Peter & the Wolf (2006): หนูน้อยเสื้อแดงกับหมาป่าจอมตะกละ
Peter & the Wolf (2006) : อนิเมชั่นความยาวครึ่ง ชม.ที่ถ่ายทำด้วยเทคนิคสต็อปโมชั่นเรื่องนี้ สร้างมาจากซิมโฟนี่สำหรับเด็กสุดคลาสสิคของคอมโพเซอร์ชาวรัสเซีย Sergei Prokofiev (แต่งตั้งแต่ปี 1936 โน่น) ซึ่งก็ทำออกมาได้ดีถึงขนาดซิวรางวัลออสก้าร์สาขาอนิเมชั่นขนาดสั้นยอดเยี่ยมไปครองเมื่อปี 2008 ที่น่าสนใจคือมันเป็นการร่วมแรงร่วมใจกันสร้างของทีมงานอนิเมเตอร์หลายสัญชาติ ไม่ว่าจะมาจาก อังกฤษ, โปแลนด์, เมกซิโก, นอร์เวย์, เชค เชียวนะเนี่ย น่าสนใจๆ
แต่จะออกแนวน่าเกลียดนิดๆ ซะมากกว่า น่าดูเพราะ: เป็นอนิเมชั่นขนาดสั้นที่มีเสน่ห์ ดูได้เพลินๆ ให้แง่คิด ไม่น่าดูเพราะ: ตัวละครดูไม่น่ารัก ดึงดูดใจเด็กๆ ตามสไตล์อนิเมชั่นฮอลลีวู้ด แบบนี้มันก็น่าเมินอยู่นะ
Create Date : 26 มีนาคม 2553
Last Update : 4 พฤศจิกายน 2553 10:20:15 น.
Counter : 2672 Pageviews.
Dante's Inferno: An Animated Epic (2010): ตะลุยนรกสไตล์ดังเต้
Dante's Inferno: An Animated Epic (2010) : นี่คืออนิเมชั่นที่ Spin-off มาจากเกมแอ็คชั่นผจญภัยของบริษัท EA (Electronic Arts) ที่ทำเก๋ตรงที่จับเอาเรื่องราวในส่วนแรกที่กล่าวถึงนรก (Inferno) จากโคลงมหากาพย์ The Divine Comedy ของ Dante Alighieri กวีชาวอิตาลีในยุคกลาง(ช่วงศตวรรษที่ 14) มาดัดแปลงเป็นเกมได้อย่างสร้างสรรค์ ราวกับว่าผู้ที่เล่นเกมจะได้ทัวร์นรกในแบบที่ Dante ได้บรรยายถึงก็มิปานเชียว(โอ้วว) อยากรู้มั้ยว่านรกฝรั่งหน้าตาเป็นยังไง?
ส่วนเรื่องราวในเกมและในอนิเมชั่นเรื่องนี้ก็ถูกบิดให้เหมาะที่จะก่อให้เกิดฉากแอ็คชั่นผจญภัยเต็มที่ โดยเสนอเรื่องของ Dante นักรบครูเสดที่ซมซานกลับบ้านเกิดเพื่อไปพบ Beatrice สาวคนรัก แต่แล้วเขาก็พบว่าสุดที่รักและครอบครัวได้ถูกมือมืดฆ่าตายเกลี้ยง หนำซ้ำวิญญาณของเจ้าหล่อนที่กำลังจะขึ้นสวรรค์อยู่รอมร่อยังถูก ลูซิเฟอร์(ซาตาน) ลากลงนรกซะอีก ด้วยความรักอันเต็มล้นต่อคนรัก Dante จึงตัดสินใจบุกนรกไปชิงวิญญาณคนรักกลับคืน โดยเขาได้รับการช่วยเหลือจากวิญญาณของ Virgil (กวีชาวโรมัน) ที่คอยเป็นไกด์ ชี้นำทาง ตลอดการทัวร์นรกทั้ง 9 ขุมครั้งนี้ด้วย ลายเส้นแตกต่างกันไปตามแต่ละสไตล์ของสตูดิโอ Film Roman สตูดิโอที่เคยสร้าง Dead Space: Downfall (2008) (อนิเมชั่นที่ Spin-off จากเกมของ EA เมื่อปี '08) กลับมารับผิดชอบหน้าที่เดิมอีกครั้ง โดยได้แบ่งงานให้สตูดิโอผลิตอนิเมชั่นต่างๆ อย่าง Manglobe, Dong Woo, JM Animation, และ Production I.G . (ซึ่งมาจากทั้งญี่ปุ่นและเกาหลี)ช่วยกันรับผิดชอบ และให้อิสระในการออกแบบตัวละครและการใช้ลายเส้นตามสไตล์ใครสไตล์มันได้เต็มที่ โดยมี Film Roman คอยดูแลภาพรวมให้ออกมาต่อสนิทเป็นเนื้อเดียวกันอีกทีหนึ่ง
ตัวประหลาดหน้าตาน่าเกลียดเพียบเลย
และแน่นอนที่อนิเมชั่นเรื่องนี้ย่อมจะมีทั้งฉากรุนแรง เลือดสาด ไส้ไหล และโป๊เปลือยตามแบบฉบับการ์ตูนผู้ใหญ่ สำหรับบรรยากาศโดยรวมแล้วหนังเสนอเรื่องราวการลุยนรกของ Dante ได้อย่างดูสนุก มีเรื่องราวน่าสนใจเมื่อเทียบกับการ์ตูนทั่วๆ ไป การออกแบบฉากนรกขุมต่างๆ ก็ดูเจ๋งดี ถึงแม้ลายเส้นของแต่ละสตูดิโอจะมากันคนละสไตล์ไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน (แต่ก็ไม่ถึงกับฉีกไปคนละเรื่องเลย) ซึ่งก็มีวาดสวยบ้างไม่สวยบ้างชวนให้คนดูสับสนนิดๆ แต่พอเข้าใจคอนเสปท์แล้วก็คงไม่มีปัญหา งานด้านดนตรีที่รับผิดชอบโดย Garry Schyman คอมโพเซอร์ที่คร่ำหวอดในการแต่งเพลงประกอบเกม ก็อยู่ในระดับเพลงประกอบหนังโรงดีๆ นี่เอง ถึงหนังเรื่องนี้จะไม่ดีเด่นระดับอนิเมชั่นที่ฉายตามโรง แต่ก็ยังถือว่ายังดูได้เพลินๆ เข้าใจสร้างสรรค์ และชวนให้อยากเล่นเกมนี้ขึ้นมาเลยเชียว เกมออกในฟอร์แมท PSP, Xbox 360 และ PS3(แล้ว PC ล่ะ?) น่าดูเพราะ: เป็นอนิเมชั่น Spin-off จากเกมที่ทำได้เข้าท่า ดูเพลิน และชวนให้อยากเล่นเกมจัง ไม่น่าดูเพราะ: ไม่เหมาะสำหรับเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ เพราะทั้งรุนแรงและโป๊นะจ้ะ(แต่ไม่ถึงขนาดหนังโป๊หรอกเน้อ) โปสเตอร์หนังมีหลายเวอร์ชั่นตามลายเส้นของคนเขียน *ช่วงอันเนื่องมาจากหนัง*
ภาพซาตานถูกจองจำในนรกขุมที่เก้า Inferno (ภาษาอิตาเลียนที่แปลว่า'นรก') คือส่วนที่หนึ่งของโคลงมหากาพย์ The Divine Comedy ของ Dante Alighieri (โดยมี Purgatorio และ Paradiso เป็นสองส่วนที่เหลือ) ซึ่งเสนอเรื่องเล่าเชิงสัญลักษณ์ เกี่ยวกับการเดินทางของ Dante ผ่านไปยังนรกในความคิดของคนยุคกลาง ซึ่งนรกทั้ง 9 ขุมนั้นประกอบด้วย Limbo : นรกขุมสำหรับคนที่ถึงไม่ได้ทำบาป แต่เพราะไม่ได้เชื่อในพระคริสต์เลยต้องมาอยู่นี่ ซึ่ง Dante ได้บรรยายว่ามีคนดังๆ อย่าง Homer, Socrates และ Aristotle แม้แต่ Julius Caesar กับ Saladin ก็อยู่ที่นั่นด้วย นับเป็นนรกที่ไม่มีการทรมาน แต่ก็เป็นสถานที่ไร้ซึ่งความหวังสำหรับดวงวิญญาณทั้งหลายไปตลอดกาลLust : ขุมสำหรับผู้ที่ปล่อยให้ตัณหาระคะครอบครองจิตใจ ดวงวิญญาณของพวกเขาจะถูกลมพายุพัดกระหน่ำให้ล่องลอยไปอย่างไม่มีทางได้หยุดพัก สำหรับคนดังในขุมนี้ก็มีอาทิ Cleopatra, Helen แห่ง Troy, Paris, Tristan Gluttony : ขุมนี้มีไว้สำหรับผู้ที่ตะกละตะกราม โดยจะมีตัว Cerberus (สุนัขสามหัว) คอยยืนคุมเชิงให้ดวงวิญญาณในนรกขุมนี้ต้องนอนเกลือกกลิ้งในโคลนตมอันสกปรกโสโครก โดยมีฝนอันเย็นยะเยือกตกมาใส่แบบไม่สิ้นสุดGreed : ขุมสำหรับคนโลภในลาภยศ เงินทอง ที่ต้องมาทนทุกข์ในการแบกของหนัก(ซึ่งอาจจะเป็นถุงเงินยักษ์)ไปตลอดกาลWrath : สำหรับผู้ที่ปล่อยให้ความโกรธเคืองเป็นใหญ่ในชีวิต จะต้องมาฆ่าฟันกันอย่างไม่มีวันสิ้นสุดในบึงขนาดใหญ่ สำหรับผู้ที่แพ้จะจมลงไปในน้ำที่แสนมืดมิดและหาความสุขใดๆ ไม่ได้เลยHeresy : นรกขุมสำหรับพวกนอกรีต หรือมารศาสนา อย่างเช่นพวก Epicurian (ที่เชื่อว่าวิญญาณตายไปพร้อมกับร่างกาย) จะติดอยู่ในสุสานเพลิงที่ไม่มีวันดับมอดViolence : สำหรับพวกที่นิยมใช้ความรุนแรง ปล้นฆ่า ข่มขืน ซึ่งนรกขุมนี้แบ่งเป็นสามส่วนย่อยๆ สำหรับ 1.)พวกที่ใช้ความรุนแรงกับคนอื่น จะต้องตกลงไปในแม่น้ำสีเลือดที่เดือดปุดๆ โดยจะมีธนูยิงใส่วิญญาณที่พยายามจะหนีด้วย สำหรับคนดังในขุมนี้ก็คือ Alexander the Great ไง
2.)พวกที่ใช้ความรุนแรงต่อตนเอง หรือพวกที่ฆ่าตัวตาย จะกลายเป็นต้นไม้หรือพุ่มไม้ที่เต็มไปด้วยหนาม ให้ตัว Harpie (นกที่มีหน้าเป็นคน) คอยจิกกินอยู่ร่ำไป 3.)พวกที่ใช้ความรุนแรงต่อพระเจ้า หรือพวกที่ดูหมิ่นหรือล่วงเกินพระองค์ ทั้งยังทำลายธรรมชาติ จะต้องทนทุกข์ทรมานในทะเลทรายเพลิง ที่มีหิมะเพลิงตกลงมาจากฟ้าอีกด้วยด้วย Fraud : นรกสำหรับผู้ที่ชอบหลอกลวง ฉ้อฉล ซึ่งก็แบ่งยิบย่อยเป็นสิบส่วนในนีั้อีกทีBetrayal : นรกสำหรับผู้ทรยศ ซึ่งก็แบ่งเป็นอีกสี่ส่วน และในจุดศูนย์กลางของนรกที่แสนเย็นยะเยือกก็เป็นที่จองจำซาตานซะด้วยความจริงยังมีเรื่องราวอีกเยอะแยะและลึกซึ้งกว่านี้ที่เราไม่สามารถนำมากล่าวถึงได้ทั้งหมด ยังไงก็ขอย้ำอีกครั้งว่านี่เป็นโคลงที่แต่งขึ้นมา ไม่ใช่เรื่องจริงนะจ้ะ ก็ต้องซูฮกผู้แต่งที่เข้าใจเตือนสติพวกเราผ่านโคลงเหล่านี้ แม้ว่าจะผ่านมานานหลายศตวรรษแล้วก็ตาม แต่ก็ยังเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์และคุณค่าในทุกยุคทุกสมัยจริงๆ นะเนี่ย *คัดเนื้อหามาแปลแบบตามมีตามเกิดจาก wikipedia ผิดพลาดประการใดก็ขออภัยด้วยจ้า*
Create Date : 25 กุมภาพันธ์ 2553
Last Update : 25 กุมภาพันธ์ 2553 16:53:25 น.
Counter : 5301 Pageviews.
