::: ยิ้มก่อนอ่าน ตาหวานก่อนเปิด :::
Group Blog
 
All blogs
 
★★ บ้านของเรา กับแมงกว่างของปั้น ♬

‘บ้านของเรา กับแมงกว่างของปั้น’

โดย นาริน คัมภีร์ศีล



แม่ขับรถเรียบเรื่อยไปตามถนนกว้างสะอาดเนี้ยบกริบของหมู่บ้าน ที่นอกหน้าต่างรถเห็นวิวสนามหญ้าสีเขียวสดโล่งกว้าง มีทิวเขาสล้างเป็นฉากหลังลิบ ๆ อยู่ในสายหมอก แม่หยุดรถลงจอดข้างฟุตบาธแถวนั้น พอเปิดประตูรถออกมาได้ เด็ก ๆ ก็พากันวิ่งกรูลงไปที่สนามหญ้าเขียวขจีราวกับฝูงม้าป่าถูกปล่อยให้เป็นอิสระออกจากคอก


เด็ก ๆ กางแขนออก แล้วก็หมุนตัวติ้ว ๆ ไปรอบ ๆ สนามหญ้าที่ตัดไว้เรียบกริบ สูดอากาศบริสุทธิ์เข้าเต็มปอด และพากันส่งเสียงหัวร่อเริงร่า....นัยน์ตามีประกายความสุขอยู่เต็มเปี่ยม


เจ้าหน้าที่หมู่บ้านขี่จักรยานตามหลังเรามาในอีกชั่วอึดใจ พอเอาจักรยานจอดเทียบเข้าที่ข้างทางเรียบร้อยก็ตรงมาที่แม่


“แปลงนี้ล่ะค่ะที่จะขาย....” เจ้าหน้าที่สาวบอกย้ำอีกครั้ง พลางชี้มือไปยังแปลงที่ดินไม่ไกลจากบริเวณที่เด็ก ๆ กำลังวิ่งเล่นกันอยู่


“ตารางวาละเท่าไหร่คะ!” เสียงแม่ถาม ขณะที่ในใจเต้นระริก


“ตารางวาละหมื่นสองค่ะ”


“แล้วพื้นที่มันกี่ตารางวาคะ!”


“อือม...220 ตารางวาค่ะ”


แม่รีบคำนวณตัวเลขในหัวอย่างรวดเร็ว ....220 คูณด้วย 12,000 บาท เป็นเงินเท่าไหร่ล่ะ!


“....ก็ตกประมาณ 2,640,000 บาทค่ะ”


เจ้าหน้าที่กดเครื่องคิดเลข แล้วก็ตอบออกมาราวกับเดาใจแม่ออก
แม่ทำหน้าได้นิ่งเฉยนัก ทั้ง ๆ ที่ในใจแอบร้อง ‘โอ้โห’ ซะดังลั่นอก ...ต่อให้ถูกกว่านี้อีกครึ่งนึง แม่ก็ยังไม่รู้ว่าจะเอาเงินเป็นล้านจากไหนมาซื้อ ....ขนาดแค่ค่าที่ดินอย่างเดียว ยังไม่รวมค่าสร้างบ้านเลยนะเนี่ย!


แม่วางฟอร์ม....ทำเป็นผงกหัวหงึกหงัก ราวกับกำลังใช้ความคิด


“อือม...แล้วเพื่อนบ้านเป็นยังไงบ้าง ดูเงียบ ๆ เหมือนไม่ค่อยจะมีคนอยู่เลยนะหมู่บ้านนี้...” แม่ทำทีซักฟอก


“ค่ะ....” เจ้าหน้าที่หมู่บ้านยอมรับ แต่ก็อธิบายต่อด้วยน้ำเสียงภาคภูมิ


“ส่วนมากเขาจะซื้อกันเอาไว้เป็นบ้านพักผ่อนในวันหยุดน่ะค่ะ...”


“ถ้าเด็ก ๆ มาอยู่จะเหงามั้ยเนี่ย!” แม่ทำหน้าครุ่นคิด....


ความจริงแล้ว ....แม่ชอบที่มันเงียบสงบ ไม่พลุกพล่าน สภาพแวดล้อมก็ดีเยี่ยม... เห็นได้ชัดว่า สาธารณูปโภคของหมู่บ้าน ได้รับการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี ทั้งต้นไม้ใบหญ้า สนาม และถนนหนทาง ....ที่สำคัญ...สภาพแวดล้อมอันปลอดภัยจากระบบการดูแลที่ได้มาตรฐานของหมู่บ้าน กอปรกับคุณภาพของเพื่อนบ้าน


.....คิดดูว่าเด็ก ๆ จะเป็นอย่างไรที่ได้เติบโตขึ้นในสภาพแวดล้อมอันมั่นคงและปลอดภัย แถมยังได้สูดอากาศบริสุทธิ์เป็นธรรมชาติเช่นนี้ทุกวัน ๆ ....ตกเย็น กลับจากโรงเรียน ก็ออกมาขี่จักรยานเล่นรอบ ๆ หมู่บ้านได้โดยไม่ต้องห่วงกังวลให้มากนัก ....ได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้น และตกบนฟากฟ้าคนละฝั่งทุกวัน ....เห็นเส้นขอบฟ้าโล่งกว้างสุดสายตา......


