Part 5
หลังจากพ้นเขตป่าโปร่งมาแล้ว เด็กชายทั้งสองและสุนัขสีดำก็ผ่านเข้าไปถึงบริเวณเวิ้งเขา ลมหนาวที่พัดอู้อยู่เมื่อครู่ค่อยจางลง แต่ม่านหมอกสีขาวกลับยิ่งหนาทึบมากขึ้น จนผู้ที่ไม่ชำนาญทางเดินสะดุดก้อนหินเสียหลายครั้ง

สุดท้ายมือเล็กของคนที่เดินนำก็ยื่นออกไปเตะกับมือของฝ่ายที่เดินตามหลัง

“หมอกมันลงจัด จับมือกันไว้แบบนี้ จะได้ไม่หลงนะ”

ใบหน้าเรียวขาวคลี่ยิ้มใส แต่เจ้าของมืออีกข้างกลับตีสีหน้าแปลกๆ

นี่เขาไม่เคยเดินจับมือกับใครอย่างนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ? เวลาที่จำเป็นต้องไปไหนมาไหนกับมารดาหรือน้องชายคนเล็ก ซิเรียสจะทิ้งระยะห่างจนเหมือนกับว่า เขากำลังเดินอยู่คนเดียวเสียมากกว่าจะมากับครอบครัว ถึงจะมีอันโดรมีดา ญาติที่เขาด้วยที่สุด แต่ความเป็นเด็กผู้ชายก็ทำให้เขาขัดเขินเกินกว่าจะยอมให้เธอจูงมือ

การตีตัวออกห่างจากผู้คนทำให้เด็กชายผมดำแทบจะลืมไปแล้วว่า สัมผัสที่ถ่ายทอดจากคนหนึ่งมาสู่อีกคนหนึ่งนั้น...อบอุ่นขนาดไหน

“อืม...”

ทายาทตระกูลแบล็คพึมพำตอบ นึกขอบใจหมอกหนาที่ทำให้อีกฝ่ายมองเห็นหน้าเขาไม่ถนัดนัก

“ใกล้ถึงแล้วล่ะ แม่ต้องดีใจแน่ๆ” ประโยคหลังนั้นเหมือนกับว่าฝ่ายเจ้าบ้านพึมพำกับตนเอง ก่อนที่ร่างเล็กจะชะงัก รีบดึงมือของคนที่เดินตามอยู่อย่างกระตือรือร้น “นั่นไงๆ สวยไหม ซิเรียส”

เด็กชายผมดำมองตามสายตาของอีกฝ่าย แล้วเขาก็อดอุทานออกมาไม่ได้ “โอ้โห...”

เบื้องหน้าของทั้งสอง คือเวิ้งผาขนาดใหญ่ที่โอบล้อมรอบบริเวณนั้นจนกลายเป็นเหมือนผนังสูงลิบ แต่ที่ทำให้ประหลาดใจคือ พื้นที่ตรงกลางเวิ้งหิน บริเวณนั้นถูกปกคลุมไปด้วยพรมสีขาวบริสุทธิ์ เมื่อมองดูใกล้ๆ แล้วจึงเห็นว่าเป็นดอกไม้ดอกเล็กรูประฆัง ซึ่งห้อยย้อยลงมาจากก้านอันอ่อนช้อยของมัน กลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยผ่านเข้ามาในประสาทสัมผัส

ร่างบางก้มลงแตะกลีบของดอกไม้ที่อยู่ใกล้ตัว น้ำค้างที่เกาะอยู่บนกลีบขาวละเอียดหยาดหยดลงมาบนนิ้วเรียวเล็ก เสียงใสบอกพร้อมกับรอยยิ้ม “ดอกสโนว์ดร็อปไงล่ะ ปกติมันจะขึ้นตอนต้นฤดูใบไม้ผลิ แต่ที่นี่อากาศอุ่นเพราะว่ามีหน้าผาพวกนี้บัง พวกมันก็เลยออกดอกมาทักทายเราก่อนเวลา”

คนเล่ายื่นดอกไม้ในมือมาตรงหน้าเขา

“สวยไหมล่ะ ซิเรียส”

ดวงตาสีเทามองดอกไม้ในมือ ก่อนจะเลื่อนไปยังรอยยิ้มอ่อนใสของคนตรงหน้า รู้สึกอุ่นในหัวใจเหมือนกับว่าความบริสุทธิ์ของอากาศรอบตัวโอบล้อมเข้ามาแทนที่ความว่างเปล่าที่เคยได้รับ เด็กชายคลี่ยิ้มตอบพร้อมกับรับดอกไม้ดอกนั้นมา

“สวยสิ ขอบใจนะ”

เด็กทั้งสองก้มลงเก็บดอกไม้ที่อยู่รอบตัวใส่ในถุงผ้าที่รีมัสติดกระเป๋ามาด้วย โดยระมัดระวังไม่ให้กิ่งก้านและกลีบอ่อนละเอียดพวกนั้นช้ำไป เสียงของฝ่ายเจ้าบ้านเล่าดังแจ๋วๆ ว่ามิสซิสลูปินชอบดอกสโนว์ดร็อปมากที่สุด ถ้าเห็นเข้าคงจะต้องดีใจ และนำไปประดับโต๊ะอาหารเย็นวันคริสมาสต์แน่ๆ

“ปีนี้เป็นคริสมาสต์ที่ดีที่สุดของฉันเลย มีของขวัญให้แม่ประหลาดใจ แล้วมีนายมาฉลองกับเราด้วย”

ใบหน้าเรียวขาวพูดกลั้วหัวเราะพลางก้มลงเก็บดอกไม้ใส่ถุงต่อ ไม่ทันเห็นว่า อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมามองเขาพร้อมกับคลี่ยิ้มบางๆ ซิเรียสแทบจะถอนใจกับความรู้สึกอบอุ่นที่พลุ่งขึ้นมาอีกครั้ง

คริสมาสต์ปีนี้ก็เป็นคริสมาสต์ที่ดีที่สุดในชีวิตของเขาเช่นกัน

..........................................................................


