Group Blog
 
All blogs
 

The Adventures of Tintin (2011): ตินติน เว้ยเฮ้ย!

The Adventures of Tintin (2011) :
ฉายา 'พ่อมดแห่งฮอลลีวู้ด' ที่เสี่ย Steven Spielberg ได้รับมานั้น ไม่ใช่จะได้มาแบบฟลุคๆ หรือจับสลากได้มา หากแต่เก็บได้ที่หน้าปากซอยต่างหาก ใช่ที่ไหน เป็นเพราะเสี่ยแกสามารถสร้างสรรค์หนังเรื่องแล้วเรื่องเล่าได้ออกมามีเสน่ห์ต้องตาต้องใจมหาชนคนดูหนัง ดั่งแกมีเวทย์มนตร์เสน่ห์ยาแฝดชวนให้หลงใหลได้ปลื้ม ไม่ว่าจะหนังแนวเด็กดูได้ผู้ใหญ่ดูดี หรือหนังแนวซีเรียสจริงซีเครียดจังชีวิตนี้ก็ล้วนประสบความสำเร็จด้วยดีแทบจะทั้งสิ้นตลอดระยะเวลากว่า 4 ทศวรรษที่แกคร่ำหวอดอยู่ในวงการ


Tintin มาแล้วจ้า
และนี่คือพรมแดนใหม่ที่เสี่ยขอก้าวเข้าไปร่ายมนตร์เซเล่อร์มูนด้วยอำนาจแห่งมนตราจงสำแดงนิทรา ณ บัดนี้ นั่นคือดินแดนหนังอนิเมชั่น แต่เสี่ยแกไม่ได้มาด้วยหนังเกี่ยวกับหมูมากาไก่ธรรมดาๆ ให้เสียเซลฟ์หรอกนะ เพราะแกเล่นของสูงโดยการจับเอาการ์ตูนคลาสสิคชุด The Adventures of Tintin มาขึ้นจอเงิน โดยได้ลูกคู่เป็นเสี่ยอีกคนอย่าง Peter Jackson คอยประสานงานลั้นลาอย่างใกล้ชิดตลอดงาน


นี่คืออินเดียน่า โจนส์สำหรับเด็กๆ
หนังใช้เทคนิคการถ่ายทำแบบ performance capture โดยได้นักแสดงดังๆ อย่าง Jamie Bell, Andy Serkis, Daniel Craig, Simon Pegg ฯลฯ มาวาดลวดลาย (และให้เสียง) ดังนั้นการเคลื่อนไหวของบรรดาตัวละครที่ออกมาจึงดูสมจริงสุดๆ (แต่หน้าตายังคงออกการ์ตูนเหมือนต้นฉบับอยู่) งานด้านภาพก็สวยงามดูดีมีชาติการ์ตูน ส่วนบรรยากาศกับลีลาท่าทางโดยรวมของหนังนั้นก็ไหลลื่นสนุกสนานเข้าท่า และแสนจะเป็นอะไรที่สปีลเบิ้ร์กสปีลเบิร์กซึ่งแฟนๆ คุ้นเคยกันดี


ภาพสวยงามสมจริงแต่หน้าตายังคงความเป็นการ์ตูนไว้บ้าง
บางคนอาจจะติว่าหนังพยายามสมจริงเกินไปจนขาดเสน่ห์ของความเป็นการ์ตูน ซึ่งถ้าจะคิดอีกแง่ ที่เดิมทีเสี่ย Spielberg เขาตั้งใจจะสร้างเป็นหนังใช้คนแสดงซะด้วยซ้ำไป แต่โดนเสี่ย Jackson หลอนให้ทำเป็นอนิเมชั่นแทน ดังนั้นออกมาเท่านี้ก็ถือว่าเป็นการพบกันครึ่งทางที่เข้าท่าระหว่างความสมจริงกับการ์ตูน สมความตั้งใจของเสี่ยที่อยากให้เรื่องนี้เปรียบเสมือน Indiana Jones เวอร์ชั่นสำหรับเด็กๆ แล้ว


