Group Blog
 
All blogs
 

The Silent House (2010): บ้านกระตุกหลอน


อุรุกวัย


The Silent House (2010) :
อุรุกวัย เป็นประเทศหนึ่งที่ในทวีปอเมริกาใต้ ซึ่งแฟนกีฬาฟุตบอลทั้งหลายคงจะรู้จักมักคุ้นกันดี เพราะทีมชาตินี้เขามีฝีเท้าไม่ใช่ขี้เป็ดเลย แต่ถ้าจะเอ่ยถึงประเทศนี้ในเรื่องหนังแล้ว หลายคนคงจะพากันเหวอกิน เพราะไม่ค่อยมีเล็ดลอดออกมาให้ชาวโลกได้ยลกันสักเท่าไร และนี่คือหนังสยองขวัญสัญชาติอุรุกวัย ที่คงต้องขอบอกว่าไม่ใช่ขี้ไก่เลยล่ะ อิอิ


หนังเรื่องนี้ส่องกันตลอดทั้งเรื่อง
Laura และพ่อถูกว่าจ้างให้มาทำการบูรณะบ้านไร่ร้างหลังหนึ่งเพื่อให้อยู่ในสภาพพร้อมขาย สองพ่อลูกจึงตัดสินใจพักค้างคืนที่นั่นเพื่อจะได้เริ่มต้นทำงานแต่เช้า แต่แล้วในค่ำคืนอันเงียบสงัดนั้นเธอก็ได้ยินเสียงแปลกๆ หลอนๆ จากบนบ้าน จึงรบเร้าให้พ่อที่กำลังหลับสบายขึ้นไปดูหน่อย (ก็หนูกลัวนี่) ก่อนที่พ่อของเธอจะเงียบหายไปอย่างลึกลับซะงั้น เธอก็เลยต้องจำใจออกตามหาพ่อ จนได้พบกับความสยดสยองสุดหลอนและความลับดำมืดมากมายที่รออยู่ในบ้านหลังนี้


หน้าเลอะน้ำแดงเชียวนะหนู
ผกก.Gustavo Hernández ประเดิมผลงานเรื่องแรกของเขานี้ได้อย่างไม่เลวเลยทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการที่หนังใช้สไตล์การถ่ายภาพแบบแบกกล้องตามถ่ายติดๆ ชนิดลองเทคลากยาว ซึ่งเจ้าของหนังเคลมว่าหนังถ่ายกันเทคเดียวจนจบเรื่อง และเป็นหนังสยองขวัญเทคเดียวจบเรื่องแรกของโลกเลยเชียว (ป๊าด!) ซึ่งพอดูกันจริงๆ แล้วน่าจะเป็นหลายเท็คแต่ตัดต่อแบบเนียนๆ มากกว่านะ ถึงกระนั้นมันก็ยังออกมาดูแจ่มหลายอยู่ดีนั่นแหล่ะ


หน้าตาของนางเอกของเวอร์ชั่นรีเมคที่จะออกฉายปีหน้านี้
ดังนั้นถ้าจะพูดถึงสไตล์การถ่ายทำและการสร้างบรรยากาศสยองของหนังแล้วก็ต้องยกให้เขาโลด แต่น่าเสียดายที่ทางด้านบทยังไม่เด็ดพอ คือมีมาแต่มุกตกสะดุ้งที่คุ้นเคยกันดี และการหักมุมที่ชวนว้ามากกว่าชวนเหวอชนิดที่อาจทำให้หลายคนอาจจะพาลเซ็งหนังเรื่องนี้เอาได้ง่ายๆ แต่ถ้าจะดูในแง่ที่ว่านี่เป็นหนังสยองเล็กๆ จากประเทศที่โนเนมเรื่องหนังอย่างอุรุกวัยแล้วล่ะก็ถือว่าแจ่มเหลือหลายแล้ว และล่าสุดฮอลลีวู้ดก็เป็นเสือปืนไว คว้าเอาไปรีเมคเรียบร้อยโดยจะออกฉายปีหน้านี้จ้า ขอบอก
  • + เป็นหนังสยองขวัญเล็กๆ จากอุรุกวัย ที่มีสไตล์ด้านภาพแบบลองเทคลากยาว (มากๆ) บรรยากาศสยองใช้ได้ น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งเชียว
  • - ด้านบทและมุกหักมุมยังไม่แจ่มพอ จนหลายคนอาจพาลเกลียดไปเลยก็ได้




*รีวิวหนังสยองแนวแบบกล้องถ่ายตามถ่ายเรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจภายในบล็อก*





 

Create Date : 29 ตุลาคม 2554    
Last Update : 31 มีนาคม 2555 15:09:13 น.
Counter : 4718 Pageviews.  