The Princess and the Frog (2009): เจ้าหญิงกบ
The Princess and the Frog (2009) : นี่คืออนิเมชั่น 2-D เรื่องแรกในรอบ 6 ปีของ Walt Disney (เรื่องล่าสุดที่ใช้เทคนิคนี้ก็คือ Home on the Range ที่ออกฉายเมื่อปี 2004 โน่น) ภายใต้การบริหารงานโดย John Lasseter แห่ง Pixar ที่กล้าที่จะสวนกระแสทำอนิเมชั่นสไตล์นี้ออกมาในยุคที่ใครๆ ก็หันไปสร้างอนิเมชั่น 3-D กันหมดแล้วเช่นนี้ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่น่าชื่นชม เพราะนอกจากจะเป็นการหวนคืนสู่รากเหง้าและเสน่ห์ดั้งเดิมของ Disney แล้ว หนังอนิเมชั่นเรื่องนี้ยังทำออกมาดูเพลิดเพลินซะด้วยสิ จระเข้ใจดีผู้รักดนตรีแจ๊สสามารถหาได้แต่ในการ์ตูนเท่านั้น
ทุกคนคงคุ้นเคยกับนิทานเจ้าชายกบกันดี แต่จะ Disney ให้จับมาทำแบบดุ่ยๆ ก็ยังไงอยู่ พวกเขาเลยหันไปหยิบหนังสือของ E. D. Baker เรื่อง The Frog Princess มาดัดแปลงเป็นอนิเมชั่นซะเลย ซึ่งเป็นเรื่องราวเทพนิยายสมัยใหม่ของสาวน้อยผิวสี Tiana ผู้ใฝ่ฝันอยากมีภัตตาคารเป็นของตนเองตั้งแต่ยังเด็ก แต่พอฝันใกล้จะเป็นจริงในวัยสาว เธอดันไปจ๊ะเอ๋กับกบพูดได้ที่อ้างตัวว่าเป็นเจ้าชาย Naveen แห่งประเทศมัลโดเนีย ซึ่งโดนคำสาปวูดูเข้าเลยต้องกลายสภาพเป็นเช่นนี้ ว่าแล้วเขาก็หว่านล้อมให้เธอจูบเขาเพื่อที่จะกลับคืนร่างอีกครั้งแบบในนิทาน แต่กลายเป็นว่าจูบนั้นกลับทำให้เธอต้องกลายร่างเป็นกบไปอีกตัวซะงั้น ว่าแล้วทั้งคู่เลยต้องร่วมผจญภัยเพื่อหาทางคืนร่างเป็นคนอีกครั้งให้จงได้ ท่ามกลางตัวละครน่ารักๆ เพลงเพราะจับจิต และจบแบบแฮปปี้เอ็นดิ้ง แบบที่การ์ตูน Disney เคยเป็นมาตลอดจ้า หนังได้เสน่ห์เก่าๆ แบบที่เราคุ้นเคยกันมาตั้งแต่เด็กๆ สองผกก.คู่หู Ron Clements และ John Musker ที่เคยทำอนิเมชั่นคลาสสิคอย่าง Little Mermaid (1989) และ Aladin (1992) กลับคืนสู่เหย้าอีกครั้งและก็ทำหน้าที่ได้อย่างดี ลายเส้นอันพริ้วไหวของหนังทำให้คนดูกลับไปสัมผัสมนต์ขลังเก่าๆ ของ Disney ได้อีกครั้ง หนังเต็มไปด้วยคาแร็คเตอร์ที่น่ารัก และมีเสน่ห์ (โดยเฉพาะเจ้าจระเข้ตุ้ยบ้าแจ๊ส) เมื่อเจอการเล่าเรื่องที่สนุกสนาน สลับกับฉากร้องรำทำเพลงอันแสนบรรเจิด และให้คติสอนใจ ก็น่าจะทำให้คุณหนูๆ (และไม่หนู) ทั้งหลายเพลิดเพลินกันได้ ดูจบแล้วก็คงไม่รีรอที่จะฟันธงลงไปเลยว่านี่จะกลายเป็นผลงานคลาสสิคอีกเรื่องของ Disney อย่างแน่นอน
เธอคือเจ้าหญิงผิวสีคนแรกของ Disney เลยล่ะ