ทว่า ความฝันของแม่ก็จบลง ทันที่ที่เราพากันปิดประตูมาอยู่บนรถญี่ปุ่นคันเล็ก ๆ ซอมซ่ออย่างเก่า




แม่บอกตัวเองว่า....มันออกจะไกลไปสักหน่อยจากโรงเรียนของลูก ....แล้วมันก็ออกจะเงียบเชียบเกินไปด้วย สำหรับครอบครัวที่มีเด็ก ๆ ....อย่างที่แม่ได้ติเอาไว้กับเจ้าหน้าที่หมู่บ้าน


แต่ความจริงแล้ว...แม่รู้ดีว่า หมู่บ้านนั้น มีแต่คนมีฐานะทั้งจากในเมือง และจากกรุงเทพฯ มาซื้อไว้สำหรับเป็นบ้านพักตากอากาศในวันหยุด หรือไม่ก็จะเป็นชาวต่างชาติที่ชอบอยู่กันเงียบ ๆ เป็นส่วนตัว ไม่รบกวนเพื่อนบ้าน
และที่สำคัญอีกอย่าง....แม่คงไม่มีปัญญาหาเงินที่ไหนมาซื้อที่ดินแพงขนาดนี้ได้หรอก แม่เลยต้องหาข้ออ้างที่ไม่ดีของหมู่บ้านให้กับตัวเอง


“แม่จะย้ายไปอยู่ที่นั่นจริง ๆ เหรอ....” ปูนถามขึ้น แม่ยิ้มใส่กระจกส่องหลัง


“ลูกอยากอยู่มั้ยล่ะ....”


“ก็แล้วแต่แม่สิ...อยู่ตรงไหนก็ได้...” ลูกสาวตอบแบบไม่มีเกี่ยง ขณะที่พ่อหนุ่มน้อยตัวดีนั่งซุกตัวอยู่เงียบ ๆ ที่อีกฟากของเบาะหลัง ออกปากขึ้นมาบ้าง


“แล้วใครจะไปส่งปั้นที่โรงเรียนล่ะ!”


“ก็แม่ไง....ถามแปลก ๆ ....” แม่บอก


“สวยจังเลย....หมู่บ้านเค้า....” ปูนรำพึง


“ชอบเหรอลูก...”


“....แต่ไกลไปหน่อย....” ปูนบอกออกมาในที่สุด ทำให้แม่รีบตีขลุมสรุป


“....ใช่...แต่ไกลไปหน่อย ....อีกอย่าง ได้ยินเสียงยิงปืนมั้ย ....ไอ้ตรงที่เราไปวิ่งเล่นกันนั่นน่ะ มันใกล้ค่ายทหาร เค้าซ้อมยิงปืนกัน เกิดวันดีคืนดี ....ลูกปืนมาตกแถว ๆ หน้าบ้านจะทำยังไง.....” .....ข้ออ้างอันหลังนี่แม่เพิ่งนึกขึ้นได้


....แล้วแม่ก็แอบถอนหายใจ เมื่อลูก ๆ ไม่มีท่าทีจะสนใจเรื่องหมู่บ้านนั้นอีก...


....หมู่บ้านจัดสรร...เป็นอะไรที่ไกลเกินเอื้อมจริง ๆ สำหรับคนเดินดินกินข้าวแกง มีรายได้พอเลี้ยงตัว และไม่อยากเป็นหนี้ใครอย่างแม่ ....ขนาดว่าที่ดินเท่าแมวดิ้นตาย แบบบ้านเหมือน ๆ กันหมด แถมหลังคาแทบจะชนกัน แล้วนี่ยังไม่รวมค่าน้ำค่าไฟ กับค่าส่วนกลางของหมู่บ้านที่คิดกันตามตารางวาเลยนะนั่น!


จะหาบ้านสภาพแวดล้อมดี ๆ และปลอดภัยสำหรับเด็ก ๆ ....ต้องแลกด้วยเงินก้อนโตขนาดนั้นเชียวหรือ!





พ่อทิ้งบ้านชั้นเดียวยกใต้ถุนสูงเอาไว้ให้พวกเรา บ้านนั้นสร้างอยู่บนที่ดินรกร้างของหมู่บ้านจัดสรรแห่งหนึ่ง ซึ่งเจ้าของหมู่บ้านทิ้งไปนานแล้ว บ้านเราตั้งอยู่โดดเดี่ยวท่ามกลางที่ดินว่างเปล่ารอบ ๆ ที่ยังไม่มีใครคิดอยากจะมาสร้างบ้านเป็นเพื่อนกับเราเลยสักหลังจนแล้วจนรอด นาน ๆ เข้า ที่รอบ ๆ ก็จะกลายเป็นหญ้ารก ๆ สูง ๆ บวกกับต้นไมยราบ ทุกครั้งแม่ต้องจ้างคนสวนมาดายหญ้า เพื่อสวัสดิภาพของพวกเราเองจากไฟและงูเงี้ยวเขี้ยวขอทั้งหลาย


ตกกลางคืน....แม่มักจะสะดุ้งตื่นขึ้นกลางดึกบ่อย ๆ เวลาได้ยินเสียงอะไร แม้นจะแค่นิดหน่อยก็ตาม!