แล้วใครเป็นคนรับบทน้องหมา Snowy ล่ะเนี่ย หุหุ
หนังอาจจะไม่เป็นที่น่าประทับใจเท่ากับหนังของ Pixar หรือสนุกโดนใจวัยมันส์เหมือนกับหนังของ Dream Works แต่มันมีที่มีทางมีเสน่ห์ในแบบของตัวเองซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นอย่างชาวบ้านเขา นี่เห็นทำเงินทั่วโลกไปสามร้อยกว่าล้านเหรียญแถมยังซิวรางวัลลูกโลกทองคำสาขาหนังอนิเมชั่นยอดเยี่ยมมาครองด้วย ป่านนี้ Georges Remi หรือ Hergé ผู้ให้กำเนิดการ์ตูนเรื่องนี้คงนั่งยิ้มกริ่มอยู่ที่ไหนสักแห่งบนสววรค์ และพึมพำกับตนเองว่า "เห็นมั้ยล่ะ บอกแล้วว่าต้องเป็นนาย Steven Spielberg คนเดียวเท่านั้นที่คู่ควรกับการพาการผจญภัยของ Tintin ขึ้นสู่จอเงิน" โอเคครับ งั้นขอโอกาสให้เสี่ย Peter Jackson ได้แสดงฝีมือการกำกับภาคสองที่จะออกฉายในอนาคตด้วยอีกคนก็แล้วกันเน้อ อิอิ
  • + อนิเมชั่น Tintin เวอร์ชั่นเสี่ย Steven Spielberg ที่ดูดี ดูเพลิน สนุกสนาน นักเชียว
  • - เรื่องราวการผจญภัยของ Tintin นั้น คงไม่เป็นที่ต้องตาต้องใจคนรุ่นใหม่ซึ่งชอบอะไรที่มันหวือหวากว่านั้นแล้วล่ะมั้ง





*รีวิวหนังของเสี่ย Steven Spielberg เรื่องอื่นๆ ภายในบล็อก*




 

Create Date : 22 กุมภาพันธ์ 2555    
Last Update : 22 กุมภาพันธ์ 2555 19:38:40 น.
Counter : 1768 Pageviews.  

The Borrower Arrietty (2010): ไซส์มิอาจกั้น

The Borrower Arrietty (2010) :
มาแล้วจ้า ผลงานล่าสุดของ Studio Ghibi ขวัญใจมิตรรักแฟนอนิเมชั่นทั้งหลาย หลังจากคราวที่แล้วป๋า ฮายาโอะ มิยาซากิ ทำ Ponyo (2008) ออกมาซะเด๊กเด็ก คราวนี้แกเลยขอถอยฉากแล้วทำหน้าที่เป็นป๋าดันให้เด็กในสังกัด ฮิโรมาสะ โยเนบายาชิ อนิเมเตอร์วัย 36 ขวบ มารับหน้าที่กำกับอนิเมชั่นเรื่องยาวเป็นเรื่องแรก ซึ่งเขาก็ถือเป็น ผกก.ของสตูดิโอนี้ที่อายุน้อยที่สุดเลยทีเดียวนะเนี่ย

ดูลายเส้นก็รู้ว่าเป็นอนิเมชั่นของใคร
สำหรับอนิเมชั่นเรื่องนี้เป็นการดัดแปลงเรื่องราวมาจากหนังสือเด็กที่ชื่อ 'The Borrowers' ของนักเขียนชาวอังกฤษนาม Mary Norton ซึ่งถูกตีพิมพ์มาตั้งแต่ปี 1952 เลยโน่น อันเป็นเรื่องเกี่ยวกับสาว(ตัว)น้อย Arrietty วัย 14 ขวบกับครอบครัวตัวจิ๋วของเธอที่แอบอาศัยอยู่ใต้ถุนบ้านของมนุษย์ ซึ่งพวกเธอก็ประทังชีวิตโดยการ'ขอยืม'ชนิดไม่บอกกล่าวเจ้าของ (ไม่ได้ขโมยน๊า อิอิ) ตอดเล็กตอดน้อยอาหารหรือข้าวของเครื่องใช้จากมนุษย์อยู่เรื่อยมาอย่างสุขีสโมสร