“ข้างหน้านี่ก็ถึงทางออกแล้วล่ะ ซีเรียส รีบกลับกันเถอะ”

ร่างเล็กที่เดินนำไปก่อนหันมากวักมือเรียก ซีเรียส แบล็คจึงรีบสาวเท้าของตนตามไปให้ทัน

ทางเดินแคบๆ ที่พวกเขาจะต้องผ่านนั้นถูกขนาบด้วยผนังหินทั้งสองด้าน ความจริงแล้วมันดูเหมือนกับช่องเขาซึ่งถูกกาลเวลากัดกร่อนจนกลายเป็นรูกว้างขนาดที่ผู้ใหญ่สามารถเดินทะลุเข้าไปได้ แต่ร่องรอยของเถาวัลย์และวัชพืชแห้งๆ ก็บ่งบอกว่า คงไม่มีใครผ่านมาในเส้นทางนี้มานานแล้ว

ทายาทของตระกูลแบล็คเอื้อมมือไปแหวกม่านเถาวัลย์ซึ่งตกระลงมาจากช่องหินข้างบนด้วยสีหน้าประหลาดใจแกมทึ่ง “โห อย่างกับประตูบ้านใหญ่ๆ เลยนะเนี่ย” เขาว่าก่อนจะเดินผ่านมันออกมาพร้อมกับเพื่อนใหม่

ใบหน้าเรียวเล็กของผู้นำทางคลี่ยิ้มคล้ายกับว่านั่นเป็นคำชมสำหรับตัวเขาเอง

“อืม...ทางลับของฉันล่ะ บอกให้นายรู้คนแรกเลย อ้อ...แกด้วยนะ เจ้าหมา” เสียงใสหัวเราะเบาๆ พลางเอื้อมมือไปลูบศีรษะของสุนัขสีดำที่ยืนอยู่ข้างตัว

สัตว์เลี้ยงชั่วคราวส่งเสียงครางเบาๆ เป็นการตอบรับ

แต่ทันใดนั้น ร่างที่มีขนสีดำฟูฟองก็กระตุกเฮือก พร้อมกับส่งเสียงคำราม ดวงตาของมันปูดโปนด้วยความหวาดกลัวกับอะไรบางอย่าง

“เฮ้ เป็นอะไรของแกน่ะ เจ้าหมา”

ซิเรียสพยายามส่งเสียงห้าม แต่แล้วเขาก็รู้สึกเสียวสันหลังวูบ ลมหนาวที่พัดมาจากโตรกเขาเบื้องบนเหมือนจะมีกลิ่นสาบสางของอะไรบางอย่าง สัญชาติญาณทำให้เด็กชายพุ่งเข้าไปหาคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า

“ระวัง!!!”

ร่างของรีมัสถูกกระแทกจนเซถอยไปเบื้องหลัง พร้อมๆ กับที่ร่างร่างหนึ่งกระโจนลงมาจากชะง่อนหินเบื้องบน ลงมายังตำแหน่งที่เขายืนอยู่เมื่อครู่พอดี

ตุบ! กรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรร

เสียงของหนักตกลงบนพื้นอย่างแคล่วคล่อง ตามด้วยเสียงคำรามดุร้าย เด็กทั้งสองเบิกตากว้างทันทีที่เห็นเจ้าของร่างนั้นถนัด

สุนัขป่าตัวใหญ่ ความสูงเกือบเท่าหน้าอกของพวกเขากำลังแยกเขี้ยวคำรามเสียงต่ำ รูปร่างซูบนั้นปกคลุมด้วยขนสีเทาแซมขาว ดวงตาแดงก่ำค่อนข้างขวางและน้ำลายที่ไหลยืดออกมาจากปากอ้ากว้างบอกว่าผู้เป็นเจ้าของกำลังหิวจัด ท่ายืนนั้นเหมือนกับกำลังเตรียมพร้อมจะกระโจนเข้าใส่เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายที่บังเอิญผ่านเข้ามาในความกระหายโหยของมันได้ทันที

“นี่มัน...” เด็กชายผมดำพึมพำ สุนัขป่าที่ออกจากการจำศีลเร็วกว่ากำหนด...เสียงหอนที่เจ้าของร้านของชำในเมืองบอกว่า มีคนได้ยินและเตือนให้ระวัง ต้องเป็นเสียงของเจ้านี่แน่นอน

“เฮ้...นายไม่เป็นไรนะ?” ประโยคหลังกระซิบถามคนที่นั่งตัวสั่นอยู่ข้างกาย แต่ใบหน้าขาวซีดเผือดนั้นเบิกตากว้างอย่างตกตะลึง ซิเรียสต้องจับมือเล็กไว้แน่น ดูเหมือนผู้นำทางของเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะเจอกับแขกไม่ได้รับเชิญแบบนี้เข้า

