี่ยงโชค

Photobucket
ตัวอักษรจีนโบราณ"หยุน"จะมีสลักไว้ใต้ท้องทุกตัว ถ้าซื้อจากที่นี่ครับ รับประกันว่าของแท้


ที่นี่แม่รูดการ์ดเช่าบูชาปี่เซี๊ยะสำหรับค้าขาย ขนาดกลาง กลับมาตัวหนึ่ง(สองพันกว่าหยวน) ได้ปี่เซี๊ยะขนาดพกพาแถมมา 2 ตัว ดูรวม ๆ แล้วกลุ่มเราซื้อรวมกันแล้วเป็นแสนบาทครับวันนี้ เออ สำหรับปี่เซี๊ยะที่นี่ ซื้อแล้วจะมี ใบรับรองให้ด้วยนะครับ มาตรฐานมาก

สำหรับการทำพิธีบุชาก่อนนำเข้าบ้านหรือนิติดตัวคือ
1. อาบน้ำให้ปี่เซี๊ยะด้วยน้ำเปล่า
2. เช็ดให้แห้งด้วยผ้าใหม่(ไม่เคยใช้มาก่อน)
3. นำไปตากแดดครึ่งชั่วโมง(รับพลังจากดวงอาทิตย์)
4. ถ้าเป็นแบบพกติดตัว ก็นำมาติดตัวได้เลย แต่ถ้าเป็นแบบตั้งพื้นในบ้านหรือที่ทำงาน ก่อนนำเข้าบ้านให้ใช้ผ้าแดงปิดตา หรือคลุมหน้าไว้ เมื่อนำมาตั้งที่จัดเตรียมไว้(ต้องหันหน้าออกนอกบ้าน หันก้นเข้าในบ้าน ไว้ในห้องไหนก็ได้ยกเว้นห้องน้ำ) แล้วจึงเปิดตาออก ผ้าแดงไม่ต้องใช้ผ้าใหม่ก็ได้
5. ปี่เซี๊ยะสำหรับตั้งพื้นควรตั้งในที่ที่มีคนผ่านบ่อย ๆ ให้คนได้จับได้ลูบยิ่งดี ไม่ต้องหวงไว้ลูบคนเดียว ยิ่งลูบยิ่งดี ยิ่งดูดทรัพย์
ส่วนปี่เซี๊ยะ แบบพกพา ห้ามให้ใครจับ ไม่งั้นคนจับจะดูดทรัพย์เอาไปหมด วิธิแก้คือ ต้องนำปี่เซี๊ยะไปอาบน้ำเกลือ แล้วเริ่มขั้นตอนที่ 1 ใหม่ครับ
Photobucket

10:30 น. ไปช๊อปปิ้งตลาดรัสเซีย Ya!show Clothing Market ไกด์บอกว่า ชื่อ Ya!show นี้มีความหมายว่า ถ้าซื้อของมาแล้วอย่าเอามาโชว์กัน เพราะอาจจะเจ็บใจได้ว่าซื้อแพงกว่าคนอื่น ที่นี่เป็นห้างคล้าย ๆ มาบุญครองครับ แต่มีขนาดเล็กกว่าเยอะ ทุกอย่างที่ขายเป็นของก๊อปปี้หมด เว้นแค่คนขายกับคนซื้อที่เป็นของจริง ที่นี่ก็ได้ของฝากกลับไปฝากเพื่อนที่เมืองไทยครับ มื้อกลางวันวันนี้ ไม่มีเลี้ยงครับ ต้องหากินเอง ก็เลยต้องขึ้นไปกินศูนย์อาหารชั้น 5 อาหารแพงมาก ๆ แล้วก็ไม่อร่อยเหมือนเดิมครับ เสียดายตังค์จัง
Photobucket
กล่าวขอบคุณและขอโทษขอโพยกันระหว่างไกด์กับตัวแทนลูกทัวร์ครับ(พ่อผมเอง)


12:30 น. เดินทางมาถึงสนามบิน เช็คอิน ทัวร์แจกขนมปังกับนมถุงให้กิน(เหมือนนมโรงเรียนเลย ผสมสารเมลามีนด้วยรึเปล่าหว่า!) ใครเหลือเงินหยวนรีบซื้อของกันใหญ่เลยครับ เพราะว่าถ้าเป็นธนบัตรที่ต่ำกว่า 100 หยวน เค้าไม่รับแลกคืนเป็นเงินไทยครับ
14:40 น. เครื่องบินของสายการบินศรีลังกา(เหมือนขามา)ออกจากมหานครปักกิ่ง มุ่งตรงสู่กรุงเทพ
18:10 น. เวลาประเทศไทย ถึงสนามบินสุวรรณภูมิโดยสวัสดิภาพ สุดท้าย แม่ลืมช๊อกโกแลตที่ซื้อจาก Duty Free ที่ปักกิ่งเอาไว้บนเครื่องบินครับ เสียดายเลยตั้ง 300 หยวนแน่ะ(1,500 บาท)