คราวนี้มาพร้อมเรื่องราวของคนพันธุ์จิ๋ว
แต่แล้ววันหนึ่งเธอก็ถูกมนุษย์พบเห็นเข้าโดยบังเอิญ โดยหนุ่มน้อยหน้ามนนามว่า โช ซึ่งมีปัญหาสุขภาพเลยต้องมาพักผ่อนที่นี่กับคุณป้า เพื่อเตรียมตัวจะเข้ารับการผ่าตัดในเร็ววันนี้ และแล้วสวรรค์ก็ดลบันดาลให้ทั้งคู่ต้องมาเจอะเจอกันอีก จนมิตรภาพต่างไซส์ (มากๆ) ของทั้งคู่ก็เริ่มงอกงามขึ้นทีละนิด ซึ่งท่านจะต้องประทับใจมิเสื่อมคลายไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในหนัง เฉกเช่นที่อนิเมชั่นของสตูดิโอนี้เคยทำให้ท่านหลงใหลได้ปลื้มเสมอมานั่นแล

พระนางของเรื่อง
ถึงแม้จะใช้ ผกก.ใหม่ แต่เอกลักษณ์ความเป็นหนังของสตูดิโอนี้ยังเข้มข้นครบเครื่องอยู่เช่นเดิม ทั้งลายเส้น อารมณ์ เสน่ห์เฉพาะตัว และการสอดแทรกธีมอันว่าด้วยการรักษ์ธรรมชาติ ยิ่งพอได้ดนตรีประกอบแนวเคลติกสุดแจ่มและเสียงร้องหวานๆ ของศิลปินสาวชาวฝรั่งเศสอย่าง Cécile Corbel เข้ามาอีก ก็เลยทำให้หนังดูดีมีมนต์เสน่ห์ ชวนเคลิบเคลิ้ม มากขึ้นไปอีกโขเลยทีเดียว


ลายเส้นละเอียดวางใจได้เลย
แต่สิ่งที่หนังขาดไปคือไม่มีบรรดาตัวประหลาด น่ารักๆ เข้ามาช่วยสร้างสีสัน เพราะส่วนใหญ่ที่มีก็พวก มด จิ้งหรีด แมว อีกา หรือพวกสัตว์ตัวเล็กๆ ที่กลายเป็นใหญ่เบิ้มไปเมื่อเทียบกับไซส์ของนางเอก และเรื่องราวของหนังยังเรียบๆ ไปอยู่บ้าง แต่เอาน่า เท่านี้ก็ถือว่าแจ่มมากๆ แล้ว นี่จึงเป็นอีกครั้งที่สตูดิโอนี้รังสรรค์อนิเมชั่นดีๆ เปี่ยมเสน่ห์ ออกมาฝากแฟนๆ ได้อีกครั้ง แจ่มไปเลยจ้า
  • + สตูดิโอจิบลิไม่ทำให้แฟนๆ ผิดหวังอีกแล้ว ดนตรีประกอบก็เพราะมากๆ ด้วย
  • - เนื้อเรื่องยังเรียบๆ ไปบ้าง และขาดความวิจิตรพิศดาร ตื่นตาตื่นใจ เมื่อเทียบกับผลงานก่อนๆ




*ช่วงเพลงในหนัง*


ศิลปินสาวชาวฝรั่งเศส Cécile Corbel มาทำเพลงประกอบให้หนังเรื่องนี้
นอกจากอนิเมชั่นเรื่องนี้จะเป็นเรื่องแรกของ Studio Ghibi ที่มี ผกก.อายุน้อยที่สุดแล้ว ยังเป็นเรื่องแรกที่ไม่ได้ใช้บริการของ คอมโพเซอร์ขาประจำอย่าง โจ ฮิซาอิชิ และ ทามิยะ เทราชิมะ หรือคอมโพเซอร์ชาวญี่ปุ่นคนอื่นๆ เหมือนที่ผ่านมา แต่คราวนี้ขอใช้บริการของ Cécile Corbel ศิลปินสาวชาวฝรั่งเศสวัย 30 ขวบ ที่ประกาศตัวเป็นแฟนผลงานของ Studio Ghibi ตัวจริง พร้อมกับได้ส่งซีดีผลงานของเธอมาให้ทางสตูดิโอฟัง ซึ่งทางตัว ผกก.ฮิโรมาสะ โยเนบายาชิ ได้ฟังเข้าจนติดใจ และได้เชื้อเชิญเธอมาทำดนตรีประกอบเรื่องนี้ให้ซะเลย

