All Blog
|
แม่โขง / ปองพล อดิเรกสาร (Paul Adirex)
แม่โขง / ปองพล อดิเรกสาร (Paul Adirex) แปลโดย วิภาดา กิตติโกวิท จินตนิยายการผจญภัยเพื่อตามหาเมืองลับแลในลาว การผจญภัยที่ตื่นเต้น อันตราย เพื่อไขปริศนาความตาย การสูญหายของทหารอเมริกันอันลึกลับ และการตามล่าหามหาสมบัติของกษัตริย์ลาวโบราณ นำไปสู่เหตุการ์ที่น่าสะพรึงกลัว สยดสยอง จากการบันดาลโดยพญานาคแห่งแม่น้ำโขง คงไม่ต้องอธิบายอะไรกันมากสำหรับหนังสือเล่มนี้เพราะตีพิมพ์มาแล้วถึงสิบสี่ครั้งก็การันตีความนิยมได้เป็นอย่างดี แถมยังเคยเป็นละครบู๊สนั่นจอเมื่อหลายปีก่อน ตัวเราเองที่ตัดสินใจซื้อเล่มนี้มาก็เพราะคิดว่ามันควรค่าแก่การเก็บไว้ ไม่รู้จะสรุปย่อเรื่องราวคร่าวๆ อย่างไรดี เอาเป็นว่ามันเป็นนิยายที่แปลมาจากต้นฉบับภาษาอังกฤษ การเดินเรื่องจึงเหมือนนิยายฝรั่งที่เปิดเรื่องด้วยความลึกลับและสิ่งต่างๆ ที่เกิดจากฤทธิ์พญานาคกับต่างบุคคลต่างวาระเวลา เรื่องเดินไปสองสามบทจึงถึงช่วงเวลาปัจจุบันที่มีการสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงที่เชียงราย ซึ่งการตายผิดธรรมชาติของผู้จัดการภาคสนามโครงการก่อสร้าง ทำให้พระเอกของเรื่องคือ เดฟ ชอน ชาวอเมริกันเชื้อสายอินเดียแดงให้เข้ามาสานต่องานสร้างสะพานนี้ให้ลุล่วง เดฟ ชอน มีบทบาทเด่นพอกับตัวละครอื่นอีกหลายตัวที่โลดแล่นในเรื่อง (ไม่เหมือนนิยายไทยที่โฟกัสแค่ตัวพระเอก-นางเอก แต่เรื่องนี้ตัวละครอีกหลายตัวสำคัญพอกัน) นอกจากภารกิจสร้างสะพานแล้วก็ยังมีวาระซ่อนเร้นจากรัฐบาลสหรัฐในการตามหาทหารอเมริกันที่หายสาบสูญบริเวณริมแม่น้ำโขงช่วงสงครามอินโดจีนด้วย เรื่องนี้มีขบวนการยาเสพติดมาเอี่ยวนิดหน่อย มีกลุ่มเคลื่อนไหวการเมืองจากลาวมาแจมเป็นดาวร้ายด้วยต้องการฮุบสมบัติราชวงศ์ที่หายสาบสูญ หลังจากเดฟได้พบพระวาสุกรีซึ่งเป็นตัวเชื่อมสำคัญที่จะนำพาเขาไปสู่การคลี่คลายปม เขายังได้พบสาวลูกครึ่งไทย-อังกฤษ อย่างคิมเบอร์ลี ผู้ซึ่งถูกชะตากันแต่แรกพบ (เธอเป็นตัวละครหญิงตัวเดียวของเรื่อง เป็นนางเอกแน่) คิม เป็นดอกเตอร์สาวด้านมานุษยวิทยาและกำลังจะเข้าไปค้นหาชนเผ่าภูริซึ่งเคยปรากฏในประวัติศาสตร์ลาวบางช่วง แต่กลับไม่มีใครตอบได้ว่าพวกเขาอยู่ที่ไหนและมีตัวตนหรือไม่ (ชนเผ่าภูรินี้เองคือมนุษย์จำพวกหนึ่งที่อยู่ในโลกลับแล