ส่วนกลางวัน....ในหน้าร้อน ก็ร้อนจนตับแทบแลบ เพราะความร้อนส่งตรงจากหลังคาลงมาตรงชั้นสองที่เราอยู่พอดี แถมตัวบ้านยังสร้างจนชิดรั้วทางฝั่งทิศใต้ ซึ่งได้รับแสงแดดตรง ๆ ในตอนกลางวัน แล้วเราก็ปลูกต้นไม้อะไรบังทางทิศนั้นไม่ได้ ความที่ตัวบ้านสร้างจนติดรั้วฝั่งนั้นนั่นแหละ...แบบว่าไม่เหลือเนื้อดินให้เลยแม้นแต่นิดเดียว แม่ก็เลยแก้ปัญหาด้วยการซื้อแสลมป์สีเข้มมาบังแดดตรงฝั่งนั้น กลายเป็นว่าเราต้องนั่ง ๆ นอน ๆ ใช้ชีวิตกันอยู่ในห้องโถงมืด ๆ ทึบ ๆ


บันไดบ้านก็สร้างผิดตำแหน่ง โดยโผล่ขึ้นมาตรงโถงกลางบ้าน กินเนื้อที่ที่ควรจะเป็นพื้นที่ใช้สอยไปเกือบหมด เหลือที่ให้วางโต๊ะเก้าอี้เขียนหนังสือกับที่วางทีวีได้แค่ชุดเดียว เราทำกันทุกอย่างบนนั้นนับตั้งแต่ ทำการบ้าน, กินข้าว, นั่งเล่น, ดูทีวี ฯลฯ ....แถมขึ้นจากบันไดบ้านมา ยังต้องผ่านระเบียงซักล้างและตากผ้าก่อน ซึ่งเวลาหน้าฝนทีไร ทั้งปูนกับปั้นจะต้องสลับกันลื่นหัวปูดหัวโนไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ส่วนเวลาหน้าร้อน แดดก็จะสะท้อนความร้อนจากพื้นกระเบื้องที่หน้าระเบียงเข้าสู่ตัวบ้าน เพิ่มความร้อนให้ตัวบ้านอีกเท่านึง


แม่เถียงกับพ่อบ่อย ๆ ตอนยังอยู่ด้วยกันว่า ให้สร้างหลังคาคลุมระเบียงเสีย หรือไม่ก็ให้กั้นระเบียงเป็นห้องไปเลย เพื่อที่เราจะได้มีพื้นที่ใช้สอยเพิ่มขึ้น แล้วก็ย้ายตำแหน่งบันไดใหม่ พ่อก็ไม่ยอม พ่อบอกว่าอยากจะเห็นท้องฟ้า.... อีกอย่างพ่อไม่อยากเสียเงินเป็นแสนเพื่อทุบบันได ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว แม่เคยไปสอบถามช่างมาหลายคน...ช่างบอกว่าไม่ถึงแสนหรอก บันไดแค่นี้ไม่กี่หมื่นเท่านั้นเอง


....แม่ก็แค่อยากทำบ้านให้มันเป็นบ้านยิ่งขึ้น ทว่าจนแล้วจนรอด พ่อก็ไม่ยอมทุบบันได แถมหลังจากนั้นพ่อก็อยู่กับเราต่ออีกไม่นาน....


แม่แอบแช่งชักหักกระดูกความชุ่ยของเจ้าของหมู่บ้านทุกครั้ง เวลาที่เราอยู่บ้านกันอย่างไม่เป็นสุขนัก รวมถึงพ่อที่ทิ้งบ้านแห่ง ‘วิบากกรรม’ เอาไว้ให้เราอยู่...ดูต่างหน้า


‘ดีกว่าคนอยู่สลัมตั้งเยอะ’


พ่อเคยพูดว่าอย่างนั้น แต่ท้ายสุด คนที่บอกว่า ‘ดีกว่าสลัม’ ก็ทนอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ไหว.....





