บวชเรียนนานกว่า 13 พรรษา ชีวิตผ่านมาฝ่าเหน็บหนาว วันนี้ฝนฟ้าพรายพร่างพราว อีกกี่สิบหนาวแสนยาวไกล ลาสิกขามาหลายฝน มาเป็นคนไม่ค่อยเอาไหน หนึ่งชีวิตไม่มีอะไร เก็บงำสิ่งที่ได้ไว้เตือนตน...
Group Blog
 
All Blogs
 

แม่จ๋า...อย่าร้องไห้ ตอนที่ ๕ เลี้ยงปากเลี้ยงท้อง

“ ปี้ศรี ปี้ศรี เจ้าเอาเลข 39 ละก่อ 93 อย่างละ 10 บาทเน้อ ”

แม่ญิง รีบจอดรถถีบข้างๆ เจ้าของเสียงเอิ้นทักนั้น พลางหยิบสมุดลายไทยที่วางไว้ในตะกร้าหน้ารถจักรยาน เปิดหน้าที่เขียนตัวเลขตั้งแต่ 00 ไปจนถึง 99 แล้วก็เอาปากกาขีดกาเครื่องหมายตามหมายเลขดังกล่าวแล้ว ไม่ลืมหยิบกระดาษแผ่นเล็กๆ เขียนเลขดังกล่าวอีกครั้ง

39 = 10
93 = 10

ลงชื่อ ศรี

“ เอ้า ได้ละ ตั๋วละ 10 บาท ก่อหมดปอดีเน้อ คนอื่นจะซื้อเลขนี้บ่าได้ละ ปี้ขาย 10 บาทเต้าอั้น กลั๋วว่าขายบ่าหมด เดวต้องซ่อมแหมหลายตังค์ งวดแล้วปอยังแควนเข้าเจ้าเก่าพ่องอยู่ ”

อาชีพเสริมที่ไม่ถูกกฎหมายนักของแม่ญิง คือการเร่ขายหวยใต้ดินตามหมู่บ้าน ซึ่งก็ต้องแย่งลูกค้ากับแม่ค้าหวยใต้ดินรายอื่นๆ ด้วย ดีนะที่แม่ญิง มีลูกค้าขาประจำที่จะจองเลขเลี้ยงไว้หลายรายทีเดียว ทุกงวดที่เริ่มเร่ขาย จึงได้เงินพอที่จะจ่ายให้กับคนซื้อที่โชคดีเล่นถูกตัว มิหนำยังพอมีเงินหลงเหลือเป็นกำไรไม่กี่ร้อยบาทก็ยังดี แต่หากงวดไหนจะได้เยอะหน่อยเป็นหลักพันบ้าง ก็ต้องรอให้หวยมันออกตัวที่ไม่มีใครซื้อนั่นแหละ แต่ก็นานๆ ที...
..................................................................................................

เดือนเมษายนมาถึงแล้ว แม่ญิง ลูกสาว และลูกชาย ต่างสาละวนกับการทำเพิงหมาแหงนริมรั้วหน้าบ้าน ใช้เวลาเกือบสองวันเต็มๆ เพิงเล็กๆ ที่มุงด้วยหญ้าคาไม่กี่ไพ เสาทำจากไม้ไผ่รวกขุดหลุมฝังให้แน่น คานต่างๆ ก็เพียงมัดด้วยตอกเหนียวที่ริ้วให้แน่นก็แล้วเสร็จ

ที่เพิงแห่งนี้ ทั้งสามแม่ลูกจะเปิดร้านขายของในช่วงสงกรานต์ นอกจากขนมขบเคี้ยว ลูกอมหลากยี่ห้อ และปืนฉีดน้ำแล้ว ที่ขายดิบขายดีมีลูกค้าละแวกใกล้ไกล มาอุดหนุนไม่ขาดระยะ ก็เห็นจะเป็นส้มตำแบบเมืองๆ ใส่ถั่ว ใส่น้ำมะขามเปียก ฝีมือเป็นที่ยอมรับ ที่สีสันน่าทานทีเดียว เพราะแม่ญิงจะใช้มะละกอที่ใกล้สุก ซึ่งยามขูดออกมาเป็นริ้วๆ แล้ว ทำเอาคนขูดน้ำลายสอไปเหมือนกัน

