|
วันนี้ฉัน slow life แล้ว.. เพื่อฟังเสียงในใจของตัวเอง
ฉันยิ้มไม่ค่อยออกในหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา เพราะความเหนื่อยล้าอ่อนแรงจากเรื่องที่เจอในการทำงาน
คงมีคนสังเกตเห็นว่า ฉัน 'ยิ้มโรยๆ' มาหลายวัน วันนี้มีคนมาทักฉันว่า พี่เหนื่อยหรือ.. งานเยอะหรือคะพี่
ฉันบอกว่า ต่อให้เหนื่อย ฉันก็จะเก็บความเหนื่อยไว้ในใจ แหม.. พูดได้สวยงามเสียนีกระไร แทนคำที่ฉันบอกเขาไปแบบนั้น ลับหลังออกมาฉันแทบอยากจะกรี๊ดขึ้นมาเสียให้ได้แน่ะค่ะ
ฉันจะไม่ค่อยบ่นว่า เหนื่อย ต่อหน้าลูกน้องหรือเจ้านาย หากแต่ฉันมาบ่นเหนื่อยกับคนข้างๆแทน รวมถึงคนที่บ้าน หรือคนที่ฉันรู้ว่าเขามีความรักความปรารถนาดีให้ เพราะคนที่รักและหวังดีต่อฉันราวกับเป็นกัลยาณมิตรเหล่านั้น จะให้กำลังใจฉันเสมอ และบอกว่าฉันเก่ง - เดี๋ยวก็ต้องผ่านไป
คำว่า 'ฉันเก่ง' ไม่ได้ทำให้ฉันตัวพอง หากน้อมรับด้วยความขอบคุณแต่ในขณะเดียวกันก็สำเหนียกเสมอ รู้ตัวเสมอว่า ไม่ได้เก่งกาจอะไรนักหนาหรอก ยังล้มได้ เซได้ และร้องไห้ได้ แม้จะมีอะไรสะกิดแค่นิดเดียว
ฉันเก่ง .. ฉันเจอมาเยอะ ฉันอดทน เพราะทำตัวเป็น 'สีทนได้' มานานกระมังคะ วันหนึ่งเมื่อรู้ตัวว่า ชักไม่อยากเป็นสีทนได้ขึ้นมาแล้วเพราะเหนื่อยแบบนั้น แทบกระอักแบบนั้น ไม่รู้ว่ารู้ตัวช้าไปหรือไม่ด้วยซ้ำ
แต่ก็ดีกว่าจะไม่รู้ตัวเลยใช่ไหมคะ
บัดนี้รู้แล้ว จึงต้องพยายามปรับทุกอย่างเสียใหม่ ที่เคยเร็วให้เป็นช้า ที่เคยรู้สึกว่าต้องหา 'เงิน' ตามเป้าหมาย ต้องเปลี่ยนทิศเสียใหม่ เพิ่มการหา 'ความสุข' เข้าไปด้วย
จริงๆ สุข -- ที่เราโหยหากันนั้น ฉันเชื่อว่านิยามของเราแต่ละคนไม่เหมือนกันนะคะ สุขมาก สุขน้อย สุขได้ด้วยอะไร ไม่มีทางเหมือนกันแน่ แต่ที่แน่ๆ คนที่จะมีความสุขได้อย่างเต็มที่ คนๆนั้นย่อมจะต้องรู้ว่า เขาทำอะไรแล้วเขาจะมีความสุข
หรือพูดง่ายๆ เขารู้ว่าเขามีความสุขกับอะไร เขาหามันเจอแล้วน่ะค่ะ
..
