All Blog
ยากล่อมใจในคืนฝัน / โนเอะรุและเทราสเฟียร์
 

ยากล่อมใจในคืนฝัน / โนเอะรุและเทราสเฟียร์
A tranquilizer for Your Christmas Eve


นิยาย “แนวๆ” ที่อ่านแล้ว “หน่วงๆ”

จิตแพทย์หนุ่มผู้พรั่งพร้อมด้วยรูปสมบัติและคุณสมบัติ แต่มีบางอย่างขาดหายไป...

เด็กสาวผู้งดงาม แต่มีอดีตอันเลวร้าย ทำให้ไม่ยอมพูดกับใคร
เขากับเธอต่างมีบาดแผลในใจและความลับที่เปิดเผยต่ออีกฝ่ายไม่ได้...

จิตติรับทัตตวาเป็นคนไข้เนื่องจากเธอไม่ได้เป็นใบ้แต่ไม่ยอมพูด เขาทดลองทำทุกอย่างแต่ทัตตวาก็ไม่ยอมเอ่ยสักคำ ทำให้เขาต้องการสืบหาอดีตที่เธอซ่อนไว้อย่างมิดชิด

เขามักระบายอารมณ์ผ่าน ‘การวิเคราะห์ตนเอง’ ในโลกไซเบอร์โดยแต่งเรื่องหลอกลวงว่าตนเป็นหญิงสาวผู้น่าสงสารเพื่อให้ผู้คนแสดงความเห็นใจ เขาสรุปว่าคนเหล่านั้นเป็นพวกหน้าไหว้หลังหลอก ขณะที่แสดงความคิดเห็นต่างๆ นานา ราวกับเทวดานางฟ้ามาโปรด แต่ตัวตนในโลกความจริงก็ประณามเขาไม่มีชิ้นดี

กระทั่งเขาได้แชตกับ เรคต์ ซึ่งฉลาดเหลือร้าย สามารถจับได้ว่าจิตติโกหก เรคต์ปั่นหัวเขาด้วยอารมณ์ขันแกมทะลึ่ง และคอยช่วยจิตติค้นหาความลับอันดำมืดในอดีตของทัตตวา แต่ยิ่งค้นจิตติก็พบว่าเบื้องหลังการไม่ยอมพูดของทัตตวาน่ากลัวเพียงไร เรื่องราวของเธอสะกิดบาดแผลในใจเขาเช่นกัน ในที่สุดจิตติก็รู้ตัวว่าเขาไม่ได้ช่วยเหลือเธอจริงๆ แต่กลับทำร้ายเธอโดยไม่รู้ตัว เขาสับสนระหว่างต้องการเหนี่ยวรั้งเธอไว้หรือผลักเธอออกไปจากชีวิต ขณะเดียวกันก็หวั่นไหวไปกับถ้อยคำของเรคต์ จนคิดว่าตัวเองคงชอบเพศเดียวกัน

 

หลังจากอ่านนิยายเล่มนี้จบ ตอนแรกไม่แน่ใจว่าจะรีวิวดีหรือไม่ (เพราะเกรงจะมือไม่ถึงจะรีวิวเรื่องแปลกแหวกแนวขนาดนี้) แต่ก็ขอเอ่ยถึงสักหน่อยเพราะเป็นพัฒนาการของนิยายไทยที่กล้าเปิดกว้างดี แต่นี่ก็อาจไม่ใช่รีวิวที่ดีนักเพราะคนอ่านคนนี้ไม่ได้เป็นนักอ่านตัวยงที่เข้าใจองค์ประกอบทุกอย่างในเล่มนี้ จึงบอกตรงนี้ได้เลยว่าสรุปไม่ถูกจริงๆ ว่านิยายเล่มนี้ถูกจริตเราหรือไม่

ถ้าเข้าใจไม่ผิด นิยายเรื่องนี้ต้นฉบับนั้นน่าจะเขียนเป็นภาษาอื่นที่ไม่ใช่ไทย แล้วก็มีการแปลเป็นไทย หน้าปกจึงมีชื่อคนเขียนและคนแปลอยู่ร่วมกันยาวเหยียด

สิ่งแรกที่รู้สึกว่าแปลกคือกลวิธีในการเล่าที่ไม่อิงรูปแบบนิยายไทย (ซึ่งน่าจะมาจากการที่คนเขียนเองก็คงมักจะเสพงานศิลป์และงานเขียนต่างประเทศมากกว่านิยายไทย) ทำให้ภาษาในการเล่าดูล้ำยุค มีกลิ่นอายของสำนวนแปลกแปร่ง และมีการเอ่ยถึงงานศิลป์หรืออะไรที่คนอ่านเช่นเราไม่สามารถเข้าถึงหลายอย่าง ซึ่งตอนที่อ่านรู้สึกได้อย่างหนึ่งว่า...บรรยากาศโทนเรื่องอย่างนี้มันแบบญี่ปุ๊นญี่ปุ่นมากเลย บรรยากาศที่ตัวละครเหงาเศร้าเปล่าเปลี่ยว มองทุกอย่างโดยเอาตัวเองเป็นหลัก จำกัดตัวเองอยู่ในวงแคบๆ ท่ามกลางคนมากมายในเมืองใหญ่

ตัวละครหลักที่เล่าเรื่องคือ หมอจิตติ ก็เป็นตัวละครที่เป็นสีเทาในตัวเอง เขาเป็นหมอที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานแต่เบื้องลึกก็ขาดอะไรบางอย่างในชีวิตที่ทำให้เขาเคว้งคว้างจนทุกวันนี้ เขาหน้าตาดี หน้าที่การงานดี แต่ดูเหมือนทัศนคติในการดำรงชีวิตจะทำให้เขาจ่อมจมกับตัวเองเกินไป เขาอาจเคยคบผู้หญิงมามากแต่ไม่เคยจริงจังกับใครเลย เขามีพฤติกรรมอย่างหนึ่งที่พบได้ในเวบพันทิพ คือตั้งกระทู้สร้างเรื่องยกเมฆแล้วก็มีคนกระหน่ำแสดงความเห็นจนขึ้นกระทู้แนะนำ (แต่ให้บอกตรงๆ เราก็ไม่ค่อยอ่านกระทู้แนะนำเท่าไหร่เพราะหน้าจอมันโหลดเยอะ เปลืองเวลา ดังนั้นตอนอ่านเล่มนี้ ขออภัยที่เราอ่านข้ามๆ กับเรื่องโกหกพกลมที่หมอจิตติเขียนเหมือนกัน)

จนกระทั่งจิตติได้พบเคสคนไข้กรณีแปลกอย่างเด็กสาววัยมัธยมอย่าง ทัตตวา ก็ทำให้เรื่องราวเปลี่ยนแปลงไป ทัตตวาเป็นกรณีแปลกเพราะเธอมีอาการไม่ยอมพูดกับใครทั้งที่สามารถเข้าเรียนและผลสอบทำได้ดีตามปกติ ผอมแกร็นและดูคล้ายเด็กผู้ชายมากกว่าเด็กผู้หญิง ยิ่งจิตติได้สัมผัสกับคนไข้คนนี้...คนทั้งคู่ที่มีความแปลกแยกในจิตใจก็ค่อยๆ คลี่คลายปมของตัวเองไปในตัว พร้อมกันนั้นจิตติก็ได้พบกับบุคคลในโลกไซเบอร์นามว่า เรคต์ ซึ่งเป็นคนที่จับโกหกในกระทู้เขาได้คนแรก ทั้งสองได้สนทนากันผ่านโลกออนไลน์ แล้วก็ค่อยๆ ประทับใจในกันและกัน (อันเป็นปมที่คนอ่านอย่างเรายังคงไม่เข้าใจว่า ตกลงแล้ว เรคต์ เป็นใคร มีตัวตนจริงหรือไม่ ยอมรับว่าเป็นคนอ่านที่โง่นะเนี่ย)

“เพศสภาพ” ในเรื่องนี้เป็นสิ่งกลางๆ เพราะจิตติเองก็ดูจะมีความก้ำกึ่งในรสนิยมทางเพศมาตลอดแม้ว่าเขาจะคบผู้หญิงมามาก ความคิดและการกระทำเขาหลายอย่างก็ดูจุกจิกหยิบหย่ง (หมอทั่วไปเป็นอย่างนี้รึเปล่า) ยิ่งทัตตวานั้นดูมีความก้ำกึ่งของแท้เพราะเธอเติบโตมาแบบไม่สมบูรณ์ฮอร์โมนเพศทำงานได้ไม่เต็มที่ จึงดูมีลักษณะและกิริยาไม่เหมือนผู้หญิงเท่าไหร่

ดังนั้น เมื่อคนเหงาแปลกแยกสองคนโคจรมาเจอกัน คงมีอะไรบางอย่างเชื่อมโยงสองคนนี้เข้าด้วยกันทำให้เรื่องราวค่อยๆ กะเทาะเปลือกออกมา จิตติเองก็มีความเป็นมาที่แตกแยกในทางครอบครัว ทัตตวายิ่งเจอในสิ่งที่ร้ายแรงกว่าจากครอบครัว การเดินเรื่องออกโทนเหงา-เศร้า-สับสนใจหนทางชีวิต และบรรยากาศก็เป็นเช่นนี้ไปจนจบเรื่อง (แม้ว่าตอนจบจะออกแนวสูตรสำเร็จแฮปปี้เอนดิ้งไปสักนิด แต่ก็รับได้หมดล่ะคนอ่านอย่างเราน่ะ)

โอเคนะ เราชอบในความแปลกของเรื่อง เพราะอ่านนิยายไทยมาไม่เคยมีนิยายเล่มไหนพล้อตอย่างนี้และเดินเรื่องอย่างนี้ ตัวละครอย่างหมอจิตตินั้นระบบความคิดล้ำเลิศ...ลึกซึ้ง...แต่ยุ่งเหยิง คล้ายกับว่าเขาปล่อยความคิดล่องลอยและเจ็บปวดไปกับมัน จมตัวเองอยู่คนเดียว ซึ่งน่าจะเป็นลักษณะของคนเมืองหลวงในยุคปัจจุบัน ทัตตวาเองก็มีเหตุผลที่น่าสนใจที่เธอต้องกลายเป็นอย่างนี้ เบื้องลึกทางครอบครัวที่เธอเผชิญมานับว่าหนักหนา จึงไม่แปลกใจที่ทัตตวาเป็นตัวละครที่น่าสนใจ (เหมือนการ์ตูนญี่ปุ่นที่มักมีตัวละครแปลกๆ ที่มีปมหนักหนา)

 แต่.....ก็ยอมรับว่าส่วนตัวแล้วเราไม่อินกับองค์ประกอบของเรื่องเพราะห่างไกลจากชีวิตตัวเอง สังเกตได้ว่านิยายเรื่องนี้มี “ความเหงาแบบญี่ปุ่น” อยู่สูงมาก (สังคมที่มีคนป่วยทางจิต สังคมเมืองที่ไม่มีใครสนใจใคร สังคมไซเบอร์ที่ใครสร้างเรื่องยังไงก็ได้) บรรยากาศเหล่านี้น่าจะเพราะคนเขียนคงปราดเปรื่องหลายเรื่องและเห็นว่าได้ไปร่ำเรียนถึงญี่ปุ่น ตัวละครเรื่องนี้เองก็ดูมีความเจ็บปวดและป่วยทางใจกันถ้วนหน้า ไม่มีใครสมบูรณ์ แต่ก็ไม่มีใครเลวสุดกู่ ทุกอย่างอึมครึม...เป็นสีเทา เรื่องเริ่มแบบอึมๆ อึนๆ และจบลงด้วยบรรยากาศอันไม่ค่อยคลี่คลายเช่นเดิม

ส่วนที่เราอ่านเรื่องนี้แล้วรู้สึก “หน่วงๆ” น่าจะเป็นพระสภาพสังคมที่เราใช้ชีวิตอยู่ไม่เหมือนกับตัวละครเท่าไหร่ แม้เราอาจเจอ “ความเหงา” เช่นกันแต่มันเป็นความเหงาแบบภูธรเพราะเราใช้ชีวิตใน ตจว และถึงจะเหงาๆ แต่ก็ต้องไปซื้อข้าวแกงกินรายวัน (อย่างน้อยก็ได้คุยกะแม่ค้าเจ้าประจำ แม่ค้าที่นี่อารมณ์แบบคนชนบทที่เจอหน้าบ่อยก็ชวนคุยจ้อ) ดังนั้นเราจึงไม่ค่อยอินกับเรื่องราวเท่าไหร่เพราะรู้สึกว่ามันห่างไกล (หนังสือเค้าดีนะ แต่อาจไม่ใช่สไตล์เราเท่านั้นเอง)

ดังที่บอกว่ารีวิวนี้ไม่ใช่รีวิวที่ดีนักเพราะคนอ่านเองก็ตอบไม่ได้ว่ารู้สึกอย่างไรกันแน่กับนิยายเรื่องนี้ กับอีกอย่าง...ใครช่วยสปอยล์ทีว่าสรุปแล้วเรคต์ มีตัวตนจริงไหมและเป็นใครกันแน่




Create Date : 14 ธันวาคม 2556
Last Update : 14 ธันวาคม 2556 15:07:28 น.
Counter : 1421 Pageviews.

11 comment
หยกซ่อนลาย / คีตา
 

หยกซ่อนลาย / คีตา

ซับซ้อนซ่อนเงื่อน อ่านแทบหมดแรง

  

อากิระ นักธุรกิจหนุ่มที่แสนเพียบพร้อมเป็นที่ใฝ่ฝันของสาวๆ
แท้จริงแล้วเขาซ่อนความร้ายกาจไว้ภายในอย่างแนบเนียน 

 

วิรตา นักข่าวสาวที่เข้ามาสืบคดีฆาตกรรมของนักธุรกิจอัญมณีรายใหญ่
เธอตั้งข้อหาอากิระไว้ในใจ แต่กลับกลายเป็นว่า
ต้องเข้าไปพัวพันกับเขาจนยากที่จะถอนตัวและหัวใจได้ทัน 

 แม้จะเป็นความบังเอิญที่ทำให้ทั้งคู่ได้พบกัน...แต่เรื่องที่เขารักเธอนั้น... มันไม่ใช่ความบังเอิญเลยหากเมื่อถึงทางแยกระหว่างความรักกับความแค้น...เขาจะเลือกอะไร... ความลับที่เก็บงำมาสิบปี กับความอบอุ่นหัวใจที่เพียงแค่เธอยิ้มให้

 เกมของความเจ็บปวดกำลังจะเริ่มขึ้น เขาจะเป็นผู้เปิดเกมนี้เอง

และเชื่อว่าครั้งนี้ต้องชนะ!!

