สิ่งที่ต้องเจอ หนทางแก้ไข และวิธีปฏิบัติเมื่อมีปัญหากับนายจ้าง
ปัญหานายจ้าง-ลูกจ้าง เป็นปัญหาที่บางคนอาจต้องประสบอยู่ไม่ว่ากับนายจ้างที่ทำงานเก่า หรือแม้แต่กับนายจ้างที่กำลังทำงานอยู่ ณ ปัจจุบันนี้ก็ตาม แต่ผมเชื่อว่าหากเป็นไปได้ เราทุกคนคงไม่มีใครอยากมีปัญหากับนายจ้างของตนเองอย่างแน่นอน แต่เมื่อปัญหาเกิดขึ้นมาแล้วเราก็ต้องหาทางแก้ไขจะตีโพยตีพายไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมา เมื่อเราถูกลงโทษจากนายจ้าง ไม่ว่าจะด้วยการ ตักเตือนด้วยวาจา, การออกหนังสือเตือน, การหักเงินเดือน, พักงาน หรือ เลิกจ้าง(ไล่ออก) เราต้องดูว่า ผลของการลงโทษนั้น ๆ เป็นอย่างไร และ มีอะไรที่เราพอจะทำได้บ้าง
การเตือนด้วยวาจา การตักเตือนด้วยวาจา หากเป็นการว่ากล่าวตักเตือนตามปกติของการทำงาน ก็เป็นเพียงการว่ากล่าวธรรมดาไม่มีผลบังคับใด ๆ ในทางกฎหมายแรงงาน แต่นายจ้างอาจมีความผิดถึงขั้นติดคุกติดตารางได้ หากการว่ากล่าวตักเตือนนั้นเกินกว่าเหตุจนกลายเป็นการกระทำผิดฐานหมิ่นประมาท ในทางอาญา เช่น นายจ้างด่าลูกจ้างว่า โง่เป็นควาย ต่อหน้าพนักงานคนอื่น แบบนี้ถือว่าเป็นการกระทำหมิ่นประมาทอย่างชัดเจน หากเรามีพยานหลักฐานเพียงพอก็สามารถฟ้องร้องได้ทั้งทางแพ่งและทางอาญา
หนังสือเตือน (Warning Letter) การออกหนังสือเตือน เป็นการลงโทษของนายจ้าง ซึ่งมีผลในทางกฎหมายแรงงานด้วย หลายต่อหลายคนเคยถามผมว่า หากเราถูกนายจ้างออกหนังสือเตือน แล้วเราไม่เซ็นต์รับทราบจะได้ไหม? ผมตอบให้ได้เลยครับว่า ได้ คุณจะเซ็นต์ชื่อรับทราบหรือไม่ก็สุดแล้วแต่คุณ แต่ไม่ว่าคุณจะเซ็นต์หรือไม่เซ็นต์รับทราบ ผลของหนังสือเตือนมันเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติทันทีครับ ซึ่งผลตามกฎหมายของหนังสือเตือน คือ หากลูกจ้างกระทำความผิดระเบียบข้อบังคับในการทำงาน หรือ คำสั่งโดยชอบด้วยกฎหมายของนายจ้างที่นายจ้างได้ตักเตือนเป็นหนังสือแล้วซ้ำอีก ภายในกำหนด 1 ปีนับแต่วันที่ได้รับหนังสือเตือน ให้นายจ้างสามารถเลิกจ้างลูกจ้างได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย สิ่งที่คุณทำได้เพียงอย่างเดียวคือ ทำหนังสือปฏิเสธ และ ชี้แจงข้อเท็จจริงให้นายจ้างทราบ ซึ่งแม้ว่าจะผลของหนังสือเตือนยังคงอยู่ แต่ หนังสือชี้แจงที่เราชี้แจ้งแก่นายจ้างไปสามารถใช้เป็นพยานหลักฐานในชั้นศาลได้ว่าเราไม่ได้กระทำผิดตามหนังสือเตือน
การหักเงินเดือน ตามปกตินายจ้างจะหักเงินค่าจ้างอันเป็รค่าตอบแทนการทำงาน(เงินเดือน)ของพนักงานได้แต่เฉพาะกรณีหักเพื่อชำระภาษี , กองทุนสำรองเลี้ยงชีพต่าง ๆ , หักเพื่อบำรุงสหภาพแรงงาน หรือ ได้รับความยินยอมเป็นหนังสือระบุข้อตกลงไว้อย่างชัดเจนจากลูกจ้างเท่านั้น การหักเงินเดือนเพื่อการลงโทษไม่มีระบุไว้ในกฎหมายคุ้มครองแรงงาน จะเข้าลักษณะเป็นระเบียบบริษัท ซึ่งจะต้องไม่เกินกว่าเหตุ และต้องประกาศให้ทราบโดยทั่วกันภายในระยะเวลาอันสมควรก่อนจะใช้บังคับจริง เช่นบริษัท ประกาศหักค่าจ้างพนักงานที่มาทำงานสาย 1 นาที หัก 100 บาท แบบนี้เรียกว่าเกินกว่าเหตุแน่นอนครับกรณีเจอนายจ้างหน้าเลือดแบบนี้ ลองติดต่อที่พนักงานตรวจแรงงานให้เข้าไปตรวจสอบได้ครับ การพักงาน คือการสั่งให้ลูกจ้างไม่ให้มาทำงานเป็นการชั่วคราว เพื่อทำการสอบสวนข้อเท็จจริง หรือลงโทษลูกจ้างซึ่งตามปกติจะกระทำการพักงานลูกจ้างได้ต่อเมื่อมีการระบุโทษนี้ไว้ในข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างไว้อย่างชัดเจน ที่สำคัญคือ การสั่งพักงานดังกล่าวต้องทำเป็นหนังสือระบุความผิด และ กำหนดระยะเวลาที่แน่นอนแต่ต้องไม่เกินกว่า 7 วัน ทั้งนี้ระหว่างที่มีการพักงานนายจ้างต้องจ่ายเงินค่าจ้างแก่ลูกจ้างไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของค่าจ้างในอัตราสุดท้าย เราจึงต้องตรวจสอบให้ดีว่า การสั่งพักงานถูกต้องตามระเบียบบริษัทหรือไม่ มีการระบุความผิดและระยะเวลาตามที่กฎหมายกำหนดหรือไม่ ที่สำคัญ คือเราต้องได้รับค่าจ้างตามที่กฎหมายกำหนดด้วย การเลิกจ้าง (ให้ออกจากงาน) การเลิกจ้างนั้นคือ การที่นายจ้างไม่ให้ลูกจ้างทำงานต่อไปและไม่จ่ายค่าจ้างให้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุใดก็ตามดังนั้นหากนายจ้างไม่ให้เราเข้าทำงานแต่ยังคงจ่ายเงินเดือนให้เราตามปกติแบบนี้แล้ว ยังไม่ถือว่ามีการเลิกจ้างเกิดขึ้นนะครับ ตามปกติ การเลิกจ้างนั้นคือสิ่งสุดท้ายที่นายจ้างอยากจะทำ เพราะเมื่อนายจ้างเลิกจ้างไปแล้ว จะมีผลกระทบที่ตามมามากมาย ดังนั้นเรามาดูกันดีกว่าว่า เมื่อนายจ้างเลิกจ้างเราไปแล้วผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร ลูกจ้างที่ถูกเลิกจ้างมีสิทธิเรียกร้องเงินได้ดังต่อไปนี้ 1. ค่าชดเชยแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า เท่ากับอัตราค่าจ้างสุดท้าย 30 วัน 2. ค่าชดเชยการเลิกจ้าง ตาม พระราชบัญญัติ คุ้มครองแรงงาน ม.118 ซึ่งขออธิบายคร่าว ๆ ดังนี้ - ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันครบ 120วัน แต่ไม่ครบ 1 ปี ให้นายจ้างจ่ายค่าชดเชยแก่ลูกจ้างเท่ากับอัตราค่าจ้างสุดท้าย 30 วัน - ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันครบ 1 ปี แต่ไม่ครบ 3 ปี ให้นายจ้างจ่ายค่าชดเชยแก่ลูกจ้างเท่ากับอัตราค่าจ้างสุดท้าย 90 วัน - ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันครบ 3 ปี แต่ไม่ครบ 6 ปี ให้นายจ้างจ่ายค่าชดเชยแก่ลูกจ้างเท่ากับอัตราค่าจ้างสุดท้าย 180 วัน - ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันครบ 6 ปี แต่ไม่ครบ 10 ปี ให้นายจ้างจ่ายค่าชดเชยแก่ลูกจ้างเท่ากับอัตราค่าจ้างสุดท้าย 240 วัน - ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันครบ 10 ปีขึ้นไป ให้นายจ้างจ่ายค่าชดเชยแก่ลูกจ้างเท่ากับอัตราค่าจ้างสุดท้าย 300วัน 3. ค่าชดเชยการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม คือ ค่าชดเชยกรณีที่เราถูกนายจ้างเลิกจ้างโดยไม่มีสาเหตุ ทั้ง ๆ ที่เราก็ไม่ได้กระทำผิดกฎระเบียบใด ๆ ของบริษัท หรือ เรามีการกระทำผิดระเบียบบริษัทจริงแต่ ไม่ถึงขนาดที่เป็นเหตุอันสมควรให้เลิกจ้าง ค่าชดเชยนี้ไม่มีขั้นไม่มีอัตราใด ๆ กำหนดไว้ เป็นเรื่องของดุลยพินิจของศาลแรงงานที่จะพิจารณาให้แก่ลูกจ้างเท่าไรก็ได้โดยพิเคราะห์ จากอายุของลูกจ้าง, อายุการทำงาน, ความเดือดร้อนของลูกจ้าง, มูลเหตุแห่งการเลิกจ้าง และ เงินค่าชดเชยอื่น ๆ ที่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับ 4. เงินอื่น ๆ ที่ลูกจ้างมีสิทธิจะได้รับ เช่น เงินทดแทนวันหยุดประจำปี, เงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ, ค่าล่วงเวลา 5. เงินโบนัส ที่ เราสมควรจะได้ เทียบเคียงกับการจ่ายโบนัสประจำปีของนายจ้างต่อลูกจ้างคนอื่น ขอให้ทุกคนมีความสุขกับการทำงานนะครับ อย่าได้มีปัญหากับนายจ้างเลย
Free TextEditor
Create Date : 11 กรกฎาคม 2551 |
Last Update : 15 กรกฎาคม 2551 13:12:10 น. |
|
4 comments
|
Counter : 4117 Pageviews. |
|
|