::: ยิ้มก่อนอ่าน ตาหวานก่อนเปิด :::
Group Blog
 
All blogs
 
~*~*~คลาสโยคะ กับหนังเกาหลีเรื่องนั้น~*~*~

*คลาสโยคะ กับหนังเกาหลีเรื่องนั้น*


โดย นาริน คัมภีร์ศีล





ทุกวันในคลาสเรียนโยคะ ฉันจะมีที่ประจำของตัวเอง เป็นที่ที่ดีที่สุดสำหรับฉัน....อยู่ตรงกลางห้อง และมองตรงออกไปที่นอกหน้าต่าง จะเห็นยอดเจดีย์ของวัดแห่งหนึ่งเหลืองอร่ามห่างออกไป ทำให้ฉันรู้สึกสงบ และมีสมาธิทุกครั้งที่เล่น


วันหนึ่ง มีนักเรียนโยคะคนใหม่เข้ามา และเธอก็เข้ามาแทนที่ประจำของฉัน วันนั้น ฉันจึงต้องหามุมเหมาะ ๆ ใหม่ แต่ความรู้สึกของฉันเองก็คือ ยังชอบที่ประจำที่เดิมที่สุด มันเป็นมุมที่ดีที่สุดสำหรับตัวเอง ก็เลยรู้สึกหงุดหงิดที่ถูกแย่งที่ที่ดีที่สุดตรงนั้นไป


หลังจากคลาสโยคะวันนั้น ฉันกลับมานั่งคิดว่า...หรือจะเลิกเรียนที่นี่ ไปหาที่เรียนใหม่ ...เริ่มต้นที่ใหม่อาจจะดีกว่า ได้เลือกที่ประจำใหม่ซึ่งอาจจะดีกว่าเดิม ....เหมือนทุก ๆ ครั้ง เวลาทำอะไรแล้วรู้สึกไม่ได้ดีดังใจ หรือเมื่อรู้สึกว่า มีคนเก่งกว่า เขาทำได้ดีกว่า ฉันก็จะล่าถอยออกมา แล้วก็ยอมอยู่ในมุมข้างหลังสุดเงียบ ๆ มองดูคนอื่นก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยความสำเร็จต่อไป ขณะที่ฉันเหนื่อยเกินกว่าจะออกไปฟาดฟันกับใครอื่น ๆ เขา


แต่พอกลับมาคิดอีกที ....คลาสเรียนโยคะเล็ก ๆ แห่งนี้ อาจจะสอนอะไรอย่างอื่นฉันอีกก็ได้ นอกเหนือจากสอนเรื่องโยคะ




ฉันอาจจะมาให้เช้าขึ้นกว่าเก่า เพื่อจะได้จับจองที่ที่ดีที่สุดของตัวเองกลับคืนมา แล้วก็มีความสุขกับการเล่นโยคะต่อไป ขณะเดียวกัน ฉันก็คงรู้สึกเหนื่อย และกดดันที่ต้องแข่งขันกับเขาว่าใครจะมาเช้ากว่ากัน เพื่อให้ได้ที่ที่ดีตรงนั้น


ถ้าวันไหน ไม่ได้ที่ตรงนั้น ฉันคงหงุดหงิด แล้วก็เล่นไม่ออกอีกเหมือนเดิมล่ะหรือ!


หรือว่า ฉันจะยอมปรับตัวปรับใจ ....แค่ยอมรับว่า บางครั้ง ชีวิตมันก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ในที่ที่ดีที่สุดเสมอไป แต่เราก็สามารถสร้างสิ่งที่ดี ๆ ได้จากข้างในตัวเราเอง เราลองเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง มองจากข้างในตัวเองออกมา แล้วก็สร้างภายในเราให้ดี เพื่อรองรับกับศักยภาพของเราเอง มิใช่รอให้สภาพแวดล้อมภายนอก เป็นตัวกำหนดคุณค่าของเรา


หากบางวันที่ฉันไปช้า แล้วถูกแย่งพื้นที่ที่ดีที่สุดไป ฉันก็สามารถเล่นโยคะต่อไปได้ดี ไม่ว่าอยู่ตรงที่ไหน ๆ ขอให้ใจฉันเป็นใหญ่กว่าที่ตั้งภายนอก ขอให้เริ่มจากข้างในใจเรา