แม่ไม่ได้พูดถึงพ่ออีก นอกจากเงินค่าเลี้ยงดูที่พ่อส่งมาให้ทุกเดือน ๆ บวกกับงานจิปาถะของแม่อีกนิดหน่อย จำพวกเย็บปักถักร้อย หรือไม่ก็รับแปลหนังสือ นอกนั้นแล้วแม่ก็พยายามทำชีวิตให้เป็นปรกติที่สุด...กับลูก ๆ ....ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง นอกจากที่ว่าพ่อไม่ได้อยู่ในบ้านที่ ‘ดีกว่าสลัม’ นี้อีกต่อไป


แม่มีเงินเก็บอยู่ก้อนนึง แต่ก็ยังไม่ได้วางแผนว่าจะใช้เงินก้อนนั้นอย่างไร นอกจากคิดว่าจะทำแต่ละวันให้ผ่านไปให้ดีที่สุดก่อน กับเก็บเงินเผื่อเอาไว้ให้ลูก ๆ ในวันข้างหน้า ....แม่ไม่ได้ทำงานประจำนานแล้ว นับแต่มีลูก ตอนที่พ่อไปใหม่ ๆ แม่ก็คิดอยู่ว่า จะนั่งงอมืองอเท้าแบบนี้อีกต่อไปไม่ได้แล้ว แม่คิดจะเปิดร้านโน่นนี่ หรือไม่ก็หางานทำ แต่เพราะเรามีกันแค่สามคนจริง ๆ ไม่มีญาติพี่น้องใครอื่นในเมืองนี้ ที่แม่พอจะเอาลูก ๆ ไปฝากฝังให้ช่วยดูแลแทนได้ แม่ก็เลยต้องคิดหนัก ว่าจะเลือกหาเงินเพิ่ม หรือมีเวลาให้ลูกเหมือนเดิมดี .....



ครั้งหนึ่ง....ขโมยขึ้นบ้าน ได้ข้าวของไปหลายอย่าง ....แม่กลัว... แต่ก็ต้องทำเป็นว่า ‘ไม่กลัว’ให้ลูกเห็น ในเมื่อแม่เป็นถึงหัวหน้าครอบครัวแล้ว ทว่า ลึก ๆ แล้ว มันทำให้แม่ยิ่งคิดหนัก ....แม่นึกถึงความเปลี่ยวของบ้าน ....ความไม่สะดวกสบายต่าง ๆ นานาในบ้านที่เราอยู่ กับนึกถึงบ้านที่เป็น ‘บ้าน’ จริง ๆ ที่จะให้ความอบอุ่นปลอดภัยกับเราได้ ....แถมปูนก็โตเป็นสาวขึ้นเรื่อย ๆ ....


ขณะที่ปั้นนั้น ....ยิ่งโตก็ยิ่งซน...อยู่ไม่สุข ประสาเด็กผู้ชาย เล่นอะไรก็ไม่เป็นที่เป็นทาง ....แม่นึกฝันอยากจะมีบ้าน พร้อมสนามหญ้ากว้าง ๆ เอาไว้ให้ปั้นได้วิ่งเล่น.....





วันหนึ่ง ปั้นจับตัวด้วงกว่างมาได้จากพงหญ้ารก ๆ ที่ข้างบ้าน ปั้นร้องของอยากจะเลี้ยงมันเอาไว้บนบ้าน แม่จึงหากล่องรองเท้าเก่า ๆ มาให้ พร้อมกับชานอ้อย สำหรับเป็นอาหารของมัน ปั้นจะเฝ้ามองกว่างที่ชอบดูดน้ำอ้อยนิ่ง ๆ อยู่ในกล่องได้ครั้งละนาน ๆ.....


กลับจากโรงเรียนเมื่อไร ปั้นก็จะมาเปิดฝากล่องดูด้วงกว่างก่อนอื่นใด แม่จะเป็นคนคอยเปลี่ยนอาหารให้มัน เมื่อเห็นว่าของเก่าเริ่มจะเน่าหรือเหม็นแล้ว เวียนกันไปทั้งกล้วย, อ้อย, หรือมะละกอ ตามแต่ที่แม่จะหาได้ มันจะทำเสียงขู่ฟ่อ ๆ ทุกครั้งที่เราไปโดนตัวมัน ครั้งนึง ปั้นวิ่งมาบอกแม่ว่าถูกเจ้ากว่างกัด แม่มองดูไม่เห็นแผล แต่ก็บอกปั้นว่าคราวหลังต้องระวัง.....เพราะสัตว์ทุกตัวต่างก็มีสัญชาตญาณของการป้องกันตัว


แรก ๆ ปูนก็ตื่นเต้นกับกว่างตัวผู้ เขาโง้งใหญ่สวยงามของปั้น ....แม่บอกว่า..แปลกที่สัตว์ทุกอย่าง...ตัวผู้มักจะสวยกว่าตัวเมีย อย่าง...กวาง, ช้าง หรือว่าแมงกว่างนี่ก็เหอะ ...ที่ตัวผู้มักจะมีงา หรือเขาโค้งขึ้นมาอย่างสวยสง่า หรือว่านกยูง ที่ตัวผู้จะมีขนหางสวยหรู เอาไว้รำแพนอวดตัวเมีย หรือจะเป็นแผงขนที่คอของเจ้าสิงโตตัวผู้นั่นอีก ....เว้นก็แต่คน...ที่ผู้หญิงจะสวยกว่าผู้ชาย หรือมันอาจจะเป็นเพียงแค่ความเชื่อของคนเราเองก็ได้ ....อันหลังนี้ แม่บอกของแม่เองอย่างนั้น!