 

 

เท่าที่เคยพลิกอ่านตัวอย่างของนิยายเรื่องนี้ก็ได้กลิ่นเลยว่าออกโทนมรดกเลือดของครอบครัวโคตรรวยที่พี่น้องฆ่ากันเอง ซึ่งแน่นอนโทนเรื่องคือสืบสวนสอบสวนที่มีความรักมาเกี่ยวข้องเพราะตัวพระเอกเค้าโปรไฟล์จัดเต็มขนาดนั้น และเท่าที่เคยสัมผัสงานเขียนของนักเขียนท่านนี้มาบ้างทำให้เราเชื่อมือคนเขียนระดับนึง และหนังสือเล่มนี้ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง

เรื่องย่อๆ ก็คล้ายที่เห็นจากปกหลังคือตัวพระเอกดูมีปมมีเล่ห์เยอะมาก เขาเป็นนักธุรกิจลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่น (แค่ชื่อก็ฟังหล่อแล้ว อากิระ ไม่รู้เป็นไงแต่มันรู้สึกได้ว่าชื่อนี้ต้องหล่อ) มีตำแหน่งกึ่งๆ จะเป็นยากูซ่าจากเมืองปลาดิบที่กำลังแผ่ขยายกิจการมายังเมืองไทย เรียกได้ว่าหล่อรวยครบ แต่ที่ผิดคาดจากนิยายทั่วไปคือพระเป็นสุภาพบุรุษมากๆ กับนางเอกทั้งที่นางเอกเรื่องนี้มาดแมนมิใช่น้อย ส่วนนางเอกนั้นเป็นนักข่าวสายอาชญากรรมชื่อ วิรตา (ชื่อเล่นแอ้ม) ซึ่งเป็นผู้หญิงธรรมดาที่อารมณ์รื่นเริงดี แล้วเธอก็ไม่คิดเล็กคิดน้อย ปากตรงกับใจ ไม่มุ้งมิ้ง เพราะเติบโตมากับญาติซึ่งเป็นผู้ชายเกือบทั้งกระบิ (อ่านแล้วเรายังชอบนางเอกเลย แบบถ้ามีคนแบบนี้ก็อยากเป็นเพื่อนด้วยคงสบายใจดี)

ไม่สามารถปลอยล์เรื่องได้เพราะนิยายเรื่องนี้มีความซับซ้อนในระดับสูง (สำหรับสมองน้อยๆ เช่นเรา) แต่เอาเป็นว่าตระกูล ศิริพัฒนากร เป็นตระกูลธุรกิจร่ำรวยของเมืองไทย แต่ที่ผ่านมามักเกิดโศกนาฏกรรมกับคนในครอบครัวนี้เสมอ ซึ่งนางเอกของเรื่องก็สืบๆ แล้วไปสะดุดกับข่าวในอดีตเกี่ยวกับทายาทสามคนซึ่งเชื่อว่าน่าจะเสียชีวิตในกองเพลิงแต่หาศพไม่พบ (ซึ่งก็คือการฆาตกรรมและอำพรางด้วยการวางเพลิงนั่นล่ะ) และเมื่อ “อากิระ” ในมาดนักธุรกิจญี่ปุ่นก็กำลังเข้ามาเพื่อเตรียมร่วมทุนกับตระกูลนี้ เธอก็เริ่มได้กลิ่นแปลกๆ และใช้สัญชาตญาณนักข่าวตามแกะตามแคะให้ได้ว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร

อันนี้เชื่อว่าคนอ่านทั่วไปก็คงจะคิดว่า ‘โด่เอ้ย พระเอกกับน้องอีกสองคนปลอมตัวเพื่อเข้ามาแก้แค้นไง พล้อตแค่นี้เอง’ (เพราะคนอ่านเช่นเราก็คิดได้แค่นั้นเหมือนกัน) เปล่า...มันไม่ได้ง่ายๆ แค่นั้น เพราะมันมี sub-plot ที่เอาไว้ให้คนอ่านได้อึ้งอีกหลายตลบ ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์เชิงครอบครัวของตัวละครที่อีนุงตุงนัง การขับเคี่ยวของอากิระและพลพรรคกับฝั่งตรงข้าม และแน่นอน... พัฒนาการทางความรู้สึกของตัวละครที่ต้องฟันฝ่ากับอุปสรรคเหล่านี้

ความรู้สึกอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นตอนอ่านเล่มนี้คือ...ตัวละคร...จะเยอะไปไหนคะ คนอ่านความจำปลาทองเช่นเราจึงอ่านแบบรวดเร็วมากมิได้ มิฉะนั้นจะไม่เข้าใจเรื่องราว (ปกติชอบอ่านข้ามๆ เพื่อเข้าใจเรื่องทั้งหมด แต่กับเล่มนี้ต้องอ่านละเอียดสักหน่อยไม่งั้นพลาดช้อตเด็ด) และเพราะตัวละครเยอะ ปมหลักปมรองให้คลี่คลายเยอะ บทบาทพระเอก- นางเอก จึงถูกเบียดบังด้วยตัวโครงเรื่อง จึงแอบรู้สึกไม่ได้ว่าความรู้สึกดีๆ ที่พระ-นาง มีให้กันในตอนแรกดูจางหายไปในช่วงกลางเล่ม แต่ก็ไปโผล่อีกทีด้วยตอนจบน่ารักๆ ในช่วงท้าย

เป็นเรื่องปกติอย่างหนึ่งสำหรับนิยายแนวสืบสวน คือปมความสัมพันธ์ตัวละครจะต้องยุ่งเหยิงและเกี่ยวพันกันด้วยรักชื่นขื่นชัง ปมความขัดแย้งของคนรุ่นก่อนที่มาเฉลยในช่วงท้ายเรื่องจึงดู “เยอะ” ไปบ้างในความคิดเรา คือตัวร้ายที่ชื่อยาใจซึ่งอยู่เบื้องหลังสมบัติเลือดครั้งนี้ ถูกยัดเยียดด้วยสาเหตุและเหตุผลให้นางต้องร้ายจนดูมากไปสักนิด ซึ่งเราก็เข้าใจในตรงนี้เพราะไม่อย่างนั้นพล้อตที่วางไว้คงไม่ลงตัว  

อืม กับติดใจอีกนิด เพราะเรื่องนี้เปิดด้วยฉากความตายของทายาทคนหนึ่งของตระกูลอาถรรพ์นี้ แต่พอถึงท้ายเล่มการคลี่คลายความตายของตัวละครนี้ดูไม่ค่อยมีน้ำหนักเท่าไหร่ อาจด้วยว่าเรื่องนี้ปมเยอะ อ่านไปๆ ก็จะมีอะไรหลอกล่อกันตลอดก็เลยอาจพรางตาเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ไปได้ คนเขียนเก่งนะ นับถือๆ

