เที่ยว2ภู ดูไดโนเสาร์และป่าไม้บนที่ราบสูง
สัปดาห์ก่อนได้เดินทางไปทำธุระทางอีสานเหนือ ตั้งใจจะไปแวะเที่ยว พักกางเต๊นท์นอนตามอุทยานที่ผ่านไปครับ ผมเดินทางออกจากนครสวรรค์ ผ่านจังหวัดเพชรบูรณ์ทั้งขาไปและขากลับ ก่อนเข้าเขตอ.น้ำหนาว แวะทานข้าวร้านค้าริมทาง ได้เห็นวิวธรรมชาติที่สวยงาม เลยเก็บภาพซะหน่อย
ธรรมชาติที่ยังคงสวยงามของป่าน้ำหนาว จ.เพชรบูรณ์
ขาไปพอผ่านด่านป่าไม้ก่อนถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติน้ำหนาว เหลือบไปเห็น ชายผ้าสีดา "หูช้าง" ต้นใหญ่มากอยู่ข้างป้อม รีบจอดรถ ลงไปถ่ายภาพเก็บไว้ทันที
เลี้ยงในเมืองยังไงก็ไม่งามเท่าเลี้ยงในธรรมชาติ
หลังจากเสร็จธุระที่ขอนแก่นแล้ว(โดยยังไม่ได้แวะที่ไหนเลย) ตั้งใจจะไปกางเต๊นท์ที่ สวนรุกขชาติ อ.โกสุมพิสัย จ. มหาสารคาม แต่พอไปถึง ได้พบว่า สวนรุกขชาติถูกน้ำท่วมหมดเลย ก็เลยพักไม่ได้ ต้องเข้าไปหาโรงแรมพักในเมืองมหาสารคาม
วันถัดมาผมทำธุระที่ตัวจังหวัดมหาสารคาม เสร็จแล้วไปร้อยเอ็ด มาจบที่กาฬสินธุ์ เมื่อเสร็จธุระยังไม่บ่ายจนเกินไปนัก เลยมีเวลาไปเที่ยวภูกุ้มข้าว อ.สหัสขันธุ์ ซึ่งห่างจากเมืองไม่ถึง 30 กม.
สวนสาธารณะก่อนถึงภูกุ้มข้าว (มีป้ายบอกว่า "ระวังไดโนเสาร์ข้ามถนน")
ผมลงไปถ่ายกับลูกไดโนเสาร์ที่ร่วมขบวน ไปดูต่อกันว่าพวกมันมาทำไม
มาเก็บขยะก๊าบ.... รักษาความสะอาด ลดโลกร้อน
แม้แต่ไดโนเสาร์ยังเที่ยวคาราโอเกะ
และแล้วเราก็มาถึง อุทยานโลกไดโนเสาร์ภูกุ้มข้าว
ประตูทางเข้าวัดสักกะวัน
ประตูหน้าพิพิธภัณฑ์สิรินทร (ป้ายแต่ละป้ายไม่เหมือนกันเลย แต่สุดท้ายก็มารวมที่เดียวกัน "ที่นี่แหละ อุทยานไดโนเสาร์ ภูกุ้มข้าว")
ตัวอาคาร ทำออกมาดูทันสมัย ออกแนววิทยาศาสตร์ แต่ให้สีแบบเอิร์ทโทน เข้ากับภูเขาดีเหมือนกัน
สวนด้านหน้า ก่อนเข้าชมพิพิธภัณฑ์
ตัวนี้ถือเป็นสัญลักษณ์อยู่ปากทางเข้า แต่ที่นี่แสดงความเด่นแค่ด้านหน้า หากใครเคยไปที่ภูเวียง จะเห็นว่า เจ้าไดโนเสาร์ปากจระเข้าตัวนี้ ถือเป็นไดโนเสาร์พันธุ์ใหม่ในเมืองไทย และโดดเด่นมากทีเดียว
ตัวนี้ก็เป็นไดโนเสาร์พันธุ์ไทยอีกตัวหนึ่งที่คอยต้อนรับทุกคน "ภูเวียงโกซอรัส"
ที่นี่จะให้ความเด่นเจ้าตัวนี้มากหน่อย "สยามโมไทรันนัส อีสานเอ็นซิส" บรรพบุรุษของ ทีเร็กซ์ สายพันธุ์เดียวที่พบในเมืองไทย
ภายในออกแบบไว้ดีมาก ใช้เนื้อที่อย่างเหมาะสม มองเห็นได้ทั่วบริเวณ ทำให้อยากเดินต่อไปเรื่อย ๆ ไม่อยากหยุด (จริง ๆ แล้ว ทางเข้าออกเค้าก็ทำเป็นวันเวย์ล่ะนะ) เริ่มจากส่วนนี้ที่เป็นยุคก่อนจะมีสัตว์มีกระดูกสันหลัง
"ไทรโลไบท์" บรรพบุรุษของแมงดาทะเล
พอมองไปตรงโถงกลาง จะเห็นกระดูกไดโนเสาร์ทั้งประเภทกินพืชและกินเนื้อ ซึ่งถือเป็นไฮไลท์ของพิพิธภัณฑ์
ระหว่างทางมีตู้ที่จัดแสดงโมเดล ของนิเวศวิทยาไดโนเสาร์ในยุคต่าง ๆ กัน
โครงกระดูกพวกกินเนื้อ
โครงกระดูก "เทราโนดอน" ไดโนเสาร์บินได้(ไม่มีในเมืองไทย)
พวกกินเนื้ออีกตัว
"ไทรเซอราทอปส์" เจ้าสามเขา ฮีไร่ขวัญใจเด็ก ๆ
กระโหลกอันหนา ของไดโนเสาร์ที่มักใช้หัวพุ่งชน เหมือนกับแกะหรือแพะในสมัยนี้
ตัวอย่างห้องวิจัย และค้นคว้าเกี่ยวกับซากดึกดำบรรพ์
กระโหลกเสือเขี้ยวดาบ(อันนี้ก็ไม่มีในเมืองไทยนะครับ ยืมเมืองนอกเขามาโชว์)
ปลากลายเป็นหิน อันนี้พบได้ในเมืองไทยด้วย...