ถึงจะมาสูตรเดิมของการ์ตูนดิสนีย์ยุคก่อน แต่ก็ไม่เป๊ะๆ ไปซะหมด แค่เริ่มต้นมาก็จะเห็นได้แล้วว่า ในขณะที่เด็กหญิงคนอื่น ใฝ่ฝันถึงเรื่องราวเทพนิยายแบบมีเจ้าชายรูปงามมาปิ๊งปั๊ง แต่ตัวนางเอกผู้มีฐานะยากจน กลับมองโลกแห่งความเป็นจริง ในการอยากมีภัตตาคารเป็นของตนเองตั้งแต่ยังเล็กๆ แต่โตไปก็ได้แค่เก็บเศษทิปเพราะตนเป็นสาวเสิร์ฟ ส่วนตัวพระเอกเราก็ใช่ย่อย เพราะถึงจะเป็นเจ้าชายรูปงามจริง แต่ก็ถังแตกจนต้องมาหาแต่งงานกับสาวรวยๆ เพื่อกะตกถังข้าวสาร ซึ่งนี่ก็เป็นอะไรเล็กๆ น้อยที่ฉีกขนบหนังการ์ตูนแนวเทพนิยาย และพาคนดูเข้าใกล้โลกแห่งความเป็นจริงมากขึ้น สู้ต่อไปนะจ้ะอนิเมชั่น 2-D ^^ น่าดูเพราะ: เป็นอนิเมชั่น 2-D ดีๆ ที่หาดูได้ยากในทุกวันนี้ ซึ่งเด็กดูดีผู้ใหญ่ดูได้จ้า ไม่น่าดูเพราะ: อนิเมชั่น 2-D คงไม่ค่อยดึงดูดใจได้นักในทุกวันนี้ และหนังมาสไตล์เก่าๆ บางคนอาจเห็นว่ามันโบราณไม่แนวเหมือนอนิเมชั่นบริษัทอื่นๆ เลย *ช่วงรู้มั้ยเอ่ย.. (แล้วจะรู้ไปทำไมเนี่ย)*
สามสาวที่เคยเป็นตัวเต็งที่จะมาพากษ์เสียงนางเอก Alicia Keys, Jennifer Hudson และ Tyra Banks เกือบได้มาพากษ์เสียงนางเอกซะแล้ว โดยเฉพาะ Alicia Keys ที่อยากพากษ์มากๆ ถึงขนาดวิ่งเต้นล็อบบี้กับผู้บริหารระดับสูงของดิสนีย์เลยเชียว แต่ก็แห้วในที่สุดเป็นอนิเมชั่น 2-D เรื่องแรกที่ Randy Newman ทำดนตรีให้ เพราะงานที่ผ่านๆมาของเขาเป็นงาน 3-D ของ Pixar ทั้งสิ้น Anika Noni Rose คนที่พากษ์เสียงนางเอกถนัดซ้าย ทางทีมงานเลยทำ Tiana ถนัดซ้ายให้เหมือนๆ กันซะเลย (จะรู้ไปทำไมเนี่ย)เจ้าชาย Naveen มาจากประเทศสมมุติ Maldonia ซึ่งเป็นส่วนผสมระหว่าง Malta กับ Macedonia (อ่อ หร๊อ) ในฉากเริ่มต้นของหนัง เราสามารถเห็นเหล่าเจ้าหญิงคนอื่นๆ ของดิสนีย์ ในรูปของตุ๊กตาบนชั้นหนังสือ ชื่อเดิมของหนังคือ "The Frog Princess" แต่เพราะนางเอกเป็นคนผิวสี ดิสนีย์เลยกลัวคนจะหาว่า ดิสนีย์ว่าคนผิวสีอัปลักษณ์หรือเป็นสัตว์ ส่วนชื่อนางเอกชื่อเดิมคือ "Maddy" แต่ดิสนีย์ก็กลัวอีกว่า เสียงมันจะพ้องกับคำว่า"Mammy" (แม่บ้านผิวสี) เลยเปลี่ยนเป็นอย่างที่เห็นในหนังในที่สุด อืม เป็นประเด็นอ่อนไหวจริงๆ เนอะ ดวงดาวที่หิ่งห้อย "Ray" เรียกว่า "Evangeline" แท้จริงคือดาววีนัส และวีนัสคือเทพเจ้าแห่งความรักของชาวโรมันเขา นี่เป็นอนิเมชั่น 2-D เรื่องแรก ที่ผู้พากษ์ต้องร้องเพลงเองด้วยนับตั้งแต่ Beauty and the Beast (1991) แล้วที่อ่านมาทั้งหมดนี่ จะรู้ไปทำไมเนี่ย... (เออ เนอะ) *คัดข้อมูลมาจาก imdb จ้า*
Create Date : 20 มกราคม 2553
Last Update : 20 มกราคม 2553 22:21:09 น.