สรุปครับ(เที่ยวแล้วต้องมีข้อคิด) ที่น่าสนใจมากสำหรับการท่องเที่ยวในคราวนี้คือ การจัดการและการตลาดของประเทศจีนทำได้ดีมาก เหมือนจะเป็นกฏตายตัวเลยว่ากรุ๊ปทัวร์ที่มา จะต้องไปเที่ยวที่ไหน ซื้อของที่ไหน และทุกที่ก็เป็นของภาครัฐบาลทั้งนั้นเลย ไกด์ก็ได้รับการอบรมอย่างดี ไม่ใช่แค่เรื่องความรู้ประวัติศาสตร์ และรวมถึงเทคนิคการโน้มน้าวใจ และการขายอีกด้วย เพราะทุกที่ที่พาไปซื้อของจะมีประวัติ มีที่มาและมีความเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์จีนแทบทั้งนั้น (ไกด์จะพูดให้ฟังบนรถก่อน พอถึงที่ก็พาเข้าห้องอบรม ส่งให้วิทยากรประจำสถานที่นั้น ๆ อธิบายรายละเอียดอีก แล้วก็ค่อยซื้อของ) อีกทั้งที่ที่พาไปซื้อของก็มีทุกรูปแบบ ถ้าไปครบทุกที่ ก็ต้องมีสักที่หนึ่ง หรือมีของสักอย่างหนึ่งที่อยากซื้อจนได้ อย่างผมเองที่ตั้งใจซื้อคือ ตราประทับ กับของฝากเพื่อน ลงท้ายยังได้ใบชาติดมาอีกอย่าง (พอดีกับงบประมาณที่ตั้งใจไว้เลย เพราะตั้งใจซื้อแค่ 1,000 บาท ซื้อมา 232 หยวน =พันกว่าบาท ) บางคนซื้อหมดหลายหมื่นก็มี แล้วแต่ใจครับ แต่รูปแบบการท่องเที่ยวแบบนี้มีระบบดี และเงินไม่รั่วไหล แต่คงทำได้ยากสำหรับเมืองไทย เพราะทุกอย่างเป็นของเอกชนหมด และที่ไหนให้ค่านายหน้าดี ก็พาลูกทัวร์เข้าไปซื้อของ โดยบางครั้งบางทีก็ไม่เกี่ยวข้องกับสถานที่ที่พาไปเที่ยวสักเท่าไร น่าคิดและเอาไปพัฒนากันนะครับ


Create Date : 30 กันยายน 2551
Last Update : 30 กันยายน 2551 20:16:18 น. 2 comments
Counter : 4733 Pageviews.

 
ไปกับ maritime หรือเปล่าคะ โปรแกรมเหมือนกันเลยค่ะ


โดย: choisy IP: 117.47.62.92 วันที่: 1 ตุลาคม 2551 เวลา:12:18:48 น.  

 
online tour ครับ ผมว่าส่วนใหญ่โปรแกรมส่วนใหญ่ก็เหมือน ๆ กันนะครับ เพียงแต่ว่าจะจัดเรียงไปที่ไหนก่อนเท่านั้นเอง


โดย: trongtham วันที่: 4 ตุลาคม 2551 เวลา:8:58:16 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

trongtham
Location :
นครสวรรค์ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]




ผมเป็นเพียงคนหนึ่งที่ปลูกเลี้ยง "หม้อข้าวหม้อแกงลิง" แต่เมื่อปลูกได้สักระยะหนึ่ง ก็พบว่าเราน่าจะรู้และเข้าใจถึงพืชชนิดนี้ให้มากหน่อยนะ นับแต่นั้นก็เริ่มศึกษามากขึ้น(แต่ซื้อมาเลี้ยงน้อยลง) จนวันหนึ่ง หลังจากได้แปลหนังสือ นำไปให้พี่ ๆ ที่เป็นครู จัดนิทรรศการ ทำวิจัย ฯลฯ แล้วได้รู้จัก Bloggang ก็เลยอยากเขียนบทความให้คนอื่น ๆ ได้อ่านกัน สักวันหนึ่งในอนาคตอาจจะพิมพ์ออกมาเป็นหนังสือสักเล่มก็ได้...หวังว่าวันนั้นคงมาถึงไม่ไกลเกินเอื้อม
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add trongtham's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.