หลัง ๆ พอปูนมาเปิดดูกล่อง เห็นเจ้ากว่างท่าทางซึมเศร้าเหงาหงอย ปูนก็เริ่มเดือดร้อน....


“แม่ดูสิ...มันชักจะไม่มีแรงแล้วนะ!” ปูนร้องโวยขึ้น


“หือ....” แม่ยื่นหน้าไปดูในกล่องบ้าง เห็นเจ้ากว่างของปั้นนอนนิ่ง ๆ เซื่อง ๆ ...แต่กว่างก็เป็นของมันอย่างนี้อยู่แล้วไม่ใช่หรือ ....ต้วมเตี้ยม ชักช้า ชอบเกาะอยู่กับผลไม้ กินไปเงียบ ๆ นิ่ง ๆ ของมันอย่างนั้น นอกจากถ้าไม่เผลอปล่อยให้มันออกมาบินเล่นที่นอกกล่องเสียก่อน


“หนูจะเอามันไปปล่อย...” ปูนทำท่าจะจับเจ้ากว่างออกจากกล่อง


“ไม่ได้นะ...ลูกต้องถามความสมัครใจของน้องก่อน” แม่บอก


“โธ่! แม่....ถ้าบอกน้อง ...น้องก็คงไม่ยอมปล่อยท่าเดียว ....ไม่รู้ละ ปูนจะเอาไปปล่อย...”


“เดี๋ยว...ปูน... แม่บอกแล้วไง ให้ถามน้องก่อน”


ปูนโมโห กระแทกฝากล่องปิดลงไปอย่างเก่า...


ตกเย็น พอปั้นกลับมาจากเล่นซนที่บ้านเพื่อน ปั้นก็ขึ้นมาอาบน้ำ กินข้าว แล้วก็นอนดูทีวี.สบายใจเฉิบ ลืมเจ้ากว่าง...สัตว์เลี้ยงแสนรักไปสนิทใจ มานึกได้อีกที เมื่อพี่สาวร้องโวยวายขึ้น


“ไอ้ปั้น...เอากว่างไปปล่อยได้แล้วแหละ มันจะตายอยู่แล้ว...”


ปั้นโผลุกขึ้นจากกองหมอนอิง มองไปที่พี่สาวที่กำลังหยิบตัวด้วงออกมาจากกล่อง


“ไม่เอา...นั่นมันของปั้นนะ” หนุ่มน้อยกระโจนไปที่พี่สาว


“เอามันมาเลี้ยงหยั่งงี้...ทรมานสัตว์รู้มั้ย!”


“อ้าว!....ก็ปั้นจับมันได้นิ่” หนุ่มน้อยเริ่มปากแบะ ...ทำท่าจะร้องไห้ออกมา


“ไม่ได้....ต้องปล่อยมันแล้วรู้มั้ย ....มันจะตายอยู่แล้ว เอามันมาขังแบบนี้ สงสารมัน.....” ปูนปกาศิตเสียงดัง คราวนี้ ปั้นร้องไห้โฮเสียงดังแข่งกันกับเสียงตะโกนโหวกเหวกของพี่สาว ซึ่งแกล้งด้วยการชูมือที่จับด้วงไว้ขึ้นไปสูง ๆ ทำยังไงปั้นก็กระโดดเอื้อมไม่ถึงพี่สาวซึ่งนอกจากจะโตกว่ามากแล้ว ยังสูงเอา ๆ ด้วยช่วงนี้


“ไม่อาว....มันของปั้นอ่า...มันของปั้น...” หนุ่มน้อยร้องซ้ำ ๆ แม่สาวเท้าพรวด ๆ ตรงมายังสองคนพี่น้อง


“ปูน....เอากว่างมาก่อน ให้น้องเขาเต็มใจปล่อยเองได้มั้ย ไม่ใช่ไปบังคับกันแบบนั้น...” แม่บอก


“แล้วมันจะเต็มใจเหรอแม่...กว่ามันจะยอมปล่อยเอง กว่างมันคงตายไปแล้วมั้ง....”


“ปูนอย่าทำแบบนี้ได้มั้ย ...แม่ไม่ชอบ มาฝืนใจคนอื่น...”


“โธ่! มันจะตายอยู่แล้ว ไม่เห็นหรือไง วัน ๆ อยู่แต่ในกล่อง ไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน...” ปูนทำท่าจะร้องไห้ออกมามั่ง แม่เริ่มจะทำอะไรไม่ถูก


“....มันก็อยากเป็นอิสระ อยู่ตามธรรมชาติของมันเหมือนกันนะ ไม่ใช่จับมันมาขังแบบนี้....”


“ก็ขอเวลาน้องหน่อยสิ ....น้องเขาก็เลี้ยงของเขามา ....ให้น้องได้ตัดสินใจเองเหมือนกัน ไม่ใช่มาบังคับกันปาว ๆ แบบนี้...” แม่ต้องตะโกนแข่งกับเสียงร้องของทั้งปูน กับปั้น


ปูนวางแมงกว่างลงในกล่องอย่างเก่า แล้วก็เดินกระแทกเท้าเข้าไปในห้อง ปิดประตูดังปัง!