Counter : 7580 Pageviews.
Fantastic Mr. Fox (2009): นายจิ้งจอกกับก๊วนป่วนหน้าขน
Fantastic Mr. Fox (2009) : ไม่รู้มีอะไรมาดลใจ ผกก . Wes Anderson (The Royal Tenenbaums [2001]) ให้ลุกขึ้นมาหยิบเอาหนังสืออ่านเล่นสำหรับเด็กสุดคลาสสิคของ Roald Dahl เรื่องนี้มาทำเป็นอนิเมชั่นแบบสต็อปโมชั่นก็ไม่ทราบ แต่ถ้าระดับเขาคนนี้ลงมาทำแล้วย่อมต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ ทีมพากษ์ก็แทบจะขนนักแสดงดังๆ มากันเป็นคันรถแล้ว อาทิ George Clooney (Solaris [2002]) กับ Meryl Streep (Julie & Julia [2009]) ที่พากษ์สองตัวละครหลัก และที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ อนิเมชั่นเรื่องนี้สนุกมากกก Ocean 11 เวอร์ชั่นอนิเมชั่นหรือเปล่าเนี่ย
หนังเพิ่มเติมเรื่องราวจากหนังสือไปพอสมควร ด้วยเรื่องราวของหมาจิังจอกนาม Mr. Fox (George Clooney) กับคู่หูที่เป็นตัวอะพอสซัมนาม Kylie คิดการใหญ่โดยการแอบเข้าไปจารกรรมตารางบิน เอ๊ย! หมูเห็ดเป็ดไก่จากฟาร์มทั้งสามฟาร์มที่อยู่แถวๆ บ้านมาตุนไว้กินกันจนเปรม ต่อมาเจ้าของฟาร์มทั้งสามก็รวมหัวกันมาตามล่า Mr. Fox เราแบบพลิกแผ่นดินจนครอบครัวของเขาและสัตว์ป่าแถวๆ นั้นพากันลำบากโดยถ้วนหน้า พอตั้งหลักได้ Mr. Fox ของเราจึงวางแผนการสุดบรรเจิดในการเอาคืนเหล่ามนุษย์บ้าเลือดชนิดสุดมันส์ จนคุณหนูๆ และเหล่าผู้ใหญ่ใจเด็กทั้งหลายคงจะอดที่จะหัวเราะคิกคักตามไปทั้งเรื่องเสียมิได้เชียว ออกแบบตัวละครได้ดูดีไม่น่าเกลียด
ผกก. Anderson ทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยมในอนิเมชั่นเรื่องแรกของเขา เพราะทำออกมาได้สนุกมาก การเล่าเรื่องมีอารมณ์ขันแบบกวนๆ เหล่าตัวละครก็ทำออกมาได้ดูมีเสน่ห์กันดี เมื่อบวกเข้ากับเสียงพากษ์ของดาราดังๆ (ที่ส่วนใหญ่เป็นขาประจำของ ผกก.อยู่แล้ว)ก็ยิ่งแจ่มขึ้นไปอีก ส่วนการเพิ่มเติมเรื่องราวจากในหนังสือก็ทำให้ดูมีตัวละครดูมีมิติและทำให้หนังมีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นมาอีกหน่อย ซึ่งก็ดูไม่ดูประดักประเดิดอะไร ในขณะที่ดนตรีประกอบก็ใช้เพลงเก่าๆ ที่ขึ้นหิ้งมาประกอบได้อย่างสร้างสรรค์ โดยเฉพาะเพลงของ Jarvis Cocker แห่งวง Pulp เนี่ยอย่างฮา มีอนิเมชั่นดีๆ มาให้ดูกันอีกเรื่องแล้ว คอหนังอนิเมชั่นห้ามพลาดเชียวล่ะ
Create Date : 16 มกราคม 2553
Last Update : 16 มกราคม 2553 0:08:54 น.
Counter : 2905 Pageviews.