ก่อนที่ทั้งคู่จะได้ทำอะไร นักล่าผู้หิวโหยตรงหน้าก็สืบเท้าตรงเข้ามาช้าๆ ดวงตาวาววับจับจ้องมาที่เหยื่อ พร้อมกับส่งเสียงขู่

กรรรรรรรรรรร

ซิเรียสรีบคิดหาทางแก้สถานการณ์อย่างเร่งด่วน ดวงตาสีเทามองกวาดไปทั่วเพื่อหาทางหนีทีไล่ โชคร้ายที่บริเวณนั้นห่างออกมาจากป่าโปร่ง ทำให้ไม่มีต้นไม้สูงให้ปีนหลบได้เลย

ทางรอดทางเดียวที่เหลือเห็นจะเป็นซุ้มประตูหินเบื้องหลังซึ่งเจ้าหมาป่าตรงหน้าเพิ่งจะกระโจนลงมา ความชันขนาดนี้คงทำให้สัตว์สี่เท้าแบบนั้นปีนกลับขึ้นไปไม่ได้ง่ายนัก...แต่จะปีนขึ้นไปโดยที่ไม่ถูกตะปบหลังได้ยังไงกันนะ

“ต้องหาทางถ่วงเวลา...”

ทายาทตระกูลแบล็คพึมพำกับตนเองอีกครั้ง มือของเขาเอื้อมไปหยิบก้อนหินก้อนใหญ่ที่ตกอยู่ใกล้ๆ มาถือกระชับไว้กับอุ้งมือ ที่จริงมันก็เสี่ยงอยู่เหมือนกัน แต่ร่างสั่นเทาของคนที่อยู่ข้างๆ ก็เป็นตัวเร่งให้ต้องตัดสินใจ ขืนมัวแต่ลังเลอยู่ เสร็จมันทั้งคู่แน่

ซิเรียสก้มลงกระซิบเพื่อนใหม่ทั้งที่ตายังจ้องดูท่าทีของศัตรูเบื้องหน้า

“นี่...นายเห็นผนังหินข้างหลังใช่มั้ย? เราจะถ่วงเวลาให้ นายรีบปีนขึ้นไปหลบก่อนนะ”

ใบหน้าเรียวผอมรีบเงยขึ้นมองคนพูดด้วยแววตื่นกลัว “ทำอย่างนั้นไม่ได้นะ ซิเรียส! มันอันตราย” ดวงตาสีอ่อนมีเค้าตระหนกอย่างเห็นได้ชัด มือเล็กๆ รีบดึงแขนเสื้อของอีกฝ่ายไว้

“ไม่มีเวลารีรอน่า รีบไปเร็ว”

เด็กชายผมดำผลักคนตัวเล็กกว่าให้ถอยห่าง ยกแขนที่ถือก้อนหินขึ้นเตรียมเล็งไปยังร่างที่กำลังตรงเข้ามาหา

แต่ก่อนที่เขาจะทันได้ทำอะไร ร่างๆ หนึ่งก็พุ่งเข้าใส่สุนัขป่าตัวนั้นเสียก่อน

กรรรรรร

“เจ้าหมา!” เด็กชายทั้งสองแทบจะร้องขึ้นพร้อมกัน สุนัขสีดำขนฟูฟองตรงเข้าฟัดกับสัตว์สายพันธ์เดียวกันที่ตัวใหญ่กว่ามันมากอย่างไม่เกรงกลัว เจ้าถิ่นซึ่งไม่ทันระวังเซถอยไปนิด ก่อนจะตั้งตัวได้แล้วเล่นงานกลับ จนเจ้าหมาร้องเอ๋ง แต่ก็ยังไม่ยอมถอย

ซิเรียสเบิกตากว้างอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนจะได้สติ รีบดึงคนข้างกายวิ่งไปยังที่หลบภัยที่มองไว้

“ตอนนี้แหละ หนีเร็ว!”

ใจหนึ่งก็อดนึกห่วงสัตว์เลี้ยงตัวใหม่ แต่ตอนนี้ความปลอดภัยของร่างเล็กตรงหน้านี้สำคัญกว่า ไม่อย่างนั้นเขาคงกลับไปสู้หน้ามิสเตอร์กับมิสซิสลูปินไม่ได้แน่

คนตัวสูงกว่าดันให้อีกฝ่ายปีนขึ้นไปบนโตรกเขาก่อน รีมัสที่คลายจากอาการตกตะลึงรีบปีนขึ้นไปอย่างคล่องแคล่ว คนข้างหลังเหยียบแง่หินทำท่าจะปีนตามขึ้นไป

กรรรรรรรร

เสียงขู่ดังอยู่เบื้องล่าง ใบหน้าที่มีเค้าคมคายรีบหันกลับไปมอง สุนัขป่าตัวใหญ่นั้นยืนคำรามอยู่พร้อมกับทำท่าจะกระโจนขึ้นมา โดยมีสุนัขสีดำของเขานอนจมกองเลือดอยู่ไม่ไกล “เจ้าหมา...” เด็กชายกัดฟันกรอด มือที่จับชะง่อนหินอยู่นั้นกดแน่น แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากพยายามปีนขึ้นไปต่อ

“ซิเรียส จับมือฉัน”

เด็กชายตัวเล็กที่ปีนขึ้นไปถึงข้างบนแล้วรีบส่งมือมาให้ เด็กชายผมดำพยายามจะยื่นมือออกไป แต่เขากลับถูกแรงดึงจากทางด้านหลัง หมาป่าตัวนั้นกระโจนขึ้นมาเกือบจะถึงจุดที่เขาจับอยู่ ชายกางเกงถูกคมเขี้ยวดึงวูบจนจนแทบจะเสียการทรงตัวตกวูบลงไปเบื้องล่าง ดีว่าจับเอาไว้ทัน