โลกเสมือนที่ต้องเป็นผู้ผูกกรรมกันมาเท่านั้นจะเข้าไปเยือนได้) เรื่องราวก็ไปเกี่ยวข้องกับพญานาคผู้มากฤทธิ์ สุโภคะ ผู้มีอดีตชาติเกี่ยวข้องกับพระภูริทัต พระชาติหนึ่งของพระพุทธโคตมะ และยังผูกกรรมเกี่ยวข้องกับคิมและเดฟด้วย สุโภคะเป็นพญานาคที่พอใจในภพของตนเองเพราะมีอิทธิฤทธิ์มากมาย และอยู่โยงเฝ้าสมบัติในดินแดนภูริมาตลอด เหล่าพระเอกต่อสู้ฟาดฟันกับเหล่าร้ายจอมโลภแบบพอหอมปากหอมคอ โดยได้พญานาคมาช่วยไว้ พวกพระเอกเราเลยรอดปลอดภัย และจบลงอย่างค่อนข้างสวยงาม เป็นนิยายที่เล่นกับหลายประเด็นมาก พญานาคผู้มีอิทธิฤทธิ์แห่งลุ่มน้ำโขง เมืองลับแลที่เป็นดินแดนอันสมบูรณ์ที่ไม่มีใครก้าวเข้าไปได้ง่ายๆ ประวัติศาสตร์อาณาจักรโบราณของลาว สมบัติราชวงศ์มูลค่ามหาศาลที่ซุกซ่อนที่ใดสักแห่งบริเวณแม่โขง การหายตัวไปของทหารอเมริกันในช่วงสงครามอินโดจีน เรื่อยมาถึงปัจจุบันที่กำลังมีการสร้างสะพานข้ามน้ำโขงบริเวณเชียงรายไปยังลาว เรื่องราวบุญกรรมและความผูกพันข้ามภพชาติตามแนวคิดพุทธศาสนา ทั้งหมดนี้เป็นประเด็นที่มีน้ำหนักน่าสนใจในตัวเองทั้งนั้น และแต่ละประเด็นก็ค่อยๆ เผยโฉมและคลี่คลายกันไปต่างกรรมต่างวาระ แต่ก็สามารถผสมกลมกลืนกันได้อย่างลงตัว สมกับความสามารถของผู้เขียนที่สามารถนำเรื่องราวความเชื่อมาผสมกับข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์และการเมืองทั้งในอดีตจนถึงปัจจุบันได้อย่างน่าทึ่ง และเนื่องจากเป็นเรื่องแปล สำนวนภาษาจึงเรียบง่ายมากกว่าสละสลวย สิ่งเดียวที่เรานึกติดใจและไม่เกี่ยวกับตัวนิยาย คือเรื่องเมืองลับแลที่ว่าเป็นดินแดนอันสมบูรณ์ไร้ที่ติ เท่าที่รับรู้มาคนในโลกลับแลเลื่อมใสพุทธศาสนาอย่างแรงกล้าก็จริง แต่พวกเขาก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่อาจจัดเป็นผีหรือคนหรือเทวดา พวกเขาไม่มีธาตุขันธ์เหมือนมนุษย์จึงไม่อาจบวชเพื่อบรรลุธรรมได้ และที่พวกเขาต้องมาอยู่ในโลกลับแลนี้จนสิ้นกรรมก็เพราะมีบุญเจือบาป (เพราะถ้ามีแต่บุญ ก็น่าจะพ้นจากโลกตรงนั้นได้ แต่พวกเขาต้องอยู่ในนั้นจนกว่าสิ้นกรรม) และสำหรับเราแล้ว วัฏจักรนี้คงมีเหตุผลที่ทำให้ภพมนุษย์เป็นภูมิที่เหมาะสมที่สุดที่จะบรรลุธรรม เพราะเป็นภพที่มีทั้งดีและชั่วปะปนกัน มีทั้งสุขและทุกข์วนเวียนเกิดดับ เพราะเราต้องอยู่กับความ ไม่สมบูรณ์ เหล่านี้...หนทางดับทุกข์จึงบังเกิด เหมือนที่พระท่านว่าเพราะมีทุกข์ จึงมีทางดับทุกข์ ถ้าไม่มีทุกข์...เราคงไม่ค้นหาทางออกจากวัฏจักรนี้ได้