แต่ถ้าถามว่าชอบเรื่องนี้ไหม เราชอบนะ ชอบการเดินเรื่องที่กระชับ มีเหตุการณ์อะไรให้ลุ้นตลอด ตัวละครแต่ละตัวโผล่มามีความน่าสนใจดี แต่ถึงตัวละครจะเยอะมว้าก ก็ยังรู้สึกชอบตัวละครเกือบทุกตัว เพราะมีสีสันเหมือนคนจริงๆ ดี โดยเฉพาะหนุ่มๆ บรรดาญาติพี่น้องของนางเอกที่สรวลเสเฮฮากันได้กลมกลืน

ที่สำคัญคือชอบนางเอก โดยเฉพาะฉากที่เธอถามพระเอกตรงๆ ว่า “ตกลงจะจีบไหมคะ จะได้ทำตัวถูก?” ทำเอาพระเอกฮาและบอกว่าก็จะจีบนั่นล่ะ คุณเธอก็ตอกกลับตรงๆ ว่า ไลฟ์สไตล์ไม่เข้ากันหรอก (แต่สุดท้ายได้ข่าวว่าก็ลงเอยที่รักกันนา) คือความสัมพันธ์นางเอก-พระเอกเรื่องนี้ไม่ค่อยพ่อแง่แม่งอน แต่เพราะต้องฝ่าฟันด้วยกันก็เลยต้องเชื่อใจกันมากกว่า

แต่ไม่ว่าอะไร สำหรับเราแล้วเป็นนิยายที่คุ้ม ตอนแรกว่าจะอ่านแบบ skim แต่กลายเป็นว่าต้องอ่านแบบ scan ไปเสียได้ ^_^

 




Create Date : 10 ธันวาคม 2556
Last Update : 11 ธันวาคม 2556 7:23:23 น.
Counter : 1618 Pageviews.

8 comment
เล่ห์รักลิขิตจันทร์ / ใจพัชร์ (winwin)
 

 

เล่ห์รัก ลิขิตจันทร์ / ใจพัชร์ (winwin)

 

‘อิงจันทร์’ ตามเสด็จเจ้าหญิงแห่งอัลไคมาไปยังอเมริกา เพื่อตามหามารดาที่เคยเข้าใจว่าเสียชีวิตไปแล้ว และได้ช่วยชีวิต ‘อดัมส์ ธอร์นตัน’ เจ้าของบริษัทข้ามชาติยักษ์ใหญ่หนึ่งเดียวที่ราชวงศ์อัลไคมาให้การยอมรับโดยบังเอิญ

      
ครั้นเมื่อเธอได้รับบาดเจ็บ แต่พอลืมตาตื่นขึ้นอีกครั้งบนเตียงของอดัมส์ เธอก็กลายเป็น ‘อีฟ’ สำหรับชายหนุ่มและคนรอบกายไปเสียแล้ว อีกทั้งคนต้นเรื่องก็ดูจะยินดีไม่มีปัญหาเสียด้วยสิ หัวใจพระจันทร์ดวงน้อยจึงเริ่มหวั่นไหว ทว่าส่วนลึกยังหวั่นใจ เมื่อรู้ดีว่าเขาคือชายเพียงคนเดียวที่มารดาของเธอให้ความสนิทสนมมากที่สุดตลอดหลายปีที่ผ่านมา 

        
ท่ามกลางกลรักที่เกิดขึ้น เล่ห์ร้ายรอบด้านยังคงตามประชิด เมื่อการตายที่ยังเป็นปริศนาของน้องชายอดัมส์ในอดีตยังตามหลอกหลอนมาถึงปัจจุบัน แถมปฏิบัติการจากผู้ก่อการร้ายกลุ่มต่อต้านการลงทุนในอัลไคมา ซึ่งงานนี้ไม่ได้พุ่งเป้าไปที่เจ้าของบริษัทกลุ่มธอร์นตันแค่เพียงคนเดียว แต่ยังรวมถึงผู้เป็นดั่งดวงใจแห่งราชวงศ์อัลไคมาอีกด้วย
 
เมื่อศึกรักและศึกรบดาหน้าเข้ามาพร้อมเพรียงกัน อดัมส์กับอีฟแห่ง ค.ศ.นี้จะจับมือกันก้าวผ่านไปได้อย่างไร

 

สำหรับนิยายเรื่องนี้นั้นเราเคยอ่านมาก่อนในอินเทอร์เนท ยังคิดว่าคนเขียนเรื่องนี้ออกแนว “มีกึ๋น” พอตัว และเพิ่งมาทราบทีหลังว่าเป็นนามปากกาใหม่ของ win-win (ซึ่งก็ไม่เคยอ่านงานเค้าเต็มๆ สักที) แต่ก็พอรู้มาบ้างว่านักเขียนคนนี้เคยมีงานเขียนชิ้นเอกอย่าง รักนี้ข้ามกาลเวลา Lady of the sea และ รักนี้ข้ามขอบฟ้า Lady of Keyman ซึ่งก็ได้ยินว่าเป็นผลงานขายดีของ สนพ คัมออน เลยทีเดียว ดังนั้นจึงไม่แปลกใจที่ เล่ห์รัก ลิขิตจันทร์ จะมีร่องรอยงานเขียนที่เนี้ยบพอตัว 

 เรื่องราวโดยย่อก็คล้ายที่ปรากฏบนปกหลัง เปิดเรื่องด้วยนางเอกลูกครึ่งซึ่งเดินทางมาอเมริกากับราชวงศ์ของประเทศอัลไคมา ส่วนพระเอกเป็นนักธุรกิจอเมริกันร่ำรวยและเป็นเจ้าของกลุ่มบริษัทที่กำลังจะเข้าไปลงทุนในอัลไคมา แต่เรื่องนี้ก็ไม่ได้ว่าด้วยพระเอกรวยโหดเถื่อนถ่อย ลากนางเอกไปทำเมีย การพบกันของพระเอก-นางเอกอาจเป็นเรื่องบังเอิญ แต่คนสองคนก็ค่อยๆ ประทับใจในกันและกันทีละน้อย โดยนางเอกนั้นมีความตั้งใจคือมาตามหาแม่ ซึ่งก็บังเอิญว่าแม่เธอเป็นดาราสาวใหญ่ที่เป็นข่าวอยู่กับพระเอกในตอนนี้ (แต่จริงๆ พระเอกกับแม่นางเอกเป็นเพื่อนกันนะ ไม่ได้เป็นอะไรมากกว่านั้น)  

 

จากนั้นเรื่องราวก็เข้มข้นขึ้นเพราะมีเหล่าร้ายคอยลอบทำร้ายทั้งฝ่ายพระเอก นางเอก เรียกได้ปมหลักเรื่องครอบครัวและความสัมพันธ์ตัวละครก็ว่าเข้มข้นแล้วนะ แถมยังมีปมรองในเรื่องการหักเหลี่ยมเฉือนคมของเหล่าร้ายข้ามชาติวางเอาไว้แน่นเอี้ยด เรื่องนี้จึงอ่านไปลุ้นไป  

 