ดูเหมือนว่าสัตว์ผู้ล่าจะไม่ยอมตัดใจจากเหยื่อของมัน ขาทั้งสี่พยายามตะกายผนังหินจนเป็นฝุ่นฟุ้งเพื่อยึดเอาไว้ แต่น้ำหนักตัวของมันบวกกับความหิวโหยทำให้ไม่มีเรี่ยวแรงมากนั้น ร่างใหญ่ที่มีขนรุงรังจึงตกลงไปเบื้องล่างมันหมุนตัวกลับและพยายามกระโจนขึ้นมาอีกครั้ง

คราวนี้รีมัสเป็นฝ่ายเห็นอันตรายใกล้ตัวเพื่อนได้ถนัดกว่า “เร็วเข้า ซิเรียส!” เสียงใสแหบแห้งตะโกน พร้อมกับที่มือของคนที่อยู่เบื้องล่างกำลังจะเอื้อมมาจับมือของเขาไว้ได้

กรรรรรร

“อ๊ะ” เด็กชายผมดำอุทานเมื่อแรงกระชากดึงให้เขาหงายหลังลงไป จมูกระสากลิ่นสางและกลิ่นคาวเลือดจากปากของสุนัขป่าที่งับเสื้อด้านหลังของเขาไว้แน่น มือที่จับชะง่อนหินอยู่เลื่อนหลุดพร้อมกับที่ร่างของเขาดิ่งลงสู่เบื้องล่าง

...แย่ล่ะ เสร็จมัน

ทายาทตระกูลแบล็คคิดพร้อมกับที่ร่างของเขาตกลงมากระแทกพื้น


..........................................................................


“ซิเรียส!!!!!!”

รีมัส ลูปินตะโกนลั่น ดวงตาสีอ่อนเบิกกว้างเมื่อเพื่อนใหม่ถูกสุนัขป่ากระชากจนตกลงไปพร้อมกัน ร่างเล็กกระโจนตามลงมาโดยไม่ต้องคิด แต่เขาตั้งตัวได้ดีกว่าคนที่ตกลงมาตอนแรก รีมัสรีบวิ่งเข้าไปดูเพื่อนใหม่ มือเล็กช้อนแผ่นหลังของคนตัวสูงกว่าขึ้นมาและพบว่าอีกฝ่ายหมดสติไปแล้ว

สติที่หลงเหลืออยู่เพียงน้อยนิดหายไปพร้อมกับน้ำตาที่เอ่อล้นขึ้นมากลบดวงตา

ฝ่ายหมาป่าหิวจัดซึ่งกระเด็นหลุดไปตอนที่เด็กชายคนแรกตกลงมาก็ตั้งตัวได้ มันผวาเข้ามาเมื่อเห็นว่าเหยื่อตัวที่สองลงมาจากที่ซ่อน

กรรรรรรรรร

“หยุด!”

เสียงใสที่เมื่อครู่ยังสั่นกลัวคราวนี้แฝงกระแสกร้าว เด็กชายตัวเล็กหันขวับไปจ้องผู้ล่าด้วยดวงตาวาวโรจน์ สีอ่อนในดวงตาดำด้านในเหมือนจะเรื่อแสง มือทั้งสองซึ่งประคองปกป้องร่างของเพื่อนอยู่นั้นกางออกเล็กน้อย ริมฝีปากบางเผยอจนเห็นคมเขี้ยวที่ยาวขึ้น พร้อมกับคำรามเสียงต่ำผิดจากปกติ

“อย่า-มา-ยุ่ง-กับ-เรา”

บางอย่างในน้ำเสียงทำให้เดรัจฉานผู้ล่าถึงกับชะงักกึก มันทำท่าเหมือนจะกระโจนเข้ามาอีกครั้ง แต่อำนาจอันไม่รู้ที่มาทำให้ต้องหวั่นเกรงจนกายสั่นเทา สุดท้ายมันก็ได้แต่ส่งเสียงครางแล้วหมุนตัวจากไป

เด็กชายผมสีอ่อนมองตามร่างของศัตรูไปจนลับตา ก่อนที่ดวงตาดำเรื่อแสงจะอ่อนลง เปลือกตาหรี่ปรือนั้นหนักอึ้งราวกับได้ใช้พลังในกายไปจนหมดสิ้น แล้วร่างเล็กก็ฟุบลงหมดสติอยู่ข้างๆ กับเพื่อนใหม่ของเขานั่นเอง


..........................................................................