ยิ่งถ้ายกเสริฟพร้อมยอดผักบุ้งนา ที่สองพี่น้อง เพิ่งจะชวนกันไปเก็บมาจากท้องทุ่งเมื่อเย็นวานยิ่งได้รสชาติใหญ่ หากรายไหนจะขอเป็นใส่ถุง ฝีมือรัดปากถุงให้แน่นหนาของลูกสาวคนโตที่คอยเป็นลูกมืออยู่ใกล้ๆ ก็ยังได้รับคำชม ส่วนไอ้ตัวเล็กขอทำหน้าที่ล้างจานอยู่ไม่ไกลออกไป

ยิ่งใกล้วันปี๋ใหม่เมือง หน้าร้านยิ่งคึกคัก เหตุเพราะอยู่ใกล้วัดนั่นเอง แขกไปใครมา ไม่ว่าจะมาติดต่อเรื่องกิจนิมนต์กับตุ๊เจ้าเพื่อไปเทศน์สืบชะตาอายุ และเรือนที่อยู่อาศัย หรือทั้งมาทานขันข้าวให้ญาติที่ล่วงลับไปแล้ว หรือที่เดินทางมาจากต่างหมู่บ้าน เพื่อมารดน้ำดำหัวผู้เฒ่าผู้แก่ และคนที่นับถือ หากได้ผ่านร้านแล้ว ไม่เอิ้นทักตามประสาคนชนบทแล้ว ก็เป็นอันต้องมานั่งลิ้มชิมรสส้มตำครกนี้กันจนได้
.....................................................................................

วิถีแห่งสามชีวิตก็ดำเนินต่อไปเยี่ยงนี้ ผ่านพ้นวัน เดือน และปี ด้วยมีเสาหลักที่เปี่ยมล้นไปด้วยหัวใจกล้าแกร่งของผู้เป็นแม่ พร้อมกับลูกๆ ที่ช่วยแบ่งเบาภาระ แม้จะไม่มาก แต่ก็อยู่ในโอวาทอันดี...

……………………………………..




 

Create Date : 01 เมษายน 2551    
Last Update : 2 เมษายน 2551 14:24:50 น.
Counter : 428 Pageviews.  

แม่จ๋า...อย่าร้องไห้ ตอนที่ ๖ วิถีที่เป็นไป

“ ปี้อ้อ จบป.6 แล้ว แม่บ่มีสตางค์ส่งหื้อเฮียนแล้วนาลูก บ่าเป๋นหยังเนาะ เปื้อนๆ หลายคนเขาก่อบ่ได้เฮียนต่อเหมือนกั๋นนา”

แม่ญิงอู้กับลูกสาวจบ แต่รู้สึกได้ถึงก้อนน้ำลายเหนียวที่กลืนลงคอไป เธอพูดทั้งๆ ที่แทบไม่อยากสบสายตาของลูกสาว และทนเก็บอาการร้าวไว้เสียแต่ข้างใน จนผิวกายร้อนผ่าว

“เจ้า บ่ได้เฮียนก่อบ่เป๋นหยัง อั้นเจ้าจะช่วยแม่ยะก๋าร เซาะสตางค์เนาะ”

เด็กสาวตอบผู้เป็นแม่ให้ได้ใจชื้นขึ้นบ้าง เพราะรู้ดีว่า ความเป็นไปได้ในการเรียนต่อระดับมัธยมศึกษาของเธอนั้น คงมีน้อยนัก จากฐานะความเป็นอยู่ของครอบครัวในตอนนี้

...........................................................................