บ่วงเงา / จุติศร
บ่วงเงา แต่งโดย จุติศร
'ตะวัน' นายตำรวจหนุ่มรูปงามกำลังจะเข้าพิธีวิวาห์กับ 'สโรชา' แฟนสาวที่คบหากันมานาน แต่ยิ่งใกล้วันวิวาห์ตะวันกลับมีเรื่องให้ต้องกังวลใจ เพราะยามหลับตาครั้งใดเสียงฝีเท้าม้าจะต้องมารบกวนทุกราตรี ทำให้เขาพยายามค้นหาความจริงว่าเหตุใดเสียงนั้นจึงมีอิทธิพลต่อเขานัก จากการแนะนำของเพื่อนรักให้ได้รู้จักกับแพทย์ผู้มีชื่อเสียงซึ่งทำการรักษาด้วยการสะกดจิต ตะวันจึงได้รับรู้ถึงอดีตที่ผ่านมาของตนว่า เขาเคยเป็นทหารในองค์อุปราชแห่งเวียงจันทร์ มีความรักความผูกพันกับแม่หญิงลาวผู้เลอโฉมนามว่า 'คำสี'
หยิบยกเรื่องนี้มาเอ่ยถึงสักหน่อยเพราะเป็นเล่มล่าสุดที่อ่านจบในเวลาไม่นาน เนื่องจากตัวเล่มกะทัดรัด พล้อตเรื่องกระชับ ตัวละครไม่เยอะ (ชอบเพราะไม่ต้องปวดหัวมาจำตัวละครยิบย่อย) การเดินเรื่องมีจังหวะพอดีไปจนถึงจบเรื่อง ถ้าจะให้สปอยล์เรื่องแบบคร่าวๆ ... ตะวัน เคยเกิดมาเป็น บุญอิน ทหารในอาณาจักรลาว (น่าจะเป็นช่วงเวลาพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช ซึ่งเป็นยุคทองของลาว) เขามีคนรักคือ คำสี แต่ด้วยหน้าที่ก็ต้องเข้าเวรรับใช้เจ้านายตามวาระ เขาได้พบเจ้านางบัวแก้วซึ่งเป็นศักดิ์เป็นหลานเจ้าแผ่นดิน เจ้านางหลงรักเขาแต่เขาก็ไม่อาจรับไมตรีได้เพราะมีเมียแล้ว ในระหว่างเดียวกันคำสีก็รอคอยจนสุดท้ายรอไม่ไหวจึงเข้าเวียงมาตามหาเขา แต่สุดท้าย...คำสีก็ไม่ได้พบกับเขา และจุดจบของคำสีในชาตินั่นเองเป็นสิ่งที่ตามหลอกหลอนในจิตใจของเขาเสมอมา (แอบสปอยล์ คล้ายเรื่องราวที่เคยได้ยินมาเกี่ยวกับศาลหลักเมือง)
อ่านจนแล้วก็รู้สึกว่า อืม...นานๆ จะได้อ่านนิยายที่เอาเค้าโครงมาจากประวัติศาสตร์เมืองลาว ภาษาถิ่นที่ใช้อยู่ในขั้นเข้าใจได้ง่าย (ก็บ้านเกิดเราอยู่ไม่ไกลจากเวียงจันทน์ด้วยล่ะ คนเขียนจะใช้ภาษาลาวมากกว่านี้ก็เข้าใจอยู่ดี หุๆ) โทนของเรื่องชัดเจนว่าเป็นแนวบุญกรรมภพชาติ
เนื่องด้วยนิยายเรื่องนี้อิงประวัติศาสตร์และเน้นด้านภพชาติบุญกรรม หาใช่มุ่งเพื่อให้ตัวละครมีความสุขจากความรัก สิ่งหนึ่งที่รู้สึกคือว่า...ความรักตัวละครอาจไม่ชัดเจนนักเพราะดูจะไม่ใช่สิ่งที่ผู้เขียนมุ่งหวัง จะว่าไปโศกนาฏกรรมในเรื่องก็มีเหตุมาจากความรัก ดังนั้นความรักตัวละครของเรื่องนี้จึงเริ่มต้นแบบหมองๆ และก็จบในโทนเดิมเพราะความสัมพันธ์ก็ยังคงดูอึมครึมจนจบเรื่อง ถ้าไม่ใช่คอนิยายแนวสุขนิยมก็อ่านได้แบบเรียกว่าผ่านด้วยดี