“เป็นไงบ้าง จอห์น พบตัวแล้วเหรอ”

ชายร่างอ้วนใหญ่เปิดประตูออกมารับ ให้มิสเตอร์ลูปินซึ่งอุ้มลูกชายตัวน้อยเดินผ่านเข้ามาในเพิงหลังเล็ก ตามหลังด้วยกลุ่มชายฉกรรจ์ของหมู่บ้าน หนึ่งในนั้นอุ้มร่างของเด็กชายผมดำซึ่งหมดสติอยู่เช่นกัน

“รีมัส” มิสซิสลูปินอุทานทันทีที่เห็นร่างสะบักสะบอมของลูกชาย เธอผวาเข้ามาหาทันที “ลูกเป็นอะไรจ๊ะ พ่อ” ใบหน้าสวยที่ตื่นตระหนกนั้นเงยหน้าขึ้นถามสามี

“แค่หมดสติไปเท่านั้นแหละจ๊ะ”

คนถูกถามเอ่ยปลอบพลางวางร่างของลูกชายลงบนผ้านวมผืนหนาที่ปูรอไว้กลางห้อง “ไม่ต้องห่วงหรอก ทั้งสองคนปลอดภัยดี” เขาว่าแล้วจึงหันกลับไปบอกผู้ช่วยเหลือทุกคนที่ยืนรอยู่เบื้องหลัง

“ขอบคุณทุกคนมากนะครับ ที่ช่วยกันตามหา คืนคริสมาสต์อีฟแท้ๆ” ผู้มาอยู่ใหม่เอ่ยอย่างเกรงอกเกรงใจ “นายด้วยนะ อัลเฟร็ด”

ชายร่างใหญ่หัวเราะอย่างอารมณ์ดี “ไม่เป็นไรหรอกน่า บอกแล้วว่าเราต้องช่วยๆ กัน ที่จริงต้องขอบใจหมาของเจ้าหนูนี่ต่างหาก อุตส่าห์วิ่งมาตามพวกเราถึงในหมู่บ้าน ทั้งที่เลือดโซมตัวแบบนี้”

มือใหญ่ตบลงบนศีรษะที่มีขนฟูฟอง ซึ่งทรุดนั่งอยู่ไม่ห่างจากเด็กชายผมดำที่นอนสลบอยู่ สุนัขสีดำมีผ้าพันแผลพันไว้รอบตัวอย่างหนาแน่น แต่ดูเหมือนมันจะสนใจอาการของเจ้าของเสียมากกว่าจะห่วงความเจ็บปวดของตัว

“ยังไงก็ต้องขอบคุณจริงๆ”

มิสเตอร์ลูปินกล่าวอีกครั้ง เจ้าของร้านชำและคนอื่นๆ ต่างโบกไม้โบกมือว่าไม่ต้องเกรงใจ พลางเอ่ยลา อัลเฟร็ดชะโงกตัวมากระซิบกับหูเพื่อน

“ว่าแต่...คนที่มารับเจ้าหนูนั่นไว้ใจได้แน่นะ หน้าตายังดูเด็กๆ อยู่เลย”

เขาเหลือบตาไปมองร่างสูงเพรียวของคนที่ยืนกอดอกพิงผนังห้องอยู่ข้างเตาผิง ใบหน้าขาวค่อนข้างซีดแม้จะคมคาย แต่ดวงตาสีเงินคู่นั้นกลับมีแต่แววเย็นชา ไม่รู้สึกรู้สาอะไรเมื่อเห็นว่า ‘คนที่ต้องมารับ’ ถูกแบกเข้ามาในสภาพหมดสติ

มิสเตอร์ลูปินลอบถอนใจเบาๆ

“เขามีรูปถ่ายกับจดหมายตามตัวจากพ่อแม่ของซิเรียส ก็คงจะใช่นั่นแหละ ไม่เป็นไรหรอก”

คนฟังพยักหน้า “อืม...แต่ก็ดีแล้วล่ะนะ เจ้าหนูมันจะได้กลับไปอยู่กับครอบครัวในวันคริสมาสต์ ถ้าเขาตื่นขึ้นมาก่อนจะไปก็ฝากบอกว่าให้โชคดีก็แล้วกัน”

ชายร่างอ้วนใหญ่โบกมือลาเป็นคนสุดท้าย

เมื่อประตูไม้บานหนาหนักถูกปิดลงแล้ว ลูเซียส มัลฟอยจึงค่อยก้าวออกมาจากบริเวณเตาผิง เด็กหนุ่มผมบลอนด์ยืนค้ำร่างของเด็กชายผมดำ ดวงตาสีเงินนิ่งมองอยู่เพียงแว่บเดียว ก่อนจะดึงไม้กายสิทธิ์ออกมาจากกระเป๋าเสื้อคลุม

“โอ-บริ-วี-อา-เต”

ลำแสงสีขาวาบออกมาจากปลายไม้กายสิทธิ์ พร้อมกับที่ร่างของซิเรียสกระตุกเฮือก

“อ๊ะ!” ผู้ใหญ่อีกสองคนในบ้านอุทาน แต่ผู้มาเยือนไม่ได้สนใจ เขาหันปลายไม้กายสิทธิ์ไปยังร่างเล็กที่นอนอยู่ข้างๆ ร่างของญาติสนิท

มิสเตอร์ลูปินรีบปัดมือของเด็กหนุ่มแปลกหน้าออกไปจากร่างของลูกชาย

“เดี๋ยวสิ เธอจะทำอะไรน่ะ!”

เสียงทุ้มเอ่ยถามอย่างตกใจระคนฉุนโกรธ แต่ใบหน้าคมคายที่หันกลับมาบอกกลับไม่มีแววประหลาดใจ

“คาถาลบความทรงจำ คุณก็น่าจะพอรู้นี่ จอห์น ลูปิน...อดีตเจ้าหน้าฝ่ายทะเบียนของกระทรวงเวทมนต์”

น้ำเสียงเย็นชานั้นไม่ทำให้คนที่เหลือสะดุ้งได้มากกว่าชื่อตำแหน่งที่เอ่ยท้ายประโยค

“เธอ...รู้ได้ยังไง?” หญิงสาวคนเดียวในห้องเป็นฝ่ายเอ่ยถามพร้อมกับสีหน้าที่เผือดซีดลง

ลูเซียสเอ่ยต่ออย่างไม่ยี่หระ “จะรู้ได้อย่างไรไม่สำคัญ ปัญหาอยู่ที่เรื่องของเด็ก 2 คนนี้เท่านั้น คุณอาของผมฝากให้ช่วยลบความทรงจำระหว่าง 2 วันนี้ของลูกชายท่านให้หมด”

รอยยิ้มบางผุดขึ้นตรงมุมปากคล้ายจะมีแววเยาะ

“มันคงไม่ดีนัก ถ้าลูกชายของตระกูลแบล็คจะมาสนิทสนมกับพวก...กลายพันธุ์...”