“แม่ แม่ ผมจะไปเป๋นขะโยมละ ผมอยู่ป.5 แล้ว พระเปิ้นบอกว่า อยู่ป.5 เป๋นขะโยมได้”

เด็กชายวัยซนบอกกับผู้เป็นแม่ด้วยท่าทางลิงโลด ขณะผู้เป็นแม่ได้แต่พยักหน้า และยิ้มรับอาการดีใจนั้น

แม่ญิงรู้ดีว่า ทุกๆ ปี เด็กผู้ชายในหมู่บ้านกว่าครึ่งจะบวชเป็นเณร และศึกษาเล่าเรียนทั้งทางโลกทางธรรม คนไหนขยันก็ไปศึกษาต่อที่อื่น แล้วลาสิกขาออกมามีหน้าที่การงานที่ดีก็มีแบบอย่างให้เห็นอยู่บ้าง นับว่าการบวชเรียนนี้ เป็นโอกาสของคนที่ด้อยโอกาสทางการศึกษา ด้วยขัดสนเงินทองได้ทางหนึ่งทีเดียว

เธอดีใจ และแอบปลื้มใจไม่น้อยที่ลูกชายของเธอสนใจ และกระตือรือร้นที่จะไปเป็นเด็กวัด และอยากบวชเป็นเณรเหมือนกับรุ่นพี่ๆ นั่นอาจเป็นเพราะบ้านที่อยู่นี้ อยู่ติดกับวัด ดังนั้น
ทุกเช้า-เย็น จะได้ยินเสียงระฆัง และกลองเพลดังสม่ำเสมอ จนจับเวลาได้โดยไม่ต้องอาศัยนาฬิกาเลย ทั้งเสียงสวดมนต์ ทำวัตรของพระเณรก็ยังลอยมาให้กระทบโสตเป็นอาจิณอีกด้วย...




 

Create Date : 01 เมษายน 2551    
Last Update : 2 เมษายน 2551 14:25:15 น.
Counter : 401 Pageviews.  

แม่จ๋า...อย่าร้องไห้ ตอนที่ ๗ ชีวิตใหม่ให้เริ่มต้น

“นี่ป้อใหม่เน้อพระ” แม่ญิงแนะนำผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างๆ ให้กับสามเณรน้อยผู้เป็นลูกได้รู้จักไว้ ในฐานะสามีคนใหม่ของเธอ

“อืม ดีละ” สามเณรน้อยตอบ พร้อมอมยิ้มน้อยๆ พอไม่ให้เสียกิริยา

แม่ญิงนั้น เมื่อลูกสาวไปทำงานเป็นพี่เลี้ยงเด็ก เลี้ยงลูกให้ผู้พิพากษาในตัวจังหวัด และกินนอนอยู่ที่นั่น ส่วนลูกชายซึ่งบวชเป็นสามเณรอยู่ในตอนนี้ ก็เดินทางไปเรียนบาลี ที่วัดหลวงประจำจังหวัดในตัวเมืองหลายปีแล้ว เธอต้องกลับมาอยู่ตัวคนเดียวอีกคราครั้ง เมื่อความเหงามาเยือน บวกกับความรับผิดชอบในตัวลูกๆ ผ่านพ้นมรสุมชีวิตมาได้ด้วยเพียงลำพังแล้ว

ยามนี้ ความเหงา ควรได้รับการผ่อนคลาย ความทุกข์ระทม ควรมีคนร่วมแบ่งปัน ความลำบาก ควรได้เวลาเบาบางลง และความข่มขื่นกับชีวิตที่ต้องตรากตรำ สมควรได้รับการเยียวยา เธอจึงตัดสินใจมีคู่ชีวิตอีกครั้ง กับชายหนุ่มต่างหมู่บ้านที่ครอบครัวหย่าร้างมาเหมือนกัน ซึ่งน่าจะมีความเข้าใจกันและกันพอสมควร และระวังไม่ให้ซ้ำรอยอดีตได้...

ชีวิตคู่ ชีวิตใหม่ดำเนินไปได้ดีพอควร ไม่ต้องทนข้นแค้นกับชีวิตเดิมๆ อีกแล้ว เพลานี้หลายปีล่วงเลย ให้แม่ญิงได้อิ่มสุขบ้างแล้ว ได้มีเวลาพัก มีเวลาเริงรื่น มีช่วงชีวิตที่เก็บงำแต่ความสุขบ้างแล้ว ไม่ต้องพะวงชักหน้าไม่ถึงหลัง และอย่างน้อยได้สูดกลิ่นไอความสุขได้เต็มปอดไม่ต้องหายใจหอบถี่กับทุกข์ระคนข่มขื่นอีกต่อไป...