ซึ่งงานเพลงของเธอในหนังก็โดดเด่นด้วยเสียงฮาร์ป (พิณฝรั่ง)
และเครื่องดนตรีเคลติกออกแนวเวิร์ลมิวสิคฟังสบายสุดเพราะพริ้งชวนเคลิ้ม ซึ่งลำพังฟังเพลงอย่างเดียวก็เล่นเอาบรรเจิดแล้ว แต่ยิ่งพออยู่ในตัวหนังด้วยแล้วล่ะก็ยิ่งชวนเคลิบเคลิ้มกันเข้าไปใหญ่ ว่าแล้วเราก็มีบางเพลงจากซาวน์แทร็คมาให้ฟังกันจ้า






*รีวิวอนิเมชั่นของ Studio Ghibi เรื่องอื่นๆ ภายในบล็อก*




 

Create Date : 23 มิถุนายน 2554    
Last Update : 25 มิถุนายน 2554 5:12:13 น.
Counter : 2513 Pageviews.  

Kung Fu Panda 2 (2011): แพนด้า ซ่าได้อีก


Kung Fu Panda 2 (2011) :
ภาคแรกที่ออกฉายปี 2008 กวาดเงินไปได้ 600 กว่าล้านเหรียญทั่วโลก ฮิตเถิดเทิงซะขนาดนั้น เลยส่งผลให้พี่อ้วนพริ้ว Jack Black (Gulliver's Travels [2010]) กลายเป็นขวัญใจคุณหนูๆ ไปในบัดดล ว่าแล้วก็ต้องมีภาคสองออกมาโกยเงินอีกตามระเบียบนะคร้าบ


จอมยุทธุ์แพนด้าและพรรคพวกมาแล้วจ้า
ภาคนี้ทีมงานชุดเดิมกลับมากันครบชุด จะต่างกันก็เพียงแต่การเปลี่ยน ผกก.จากคู่หู John Wayne Stevenson กับ Mark Osborne มาเป็น ผกก.หญิงชาวมะกันเชื้อสายเกาหลี Jennifer Yuh Nelson ที่ได้เลื่อนขั้นขึ้นจากการเป็นทีมอนิเมชั่นในภาคแรก จนได้ชื่อว่าเป็น ผกก.หญิงรายแรกของหนังอนิเมชั่นระดับบิ๊กของฮอลลีวู้ดเชียวนะ

ดูสนุกกันได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ (ใจเด็ก)
ภาคนี้เจ้าหมีตอน Po และพวกพ้องต้องเผชิญกับศัตรูรายใหม่คือท่านอ๋อง Shen (ให้เสียงโดย Gary Oldman จาก The Dark Knight [2008]) ที่มาพร้อมอาวุธมหาประลัยที่หาคนเทียมทานไม่ โดยเขาหวังจะใช้มันยึดครองแผ่นดินจีน และทำลายกังฟูให้สิ้นซาก ในขณะเดียวกันหนังก็ได้เฉลยคำถามที่เด็กๆ ทั่วโลกพากันสงสัยมานานว่า "ทำไมห่านถึงมีลูกเป็นแพนด้า (จอมตะกละ) ได้ล่ะเนี่ย?" ให้กระจ่างด้วยจ้า


ตัวร้ายในภาคนี้
คงต้องบอกว่าหนังภาคนี้ยังคงทำออกมาได้สนุกสนานและเปี่ยมเสน่ห์เหมือนเดิม หนังใช้การนำเสนอในแบบซีจีสลับกับในแบบการ์ตูนลายเส้นได้อย่างแจ่มแจ๋ว สีสันสดใสสวยงาม แถมยังมีความละเอียดไม่สุกเอาเผากินสมกับทุน 150 ล้านเหรียญ และการที่มี ผกก.เป็นผู้หญิงก็ส่งผลให้หนังเหนือกว่าภาคแรกอยู่นิดในด้านดราม่าเค้นอารมณ์ที่อาจจะเล่นเอาน้ำตาซึมกันได้ง่ายๆ เลยทีเดียว


อ.ชิฟูยังกลับมาเก๊กเช่นเดิม
แต่การที่หนังต้องรีบจบภายใน 90 นาที (เพราะเชื่อว่าคุณหนูๆ คงทนอยู่ในโรงหนังนานเกินกว่านั้นไม่ได้) นั้นก็ทำให้หนังบางช่วงดูปุบปับ รวบรัดไปบ้าง ซึ่งนั่นก็คงจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร เพราะเท่านี้ก็ถือว่าเป็นอนิเมชั่นที่เด็กดูได้ ผู้ใหญ่ดูดี น่าพอใจเอามากๆ แล้วล่ะเนอะ ว่ามั้ย? อ่อ หนังทิ้งเชื้อไว้สำหรับภาคต่อด้วย เตรียมตัวเฮต่อในภาคสามกันได้เลยเน้อ