แม่เห็นป้ายหมู่บ้านจัดสรรแห่งใหม่ ขึ้นตรงทางผ่านจะกลับบ้านไว้นานแล้ว วันนั้น แม่ไปรับเด็ก ๆ กลับจากโรงเรียนเร็วกว่าที่เคย ...เลยได้ฤกษ์ เลี้ยวเข้าไปแวะดูหมู่บ้านใหม่นั้นเสียที


ปั้นวิ่งพรวดพราดตามแม่เข้าไปในสำนักงานหมู่บ้าน ที่ติดแอร์เย็นฉ่ำ พอเห็นโถใส่ลูกอมที่มีไว้แจกลูกค้า ก็กระโจนเข้าใส่ยิ่งกว่าเจอขุมทรัพย์เสียอีก ปั้นหายออกไปจากห้องสำนักงานครู่หนึ่ง ก็กลับเข้ามาใหม่พร้อมกับปูน...พี่สาว ที่ตอนแรกทำหน้าเบื่อโลก ไม่อยากลงจากรถมาแวะดูบ้านที่โน่นที่นี่กับแม่อีก ดูราวกับว่าชั่วเวลาแค่ข้ามคืน เจ้าหล่อนจะกลายเป็นสาวน้อย ที่ชักจะเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น จึงคร้านจะตามแม่ไปไหนต่อไหนอีก
ปั้นไปบอกปูนว่า ในสำนักงานมีลูกอมเยอะแยะ นั่นแหละ! ปูนถึงยอมลงมาจากรถ ...เป็นอย่างเดียว...อย่างเดิม..... ที่ทำให้รู้สึกว่าเจ้าหล่อนยังเป็นเหมือนเด็กเล็ก ๆ อยู่ ....สองคนพี่น้อง แย่งกันคว้าลูกอมในโถ ตุนใส่ลงกระเป๋ากันใหญ่ ขณะที่แม่ส่งเสียงปรามให้รู้


เจ้าหน้าที่หนุ่มคนหนึ่ง โผล่ออกมาจากด้านหลังออฟฟิศ พอเห็นหน้าแม่ ต่างคนต่างก็ชะงักกันไปครู่หนึ่ง


“เอ่อ...” แม่อึ้งไปแวบหนึ่งเหมือนกัน แต่แล้วก็ฉีกยิ้มออกมา


“มาดูบ้านอ่ะค่ะ” แม่บอก


“ครับ” เจ้าหน้าที่คนนั้นยิ้มแบบไม่ค่อยเต็มปากนัก


“แหม! ขึ้นโครงการใหม่ตั้งนานแล้ว เพิ่งมีเวลาแวะมาดูนี่ละค่ะ ไม่ทราบว่า คนจองไปเยอะรึยัง!” แม่ถาม


“ก็....พอสมควร” เสียงอีกฝ่ายดูไม่ค่อยจะกระตือรือร้นนัก


“ไม่ทราบว่ามีแผนผังอะไรให้ดูมั้ยคะ?” พอเอ่ยปากขอ เจ้าหน้าที่หนุ่มถึงได้ลุกไปหาโบรชัวร์มาให้


แม่พลิกดูโบรชัวร์ไปมาครู่หนึ่ง ก็เอ่ยถามขึ้นมาใหม่


“มีแปลงไหนว่างบ้างคะ!”


“เอิ่ม....ชอบแปลงไหนล่ะครับ ....บอกมา แล้วผมจะบอกว่ายังว่างอยู่รึเปล่า ดีกว่า...”


แม่สะดุดกึก แต่ก็ยังคงทำหน้านิ่ง ๆ เอาไว้อย่างคนมีมาด พลางก้มลงสำรวจดูในแผนผัง แล้วก็ชี้...


“ขายไปหมดแล้วครับ....แถบนี้...” เจ้าหน้าที่หนุ่มบอก


“ตรงนี้ล่ะคะ” แม่ชี้ใหม่


“ตรงนี้ก็ขายไปหมดแล้วเหมือนกัน”


“ว้า....แปลงดี ๆ มักจะขายหมดก่อน...ที่เหลือก็เหลือแต่แปลงเล็ก ๆ”


“....แล้วตั้งงบประมาณสำหรับบ้านเอาไว้เท่าไหร่ล่ะครับ?”


เจอคำถามนี้ แม่ก็สะดุดกึกอีก....แอบกลืนน้ำลายลงคอ แต่ก็ยังทำหน้านิ่งเฉยเข้าไว้ ไม่ให้มีหลุดได้


“ไอ้แปลงใหญ่ ๆ ส่วนมากก็ 5 ล้านอัพ...” เสียงเจ้าหน้าที่หนุ่มว่าต่ออย่างเยือกเย็น ขณะที่แม่รู้สึกว่า ตานั่นกำลังจับตาดูสีหน้าแม่อยู่แบบไม่คลาด แม่ก็เลยยิ่งต้องวางสีหน้าให้สงบเยือกเย็นไม่แพ้ตานั่น


“เอ่อ....ความจริงก็ไม่ถึง 5 ล้าน...” ....อยากจะบอกไปว่า ไม่มีเลยมากกว่า แต่แม่ก็พูดออกไปว่า


“สักประมาณ 3-4 ล้าน.....”