สิ่งที่โดดเด่นของนิยายเรื่องนี้ คือบุคลิกตัวละครที่ดูสุขุมเป็นผู้ใหญ่ และไม่งี่เง่า อดัมส์พระเอกของเรื่องที่เป็นนักธุรกิจร่ำรวยก็จะไม่ใช่แนวเพลย์บอยที่ใช้ผู้หญิงเปลืองเหมือนน้ำเปล่า แต่เขามีเหตุมีผลและการพูดจาฟังดูน่าเชื่อถือ นางเอกของเรื่องเองก็ดูฉลาด พูดจาฉะฉาน ใจเย็นต่อทุกสถานการณ์ ที่สำคัญนางเอกเรื่องนี้ฉลาดในการแก้ปัญหาด้วยตัวเอง (ไม่ใช่อ่อนแอทำอะไรไม่เป็น) โดยผู้เขียนเข้าใจใช้ทริกเล็กๆ น้อยๆ ให้นางเอกแก้ปมปัญหาการสืบหาตัวคนร้ายได้อย่างน่าสนใจ  

 

ดังนั้น ข้อดีของนิยายเรื่องนี้สำหรับเรา คือมันไม่ใช่นิยายดาษๆ ที่ว่าด้วยพระเอกหล่อรวย นางเอกสวยเลิศ แต่ลักษณะนิสัยตัวละครที่ค่อนข้างมีเหตุผลนั้นทำให้การเดินเรื่องของนิยายละมุนมากขึ้น และรู้สึกเลยว่าพระเอกรักนางเอกที่เธอเป็นเธอ ที่สมองเธอด้วย ส่วนนางเอกก็เข้าใจและรักพระเอกด้วยเหตุผลดี ตัวละครอย่างแม่นางเอกก็ดูเป็นผู้หญิงน่าเห็นใจและแกร่งดี พร้อมตัวละครสมทบอื่นๆ ที่ไม่มีตัวไหนงี่เง่าเกินไป (ยกเว้นตัวร้ายบางตัว แต่ก็ไม่ขัดตานัก) อืม...อันนี้อาจเป็นความเห็นส่วนตัวว่าตอนอ่านอาจไม่เข้าใจฉากบู๊ไปสักนิดเพราะตัวละครมันเยอะและไม่รู้ว่าใครทำอะไรตรงไหนบ้าง ซึ่งคิดว่าเป็นข้อกำจัดของนิยายเพราะมันเป็นตัวอักษร จึงทำให้คนอ่านเช่นเราไม่เห็นภาพตรงนี้ชัดเจนนัก

 

อีกอย่างที่คิดว่าชอบ คือบทสนทนาตัวละครที่คม กระชับ เข้าใจง่าย แต่ทั้งนี้สำหรับต้นฉบับเวอร์ชั่นก่อนตีพิมพ์นั้น เราเคยคิดว่าหลายครั้งที่บทสนทนาจะสั้นห้วนจนเคยงงเหมือนกันว่าตัวละครไหนพูดอะไร แต่ก็คิดวาฉบับตีพิมพ์นั้นได้แก้ไขข้อบกพร่องตรงนี้ไปบ้าง อาการงงว่าบทพูดนี้เป็นของใครหว่าจึงลดลงบ้างตอนได้อ่านเป็นเล่ม  

 

สรุป เป็นนิยายที่ท้องเรื่องเกิดในต่างแดน (แม้ตัวเอกจะมีเชื้อสายไทย) ไม่มีตัวร้ายแบบนิยายไทยเพราะท้องเรื่องเกิดในต่างแดนและตัวละครก็เป็นต่างชาติหรือลูกครึ่งแทบทั้งหมด เนื้อเรื่องวางพล้อตไว้ซับซ้อนซ่อนเงื่อน แต่ก็มีการคลายปมที่เหมาะสมใช้ได้ ใครชอบแนวพระเอก-นางเอกรักกันด้วยความรู้สึกดีๆ ต่อกัน ก็น่าจะเป็นแนวที่ใช่ค่ะ (แม้จะไม่รักกันมว้ากกก แบบนิยายเล่มอื่น แต่ก็รู้สึกได้ว่าเป็นความรักและเข้าใจกัน)

 




Create Date : 01 ธันวาคม 2556
Last Update : 11 ธันวาคม 2556 7:23:51 น.
Counter : 1399 Pageviews.

10 comment
เงาซ่อนเงา / ปลายตะวัน VS คือ...เธอ / พิมลพัทธ์
 

VS

เงาซ่อนเงา / ปลายตะวัน VS คือ...เธอ / พิมลพัทธ์

 

ในความคล้าย ต่างฝ่ายต่างก็มีข้อดีของตนเอง

 

 

ช่วงนี้เราอยู่ในยุค retro ของตัวเองคือนึกครึ้มควานหางานเขียนเก่าๆ เกินห้าปีก่อนนี้มาอ่าน จึงขอหยิบงานเก่าสักเจ็ดแปดปีก่อนมาเอ่ยถึงพร้อมๆ กันเลยเพราะงานสองชิ้นนั้นมีความคล้ายกันในแง่ของพล้อตค่อนข้างมาก

แต่บล้อกนี้ก็ไม่คิดจะจับผิดว่าใครลอกใคร เพราะบรรดาพล้อตนิยายในโลกมันก็มีแม่พิมพ์อยู่ไม่กี่แนว ขึ้นกับใครจะปรุงให้ต่างกันและมีกึ๋นในแบบตัวเองมากกว่า และจะว่าไปพล้อตประเภทสลับร่างก่อนหน้านี้ก็มีมากมาย เช่นพรพรหมอลเวง ของคุณกิ่งฉัตร ก็เป็นการสลับร่างของหญิงสาวกับเด็กหญิง หรือนิยายเรื่อง หัวใจมีเงา ของ ชลาลัย ก็ว่าด้วยนักข่าวสาวที่เสียชีวิตแล้วไปเข้าร่างคุณหนูไฮโซเหมือนกัน (รู้สึกเคยเป็นละครด้วยนะเรื่องนี้) และสำหรับเราแล้วสองเรื่องนี้แค่พล้อตคล้ายกัน แต่การเดินเรื่องต่างกันโดยสิ้นเชิง

 

 

 

 

งานเขียนทั้งสองเรื่องเคยเผยแพร่ลงเวบพันทิพเหมือนกัน และดูเหมือนว่า “เงาซ่อนเงา” นั้นน่าจะเขียนขึ้นก่อนนิยายเรื่อง “คือ...เธอ” เสียอีก แต่ได้ตีพิมพ์ในปีเดียวกัน (พ.ศ. 2548) ขอเริ่มจากเรื่องย่อแล้วกันว่าเป็นยังไง

 

เงาซ่อนเงา เป็นเรื่องของมนัสวี สาวเริงร่ากล้าสู้คน ได้พบกับคุณหนูอันธิกาแห่งตระกูลสุริยะฉัตรด้วยความบังเอิญ ความกล้าหาญและแข็งแกร่งของมนัสวีเป็นสิ่งที่อันธิกาประทับใจเพราะอันธิกาเป็นคุณหนูผู้มีร่างกายอ่อนแอ (โรคหัวใจ) มาแต่เด็ก เธอถูกหมั้นหมายไว้กับชายหนุ่มชาติตระกูลดีพอกันชื่อ ธีธัท ซึ่งเขาเอ็นดูอันธิกาในฐานะน้องสาวเท่านั้น ความสัมพันธ์ระหว่างธีธัทและอันธิกาค่อนข้างจืดชืดในความรู้สึกชายหนุ่ม แต่เขาก็ยังคงหมั้นหมายกันไว้เพราะธีธัทเป็นรองประธานบริษัทสุริยะฉัตร ซึ่งเป็นกิจการของครอบครัวอันธิกา และครอบครัวทั้งสองสนิทรักใคร่กัน