มากันครอบเซ็ทเชียว
ในหนังยังมาพร้อมกับข้อคิด สอนใจ อย่างเช่นการเป็นตัวของตัวเองในภาคแรก และการปล่อยวางในภาคนี้ ที่สอนว่าเราไม่ควรโทษฟ้าดิน พ่อแม่ หรือคนอื่นๆ ที่ทำให้เราต้องเผชิญความยากลำบากในชีวิต เพราะสุดท้ายแล้วก็อยู่ที่เราเองต่างหากที่จะเลือกทางเดินของเรา ชะตาของเรา และคนที่เราจะเป็น พี่หมาแพนดี้ หมีแพนด้า เค้าสอนไว้นะเออ พ่อแม่พี่น้อง อิอิ

ปล.หนังฉบับพากย์ไทยพากย์ได้ดีมาก ดูแล้วไม่เสียเซลฟ์แน่นอนจ้า

  • + สนุกไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าภาคแรก และเจ๋งกว่าในด้านดราม่าอีกต่างหาก
  • - บางช่วงดูปุบปับฉับฉึ้กไปบ้างตามสไตล์หนังการ์ตูนที่ต้องรีบจบไวๆ



*รีวิวหนังเรื่องอื่นๆ ของพี่ตุ้ย Jack Black ภายในบล็อก*




 

Create Date : 30 พฤษภาคม 2554    
Last Update : 30 พฤษภาคม 2554 23:31:34 น.
Counter : 2188 Pageviews.  

The Secret of Kells (2009): เปิดตำนานคัมภีร์มหัศจรรย์


The Secret of Kells (2009) :
นี่เป็นผลงานอนิเมชั่นที่เกิดขึ้นโดยการผลึกกำลังภายในของทีมสร้างมากฝีมือจาก ไอร์แลนด์, ฝรั่งเศส และ เบลเยี่ยม ซึ่งก็ทำออกมาได้แจ่มมากจนหนังเดินสายกวาดรางวัลจากเวทีต่างๆ รวมทั้งได้เข้าชิงออสก้าร์สาขาหนังอนิเมชั่นยอดเยี่ยมเมื่อปีที่แล้วอีกด้วย แต่สุดท้ายก็ต้องหม่ำแห้วกระป๋องกันไป เพราะ Up หนังคุณปู่ซ่าบ้าพลังของ Pixar เป็นผู้ซิวรางวัลไปนอนกอดสบายใจเฉิบ


อนิเมชั่นยุโรปมาแล้วจ้า
หนังพาย้อนไปไอร์แลนด์สมัยคริสตศตวรรษที่ 9 เพื่อพบเรื่องราวอันน่ามหัศจรรย์พันลึกที่ Brendan หนูน้อยวัย 12 ขวบผู้เติบโตขึ้นมาในสำนักสงฆ์ต้องพบเจอ เมื่อเขาได้กลายเป็นเพื่อนซี้ไม่มีซั้วกับ Aisling วิญญาณพิทักษ์ป่าที่มาในรูปของสาวน้อยผมขาวหน้าว่อก ในขณะที่ภัยคุกคามจากพวกไวกิ้งจอมโหดที่เที่ยวปล้นสะดมไปทั่วยุโรปก็ได้เข้าใกล้สำนักสงฆ์ของเขา (ที่เต็มไปด้วยชาวบ้านที่มาขออาศัยหลบภัย) เข้ามาทุกทีแล้วด้วย


งานด้านฉากเฉิกสวยงามมากๆ
ดูจากลายเส้นตัวละครของหนังในแว่บแรกแล้วอาจจะคิดว่าเหมือนจะวาดกันง่ายๆ โดยใช้รูปทรงเรขาคณิต ไม่ค่อยเน้นรายละเอียดตามสไตล์การ์ตูนฝรั่งทางช่องการ์ตูนเน็ทเวิร์ค (แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันดูมีเสน่ห์ดีไปอีกแบบนะ) แต่ที่แจ่มมากก็คืองานอาร์ตพวกฉากเฉิกพื้นหลังของเรื่องนี้ที่สวยงามมีเสน่ห์และเต็มไปด้วยรายละเอียด และเมื่อมาเจอดนตรีประกอบออกแนวเคลติก (ดนตรีไอริชโบราณ) อันสุดแสนจะบรรเจิดด้วยแล้ว หนังอนิเมชั่นเรื่องนี้จึงดูแล้วเพลิดเพลินจำเริญใจเสียจริงๆ