“3-4 ล้าน ก็จะมีแต่ที่แปลงเล็ก ๆ...” น้ำเสียงเจ้าหน้าที่หนุ่มดูเย็นชาในความรู้สึกของแม่ แต่ยังคงรักษามารยาทเอาไว้...คงเพราะถูกอบรมมาอย่างดีจากองค์กรใหญ่โต ภาพพจน์เยี่ยมของเขาเองละกระมัง!


“ว้า...แปลงเล็ก ๆ ก็ไม่ชอบ ....ส่วนแปลงใหญ่ ๆ เราก็คงสู้ราคาไม่ไหว” แม่ทำเสียงบ่น


“ครับ”


“........”



แม่ผลักประตูสำนักงานหมู่บ้านออกมาอีกครั้ง พอพุ่งรถออกไปจากโครงการหมู่บ้านนั้นได้ แม่ก็ร้องเสียงเปรย ๆ ขึ้นไปที่หลังรถ


“เจ้าหน้าที่หมู่บ้านนี่ เหมือนรู้ไต๋แม่....”


“รู้ไต๋ยังไงเหรอแม่...” ปูนร้องถามขึ้น ขณะที่ในปากมีลูกอมอยู่


“ก็โครงการก่อนหน้านี้ของเค้า ....เราแวะไปดูตั้งหลายที จำไม่ได้เหรอ...”


“จำไม่ได้หรอก...” ปูนส่ายหัว


“...ก็เป็นเจ้าหน้าที่คนนี้นี่แหละ...ที่แม่คุยด้วย แม่ยังแวะไปดูเองอีกตั้งหลายครั้ง ซักโน่นถามนี่เขาตั้งหลายอย่าง ...ให้ช่วยขับพาไปดูบ้านในโครงการด้วย ...แล้วท้ายสุดก็ไม่ได้ซื้อสักหลัง...” แม่ย้อนความหลังให้ฟัง


“พอมาโครงการนี้ ไม่คิดว่าจะเจอตานี่อีก... ดูซิ...ท่าทาง..เหมือนรู้ว่าแม่คงไม่ซื้ออีกงั้นแหละ!”


“ก็แม่ไม่ซื้อสักทีจริง ๆ นิ่” ปูนว่าขึ้น


“ก็....” แม่พูดต่อไม่ออก


“เฮ้อ....เมื่อไหร่แม่จะเลิกแวะดูหมู่บ้านซักทีน้า ....ดูไปก็ไม่ได้ซื้อ!” ปูนร้องออกมาในที่สุด




แม่เปิดฝากล่องที่ใส่กว่างของปั้นออกดู ....กว่างตัวน้อยสีดำมะเมื่อมเป็นมัน เกาะสงบนิ่งอยู่บนกล้วยน้ำว้าที่ดำช้ำไปหมดแล้ว ....มันเริ่มส่งกลิ่นเหม็นบูดออกมา มดหลายตัวกำลังไต่ขึ้นลงบนกล่อง แม่โยนกล้วยออกไปที่พุ่มไม้นอกระเบียง แล้วกลับเข้าไปหาผลไม้อย่างใหม่ให้มันในครัว วันนี้ไม่มีกล้วย ...แม่เลยหาอะไรที่มันพอจะกินได้บ้าง มีมะละกอเหลืออยู่ครึ่งลูกในตู้เย็น แม่จึงเอามาหั่นแบ่งให้เจ้ากว่างผู้แสนนิ่งเฉย


มะละกอสีส้มเจิดจ้าตัดกับปีกสีดำแข็งของมัน ตอนที่แม่จับเจ้ากว่างลงในกล่องอย่างเก่า มันยังคงสงบนิ่งอยู่เช่นนั้น ....แม่ชักสงสัยแบบที่ปูนพูดขึ้นมาเสียแล้วว่ามันจะเบื่อบ้างไหมหนอ วัน ๆ อยู่แต่ในกล่อง ไม่ได้ไปไหนเอาซะเลย ....ความจริง ปั้นเคยบอกว่าจะพาเจ้ากว่างไปเดินเล่นนอกบ้านอยู่เหมือนกัน แม่ออกไอเดียว่าให้เอาเชือกร้อยที่เขาของมัน กันมันบินหนี เหมือนเวลาที่เราจูงหมาไปเดิน ไม่รู้ว่าปั้นทำอย่างไรบ้าง เพราะแม่มัวแต่ยุ่งอยู่ในครัว...ความจริง ก็แค่ซอกเล็ก ๆ ที่กันเอาไว้ใช้เป็นที่เตรียมอาหารบนบ้านชั้นสองของเราเท่านั้นแหละ!