พิพิธภัณฑ์จะปิดให้บริการ เพื่อรอสมเด็จพระเทพมาเปิดอย่างเป็นทางการอีกทีหนึ่งครับ ผมไปก่อนปิดทำการ ก็เลยได้เข้าฟรี หลังจากเปิดเป็นทางการแล้วก็จะเก็บค่าธรรมเนียม เหมือนกับพิพิธภัณฑ์หรืออุทยานแห่งชาติอื่น ๆ หลังจากนั้น ผมออกเดินทางเพื่อไปธุระต่อที่ จ.สกลนคร ทีแรกกะว่าจะไปนอนค้างที่ อุทยานแห่งชาติมุกดาหาร แต่เนื่องจากคำนวนระยะทางแล้ว คงไปถึงไม่ทัน เดี๋ยวจะเข้าลำบาก เพราะห่างจากภูกุ้มข้าวกว่า 150 กม. ก็เลยเปลี่ยนแนว หันหัวเข้าจังหวัดสกลนคร ระหว่างทาง เจออุทยานแห่งชาติภูพาน ก็เลยแวะเสียเลย ไปถึง 5 โมงเย็นโดยประมาณ พระอาทิตย์ยังไม่ทันตกดิน
หน้าที่ทำการอุทยาน เสียค่ากางเต๊นท์แค่ 30 บาท (เอาเต๊นท์มาเองนะครับ)
ชายผ้าสีดา"หูช้าง" อีกต้นที่หน้าศูนย์ข้อมูลอุทยาน ใหญ่มาก ๆ ๆ
ชมพระอาทิตย์ตกดิน ที่ผานางเมิน ซึ่งเป็นสถานที่กางเต๊นท์ บรรยากาศสวยงามมาก
คืนนั้นอากาศหนาวเย็น ไม่มีใครมากางเต๊นท์กับผมเลย เหมือนจองอุทยานแบบ VIP (เพราะเป็นคืนวันลอยกระทง คนไปเที่ยวงานลอยกระทงกันหมด)จนตื่นเช้ามาเป็นหวัด น้ำในห้องน้ำเย็นมาก ราดลงไปแต่ละขัน เสียวไปถึงข้างใน (หัวใจนะครับ อย่าคิดเป็นอื่น)
ตื่นเช้ามาลงจากหน้าผาไปเดินชมธรรมชาติ อากาศบริสุทธิ์ และธรรมชาติที่สวยงาม
ดอกไม้ป่า และดอกหญ้า สีสดใสสวยงามกว่าในภาพมากมายนัก กล้องเก็บสีได้แค่ 1 ใน 10 เท่านั้นเอง
ใกล้ลำธาร ได้พบเฟิร์นบางอย่าง ลักษณะคล้ายปลิงขนาดเล็ก ขึ้นปกคลุมหินทั้งก้อน เป็นสีเขียวสดใส สวยงามมาก
บนก้อนหิน ยังมีมอสสีเขียวอ่อน เหมือนกับเปลวเทียนอยู่ด้วย
ระหว่างทางเดิน ได้พบรอยเท้ากระทิงด้วย ห่างจากจุดที่กางเต๊นท์นอนแค่ 300 เมตรเอง
ข้างทางเดินบนโขดหิน มีเฟิร์น และกล้วยไม้สกุลสิงโตอยู่จำนวนมาก
นอกจากนี้ยังมีทุ่งหญ้า ซึ่งทุ่งหญ้าแบบนี้น่าจะพบ หม้อข้าวหม้อแกงลิงสกุล N. smilesii ได้ แต่ก็ยังไม่พบ ลองสอบถามเจ้าหน้าที่ เขาก็บอกให้ไปอีกจุดหนึ่งของอุทยานอาจจะมี เพราะเจ้าหน้าที่ไม่ค่อยทราบเรื่องนี้เท่าใดนัก แต่ถามชาวบ้านแถวนั้นก็ไม่มีคนเคยเห็น ไว้ครั้งหน้าจะมาหาคำตอบอีกที
แต่ระหว่างทางกลับ ได้ผ่านอุทยานแห่งชาติน้ำหนาว จ.เพชรบูรณ์ ก็เลยแวะเข้าไปดู แปลกใจมาก ที่ค่าธรรมเนียมเข้าชม แพงกว่าค่ากางเต๊นท์นอนที่ภูพานเสียอีก(ที่นี่ แค่เข้าก็เสีย 70 บาท) ไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ได้พบข้อมูลว่าที่นี่ มีหม้อข้าวหม้อแกงลิงสกุล N.smilesii อยู่ด้วย แต่ว่าอยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานไปประมาณ 30 กม. ก็เลยต้องเอาไว้คราวหน้า จะแวะเข้าไปถ่ายรูปมาครับ
Create Date : 18 พฤศจิกายน 2551 |
Last Update : 18 พฤศจิกายน 2551 10:56:35 น. |
|
6 comments
|
Counter : 6508 Pageviews. |
|
|