ลายเส้นเรียบง่ายแต่ทว่าบรรเจิดมาก
ส่วนทางด้านเนื้อหานั้นก็ไม่ได้แอ๊บแบ๊วหากแต่ดูจริงจังไม่ใช่เล่น เพียงแต่ว่าพอมาในสภาพการ์ตูนที่มีงานด้านภาพสวยๆ สีสันสดใสและเต็มไปด้วยอารมณ์ขันแบบนี้ โทนหนังก็เลยลดความซีเรียสลงไปได้เยอะเลยทีเดียว แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะดูกันสนุกได้ทุกเพศทุกวัยหรอกนะ เพราะหนังไม่ได้เต็มไปด้วยสูตรสำเร็จสไตล์การ์ตูนฮอลลีวู้ด ซึ่งถ้าจะพูดกันถึงความสร้างสรรค์ในบางอารมณ์แล้วก็ทำให้นึกไปถึงอนิเมชั่นของ Studio Ghibli เสียด้วยซ้ำไป


บทจะจริงจังก็ค่อนข้างน่ากลัวเลยทีเดียว
และก็เหมือนอย่างที่ประโยคหนึ่งของหนังที่กล่าวไว้ว่า 'คุณค่าของหนังสือไม่ได้อยู่ที่หน้าปก' ซึ่งก็เช่นเดียวกับหนังเรื่องนี้ที่จะดูจากหน้าหนังภายนอกอย่างเดียวไม่ได้ ดังนั้นท่านจึงควรพิสูจน์ด้วยตาตนเอง ซึ่งถ้าได้ดูแล้วก็อาจจะหลงเสน่ห์ต้องมนต์มันเอาได้ง่ายๆ เลยล่ะ คออนิเมชั่นที่เริ่มจะรู้สึกเลี่ยนๆ อนิเมชั่นจากฮอลลีวู้ดหรือญี่ปุ่น แล้วอยากลองเสพงานของผู้สร้างจากประเทศอื่นๆ เพื่อเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศบ้างล่ะก็ ทางเราขอแนะนำอย่างแรงเลยครับท่าน!
  • จุดเด่น: อนิเมชั่นจากฝั่งยุโรปที่มีงานอาร์ตสุดสวยงามสร้างสรรค์ มีเสน่ห์มากๆ คออนิเมชั่นพันธุ์แท้ที่อยากเห็นอะไรที่ไม่ซ้ำซากจำเจ ก็คงจะชอบกันแน่
  • จุดด้อย: ถึงจะเป็นการ์ตูนแต่ก็ไม่ได้ดูง่ายเหมาะกับเด็กเล็กๆ และค่อนข้างไม่เป็นไปตามสูตรสำเร็จแบบที่เราคุ้นเคยจนดูแล้ว อาจจะพาลคิดไปว่าไม่สนุกเลยเอาได้






 

Create Date : 14 กุมภาพันธ์ 2554    
Last Update : 14 กุมภาพันธ์ 2554 8:01:26 น.
Counter : 3860 Pageviews.  

The Adventures of Prince Achmed (1926): อนิเมชั่นรุ่นเจ้าคุณปู่มาแล้วจ้า

The Adventures of Prince Achmed (1926) :
ใครที่เคยคิดว่า Snow White and the Seven Dwarfs (1937) ของดีสนีย์เป็นอนิเมชั่นเรื่องยาวที่เก่าแก่ที่สุดแล้วล่ะก็เปลี่ยนความคิดใหม่ได้เลย เพราะว่าเป็นเรื่องนี้ต่างหากซึ่งได้ชื่อว่าเป็นหนังอนิเมชั่นเรื่องยาวที่เก่าแก่ที่สุดในโลกที่ยังคงหลงเหลืออยู่ (เรื่องอื่นที่เก่าแก่พอๆ กันล้วนหายสาบสูญไม่เหลือให้ดูหมดแล้ว) ซึ่งที่น่าทึ่งไปกว่านั้นก็คือนี่ไม่ได้เป็นอนิเมชั่นจากดีสนี่ย์หรือฮอลลีวู้ดแต่ว่าเป็นผลงานอนิเมชั่นของอนิเมเตอร์หญิงชาวเยอรมันนาม Lotte Reiniger ที่ผลิตมันออกมาในยุคที่นาซีกำลังจะเรืองอำนาจเสียด้วยสิ (ว้าว)