Idiots and Angels (2008): เทวดาท่าจะแนว
Idiots and Angels (2008) : คออนิเมชั่นแบบเข้าเส้นคงจะรู้จักผลงานของยอดชายนาย Bill Plympton กันดี ด้วยเพราะลายเส้นและการนำเสนออันเป็นเอกลักษณ์ ตลอดสามสิบปีในวงการ เขามีผลงานการ์ตูนสั้น-ยาวนับสิบๆ เรื่อง ซึ่งหลายเรื่องก็สามารถเข้าชิงและกวาดรางวัลต่างๆ มาแล้วมากมาย(เคยเข้าชิงออสก้าร์สองครั้งแน่ะ) นี่คือผลงานอนิเมชั่นขนาดยาวเรื่องล่าสุดของเขา ที่รับรองว่าใครได้ดูแล้วก็คงจะต้องติดใจจนต้องขอสมัครเป็นแฟนผลงานของเขาแน่ๆ เชียวลายเส้นขมุกขมัวมาเลยเชียว อนิเมชั่นความยาว 78 นาทีอันไร้บทสนทนาเรื่องนี้เสนอเรื่องราวของ ชายคนหนึ่งที่นิสัยแย่สุดๆ แถมยังประกอบอาชีพขายปืนเถื่อนซะด้วย แล้วเช้าวันหนึ่งอยู่ๆ หลังของเขาก็มีปีกเล็กๆ งอกขึ้นมา ไม่ว่าเขาจะพยายามตัดมันออกหรือกำจัดมันยังไง มันก็ยังคงงอกขึ้นมาอีกและก็ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดเมื่อมันเติบโตเต็มที่มันก็ทำให้เขาบินได้ เขาเลยคิดจะใช้ปีกนี้บินไปทำชั่วซะเลย แต่มันกลับไม่ยอมทำตามที่เขาต้องการแถมยังจะพาเขาบินไปทำความดีอีกต่างหาก จนเขาเอือมระอาปีกตนเองสุดๆ ทว่ามีอีกหลายคนที่ต้องการจะมีปีกอย่างเขาและพยายามแย่งชิงปีกของเขาไป เรื่องราววุ่นวายก็เลยเกิดขึ้นในที่สุด
เรื่องจินตนาการอันบรรเจิดนั้นมีมาให้ดูเพียบ
เพราะเป็นอนิเมชั่นอินดี้ที่เน้นไอเดีย การนำเสนอ จึงไม่เน้นความสวยงามด้านภาพเหมือนอนิเมชั่นของฮอลลีวู้ด งานที่ออกมาจึงมีลายเส้นรกๆ หยาบๆ เหมือนภาพสเกตช์ ซึ่งก็ดูมีเอกลักษณ์ดี แม้จะไม่มีบทสนทนาเลยแต่ก็ไม่เข้าใจยาก แถมยังดูเอาสนุกสนานได้อีกต่างหาก เพลงประกอบก็ไพเราะเหมาะกับหนังมากๆ เสียแต่ว่าด้วยความที่แนวนิดๆ แบบนี้ จึงอาจไม่ใช่งานที่สามารถเข้าถึงคนดูในวงกว้างได้สักเท่าไหร่ แต่โดยรวมแล้วนี่เป็นอนิเมชั่นที่น่าสนใจ คออนิเมชั่นที่แสวงหางานแปลกๆ มีสไตล์ แต่ไม่ถึงกับดูยากนัก ก็คงจะถูกใจแน่ๆ เรียกได้ว่าจะดูเอาสนุกก็ได้ ดูเอาไอเดียก็ดี ดูเอาสาระที่แฝงอยู่ก็ยังมีนะจะบอกให้ ดูเอาสนุกหรือดูเอาสาระก็พอได้อยู่
น่าดูเพราะ: มีสไตล์เฉพาะตัว แต่ก็ดูเอาสนุกได้อยู่ ใครชอบดูอนิเมชั่นแนวๆ แปลกๆ ไม่ควรพลาด ไม่น่าดูเพราะ: ไม่ใช่อนิเมชั่นสำหรับเด็กๆ และการนำเสนอแนวๆ แบบนี้บางคนอาจดูแล้วมึน เทวดาขอเปิดตูดโชว์
*ช่วงเกี่ยวกับผู้สร้าง* *ดูคลิปอนิเมชั่นขนาดสั้นของเขาเพิ่มเติมได้โดย"
คลิกที่นี่ "*
Create Date : 13 ธันวาคม 2552
Last Update : 13 ธันวาคม 2552 4:26:51 น.
Counter : 1163 Pageviews.