เหมือนกับทุก ๆ เรื่องในชีวิตของฉันเอง เวลาที่เราคาดหวังอะไรมากเกินไป ถ้าหากไม่เป็นดังหวัง เรามักท้อแท้ บางครั้งเป็นหนักมาก รับไม่ได้ ก็เลิกทำสิ่งนั้นไปเลย ทั้ง ๆ ที่บางที มันก็แค่...ถ้าเรายอมเผื่อใจ ให้แก่สิ่งที่ไม่อาจคาดเดาได้ ...ความไม่แน่นอนทั้งหลายทั้งปวง ทว่าเราก็ยังคงตั้งมั่นทำในสิ่งที่เรารักต่อไป โดยไม่หวังผลจากคนอื่นเต็มร้อย ทำไมเราไม่คิดว่า เราได้ทำอย่างที่เราต้องการแล้วอย่างไรเล่า และเราก็จะทำให้ดีที่สุดในหนทางของเรา ...คนอื่นเป็นเพียงปัจจัยภายนอกเท่านั้น


เหมือนอย่างการที่ฉันพยายามเป็นนักเขียนให้ได้ วาดภาพไว้สวยหรูดูดีว่า ตัวเองน่าจะดำรงชีพอยู่ได้ด้วยการเขียน ...ก็แค่เขียน แล้วก็ส่งเรื่องไปให้สำนักพิมพ์ เขาตีพิมพ์ให้ปีละสักสองเรื่อง เงินทองก็มากองอยู่ตรงหน้า เอาเข้าจริง ๆ ทุกอย่างยังมีปัจจัยเงื่อนไขอื่น ๆ อีก ที่ฉันควบคุมไม่ได้...สำนักพิมพ์ไม่ได้พิมพ์เรื่องให้ปีละสองเรื่องอย่างที่หวัง เพราะเราไม่ใช่นักเขียนเบสต์เซลเลอร์ ที่เขาจะขยันตีพิมพ์ให้, ค่าเรื่องกว่าจะได้สักทีก็ทวงแล้วทวงอีก จนข้ามไปอีกปีโน่น...


เหนื่อยแทบหมดแรง...พลังงานสูญเสียไปกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง!!


แล้วฉันจะละทิ้งความฝัน เลิกเขียนหนังสือไปเลยดีมั้ย! แต่มานั่งคิดว่า ตัวเองถอยไม่ได้แล้ว....เขียนไปอย่างที่ตัวเองอยากเขียน เพราะว่าอะไร...ก็เพราะตัวเองมีความสุขที่จะได้นั่งลง แล้วก็สร้างโลกส่วนตัว ซึ่งทุกอย่าง ฉันสามารถบรรจงสรรค์สร้างให้เป็นอย่างไรก็ได้ อย่างที่ใจหวัง...มิใช่หรือ!


แต่อย่าไปหวังว่าจะอยู่ได้ด้วยอาชีพนี้...สำหรับตัวเองตอนนี้น่ะนะ ขอแค่เป็นพื้นที่ส่วนตัวเล็ก ๆ ....มีคนไม่น้อยที่ต้องปล่อยให้ไฟในการสร้างสรรค์ของตัวมอดดับ เพียงเพราะยอมให้กฎเกณฑ์ภายนอก เช่น สภาพแวดล้อม (เหมือนอย่างคลาสโยคะของฉัน), คำสรรเสริญเยินยอหรือจะเป็นคำวิจารณ์ติเตียนจากผู้อื่น หรือว่าจะเป็นความจำเป็นในการดำรงชีพ (อันนี้ก็จำเป็น...แต่เราต้องมีวิธีการรอมชอม หรือหาสัดส่วนที่เหมาะสมสำหรับตัวเอง) ฯลฯ มาเป็นตัวกำหนดตัวเรา มากกว่าจะยอมทำตามไฟในหัวใจ




ฉันเองก็เคยอยากจะยอมแพ้หลายครั้งเหมือนกัน ล่าสุดเมื่อเข้าไปโพสต์เรื่องในเว็บไซต์แห่งหนึ่ง ปรากฎว่าไม่มีคนอ่านเลย! พูดอย่างแย่ที่สุดอ่ะนะ...ความจริงก็พอจะมีคนโพสต์เข้ามาแสดงความคิดเห็นบ้าง ครั้งละ 2-3 คน บางวันแย่หน่อยในความรู้สึกก็คือ ไม่มีใครเลย ...อาจจะมีคนคลิกเข้ามาอ่านบ้าง แต่ไม่ได้ติดใจมากมาย ถึงขนาดมาโพสต์แสดงความคิดเห็น


....แล้วความคิดตัวเองก็ปรุงแต่งไปต่าง ๆ นานา หรือว่าเราเขียนห่วยวะ หรือว่าพล็อตเรื่องไม่สนุก ฝีมือไม่ถึง...