เห็นตัวละครหน้ามืดกันตลอดทั้งเรื่อง
หนังใช้เทคนิคการสร้างที่เรียกว่า Silhouette animation (คล้ายๆ หนังตะลุงบ้านเรา ซึ่งคุณ Reiniger เป็นคนคิดค้นขึ้นมาเอง) โดยมาพร้อมเรื่องราวที่หยิบเอาหลายๆ ส่วนของนิทานพื้นบ้าน '1001 อาหรับราตรี' มายำคลุกรวมกันจนออกมาเป็นเรื่องราวสุดอัศจรรย์ที่เกี่ยวกับ เจ้าชาย พ่อมด แม่มด กินรี(?) อลาดินกับตะเกียงวิเศษ ม้าบินได้ และตัวอะไรอีกมากมายที่อัดแน่นตลอดเวลาหนึ่งชั่วโมงเต็มของหนังเลยทีเดียว


ต้องใช้ฝีมือและความมานะมากทีเดียว
แม้เวลาจะผ่านมากว่า 84 ปีแล้ว แต่เมื่อมาดูในทุกวันนี้หนังก็ยังคงกิ๊บเก๋ ดูสนุกและน่าทึ่งได้อยู่สำหรับความอุตสาหะในการถ่ายทอดจินตนาการของผู้สร้าง ทว่าด้วยความที่เป็นหนังเงียบมีแต่เสียงเพลงและภาพเงาตัวละครดำๆ ขยับยึกยือๆ ก็เลยอาจชวนหงายเงิบไปได้บ้างสำหรับผู้ที่ไม่คุ้นเคยกับหนังเงียบยุคโบราณเช่นนี้(เราก็หงายเงิบมาทีแล้ว เหอๆ) ดังนั้นควรดูตอนที่ท่านกำลังคึกคักดึ๋งดั๋งตื่นตัวเต็มที่จะเหมาะที่สุด (อิอิ)

วิจิตรตระการตาไม่ใช่เล่น
แน่นอนที่หนังอาจดูน่าเบื่อไปเลยเมื่อเทียบกับอนิเมชั่นสมัยนี้(ก็แหงล่ะ!) แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นนี่ก็ยังเป็นหนังอนิเมชั่นที่ทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์และศิลปะซึ่งควรค่าแก่การได้ดูเป็นบุญตาสักครั้งสองครั้ง(สองครั้งเพราะครั้งแรกดันหลับก่อนเลยต้องดูต่ออีกรอบ อิอิ) ซึ่งไม่แน่นะว่ามันอาจจะจุดประกายไอเดียเด็ดๆ แจ่มๆ ให้แก่เด็กรุ่นใหม่ใจอนิเมชั่นของเราได้ลุกขึ้นมาแสดงความสามารถให้โลกได้ประจักษ์ว่ามวยไทยจะไปบอลโลกบ้างล่ะเนอะ(เกี่ยวกันมั้ยนั่น?) ใครจะไปรู้เนอะ เหอๆ


มีฉากกินรีลงสรงด้วย
  • น่าดูเพราะ: อยากรู้มั้ยเอ่ยว่าอนิเมชั่นเรื่องยาวที่เก่าแก่ที่สุดในโลกเขาเป็นยังไง?
  • ไม่น่าดูเพราะ: ไม่สนุกสนานตื่นตาตื่นใจแล้ว ถ้ามาดูกันในทุกวันนี้


คุณทวด Lotte Reiniger สมัยยังเอ๊าะ







 

Create Date : 14 พฤศจิกายน 2553    
Last Update : 14 พฤศจิกายน 2553 16:35:34 น.
Counter : 1967 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  

Nanatakara
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 43 คน [?]




  • Friends' blogs
    [Add Nanatakara's blog to your web]
    Links
     

     Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.