ทั้งในวัยอันเหมาะสมลูกสาวก็ได้ออกเรือนไปอยู่กับครอบครัวของสามียังหมู่บ้านอื่นให้หมดห่วงไป ฝ่ายลูกชายก็เรียนจบเป็นสามเณรเปรียญ ได้เป็นครูสอนสามเณรรุ่นน้องๆ ให้พอมีนิตยภัตเป็นค่าตอบแทน เผื่อเหลือเผื่อขาดมาฝากโยมแม่อีกเล็กๆ น้อยๆ เป็นประจำ...




 

Create Date : 01 เมษายน 2551    
Last Update : 2 เมษายน 2551 14:26:14 น.
Counter : 345 Pageviews.  

แม่จ๋า...อย่าร้องไห้ ตอนที่ ๘ จุดหักเหแห่งชีวิต


“เปิ้นหยังมาเป๋นคนขี้เล่นแท้ก่อบ่ารู้ ปิ๊กมาก่อปอเดิกปอดื่น”

แม่ญิงคุยให้ลูกสาวฟัง ถึงพฤติกรรมของสามีคนใหม่ที่อยู่ร่วมกันมาสิบกว่าปีแล้ว ที่พักหลังติดการพนันงอมแงม แม้ไม่กระทบกับรายได้ของครอบครัวมากนัก แต่ก็ทำให้เธอเป็นกังวลไม่น้อย ถึงอย่างไรก็คงต้องทนแล้วล่ะ เพราะไม่น่าจะสร้างปัญหาที่ใหญ่ไปกว่านี้ได้

บัดนี้ลูกสาวได้กำเนิดทายาทแล้ว เป็นหลานชายวัยกำลังน่ารักน่าชัง ให้แม่ญิงได้เป็นยายเต็มตัว เธอมักสอนให้ลูกสาวดูแล เลี้ยงดู อมรมลูกชายให้เป็นคนดีให้ได้ ให้คอยประคับประคองชีวิตคู่ให้สมบูรณ์ อย่าให้มีปัญหาเกิดขึ้น อย่าให้หลานต้องมีปมด้อยเหมือนกับที่แม่ของเขามี แต่ไม่ว่าจะอย่างไร แม้ลูกสาวของเธอจะมีปมด้อย แต่เธอก็เลี้ยงดูอบรมมาด้วยตัวเธอเองจนผ่านพ้นมาได้โดยไม่เคยต้องให้น้อยหน้าใครๆ ว่า ไม่มีพ่อ แต่ก็ไม่ปรารถนาให้ทุกอย่างมันซ้ำรอยเดิมอีก

ฝ่ายลูกชายนั้นเล่า หลังจากสอนบาลีให้กับสามเณรที่วัดหลวงในตัวจังหวัดไม่กี่ปี แต่เพื่อค้นหาเป้าหมายให้กับชีวิต จึงได้ตัดสินใจเดินทางเข้าสู่เมืองหลวงไปศึกษาต่อทางโลกที่มหาวิทยาลัยสงฆ์ จนจบปริญญาตรี และตอนนี้ก็ลาสิกขาออกมาเป็นครูอัตราจ้างสอนอยู่ที่โรงเรียนระดับมัธยมปลาย ไม่ไกลที่พักมากนัก จากเด็กจนๆ ข้นแค้นในวิถีชีวิต ก็ยังสู้อดทนฟันฝ่า และพากเพียรจนมีวันนี้ได้ เหมือนกับที่เธอคอยพร่ำสอนมาตั้งแต่เล็กๆ นานครั้ง นานทีก็กลับมาเยี่ยมบ้านให้แม่ได้ชื่นใจ ปลื้มใจ และภาคภูมิใจสักครั้ง...

และทุกชีวิตก็ยังคงดำเนินต่อไปในวิถีของแต่ละคน แม่ญิงกับสามีที่ติดการพนันงอมแงม และบางคืนไม่ได้กลับมานอนที่บ้าน / ลูกสาว หลานชายวัยซน และครอบครัวสามี / ลูกชายกับชีวิตในเมืองใหญ่ ซึ่งบัดนี้ ได้หมดสัญญาจ้างในการเป็นครูแล้ว และไปทำงานเบื้องหลังรายการโทรทัศน์รายการหนึ่งแทน...