จะเลิกเขียนเลยดีมั้ย แล้วหันไปทำอย่างอื่นซะ เก็บอาชีพเขียนหนังสือใส่ลิ้นชัก แล้วก็ล็อกกุญแจเอาไว้ ไม่ต้องไปสนกับมันอีกเลย ไม่มีวันเป็นไปได้ ไปหากินอย่างอื่นซะเหอะ เธอเอาดีทางนี้ไม่ได้หรอก เธอต้องแข่งกับคนอื่น ๆ มันเหนื่อยเหลือเกิน นักเขียนยั้วเยี้ยเยอะแยะเต็มประเทศไปหมด เด็กรุ่นใหม่เก่ง ๆ เยอะแยะ กำลังจะวิ่งแซงหน้าเธอ เธอไม่มีวันเก่งสู้พวกเขาได้


.....แล้วก็เหมือนเรื่องอื่น ๆ ที่ฉันจะล่าถอย ยอมแพ้...ฉากไปอยู่ข้างหลังสุด แล้วก็มองคนอื่น ๆ ก้าวเดินต่อไปข้างหน้า ขณะที่ค่อย ๆ ปล่อยให้ไฟในตัวเองมอดดับไป


แต่ถ้าฉันคิดว่า ฉันอยากเขียน...เพราะว่าฉันอยากจะเขียน พอนั่งลงบนโต๊ะ ข้างหน้าเป็นกระดาษกับปากกา ปล่อยใจให้ว่างเปล่า แล้วก็เพลิดเพลินไปกับตัวหนังสือที่รังสรรค์จินตนาการขึ้นเองตรงหน้า ปราศจากความกลัว ความกดดัน การแก่งแย่งแข่งขัน

.....................


วันหยุดวันหนึ่ง บังเอิญโปรแกรมหนังที่อยากดูยังไม่เข้า ฉันเลยเข้าไปดูหนังเกาหลีอีกเรื่องหนึ่งแทน หนังมีเค้าโครงเรื่องมาจากการ์ตูนญี่ปุ่นยอดนิยม คิดว่าคงพอดูได้ ขำ ๆ อย่างน้อยก็ช่วยผ่อนคลายอารมณ์ในวันหยุดได้บ้างละน่า


ทว่าผิดคาด...หนังที่เอามาจากการ์ตูนญี่ปุ่นเนี่ยนะ ที่สอนปรัชญาชีวิตเล็ก ๆ ให้กับฉัน ...ทำให้รู้สึกตัวเองโง่ไปเลยด้วยซ้ำว่าเคยมองข้ามคนเขียนการ์ตูนสำหรับเด็ก แท้จริงแล้ว บางเรื่องยังคิดอะไรได้ลึกซึ้งกว่าคนเขียนนิยายที่ใช้ภาษาสละสลวยเลิศหรูเสียอีก (อันนี้ก็ต้องยกความดีความชอบให้คนทำหนังด้วยที่ถ่ายทอดออกมาได้ดีเช่นกัน)


หนังเป็นเรื่องของผู้หญิงตัวอ้วน ๆ หน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่คนหนึ่ง ทว่ามีพรสวรรค์ในเรื่องของการร้องเพลง และด้วยเสียงอันไพเราะ ทำให้เธอมีอาชีพเป็นนักร้องเงา...ร้องเพลงอยู่เบื้องหลังนักร้องชื่อดังคนหนึ่ง ซึ่งแค่ทำท่าลิปซิงค์ตามอยู่หน้าเวที นางเอกของเรายังมีอาชีพไซด์ไลน์เป็นสาว Sexphone อีกด้วย ให้ความสุขกับผู้อื่นได้ก็ด้วยเสียงของเธอ


ทว่าชีวิตของเธอดูเหมือนจะอยู่ได้ก็แค่ข้างหลังผู้อื่น ด้วยภาพลักษณ์อันอัปลักษณ์ของตน มีเพียงสิ่งเดียวที่ช่วยหล่อเลี้ยงความฝันของเธอตลอดมา นั่นก็คือพระเอก...โปรดิวเซอร์หนุ่มรูปหล่อของเธอ ที่เธอแอบหลงรักเขาอยู่ข้างเดียว และเขาก็แสดงท่าทีเป็นกันเองกับเธอเสมอมาเช่นกัน