วันนั้น พอปั้นกลับจากโรงเรียน แม่ก็เรียกปั้นมาดูเจ้ากว่าง


“ปั้น....พักหลังนี้ ไม่เห็นได้สนใจเจ้ากว่างเหมือนตอนแรกเลยนะ” แม่บอก


“ก็....ปั้นลืมไปนิ่ ....การบ้านปั้นเยอะแยะ” หนุ่มน้อยอ้าง


“ถ้างั้น แม่ว่า...เราปล่อยมันไปดีมั้ย!”


หนุ่มน้อยชักสีหน้าขึ้นมานิดนึง “ปั้นอยากจะเลี้ยงมันนิ่”


“แต่แม่ว่า สงสารมันอ่ะ...มันคงเบื่อแล้วล่ะ อยู่แต่ในกล่อง วัน ๆ ไม่ได้ไปไหนเลย ....สัตว์พวกเนี้ย มันก็ต้องการอิสระ อยู่ตามธรรมชาติของมัน เหมือนคนเรานี่แหละ...”


“ง่า....”


“ลองคิดดู ถ้าใครจับปั้นไปขังไว้ที่ไหนนาน ๆ ปั้นจะเบื่อมั้ย! ....ดูสิ...ท่าทางมันไม่ค่อยมีแรงแล้วจริง ๆ ด้วย”


หนุ่มน้อยเริ่มมีสีหน้าอ่อนลง แต่ยังคงลังเลอยู่ แม่เลยพูดต่อ


“เอาไว้...ถ้าปั้นเจอด้วงกว่างอีก แม่สัญญาว่าจะให้ปั้นจับมันมาเลี้ยงดูได้อีก แต่เลี้ยงไปพักนึงแล้ว ก็ต้องปล่อยมันให้อยู่ตามธรรมชาติของมันอย่างเก่าอีกนั่นแหละ ไม่อย่างนั้น มันก็จะตาย ....กลายเป็นว่าเราจับมันมาทรมาน....”


ปั้นไม่ค่อยเต็มใจนัก แต่ท่าทางเห็นด้วยว่า ตัวเองเริ่มไม่ค่อยได้ดูแลมันเหมือนตอนที่จับมันมาได้ใหม่ ๆ ....ปั้นเริ่มสนใจมันน้อยลงแล้ว...


เจ้าด้วงกว่างตัวน้อยของปั้น ถูกปล่อยเอาไว้แถว ๆ โคนต้นมะพร้าว ใกล้กับพงหญ้ารก ๆ ข้างบ้านอย่างเก่า วันดีคืนดี ปั้นหวังว่ามันจะเดินกลับมาหาปั้นอีก


....ปั้นคอยถามแม่อยู่บ่อย ๆ ว่า อีกนานแค่ไหน มันถึงจะคลานต้วมเตี้ยม ๆ กลับมาหาปั้น ....แม่บอกว่า... ‘บางที...มันอาจจะบินไปไกลเลยก็ได้ ....ถ้าเกิดว่ามันไม่ได้เดินต้วมเตี้ยม ๆ กลับมาหาปั้นอีก....’





***ตีพิมพ์ใน 'เนชั่นสุดสัปดาห์' ฉบับวันที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 และฉบับวันที่ 7 มีนาคม พ.ศ.2551




Create Date : 08 กรกฎาคม 2551
Last Update : 9 กรกฎาคม 2551 0:27:20 น. 0 comments
Counter : 2740 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ส้มเจื๊อง
Location :
เชียงใหม่ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




All you need is Love.
Made in Chiangmai.
หลังไมค์ถึงนาทวริน

Johaan Pachelbel cAnoN iN D
สกาววินฯ...ปกแรก Limited Edition
...พิมพ์นาม(สกุล)ปากกาผิดนิดนึง
You aRe whAt you rEad.
ออกจากขวดโหล
เรื่องที่สอง ใช้นามปากกา ‘นาทวริน’ ค่ะ
สำนักพิมพ์เพื่อนดี
งานที่มีการเขียนลงบน WEB SITE แล้วส่งผ่านอินเตอร์เนตนั้นถือว่าเป็น สิ่งเขียนซึ่งเป็นประเภทหนึ่งของงานวรรณกรรม ดังนั้นย่อมได้รับความคุ้มครองตามพ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 (มาตรา 15) หากผู้ใดต้องการทำซ้ำหรือดัดแปลงงานดังกล่าวต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์ก่อน มิฉะนั้นจะเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ (มาตรา 27)
การดัดแปลงงานจากอินเตอร์เนตเป็นภาษาไทย จึงต้องขออนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์ อย่างไรก็ตาม การคุ้มครองลิขสิทธิ์เป็นการคุ้มครองอัตโนมัติ เจ้าของลิขสิทธิ์หรือผู้สร้างสรรค์ไม่จำเป็นต้องจดทะเบียนเพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิตามกฎหมายลิขสิทธิ์
******
ที่มาของข้อความ:เว็บไซต์กรมทรัพย์สินทางปัญญา
Friends' blogs
[Add ส้มเจื๊อง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.