“หนาน แม่บ่สบาย อยู่โรงยาเน้อ แต่ยังบ่รู้ว่าเป๋นอะหยัง”




 

Create Date : 01 เมษายน 2551    
Last Update : 2 เมษายน 2551 14:27:06 น.
Counter : 326 Pageviews.  

แม่จ๋า...อย่าร้องไห้ ตอนที่ ๙ ก้อนเนื้อที่ตับอ่อน


“แม่พักฟื้นอยู่ในห้อง เพิ่งออกมาจากห้องผ่าตัด คุณหมอเปิ้นว่า ปะก้อนเนื้อที่ตับอ่อนต้องเอาไปตรวจผ่อก่อน ยังสรุปบ่ได้”

พี่อ้อลูกสาวคนเดียวของแม่ญิง เล่าบอกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้าให้กับน้องชายที่เพิ่งเดินทางจากกรุงเทพฯ มาถึงโรงพยาบาลประจำจังหวัด

“แม่นอนซมอยู่ตั้งหลายวัน กว่าทุกคนจะตัดสินใจปาแม่มาโรงยา แม่เองก็คอยแต่บอกว่า บ่เป็นหยัง บ่เป็นหยัง แม่บ่อยากนอนโรงยา”

พี่สาวพูดกับน้องชาย ขณะเปิดประตูห้องพักฟื้นเพื่อให้น้องชายได้เข้าไปดูแม่

บนเตียงคนไข้ แม่ญิงวัยกลางคนนอนหลับไม่ได้สติ ปากของเธอเปิดอ้าเล็กน้อย คล้ายว่าแบ่งเบาการหายใจเข้า-ออก เนื่องเพราะที่จมูกของเธอมีหลอดสายยางเสียบอยู่มีน้ำเหนียวข้นวิ่งขึ้นลงเป็นระยะตามจังหวะการหายใจ ขณะที่บริเวณแขนที่วางแนบลำตัวมีสายให้น้ำเกลือทอดโยงกับราวแขวนกระปุกน้ำเกลือ แต่ที่ผิดสังเกตมากเห็นจะเป็นร่างกายที่ซูบผอม และผมเผ้าที่ยุ่งเหยิง ทั้งหลุดร่วงบริเวณหมอนหนุนมากจนน่าแปลกใจ

“หมอเปิ้นว่า จะสรุปได้เมื่อใดน่ะปี้” น้องชายเอ่ยปากถามไถ่พี่สาวที่กำลังจัดแจงผ้าห่มที่คลุมกายผู้เป็นแม่

“แหมสักสองสามวัน เปิ้นว่า” พี่สาวตอบโดยไม่ได้หันหน้ามองน้องชาย “หันเปิ้นเปรยๆ ว่า เป็นที่ตับ ซ้ำเป็นตับอ่อนแหม ท่าจะบ่ค่อยดี บ่รู้ว่า มันเป็นกรรมเป็นเวรอันใดหนอ เรื่องจะอี้ถึงได้เกิดกับแม่เฮาได้”

ขณะพี่สาวงกงกเงิ่นเงิ่นกับการจัดแจงอิริยาบถให้ผู้เป็นแม่ที่นอนไม่ได้สติอยู่ พร้อมหยิบเก็บเส้นผมที่ร่วงบนหมอนหนุนและบ่นไหล่ของผู้เป็นแม่อยู่นั้น น้องชายก็เดินไปนั่งข้างๆ เตียง บีบมือผู้เป็นแม่ และจ้องมองหน้าผู้เป็นแม่อยู่อย่างนั้นนานเนิ่น หากไม่มีถ้อยคำใดใดเอิ้นเอ่ยต่อกันระหว่างสองพี่น้องอีกเลย…




 

Create Date : 01 เมษายน 2551    
Last Update : 2 เมษายน 2551 14:27:42 น.
Counter : 344 Pageviews.  

1  2  3  

proctorray
Location :
เชียงใหม่ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




Verb to be classic, not born to be!

ถ้าคอเดียวกัน นี่เลย http://classicbikelover.hi5.com
Friends' blogs
[Add proctorray's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.