ปล. ตัวเราเองกับคุณจุติศรนั้นเหมือนจะเคยรู้จักกันผ่านเวบบอร์ดมาบ้างเมื่อนานมาแล้ว เมื่อไม่นานมานี้เพิ่งทราบว่าพี่สาวคนนี้หันมาเป็นนักเขียนนิยาย ก็เลยได้ติดตามอ่านคร่าวๆ หวังว่าจะได้เห็นผลงานของพี่จุติศรอีกเรื่อยๆ
ชูมาน / พิบูลศักดิ์ ละครพล
ชูมาน / พิบูลศักดิ์ ละครพล
สิ่งดีงามที่ค้นพบในช่วงวัยเยาว์และชั่วชีวิตนี้
หนังสือเล่มนี้เป็นหนึ่งในความทรงจำในวัยเด็กของเรา เพราะจำได้ว่าตอนเด็กมากๆ ที่เริ่มอ่านหนังสือได้นั้น (น่าจะประถมต้นๆ เนอะ) เคยไปบ้านญาติที่กรุงเทพฯ และเห็นหนังสือนิยายวัยรุ่นเล่มนึง (สมัยนั้นนิยายวัยรุ่นแนวแสวงหากำลังบูม) เราไม่ได้อ่านทั้งเล่มแต่จำได้ว่าเปิดหน้าแรกแล้วตัวละครตัวนึงพูดว่า ชูมานค่ะ ยังคิดอยู่ว่าช่างเป็นชื่อที่แปลกกระไร
แล้วจากนั้นนิยายเล่มนี้ก็ไม่เคยผ่านมือเราเลย จนกระทั่งเมื่อไม่กี่เดือนก่อนที่เราไปร้านนายอินทร์แล้วเห็นหนังสือชื่อเรื่อง ชูมาน ก็มั่นใจว่าต้องเป็นเรื่องที่เราเคยเปิดแต่ไม่เคยอ่านนั่นแน่ จึงไม่ลังเลจะซื้อติดมือกลับมา และเพิ่งรู้ว่าเป็นงานเขียนของ พิบูลศักดิ์ ละครพล (ซึ่งเราก็ไม่ค่อยรู้จักผลงานเขาเท่าไหร่ แต่ก็เคยได้ยินชื่อในฐานะศิลปินมาก่อน)
เกริ่นเสียยาว เพียงแต่อยากบอกว่านิยายเรื่องนี้มันเป็นเรื่องราวความทรงจำของรักครั้งแรกของวัยแสวงหา เล่มที่เราซื้อนั้นเป็นฉบับพิมพ์ใหม่เมื่อพ.ศ. 2554 แต่ฉบับพิมพ์ครั้งแรกของเรื่องนี้นั้นก่อนเราเกิดอีก ดังนั้นจึงบอกได้เลยว่าอารมณ์ของงานเขียนเรื่องนี้นั้นค่อนข้างสะอาด บริสุทธิ์ และเป็นความทรงจำอันงดงามของหนุ่มน้อยคนหนึ่งกับความรักครั้งแรกที่จารจำในหัวใจไปแสนนาน
พล้อตของชูมาน ก็ไม่ต่างจากนิยายวัยรุ่นทั่วไปที่ว่าด้วยความรัก การแสวงหาความฝัน ความรู้สึกซาบซ่านหวั่นไหวยามพบรักแรก แม้จะลงเอยด้วยความผิดหวัง ความบางของตัวเล่มนั้นทำให้อ่านจบได้ในเวลาอันรวดเร็ว ตัวเรื่องค่อนข้างอาร์ตสำหรับเราเพราะตัวละครเล่าเรื่องนั้นเป็นผู้ชายอารมณ์ศิลป์ (เพราะเขาเรียนแนวศิลป์) ได้มาพบเจอ ชูมาน หญิงสาวมาดมั่นท่ามกลางบรรยากาศอบอุ่นสไตล์เมืองเหนืออย่างเชียงใหม่ พลันที่เขาพบเธอโลกก็ดูสดใส ก่อนที่เรื่องจะเดินไปพร้อมการเติบโตของตัวละคร และนำมาซึ่งการจากลาระหว่างทั้งคู่