ดวงตาสีเงินเหลือบมองร่างเล็กที่ดูเก่าปอนในเสื้อผ้าคลุกฝุ่น

“ที่จริง พวกคุณก็น่าจะขอบคุณฉันมากกว่า อุตส่าห์จะช่วยลบความทรงจำของเด็กนี่ให้แท้ๆ”

มิสเตอร์ลูปินกันร่างลูกชายออกมาให้ห่างจากปลายไม้กายสิทธิ์ของอีกฝ่าย ชื่อตระกูลของเด็กน้อยแปลกหน้าที่เพิ่งรับรู้ ทำให้เขาไม่แปลกใจกับท่าทีถือตัว หยิ่งยะโสของคนตรงหน้าสักเท่าไร คำสั่งจากหัวหน้าตระกูลที่กุมอำนาจในกระทรวงเวทมนต์ทำให้ไม่อาจคัดค้านสิ่งใดหากยังห่วงสถานภาพของตนเอง แต่อย่างไรก็ยอมให้คนเลือดเย็นแบบนี้มาทำเรื่องเสี่ยงอันตรายกับลูกชายตัวน้อยของเขาไม่ได้เด็ดขาด

ชายหนุ่มส่งลูกชายคนเดียวให้กับภรรยาที่รีบวิ่งเข้ามารับ พร้อมกับบอกด้วยน้ำเสียงที่พยายามสะกดกลั้นอารมณ์ “เขาเป็นลูกชายของฉัน ฉันจัดการเองได้”

ร่างสูงเพรียวไหวไหล่น้อยๆ ก่อนจะก้มลงช้อนร่างของเด็กชายผมดำขึ้นโดยไม่พูดอะไรอีก เจ้าหมาที่ทรุดนั่งอยู่ข้างๆ ผุดลุกขึ้นทันทีที่เห็นว่าเจ้าของกำลังจะถูกคนแปลกหน้าพาไป แต่ดวงตาสีเงินที่หันไปจ้องมองนั้นทำให้มันชะงัก แต่ก็ยังไม่วายส่งเสียงขู่จนมิสเตอร์ลูปินต้องรีบดึงแผงคอของมันเอาไว้

สองสามีภรรยาได้แต่มองร่างของเด็กหนุ่มผมบลอนด์ที่อุ้มแขกตัวน้อยของบ้านเดินออกไปโดยพร้อมกับหิมะที่โปรยปราย โดยไม่สามารถกล่าวอะไรออกมาได้ ก่อนที่ทั้งสองจะหันกลับมามองลูกชายของตนด้วยแววตาสงสาร

ร่างเล็กบางที่ซุกตัวอยู่ในกองผ้าห่มนั้นไม่ได้รับรู้เลยว่า เพื่อนใหม่ของตนเองได้จากไปแล้ว

และคงจะไม่มีวันได้พบกันอีก…


……………………………………….


“อืม....”

ใบหน้ากลมที่มีเค้าคมคายค่อยๆ ปรือตาขึ้น แต่ความปวดหนึบบริเวณท้ายทอยทำให้วิงเวียน สมองว่างเปล่าอยู่ชั่วขณะจนต้องหลับตาลงอีกครั้ง…ทำไมปวดหัวแบบนี้นะ

…จริงสิ เราตกจากรถไฟนี่หว่า

ขณะที่คิด หูของเขาก็แว่วได้ยินเสียงฉึกฉัก พร้อมกับที่รู้สึกถึงแรงแกว่งน้อยๆ คราวนี้ทายาทตระกูลแบล็คลืมตาขึ้นโดยฉับพลัน “อ๊ะ...” เขาพบว่าตนเองกำลังนอนอยู่บนม้านั่งในตู้โดยสารชั้น 2 พร้อมกับที่มีเสียงทักจากที่นั่งตรงกันข้าม

“ตื่นแล้วเหรอ...?”

พอหันไปมอง ก็เห็นร่างอ้วนกลมค่อนข้างเตี้ยของเด็กชายอีกคนหนึ่งกำลังมองมาที่เขาอย่างสนอกสนใจ

“นายเป็นใครน่ะ?” ซิเรียสเอ่ยถามพร้อมกับยกมือขึ้นจับหัว สมองดูเหมือนจะค่อยปลอดโปร่งขึ้นแล้ว

“อ๋อ...เราชื่อปีเตอร์ นั่งอยู่กับพ่อแม่ทางห้องโน้นแน่ะ”

เด็กแปลกหน้าชี้มือไปยังห้องตรงกันข้ามพร้อมกับเล่าเสียงเจื้อย “เห็นนายมากับพี่ชายตัวสูงๆ ผมสีบลอนด์นั่น พ่อแม่บอกว่า เราน่าจะมาทักทายทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ แต่พี่นายหน้าดุจัง เราไม่กล้าเข้ามา”

ใบหน้ากลมป้อมที่มีฟันหน้ายื่นออกมาเล็กน้อยเอ่ยพร้อมกับยิ้มอย่างขลาดๆ

“เราเลยรอให้พี่ชายนายออกไปกินข้าวก่อน แล้วแอบมาดู...แต่นายอย่าบอกพี่นายนะ”

ท้ายประโยคสั่นนิดๆ ดูท่าจะกลัว ‘พี่ชาย’ ของเขาจริงๆ

ซิเรียสขมวดคิ้ว ตัวสูง ผมบลอนด์ หน้าดุๆ - - ลูเซียส....?

