right to refuse
จริง ๆ เรื่องเหยียดผิวในอเมริกา เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยมาก และ "รับรู้" + "รู้สึก" อยู่เป็นกิจวัตร
พอเกิดเรื่องในร้านกาแฟโลโก้เขียว เลยไม่แปลกใจอะไร หลังการประกาศปิดสตาร์บั๊คส์ ทั่วประเทศ ในครึ่งบ่ายวันอังคารที่ 29 พฤษภาคม 2018 ก็ไม่คิดว่าจะมีข่าวเหยียดผิวอะไรอีก แต่ก็เกิดขึ้นจนได้ แถมเป็นสาขาในเมืองที่อยู่ด้วย
จริง ๆ เรื่องถามชื่อลูกค้าเพื่อเขียนบนแก้ว ก็เป็นเรื่องมานานแล้ว แค่หนนี้ มาเกิดในช่วงคดีเหยียดผิวกำลังดัง จากชื่อ peter เป็น beaner เลยถูกสื่อโหมกระพือ
เอาว่า คอกาแฟก็รอดูผลหลังสตาร์บั๊คส์ประกาศปิด เพื่ออบรมพนักงานเรื่องเหยียดผิวแหละ
แล้วบ่ายวันอังคารที่ขับรถไปซานดิเอโก ก็เลยเห็นทุกสาขาปิดกันเป็นแถว
ก็ทั่วประเทศอะเนอะ คอกาแฟลงแดงกันเป็นแถบ
พอบ่ายวันรุ่งขึ้น นัดกินข้าวเที่ยงกับเพื่อนที่ artesia และเพื่อนชวนไปสตาร์บั๊คส์ใกล้บ้านนาง เพราะนางเป็นสาวกโลโก้เขียว นางรู้ว่า ฉันเป็นคอกาแฟร้านอิสระแหละ แต่หนนี้ นางขอ เลย ไปก็ไป
ผลคือ ลูกค้าน้อยกว่าปกติจริงนั่นแหละ แล้วก็มีประกาศแปะอยู่ 1 กระดาษ A4 เรื่องนั่นนี่นู่น อารมณ์ประมาณ ให้ลูกค้าคิดถึงใจเขาใจเรา ให้ลูกค้าช่วยรักษามลภาวะทางเสียง ให้ลูกค้าเข้ามาใช้บริการอย่างเหมาะสม และสุดท้าย พนักงานมีสิทธิ์ขอให้ลูกค้าออกจากร้าน หากพบว่า ลูกค้าประพฤติไม่เหมาะสม
ฉันกับเพื่อนนั่งอ่านประกาศที่ติดอยู่ตรงซอกร้าน แล้วบอกแก่กันว่า สรุปก็เหมือนป้ายที่ติดตามร้านทั่วไป ที่ว่า
We reserve the right to refuse service to anyone.
แค่นั้นเอง
จริง ๆ ไม่ต้องปิดร้านก็ได้นะ แค่ซื้อป้ายมาติดตรงหน้าทางเข้าร้าน แค่นั้นแหละ พอ
ข่าวออกมาบอกว่า ปกติ สตาร์บั๊กส์ขายได้เฉลี่ยสาขาละ $4,400 เท่ากับวันนั้นก็ไม่ขาดทุนมาก เพราะเป็นบ่ายวันอังคารที่ลูกค้าน้อยกว่าปกติอยู่แล้ว
...
สุดท้ายก่อนจากกัน เพื่อนบอก "หาร้านกาแฟท้องถิ่นแถวบ้านให้ด้วยดิ" นางอยากเปลี่ยนบรรยากาศ!
แอบยิ้ม ๆ กับอารมณ์ปรวนแปรของสาวกพี่บั๊กส์จริง ๆ
Create Date : 02 มิถุนายน 2561 |
Last Update : 2 มิถุนายน 2561 5:40:59 น. |
|
0 comments
|
Counter : 404 Pageviews. |
|
|