 

วันหนึ่งอันธิกาโรคหัวใจกำเริบต้องผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ พอดีกับที่มนัสวีประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตในเวลาใกล้เคียงกัน มนัสวีเคยยื่นบริจาคอวัยวะเอาไว้ หัวใจเธอจึงถูกผ่าตัดเปลี่ยนให้อันธิกา แต่เมื่ออันธิกาตื่นขึ้น...ก็กลายเป็นว่าจิตมนัสวีต่างหากมาอยู่ในร่างนี้ ส่วนอันธิกาเป็นฝ่ายจากไป มนัสวีในร่างอันธิกาแทบรับไม่ได้กับสิ่งที่เกิด ธีธัทบอกว่าเธอคืออันธิกาแต่เธอก็ไม่เชื่อ แต่สุดท้ายก็ได้ทราบว่าร่างมนัสวีของตนนั้นถูกเผาไปแล้ว มนัสวีจึงต้องยอมรับสิ่งที่เป็น

 

เมื่อสาวมั่นมาอยู่ในร่างคุณหนูนุ่มนิ่ม ความเปลี่ยนแปลงทั้งหลายก็บังเกิด ธีธัทเริ่มแปลกใจที่คู่หมั้นผู้เคยเงียบเชียบคล้ายไดอารี่ที่ใครก็ขีดเขียนอะไรลงไปก็ได้ กลายเป็นหนังสือเล่มหนาที่ไม่มีใครจะอ่านทางเธอได้ อันธิกาคนใหม่กล้าท้าชน พูดจาฉะฉาน กล้าอาละวาด แถมยังทำเหมือนไม่แคร์เขาเลยด้วยการบอกกับพ่อแม่เธอชัดเจนว่าจะไม่แต่งงานกับเขาง่ายๆ โดยที่ไม่ได้รัก ความเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้คู่หมั้นหนุ่มรู้สึกว่าเขาเริ่มรู้สึกกับน้องสาวคนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว และกลายเป็นว่าเขาต้องกลายเป็นฝ่ายไล่ตามเธอให้ทัน

 

(เอาเรื่องย่อแค่นี้แล้วกัน พล้อตจากนี้นางเอกก็เข้ามามีบทบาทในบริษัทมากขึ้น มีตัวร้ายเข้ามาจะแก่งแย่ง แต่คุณเธอก็เหวี่ยงกลับได้สมน้ำสมเนื้อ ยิ่งเธอแรงเท่าไหร่ ธีธัทก็ยิ่งสนใจและหลงรักนางเอกมากขึ้นเท่านั้น จนสุดท้ายมนัสวีก็ลงเอยด้วยดีกับธีธัท และยังมีคู่รองอีกสองคู่ในอ่านในเล่ม)

 

ส่วนเรื่อง คือ...เธอ นั้นก็ว่าด้วยนางเอกสาวห้าวมาดทอมนิดๆ อย่าง อรกานต์ ที่ถูกรถชนด้วยน้ำมือของสาวไฮโซร่วมคณะที่เธอชังหน้า คือ ธีร์วรา หรือไทร่า ร่างของอรกานต์เสียชีวิต แต่วิญญาณของอรกานต์กลับมาอยู่ในร่างของไทร่า (วิญญาณไทร่านั้นหมดบุญไปแล้ว) ซึ่งก็ทำให้สาวห้าวอึดถึกต้องปรับตัวอยู่พักใหญ่กับร่างอันบอบบางแสนสวยนี้

 

อรกานต์ปรับปรุงชีวิตไทร่าใหม่ทั้งหมด กลายมาเป็นคุณหนูสู้งานที่กลับจากเมืองนอกก็มาทำงานโรงแรมหรู แต่เรื่องราววุ่นๆ ก็เกิดขึ้นมากมายเพราะอดีตของไทร่านั้นค่อนข้าง “ผ่านมาเยอะ” ซึ่งไฮโซหนุ่มลูกชายคนเล็กของธนาคารชื่อดังของไทยก็สนใจในตัวเธอ กฤติณ เข้าใจว่าเธอยังเป็นไทร่าคนเดิมที่ได้มาง่ายๆ (เพราะเพื่อนเขาหลายคนก็เคยคั่วไทร่ามาแล้ว) แต่ปรากฏว่าอรกานต์ในร่างไทร่าทำให้กฤติณแปลกใจไปหมดกับพฤติกรรมเธอคนนี้ ใจนึงเขาอยากเอาชนะ ใจนึงก็ตามประสาผู้ชายทั่วไปที่อยากได้สาวสวย ซึ่งอรกานต์เองก็เดาได้ว่าเขาต้องการอะไรจากเธอจึงเหวี่ยงเขาไปยกหนึ่ง จนสุดท้ายทั้งสองก็ตกร่องปล่องชิ้นแต่งงานกันเพราะจะเอาชนะคะคานกัน (แต่สุดท้ายก็กลายเป็นความรักนั่นล่ะ)

 

เอาล่ะ จุดเด่นของคือ...เธอ คือเรื่องราวการใช้ชีวิตที่ต้องฝ่าฟันมรสุมของอรกานต์ในร่างของไทร่าผู้เคยมีชีวิตแหลกเหลว แต่อรกานต์ก็ได้เห็นอดีตของไทร่าและเข้าใจว่าแท้จริงไทร่าแม้จะร่ำรวยแต่ไม่มีใครสนใจ ผ่านความผิดหวังจากผู้ชายมามากจึงไม่เปิดใจรับใครอีก และยังไม่มีเพื่อนแท้อย่างอรกานต์ที่มีเพื่อนสนิทที่เข้าใจด้วย จุดเด่นอีกอย่างที่เราชอบคือการให้พระ-นาง ยอมรับเรื่องร่างไทร่าที่ไม่ใช่สาวใสบริสุทธิ์ ซึ่งตอนแรกก็เหมือนจะผ่านได้ด้วยดี แต่เหล่าตัวร้าย (บรรดากิ๊กเก่าทั้งพระเอกและของไทร่า) ก็ดาหน้ากันมาเยอะเอาการ ฝ่ายพระเอกหึงบ้าง ฝ่ายนางเอกช้ำใจบ้าง โหย...คนอ่านลุ้นนะเนี่ย

 

ไม่อยากเปรียบเทียบว่าชอบเล่มไหนเพราะต่างกันทั้งสองเล่ม แต่สำหรับ “เงาซ่อนเงา” นั้นคิดว่าการเดินเรื่องมีช่องโหว่ให้เห็นค่อนข้างมาก หลายครั้งที่เหตุการณ์ดูกระโดดไปมา (โดยเฉพาะช่วงแรกของเล่มที่คนอ่านยังงงๆ ว่าใครอยู่ในร่างใครกันเนี่ย) อ้อ อีกอย่างที่ขัดตาคือคำสะกดผิดที่มีมากเสียจนน่าตกใจว่าคนเขียนไม่รู้จริงๆ ว่าสะกดที่ถูกคืออย่างไร แล้ว สนพ ปล่อยให้คำผิดมากมายขนาดนี้หลุดมาได้ยังไง ในขณะที่ “คือ...เธอ” ค่อนข้างสมบูรณ์ในแง่นิยายเพราะตัวพล้อตและการเดินเรื่องทำได้สมูทดี และจบเรื่องได้สมบูรณ์ด้วย จึงไม่แปลกใจที่คือเธอ ค่อนข้างเป็นที่ชื่นชอบของใครหลายคน