เชื่อไหมคะว่า เมื่อสิบปีที่แล้ว เราคิด เราฝันอะไรไว้ มันอาจจะเป็นความคิด ความฝันที่เป็นจริงในเวลานี้ แต่ความคิดของเราสมัยนั้นกับสมัยนี้ไม่มีทางเหมือนกันแน่
สิบปีก่อน หรือหลายปีก่อน ฉันยังเฝ้าครุ่นคิดถึงหนทางเจริญเติบโตในหน้าที่การงาน ฉันเฝ้าคิดหาหนทางจะเดินไปยังจุดๆนั้น และแน่นอนว่าเป้าหมายที่ใหญ่กว่ามันก็เพื่อการ 'หาเงิน'
ทั้งๆที่ในวัยนั้น การหาเงินก็เป็นไปเพื่อเลี้ยงชีพ โดยที่เราก็คิดว่านั่นแหละคือความสุข หาได้เท่าไหร่ก็ใช้ไปเท่าที่พอใจ
หาเงินเพื่อมาหาความสุข ?? ไม่รู้เป็นความคิดที่ได้มาจากไหนค่ะ เพราะเมื่อมองย้อนกลับไปแล้ว การที่เราตั้งเป้าแบบนั้น เราจึงต้องพยายามจะหางานที่ทำให้เราได้เงินเยอะๆ แต่เราไม่ทันคิดหรอกค่ะว่า การได้เงินเยอะๆนั้นมันจะนำพาอะไรมาให้เรา
เหนื่อยแทบขาดใจ กับการต้องแบกรับความกดดันทุกรูปแบบ จนทำให้ต้องเริ่มคิด เริ่มทบทวนว่าเราหลงทางหรือเปล่า
และมัน 'คุ้ม' ไหม ?
..
ความเหนื่อยสาหัสในการที่ต้องแบกรับอะไรก็ตาม ทำให้ฉันคิดอยาก slow down ทั้งในรายละเอียดของการใช้ชีวิตและทั้งเข็มทิศที่จะเดินต่อไปข้างหน้า
ใช่ค่ะ .. ฉันพบว่า เราต้องติดเบรกบ้างแล้ว เมื่อล้อของเราหมุนเร็วเกินไป หรือล้อรถของเรามันจะเป๋ วิ่งไปไม่ตรงทาง เผลอๆจะตกคูน้ำ จะชนต้นไม้อยู่รอมร่อ
เรารู้ว่าเดินต่อ หรือวิ่งต่อ เราจะบาดเจ็บ
จึงสำคัญอย่างยิ่งกับการ slow เพื่อจะทบทวนเป้าหมายอีกสักครั้ง เป้าหมายของชีวิตเราอาจเปลี่ยนแปลงได้ ไม่จำเป็นต้องไปยึดติดหรอกค่ะ ฉันว่านะ -- เพราะบางทีในช่วงชีวิตของเรา เราอาจจะเจอเหตุการณ์ อะไรบางอย่างที่ทำให้เราต้องหันเหจากเส้นทางที่เราเคยปักใจเชื่อ ก็เป็นได้
ฉันว่าที่แน่ๆ เราก็ต้องรู้ว่า เราต้องการอะไร แล้วเราจึงจะไปต่อได้นะคะ ถามว่าแล้วเราจะรู้ได้อย่างไรล่ะ เราก็ต้องฟังเสียงจากข้างในของเราเองสิคะ นั่นแหละ แจ่มชัดที่สุดแล้ว
วันนี้ฉัน slow แล้ว เพื่อฟังเสียงในใจของตัวเอง ฉันกำลังรอให้ได้ยินเสียงกระซิบจากข้างใน เสียงนั้นมันบอกฉันว่าอะไร ....
ฉันเชื่อว่ามันจะซื่อสัตย์มาก คำตอบนั้นมันจะซื่อสัตย์มาก เพราะมันมาจากใจของเราเอง และเราเป็นเจ้าของคำตอบเอง
คนเราโกหกตัวเองไม่ได้ค่ะ -- นี่คือเรื่องจริง !!!
Create Date : 27 พฤษภาคม 2553 |
Last Update : 27 พฤษภาคม 2553 23:22:53 น. |
|
0 comments
|
Counter : 304 Pageviews. |
|
|
|
| |
|
|