ถึงจะปลอบใจตัวเองว่าที่เขาดีกับเธอ ก็เพราะเรื่องงานล้วน ๆ เท่านั้น แต่เมื่อแอบได้ยินคำพูดสบประมาทจากปากของเขา ในงานเลี้ยงวันเกิดของเขาเองว่า ทุกอย่างที่เขาทำดีกับเธอก็เพียงเพื่อใช้ประโยชน์จากเธอเท่านั้น เธอก็รู้สึกผิดหวังอย่างแรง จนคิดจะฆ่าตัวตาย แต่ก็เปลี่ยนใจ เมื่อบังเอิญอีกเหมือนกันที่ลูกค้า Sexphone ของเธอคนหนึ่งเป็นหมอศัลยกรรมพลาสติก...และนั่นก็คือคำตอบสุดท้ายของเธอ ที่จะก้าวเดินไปอยู่ข้างหน้าโดยไม่ต้องอายใครเขาอีก และที่สำคัญพิชิตใจชายหนุ่มคนที่เธอแอบหลงรัก


นางเอกของเรากลับมาใหม่ ในรูปโฉมโนมพรรณใหม่อันสุดแสนสะคราญ แถมยังเสียงดีของจริงไม่ต้องมีใครลิปซิงค์ให้ คราวนี้เธอได้กลายเป็นนักร้องดาวรุ่งพุ่งแรง ในสังกัดของบริษัทพระเอก ทว่ายิ่งเธอกำลังไล่ตามความฝันของตัวเองมากเท่าไร เธอก็กำลังวิ่งหนีความจริงเกี่ยวกับตัวเองมากขึ้นเท่านั้น เธอกำลังทอดทิ้งเพื่อนรักคนเก่า, พ่อผู้แก่ชรา และตัวตนเดิมของตัวเอง...




คลาสเรียนโยคะ ทำให้ฉันฉุกคิดได้ว่า...ฉันจะถอย หรือก้าวเดินต่อไปข้างหน้า..โดยอาศัยแรงขับเคลื่อนจากภายในตัวฉันเอง หาใช่ให้ปัจจัยภายนอกมาเป็นตัวตีกรอบ กำหนดกฎเกณฑ์เรา มิเช่นนั้นแล้ว ชีวิตเราก็จะมีแต่ถอยหนีไปเรื่อย ๆ


ในเวลาเดียวกับที่ได้ดูหนังเกาหลีเรื่องนั้นด้วย มันก็ได้ช่วยย้ำเตือนในสิ่งที่เรามักจะหลงลืมไป ก็คือ...นอกจากชีวิตคนเราต้องก้าวเดินไปข้างหน้าแล้ว เรายังต้องลุกขึ้น เผชิญหน้ากับความเป็นจริงด้วย...ยอมรับ..ในสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะดีหรือร้าย...


....แล้วก็ต้องสู้ด้วยศักดิ์ศรีของเราเอง เราจึงจะมีชีวิตอย่างมีเกียรติและภาคภูมิ.






เครดิตภาพ **www.paperandthreads.com


**ตีพิมพ์ในเนชั่นสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550







Create Date : 08 กรกฎาคม 2551
Last Update : 9 กรกฎาคม 2551 0:23:42 น. 0 comments
Counter : 1348 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ส้มเจื๊อง
Location :
เชียงใหม่ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




All you need is Love.
Made in Chiangmai.
หลังไมค์ถึงนาทวริน

Johaan Pachelbel cAnoN iN D
สกาววินฯ...ปกแรก Limited Edition
...พิมพ์นาม(สกุล)ปากกาผิดนิดนึง
You aRe whAt you rEad.
ออกจากขวดโหล
เรื่องที่สอง ใช้นามปากกา ‘นาทวริน’ ค่ะ
สำนักพิมพ์เพื่อนดี
งานที่มีการเขียนลงบน WEB SITE แล้วส่งผ่านอินเตอร์เนตนั้นถือว่าเป็น สิ่งเขียนซึ่งเป็นประเภทหนึ่งของงานวรรณกรรม ดังนั้นย่อมได้รับความคุ้มครองตามพ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 (มาตรา 15) หากผู้ใดต้องการทำซ้ำหรือดัดแปลงงานดังกล่าวต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์ก่อน มิฉะนั้นจะเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ (มาตรา 27)
การดัดแปลงงานจากอินเตอร์เนตเป็นภาษาไทย จึงต้องขออนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์ อย่างไรก็ตาม การคุ้มครองลิขสิทธิ์เป็นการคุ้มครองอัตโนมัติ เจ้าของลิขสิทธิ์หรือผู้สร้างสรรค์ไม่จำเป็นต้องจดทะเบียนเพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิตามกฎหมายลิขสิทธิ์
******
ที่มาของข้อความ:เว็บไซต์กรมทรัพย์สินทางปัญญา
Friends' blogs
[Add ส้มเจื๊อง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.