 

แต่สำหรับเรานั้น เงาซ่อนเงา แม้จะมีบางส่วนที่อ่านแล้วกะพร่องกะแพร่ง แต่กลับมีหลายส่วนที่มีเสน่ห์ทางงานเขียนพุ่งสูงชนิดไม่น่าเชื่อ เช่นการใส่แนวคิดอาร์ตๆ ลงไปในเรื่อง คำพูดคมๆ ของตัวละครเกี่ยวกับชีวิตและความรัก ซึ่งหาได้ไม่ง่ายนักในนิยายปัจจุบัน และสำหรับเราสิ่งที่ทำให้นิยายโดดเด่นอีกอย่างคือตัวนางเอกของเรื่องที่ “แซ่บเว่อร์” เรียกว่านางร้ายมาไม้ไหนก็เหอะ เธอเชือดกลับได้หมด (พระเอกได้แต่ทำตาปริบๆ แต่ก็หลงรักอันธิกาเวอร์ชั่นบู๊คนนี้หัวปักหัวปำ)

 

 ส่วนคือเธอของพิมลพัทธ์นั้น สิ่งที่โดดเด่นที่สุดในความคิดเราคือพัฒนาการความรักของตัวละครที่มีเหตุผล มีที่มาที่ไป โดยเฉพาะชีวิตคู่ของพระ- นาง ที่โหดบ้างหวานบ้าง (หึงทีนึงก็ปล้ำกันนัวเนีย อ่านแล้วได้อารมณ์ยิ่งทะเลาะยิ่งลูกดกจริงด้วย) ที่สำคัญนางเอกเรื่องนี้เธอช่างเป็นสาวแกร่งแรงเกินร้อย (แต่ก็โดนกระทำบ่อยมาก) องค์ประกอบต่างๆ ทำให้เรื่องคือเธอ ค่อนข้างมีมิติความจริงมากกว่า แต่ทั้งนี้ทั้งสองเล่มก็หยิบมาอ่านได้บ่อยๆ โดยไม่เบื่อ

 

ดังที่บอกว่าการหยิบนิยายที่พล้อตคล้ายกันสองเรื่องมาเอ่ยถึงในคราวเดียวนี้ ไม่ได้มีเจตนาจะบอกว่าใครกำลังพยายามลอกใคร เพราะจากความรู้สึกตอนอ่านเราก็รู้ได้ว่าสองเล่มนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกันทั้งสิ้น นอกจากพล้อตที่ว่าร่างนางเอกดับสิ้นลงแต่วิญญาณเธอไปอยู่อีกร่างหนึ่งจึงเกิดเรื่องราวมากมาย ความสามารถอย่างหนึ่งของคนเขียนในการใส่องค์ประกอบที่แสดงตัวตนของตัวเองลงไป จะทำให้เรื่องราวมีสีสันและประทับใจคนอ่าน ดังเช่นทั้งสองเรื่องที่การดำเนินเรื่องไม่เหมือนกัน บรรยากาศต่างกัน

 

อ้อ และน่าเสียดายอย่างหนึ่งที่ไม่ได้เห็นผลงานจากผู้เขียนทั้งสองมาหลายปีแล้วนอกจากเล่มดังกล่าวในช่วงเวลาหลายปีก่อน ได้แต่หวังว่าจะได้เห็นนิยายดีๆ อีกต่อไปบนแผงหนังสือต่อจากนี้จากนามปากกาอื่นเรื่อยไป




Create Date : 27 พฤศจิกายน 2556
Last Update : 28 พฤศจิกายน 2556 9:37:14 น.
Counter : 3940 Pageviews.

12 comment
ตราบจนสิ้นกรรม / ปองพล อดิเรกสาร

 

ตราบจนสิ้นกรรม / ปองพล อดิเรกสาร

Until the Karma ends/ Paul Adirex

 

นิยายที่ไม่ได้แค่เหมือนจริง แต่เล่นกับข้อมูลจริง

 

(เรื่องย่อจากในอินเทอร์เนท ไม่ได้เขียนเองแต่ประการใด) แลนซ์ เบลลิงเจอร์ เจ้าหน้าที่ซีไอเอสหรัฐฯ ได้รับคำสั่งให้มาปฏิบัติหน้าที่ในการจารกรรมและพบปะกับผู้นำของชนกลุ่มน้อยในพม่า เพื่อดำเนินการกระตุ้นให้ชนกลุ่มน้อยพยายามรวมตัวกันเพื่อแยกตัวเป็นเอกราชจากพม่า หลังจากที่ต้องตกอยู่ภายใต้การกดขี่ของรัฐบาลทหารพม่าหรือ SLORC ผ่านทางมูลนิธิ Hope and Happiness ซึ่งการดำเนินการผ่านทางมูลนิธินี้ได้เคยทำให้สาธารณรัฐทั้งสิบห้าได้แยกตัวเป็นอิสระ จนมีผลให้สหภาพโซเวียตล่มสลาย ตามแผนนี้ หากดำเนินการได้สำเร็จ พม่าจะกลายเป็นประเทศสามประเทศ คือเมียนมาร์ (Myanmar) อยู่ตรงกลางประเทศ พม่าตะวันตก(West Burma) เป็นของชนกลุ่มน้อยชิน คะฉิ่น และอาระกัน(ยะไข่) และพม่าตะวันออก(East Burma) เป็นของชนกลุ่มน้อยฉาน(ไทใหญ่) กะเหรี่ยง คะยาห์และมอญ ซึ่งผู้ที่อยู่เบื้องหลังการขับเคลื่อนนโยบายนี้ คือเคนริก โฮป นักธุรกิจใหญ่ในด้านปิโตรเลียม และเจ้าของมูลนิธิ Hope and Happiness



 

สรุปคือตอนหลังโฮปเกิดเปลี่ยนใจ ไปสนับสนุนสลอร์คแทน และให้อีโนลาไปติดต่อกับคาร์แดลเพื่อหาอาวุธมาสังหารรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ที่จะมาประชุมที่กรุงเทพฯ โดยเป็นอาวุธของจีน และทางการจีนก็ไม่ได้เข้าประชุมเพราะประท้วงไทยกรณีที่ประธานาธิบดีไต้หวันมาเยือนไทย และการสังหารนั้นจะมีผลให้เจ้าหน้าที่ระดับสูงของหลายประเทศรวมทั้งพม่าต้องตายไปด้วย และพม่าก็จะเลิกติดต่อกับจีน บริษัทของโฮปก็จะได้ประโยชน์จากพม่าไป

 

(นอกเรื่อง ตอนแรกก็งงว่าชื่อเรื่องนี้เกี่ยวกับอะไร เกี่ยวกับการเมืองและจารชนได้อย่างไร จนกระทั่งถึงตอนท้ายนั่นล่ะ...จึงเข้าใจว่าเพราะอะไร)