เด็กชายนึกลำดับเหตุการณ์ตั้งแต่แรก พวกยัยตัวแสบเบลลาหลอกให้เขาติดกับจนตกจากรถไฟ นี่แสดงว่าเขาคงหมดสติไป แล้วเจ้าจอมหยิ่งลูเซียสก็เลยถูกใช้ให้มาตามสินะ...คิดแล้วก็แค้น คอยดูเถอะ ไปถึงเมื่อไหร่ พ่อจะป่วนงานคริสมาสต์ซังกะบ๊วยนั่นให้พังไปเลย

เด็กชายผมดำมัวแต่คิด จนกระทั่งคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามอุทานออกมา “เฮ้ อะไรหล่นจากกระเป๋าเสื้อนายแน่ะ” นิ้วป้อมๆ ชี้ไปที่ของเล็กๆ ซึ่งร่วงลงมาจากกระเป๋าเสื้อของ ‘เพื่อนใหม่’ ที่พ่อแม่ของตนสั่งให้มาผูกมิตรด้วย

“เอ๋?” ผู้เป็นเจ้าของเสื้อทำหน้าฉงน ก่อนจะก้มลงไปเก็บสิ่งนั้นขึ้นมาถือไว้

ดอกไม้เล็กๆ สีขาว ที่มีหยาดน้ำค้างเกาะอยู่เพียงเบาบาง

“หวาว ดอกไม้นี่นา หนาวขนาดนี้ นายไปหาดอกไม้มาจากไหนน่ะ?”

เสียงของอีกคนในห้องโดยสารพูดอย่างตื่นเต้น แต่ใบหน้าค่อนข้างคมกลับไม่ยอมเอ่ยตอบ ดวงตาสีเทาจ้องมองกลีบบอบบางนั้นนิ่งอยู่ รู้สึกเหมือนอะไรบางอย่างขาดหายไปจากความทรงจำ

....อะไรบางอย่างที่อบอุ่น จนแม้แต่ตัวเขาเองยังไม่แน่ใจ ว่ามันมีอยู่จริงหรือไม่

“ไม่รู้สิ”

มือเรียวเล็กหยิบดอกไม้ดอกนั้นเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้ออย่างทะนุถนอม พร้อมกับมองจากหน้าต่างออกไปสู่ผืนฟ้าสีดำเบื้องนอก

“ของขวัญวันคริสมาสต์ของฉันละมั้ง”


................................................................


“โอย...เมื่อยจังเลย นี่กี่โมงแล้วฮะ แม่”

ร่างเล็กบางผุดลุกจากกองผ้าห่มอย่างเกียจคร้านเมื่อได้รับจุมพิตที่หน้าผากจากผู้เป็นมารดา มิสซิสลูปินคลี่ยิ้มให้กับลูกชายที่ยังงัวเงียไม่หาย “เช้าแล้วล่ะจ้ะ เมอร์รี่คริสมาสต์นะ รีมัส”

“เอ๋?” คนฟังตีหน้าฉงนงุนงง “วันนี้วันคริสมาสต์แล้วเหรอฮะ?” ใบหน้าเรียวขาวนิ่งไปชั่ววูบจนคนที่มองอยู่สะดุดลมหายใจ แต่แล้วก็ต้องโล่งอก เมื่อร่างผอมนั้นรีบผุดลุกขึ้นจากเตียงทันควัน

“ว๊า ผมลืมไปซะสนิทเลย! แล้วอย่างนี้ของขวัญ....”

“ถ้าเป็นของขวัญของลูก พ่อเขาเอาไปใส่ไว้ในแจกันให้ตั้งแต่เมื่อเช้าแล้วจ้ะ” พูดแล้วก็ก้มลงหอมแก้มใสเนียนอย่างเอ็นดู “ขอบใจนะ แม่ชอบมากเลยล่ะ”

เจ้าของของขวัญฉีกยิ้ม “เสียดายจังที่ผมไม่ได้ให้แม่เอง แล้ว...ของขวัญของผมล่ะฮะ” ท้ายประโยคแอบลากเสียงเล็กน้อย พร้อมกับดวงตาสีอ่อนที่เป็นประกาย แต่คนเป็นแม่กลับแกล้งอมยิ้มไม่ยอมตอบ พร้อมกับชิงเดินหนีลงไปข้างล่างให้ต้องตื่นเต้นหนักขึ้นไปอีก


“ว๊าว!!!! น่ารักจังเลย”

สุนัขสีดำขนฟูฟองพุ่งเข้าใส่เด็กชายตัวเล็กจนแทบล้มหงาย พลางเลียหน้าเลียตาอย่างดีใจ รีมัสทั้งดีใจทั้งแปลกใจที่สุนัขตัวนี้ไม่กลัวตนเอง ทั้งๆ ที่ปกติแล้ว จะไม่ค่อยมีสัตว์เล็กๆ ชนิดใดกล้าเข้าใกล้เขานัก