แต่ระหว่างอ่านไปนั้นมันก็เหมือน refresh ความทรงจำเราไปด้วยว่าสมัยนึงนิยายวัยรุ่นต้องอารมณ์ประมาณนี้ล่ะ บรรยากาศของเรื่องเกิดที่เชียงใหม่ยิ่งเหงาๆ เศร้าๆ บทสนทนาซื่อๆ ของหนุ่มเมืองเหนือกับสาวชาวกรุงที่สอบติดมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แทรกด้วยบทกลอนหวานอ่อนไหวเป็นระยะ ซึ่งจะว่าแล้วเรื่องราวก็สั้นจึงไม่ได้มีรายละเอียดมากนักว่าเหตุใดเขาและเธอจึงไม่ได้ลงเอยต่อกัน แต่สิ่งสำคัญคือ ความรู้สึก หวามไหวที่คนเขียนถ่ายทอดมาอย่างเด็กหนุ่มที่ตกในห้วงรักอย่างสุดใจ แต่สุดท้ายก็ต้องรับความจริงและยิ้มให้กับการจากลา ซึ่งเราว่าเป็นสิ่งที่งานเขียนสมัยนี้ไม่ค่อยมี เพราะจังหวะชีวิตคนสมัยนี้ไม่เนิบนาบเท่าไหร่ ความรักสมัยนี้ก็ดูต่างออกไปเพราะคนรุ่นเราๆ แสดงออกรุนแรงมากขึ้น งานเขียนยุคนี้สะท้อนการมองโลกได้เหมือนกันนะ
แม้นิยายเรื่องชูมานนี้เขียนขึ้นนานแล้ว แต่อารมณ์และเค้าโครงของเรื่องก็ไม่มีส่วนไหนเรียกได้ว่าล้าสมัย หรือจะว่าไป...อารมณ์เหงาเศร้าและหลงในรักมันอาจเป็นอมตะในตัวเองก็ได้ เพราะไม่ว่ายุคไหน...วัยหนุ่มสาวจะต้องเคยผ่านความรักมาบ้าง และหลายครั้งความทรงจำเกี่ยวกับรักอาจไม่ได้งดงามเสมอไป
มีความงดงามและความแข็งแกร่งซ่อนอยู่เสมอในทุกความสูญเสีย...ในความเปล่าเปลี่ยวและทุกข์ทรมาน (หน้าสุดท้ายของนิยายเล่มนี้)
แต่ถึงอย่างนั้นก็ยอมรับว่ามีองค์ประกอบหลายอย่างในเรื่องที่เราอาจไม่เข้าใจ เช่นชื่อศิลปิน ชื่อนักดนตรี หรืองานอาร์ตต่างๆ ที่คนเขียนกล่าวถึง เนื่องจากไม่ทันยุคนั้นและเราไม่ใช่คนอาร์ตๆ อารมณ์อ่อนไหวเท่าไหร่ แต่ก็คิดว่าถ้าเราได้อ่านหนังสือเล่มนี้ตอนยังเด็ก เราอาจซาบซึ้งกว่านี้ก็ได้เพราะจังหวะชีวิตตอนนั้นไปกันได้กับอารมณ์ของนิยายแนววัยรุ่นแสวงหา แต่เมื่อได้อ่านอีกครั้งในวัยที่เราเป็นผู้ใหญ่ไปแล้ว ความรู้สึก อิน อาจไม่ล้นปรี่ แต่ก็ทำให้รู้สึกได้ถึงกระแสซาบซึ้งสุขเศร้าของเรื่องนี้ได้ว่าช่วงหนึ่งของวัย...เราก็อาจเคยมีความรู้สึกดีๆ เช่นนั้น
และที่เราอดถามตัวเองไม่ได้ก็คือ....หรือจังหวะชีวิตของเราได้เปลี่ยนไปแล้ว? ความรู้สึกของเรายามอ่านหนังสือจึงได้เปลี่ยนไป?