 

ไหนๆ ก่อนนี้หยิบ แม่โขง ของปองพล อดิเรกสาร มาเอ่ยถึงแล้ว ก็ขอต่อด้วยนิยายจารชนผสมการเมืองระหว่างประเทศของท่านเลยแล้วกัน ความจริงเรื่องนี้น่าสนใจมากเพราะพล้อตว่าด้วยการเมืองแบบถึงพริกถึงขิง สมกับความเป็นนักการเมืองของคนเขียนเลยทีเดียว เนื้อหาว่าด้วยการเมืองระหว่างประเทศในปัจจุบัน การจารกรรม การแทรกแซงในรัฐชาติเล็กๆ เพื่อผลประโยชน์ ความซับซ้อนของนิยายเรื่องนี้จึงนับว่ามากเอาการเพราะเกี่ยวข้องกับการหักหลังกันไปมาที่ซ้อนทับกันในผลประโยชน์ทั้งทางธุรกิจและทางการเมือง

 

เทียบกับแม่โขงที่เล่มนั้นหยิบหลายประเด็น แต่เรื่องแม่โขงนั้นก็มีความกลมกล่อมในตัว ส่วน ตราบจนสิ้นกรรม นั้นสามารถแบ่งพาร์ทเป็นสองส่วนได้ในความคิดเรา คือส่วนแรกที่พระเอกนางเอกตะลุยไปตามแนวชายแดนพม่าเพื่อตกลงกับชนกลุ่มน้อยที่ต่อสู้กับรัฐบาลเผด็จการ และในส่วนหลังคือแผนร้ายของนักธุรกิจอเมริกันที่คิดจะลอบสังหารรัฐมนตรีชาติอเมริกันเพื่อป้ายความผิดให้จีน เพื่อผลประโยชน์ในการเข้าไปพม่าให้มากขึ้น (โห...เลวลึก) แล้วสุดท้ายตอนจบก็ไม่มีใครได้อะไรจากแผนร้ายต่างๆ นอกจากสร้างความบาดหมางให้มากกว่าเดิม

 

ที่บอกว่าเล่นกับข้อมูลจริง เพราะชื่อพรรค ชื่อสถานที่ ชื่อบุคคลที่เอ่ยถึงล้วนเป็นของจริงทั้งนั้น แต่ก็เป็นเรื่องจริงที่ผ่านมาแล้วหลายปีจึงปรากฏว่าเจ้าของชื่อหลายชื่อไม่อยู่บนโลกนี้ไปแล้ว (เช่น ส่วยจิน ของพรรคมอญ, ขุนส่า ของไทยใหญ่, หรือโบเมียะของกะเหรี่ยง ตัวละครเหล่านี้มีตัวจริงและถึงแก่กรรมไปแล้ว) แต่ถึงอย่างนั้นฉากตอนพระเอกนางเอกไปสังขละบุรีทำเอาเราสะดุ้ง เพราะคนเขียนเอ่ยชื่อโรงแรมศรีแดง โรงแรมสามประสบ ด่านชายแดนละฮอกกานี ซึ่งยังคงมีอยู่ในปัจจุบันเป๊ะ คงจะอย่างที่คนเขียนบอกว่าก่อนเขียนเรื่องนี้นั้นได้เดินทางไปสถานที่จริงมาหมดแล้ว ทุกอย่างจริงเหมือนจริง เหมือนคนเขียนได้พาเราไปพบนักการเมืองและเรื่องราวเหล่านั้นมาจริงๆ

 

ส่วนเรื่องความรักของตัวละคร อย่างน้อยก็ยังมีพระเอก-นางเอกด้วยนะ โดยพระเอกเป็นซีไอเอ มือฉมัง เก่งด้านข้อมูล ส่วนนางเอกเป็นลูกครึ่งพม่า-อเมริกัน แต่ถ้าจะถามเรื่องความสัมพันธ์ตัวละครก็...เอ่อ...อย่าไปสนใจเลยเพราะมันเป็นแค่น้ำจิ้มของนิยายเรื่องนี้เท่านั้น เพราะเรื่องนี้เค้าบู๊กันล้างผลาญ ชนิดอ่านแล้วงงๆ เลยว่าใครทำอะไรเพราะเราไม่ใช่คอนิยายบู๊เท่าไหร่

 

แต่สิ่งหนึ่งที่รู้สึกตงิดๆ ตอนอ่านก็คือ....อเมริกัน... ทำไมชอบไปยุ่งกับเรื่องชาวบ้าน (ฟะ?) ผลงานตัวเองทำโซเวียตแตกไม่พอ ยังยื่นมือเข้ามาสอดเรื่องการเมืองในพม่าอีก แต่ก็ดันทำไม่สำเร็จ แถมทำให้อะไรเลวร้ายกว่าเดิมด้วย ซึ่งเราคิดว่าในโลกความจริง...การยื่นมือเข้ามาแทรกของตะวันตกก็มีส่วนทำให้พม่าเป็นอย่างนี้เหมือนกัน (เอาง่ายๆ การที่อังกฤษปกครองพม่าตอนอาณานิคม นั่นก็สร้างความแตกแยกให้ชนกลุ่มต่างๆ มากพอดูแล้ว)

 

ตราบจนสิ้นกรรม ชื่อเรื่องของเรื่องนี้ ได้เป็นคำตอบในตอนสุดท้ายที่ทุกอย่างพังพินาศ แผนการของซีไอเอล้มเหลวเพราะความเห็นแก่ตัวของอเมริกันด้วยกันเอง พระเอกนางเอกถูกหักหลังแทบเอาชีวิตไม่รอด แผนการแยกประเทศของชนกลุ่มน้อยล้มครืนเพราะชนแต่ละกลุ่มก็ไม่แข็งแกร่งในตัวเอง พลเรือนต้องพลัดที่นาคาที่อยู่จากสงครามเผ่าพันธุ์ระหว่างรัฐบาลพม่าและชนกลุ่มน้อย

 

นางเอกของเรื่องซึ่งเป็นชาวพุทธได้บอกกับพระเอกว่า...ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะกรรมเป็นตัวกำหนด ชนกลุ่มน้อยเหล่านั้นและรัฐบาลต้องประหัตประหารกันไม่จบสิ้น...ก็เพราะทำกรรมเกี่ยวกับพันไว้ และความขัดแย้งนี้ก็จะไม่จบสิ้น...ตราบจนสิ้นกรรม

 

อันนี้เป็นความเห็นส่วนตัวเรื่องชนกลุ่มน้อยในพม่านั้นไม่สามัคคีกันจริง แต่ละกลุ่มก็เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง แม้เราเองก็ไม่ได้รู้อะไรมากมาย แต่จากการได้สัมผัสกับสิ่งเหล่านี้มาบ้างก็บอกได้เลยว่าก้าวต่อไปของประเทศสหภาพเมียนมาร์ (ชื่อใหม่เค้า) น่าจะต้องแก้ปัญหาเรื่องชาติพันธุ์กันอีกยาวนาน 

 




Create Date : 26 พฤศจิกายน 2556
Last Update : 27 พฤศจิกายน 2556 9:07:40 น.
Counter : 2862 Pageviews.

7 comment
1  2  3  4  5  6  

ณ พิชา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]



I think, therefore, I am