“พ่อไปได้มันมาจากไหนฮะ” นิ้วเรียวไล้ผ้าพันแผลที่พันรอบลำตัว ‘ของขวัญ’ ที่เพิ่งได้รับพร้อมกับเอ่ยถาม

บิดามารดาของเด็กชายลอบสบตากัน ก่อนที่มิสเตอร์ลูปินจะเอ่ยตอบ “แถวชายป่าที่ลูกไปบ่อยๆ นั่นแหละ มันคงหลงกับเจ้าของมา ดูแลมันให้ดีๆ นะลูก”

“อืม แน่นอนอยู่แล้วฮะ” เสียงใสรับคำ “ไม่ต้องห่วงนะ เจ้าหมา ฉันจะดูแลแกเอง อ๊ะ เรียกว่าเจ้าหมาก็ดีใช่ไหม เห...ทำหน้าแบบนั้นทำไมล่ะ ไม่ชอบชื่อเหรอ?” รีมัสถามเสียงกลั้วหัวเราะเมื่อเห็นว่าสุนัขข้างกายทำท่าเหมือนอยากจะบอกอะไรบางอย่าง ร่างเล็กบางเอื้อมมือไปโอบรอบคอสัตว์เลี้ยงตัวแรกในชีวิตเพื่อพยายามปลอบมัน

ความสุขที่แวดล้อมรอบกายอยู่ในขณะนี้ช่างอบอุ่นงดงามเสียจนเขาสามารถลืมเลือนความทุกข์ทรมานจากคาวเลือดและความกระหายหิวเมื่อยามคืนจันทร์เพ็ญไปได้

แต่เสี้ยวหนึ่งในหัวใจของรีมัสกลับรู้สึกโหวงเหวงอย่างประหลาด

...ราวกับว่า เขาทำอะไรบางอย่างที่สำคัญหล่นหายไป

เด็กชายกระชับอ้อมกอดเพื่อให้เจ้าสุนัขคลายจากความเศร้า พร้อมทั้งครุ่นคิดและบอกตัวเองในท้ายที่สุดว่า

...ไม่เป็นไรหรอก เวลายังมีอีกมาก เดี๋ยวสักวันเขาก็คงจะระลึกได้เองว่าสิ่งนั้นคืออะไร

“จริงสิ เกือบลืมแน่ะ”

ใบหน้าสวยเงยขึ้นยิ้มกับบิดามารดา และส่งรอยยิ้มเลยมาถึงสุนัขในอ้อมแขน

“เมอร์รี่คริสมาสต์ฮะ”



.............The End……………




Talk

**Acacha**

เป็นฟิกคริสมาสต์ข้ามปีจริงๆ ^^

**นึก talk ไม่ออก -_-“ เอาเป็นว่าโยนให้นะโอtalkเลยแล้วกันนะคะ ตอนนี้อคาชาอยู่ในโหมดอยากจำศีลค่ะ



**NaO**

ฮูเร่!!!! จบฟิกค้างปีไปได้อีกเรื่องหนึ่ง แถมทันเทศกาลคริสมาสต์เสียด้วย ขอบคุณองค์ที่อุตส่าห์มาลงเมื่อคืนวันอาทิตย์มา ณ ที่นี้ด้วยค่า (โค้ง)

เหมือนจะมามีพล็อตเอาตอนจบแฮะ (หัวเราะ) อยากเขียนซิริลูเวอร์ชั่นมินิดู ก็เลยคิดจะให้สองคนนี้มาเจอกันตอนเด็ก (ที่จริงพล็อตเดิมมันเป็นแฮร์/เดรแหละ แต่คิดๆ แล้วรู้สึกว่าเรื่องมันธรรมดาไป เลยไม่เขียน)

พล็อตตอนแรก แค่กะว่าจะให้ซิเรียสมาโฮมสเตย์อยู่บ้านรีมัสน้อยสัก 2-3 วัน แล้วมีคนมารับกลับ ด้วยความเป็นเด็กก็เลยลืมเรื่องของกันและกันไปซะสนิท แต่พอเขียนๆ ไปแล้ว บุคลิกตัวละครดูโตเกินกว่าจะเป็นแบบนั้นได้ (น่าจะ 7-8 ขวบแล้ว) ก็เลยเอามุขคาถาลบความทรงจำมาใช้แทน

- - อีกเหตุผล (ส่วนตัว) คือ ชอบลูเซียสเวอร์ชั่นเจ้าชายน้ำแข็ง เลยขอให้เขามีบทอีกสักหน่อย แหะๆ

ชักจะเมาท์ยาวละ จบดีกว่า ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามเรื่องนี้มาจนถึงตอนจบด้วยนะค๊า (ยายและป้าต้อยจ๋า สาวกซิริลูยังมีอยู่ อย่าเศร้าไปเลย)

ปล. น่าสงสารพ่อแม่บ้านคุณซีนิ อุตส่าห์กีดกันตั้งแต่เด็ก สุดท้ายลูกชายก็หาลูกสะใภ้ลูกครึ่ง (หมาป่า) มาให้อยู่ดี :p




Create Date : 12 มิถุนายน 2550
Last Update : 12 มิถุนายน 2550 12:10:31 น.
Counter : 1656 Pageviews.

1 comments
  
เพิ่งจะแวะมาครั้งแรกครับ
ทักทายกันก่อนนะ
โดย: KnightWin วันที่: 12 มิถุนายน 2550 เวลา:12:26:40 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

นะโอ
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]