แต่อย่างน้อยบรรยากาศเหงาเศร้าของวัยแสวงหา ก็ทำให้เรานึกถึงแนวคิดของชุนจิ อิวาอิ ผู้กำกับหนังชาวญี่ปุ่นขึ้นมา ชุนจิเป็นผู้กำกับญี่ปุ่นที่ทำหนังเหงาเศร้าได้โดนใจคนในระดับสากลมาก เพราะเขาเองก็มีรักแรกในวัยมัธยมที่ฝังใจและทำให้เขาถ่ายทอดมันออกมาในหนังรักอมตะอย่าง Love Letter (1995) ตอนนั้นเราเคยอ่านเบื้องหลังงานกำกับเขา ชุนจินิยามความรักและความทรงจำไว้ว่า ความรักและความคิดถึงเดินทางมาพบกันในช่วงเวลาหนึ่ง ก่อนที่จะลาจากกันบนเส้นทางที่เรียกว่า ชีวิต สัจอธิษฐาน / พลอยชนา
สัจอธิษฐาน / พลอยชนา
ในยุคที่นิยายรักเกลื่อนแผงอย่างนี้ ยอมรับเหมือนกันว่าการจะเลือกหยิบอ่านสักเล่มไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เราก็มองโลกแง่ดีว่ายังไงก็ต้องมีนิยายดีๆ ให้อ่านบ้างท่ามกลางกระแสนิยายอีโรติกล้นตลาด และถ้าเลือกได้เราก็จะซื้อนิยายที่คนเขียนไม่ได้เป็น big name ด้วยเพราะเราเชื่อว่าหน้าใหม่ก็ต้องการพื้นที่บนโลกวรรณกรรม ดังนั้นการจะหยิบสักเล่มติดมือเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเราเหมือนกัน แต่ก็ยังดีที่นิยายสมัยนี้นั้นมักมีให้ลองชิมลางอ่านเนื้อหาบนอินเทอร์เนท ซึ่งเราว่าปัจจัยหนึ่งที่จะทำให้เรายอมซื้อหนังสือสักเล่ม
เพลิงนาคา / ชลนิล
เพลิงนาคา / ชลนิล
หากนำกระดูกของมนุษย์ผู้หนึ่ง ซึ่งเกิดแล้วตายทุกชาติมากองรวมกัน...
ชลนิล เป็นนักเขียนคนนึงที่เราคิดว่าจัดอยู่ในยุคกลางเก่ากลางใหม่ คือนิยายของเขาไม่ได้เดินเรื่องด้วยขนบและความเชื่อแบบรุ่นเก่า แต่ก็ไม่ได้กลายพันธุ์แบบนิยายรุ่นใหม่ที่พลิกแนวจนอ่านยากเกินไป และที่สำคัญงานเขียนของเขาเป็นงานกลางๆ อ่านได้ทั้งผู้ชายผู้หญิง ลายเซ็นที่สำคัญของนักเขียนท่านนี้คือเป็นนิยายแทรกแนวคิด โดยเฉพาะธรรมะในรูปแบบง่ายๆ การเดินเรื่องและการใช้ภาษาก็เป็นระดับภาษาอ่านเข้าใจง่าย แต่ก็มีความสละสลวยในตัวเอง ออกตัวก่อนว่านิยายเรื่องแรกๆ ของคุณชลนิลที่เราได้อ่านคือ ต่างเวลา (และได้ดูตอนมันเป็นละครสั้นช่องเจ็ดด้วย ร่วมสมัยเนอะ) ซึ่งก็ชอบเรื่องนั้นมากเพราะพล้อตเก๋ เรื่องราวเข้มข้น กระชับ น่าติดตาม และยังแอบมีเรื่องราวกุ๊กกิ๊กระหว่างพระเอก-นางเอก ให้ชุ่มชื่นใจ แต่หลายปีที่ผ่านมาดูเหมือนนิยายคุณชลนิลในท้องตลาดก็จะหายากขึ้น จนกระทั่งผลงานแนวนาค อย่าง เพลิงนาคา ถูกนำมารีปรินท์กับทางสนพ บัดดี้บุ้คส์ เราซึ่งไม่เคยสัมผัสกับนิยายเรื่องนี้มาก่อนจึงตัดสินใจซื้ออย่างไม่ลังเล และที่สำคัญกว่านั้นครับพี่น้อง คุณชลนิลปัจจุบันมีนิวาสถานอยู่จังหวัดบ้านเกิดเรา ดังนั้นเมื่อมีโอกาสกลับบ้านครั้งล่าสุด เราก็แถเอาหนังสือไปให้คุณชลนิลเซ็น พร้อมนั่งเม้าท์กับคุณนักเขียนพอหอมปากหอมคอ แถมหยอดท่านด้วยว่า อ่านจบแล้วขออนุญาตรีวิวได้ไหมคะ พี่ท่านก็บอกว่าได้ (ทั้งที่ไอ้เราก็มิได้รีวิวอะไรเป็นกับเค้าเล้ย ได้แต่บรรยายคร่าวๆ เท่านั้นว่ารู้สึกยังไงกับงานเขียนแต่ละชิ้น T_T) เอ้าเข้าเรื่อง เพลิงนาคา เป็นนิยายที่ถูกนิยามว่าเป็น ธรรม นิยาย โดยคนเขียนได้นำเสนอเรื่องราวของพญานาค การตามล้างแค้น และจบลงด้วยธรรมะย่อมชนะอธรรม จากคำโปรยปกหน้าและปกหลังเราอาจไม่ค่อยรู้เรื่องคร่าวๆ นักว่าเกี่ยวกับอะไร ต้องค่อยๆ เปิดอ่านเรื่อยๆ จึงจะเข้าใจเรื่องราวซึ่งก็ไม่ซับซ้อนเกินไป จุดเด่นของงานเขียนคุณชลนิลคือตัวละครเรียบง่ายเหมือนมีชีวิตจริง อย่างฉากเปิดเป็นการปะทะคารมแบบฮาๆ ของสองพี่น้องคือ รอยจันทร์ พี่สาวซึ่งเป็นดารา กับ ริว น้องชายซึ่งคอยช่วยงานเป็นผู้จัดการส่วนตัวให้พี่สาว ริว เป็นชายหนุ่มรูปร่างหน้าตาดีชนิดเป็นนายแบบได้ แต่เขากลับชอบอยู่เบื้องหลังให้พี่สาวมากกว่า และที่สำคัญคือฉากต้นเรื่องที่ว่าด้วยเรื่องราวผีสางในโรงแรม แต่หนุ่มริวกลับจัดการผีเหล่านั้นได้อยู่หมัด เป็นสิ่งที่ทำให้เนื้อเรื่องน่าสนใจว่าตัวเอกอย่างริวมีสัมผัสพิเศษ (นอกเรื่อง ตรงนี้แอบแซวคุณชลนิลเหมือนกันว่า ริว เพลิงนาคา เป็นอะไรกับ ริว จิตสัมผัส คนเขียนเค้าก็ยังขำ บอกว่าอยากเปลี่ยนชื่อพระเอกแฮะ) จากนั้นเรื่องก็ดำเนินไปตามพล้อตที่วางเอาไว้แบบเรียบร้อย ว่าด้วยพญานาคที่ตามล้างแค้นตระกูลนักธุรกิจร่ำรวยของเมืองไทย ซึ่งปัจจุบันทายาทคนล่าสุดคือ เธียร นาคพิทักษ์ ผู้ชายรูปหล่อพ่อรวยที่เคยเป็นแฟนเก่ากับรอยจันทร์สมัยรั้วมหาวิทยาลัย ปมเรื่องราวที่ว่าทำไมพญานาคผู้ทรงฤทธิ์มากถึงได้ต้องการตามล้างตระกูลของเธียรมีต้นเหตุมาอย่างไรไม่ขอเอ่ยถึง (ไม่งั้นจะสปอยล์ครั้งใหญ่) เป็นว่าริวเองก็มีอดีตเป็นนาคาและเคยใกล้ชิดต้นตระกูลของเธียร เมื่อเขาได้พบอดีตแฟนพี่สาวซึ่งเคยสนิทมาก่อน (แถมทำท่าอยากกลับมาหาแฟนเก่าอย่างรอยจันทร์) การเริ่มต้นร่วมกันต่อสู้กับพญานาคผู้มีจิตใจมืดบอดจึงเริ่มต้นขึ้น สองหนุ่มต้องคอยงัดหาวิธีต่อกรกับพญานาคตนนี้ให้ได้ ริวอาจมีแต้มต่อกว่าเธียรตรงที่เขาค่อนข้างระลึกได้ถึงชาติก่อนและมีฤทธิ์เดิมติดตัวมาบ้าง แต่ก็ไม่มากนัก ส่วนเธียรนั้นเป็นคนธรรมดาที่ต้องฝึกมนต์ปราบพญานาคด้วยตัวเอง ดังนั้นเรื่องนี้จึงน่าเห็นใจที่พระเอกสองคนของเรื่องอาจยังเป็นละอ่อนที่จะต่ออกรกับตัวร้ายระดับพญานาค แต่อ่านไปเรื่อยๆ เราจะเข้าใจว่าการ ชนะ ในทางธรรมนั้นคืออะไร ไม่ขอเอ่ยถึงการขับเคี่ยวระหว่างริวและเธียรกับพญานาคผู้มีมิจฉาทิฏฐิ (เพราะจะสปอยล์) แต่ก็บอกได้ว่า วิธีการ เอาชนะมารของผู้เขียนคนนี้นั้นสอดแทรกแนวคิดธรรมะไว้อย่างแยบยลและน่าสนใจ เพราะไม่ได้เหมือนหนังจีนที่ใครฆ่าพ่อใครก็ตามฆ่ามัน แต่เป็นการมองโดยใช้ เลนส์ธรรมะ หรือแม้กระทั่งเรื่องสมบัติพันล้านของเธียรที่ถูกฮุบไป คนเขียนก็สอนให้ตัวละครลองเผชิญหน้ากับปัญหาด้วยวิธียอมรับความจริง... เนี่ย ไม่เหมือนนิยายเรื่องไหน (แต่อาจไม่ถูกใจคอนิยายประเภทชอบอะไรตาต่อตาฟันต่อฟัน เพราะนิยายเรื่องนี้แนวธรรมะจ้า) อ่านจบแล้ว สิ่งที่ชอบเกี่ยวกับนิยายเล่มนี้คือพล้อตเรื่องที่ผูกไว้อย่างใช้ได้ โดยเฉพาะเรื่องราวของ นาค ที่ไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป ใส่มาพอเหมาะกับบริบทของเรื่อง การเดินเรื่องที่กระชับฉับไว (โดยมากนักเขียนผู้ชายมักเขียนสไตล์นี้) และบทสนทนาที่คมคาย และจะแฝงอารมณ์ฮาเป็นพิเศษถ้าเป็นฉากสองพี่น้องแซวกันเล่น ซึ่งมันทำให้คนอ่านรู้สึกว่าตัวละครมีชีวิตจริง ทำให้รู้สึกว่ารอยจันทร์กับริวเป็นคู่พี่น้องที่น่ารักน่าหยิกเอามากๆ เอ้อ บางคนบอกว่าเรื่องนี้มีสองคู่ แต่สำหรับเราตัวละครชื่อ น้ำฝน ซึ่งเป็นคนรักของหนุ่มริวนั้นดูจะมีน้ำหนักน้อยกว่ารอยจันทร์อยู่เล็กน้อยเพราะเธอออกฉากทีหลัง และนิสัยออกไปทางเรียบง่ายน่ารัก อีกทั้งด้วยพล้อตแล้วเธอดูไม่มีความสำคัญกับโครงเรื่องหลัก อย่างไรก็ดีเธอก็เป็นหญิงหนึ่งเดียวในใจริว และมีบทบาทมากขึ้นในช่วงท้ายที่ทำให้ริวได้เติบโตกว่าเดิม เธอคล้ายเป็นความทรงจำอันงดงามของริวที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเขาแล้วจากไป และการจากไปนี้อาจทำให้ตอนจบของเรื่องนี้... คือการที่ตัวละครวกเข้าสู่ โลกแห่งธรรมะ อย่างเต็มตัว แต่ก็เป็นการปิดฉากเรื่องราวที่สมบูรณ์ในสไตล์ของคุณชลนิล |
ณ พิชา
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?] I think, therefore, I am Link |