Embodiment of Evil (2008): หง่อมโหดไม่ปลดเกษียณ


บราซิล

Embodiment of Evil (2008) :
พอเอ่ยถึงชื่อของ 'Coffin Joe' ขึ้นมาแล้วคอหนังหลายคนอาจแบ๊ะๆ แต่ถ้าจะถามคอหนังคัลต์สุดสยองแล้วคงได้ร้องอ๋อกัน เพราะนี่คือตัวละครสุดเก๋าจากบราซิลที่มีดีกรีความคลาสสิกไม่แพ้พวก เจสัน, เฟรดดี้, ศุกร์ 13 ฝันหวานเลยทีเดียว แถมยังมีสร้างออกมานานโขตั้งแต่ยุค '60 แล้วคือ At Midnight I'll Take Your Soul (1963) ที่ได้ชื่อว่าเป็นหนังสยองขวัญเรื่องแรกของบราซิล และ This Night I'll Possess Your Corpse (1967) นั่นยังไงล่ะ


หง่อมแล้วยังโหดได้อยู่นะเนี่ย
และแล้ววันดีคืนดี ผกก.José Mojica Marins (75 ขวบ) ก็ทำภาคสามนี้ออกมาหลังจากทิ้งช่วงไปจากภาคที่แล้วกว่า 40 ปีเลยทีเดียว (โห!) โดยแกยังคงรับบทเป็น Coffin Joe เองเหมือนที่ผ่านมา ด้วยเรื่องราวของ Joe ที่ถูกปล่อยออกมาจากคุกหลังจากถูกจองจำมากว่า 40 ปี ซึ่งถึงแม้ทุกวันนี้เขาจะหง่อมแล้ว แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งความชั่วร้ายเท่าเดิม และยังคงหมกมุ่นในการจับสาวๆ สวยๆ มาทำเมียเพื่อผลิตทายาทอสูรไว้สืบสานเลือดชั่วของเขาให้อยู่คู่โลกเบี้ยวๆ ใบนี้ต่อไป (ป๊าด!)


แหม มีไส้อั่วมาฝากซะด้วย
เราไม่เคยดูสองภาคแรกมาก่อนจึงไม่รู้ว่าเรื่องราวที่ผ่านๆ มาเป็นยังไง ดังนั้นก็คงต้องมีงงนิดๆ ติดปลายนวมกันบ้างสำหรับคนที่เพิ่งเจ๋อมาดูภาคนี้เป็นภาคแรก เพราะมีการตัดสลับภาพนึกย้อนไปยังภาคที่ผ่านๆ มาด้วย แต่ทั้งนี้หนังก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไร เพราะเน้นขายโหด ขายสยอง ขายซาดิสม์ ขายแหว่ะ ขายเสื่อม ขายโป๊เปลือย แถมยังจะมีฉากเหวอๆ สไตล์เหนือจริงให้ดูกันอีกด้วย เรียกได้ว่าคุณตาแกคัลต์กันเต็มเหนี่ยวเลยล่ะงานนี้


เห็นเล็บแกแล้วอยากโยนกรรไกรตัดเล็บให้จริงๆ
หนังโดดเด่นตรงฉากทรมานทรกรรมชนิดฮาร์ดคอร์ที่หลายฉากเล่นจริงเจ็บจริง เช่นฉากที่ใช้ตะขอเกี่ยวเนื้อที่หลังเหยื่อแล้วดึงร่างขึ้นและฉากที่ใช้ตะขอเย็บปาก (หนังพวก Saw หรือ Hostel กลายเป็นเด็กๆ ไปเลยล่ะงานนี้) ซึ่งเข้าใจว่าตัว ผกก.คงหาพวกที่ชอบเจาะร่างกายตนเองมาเล่นเพื่อความสมจริงสะใจคอซาดิสม์ ส่วนงานด้านเอฟเฟกต์สมจริงและด้านภาพที่ดูดีก็ช่วยส่งเสริมบรรยากาศความซาดิสม์ปนเหวอให้โดดเด่นขึ้นมาได้อีกโขเลย


หนังเล่นจริงเจ็บจริงซาดิสม์จริงแบบไม่ต้องพึ่งเอฟเฟกต์
และในที่สุดแกก็จบไตรภาค Coffin Joe ลงไปได้ในที่สุด ซึ่งนี่ก็ทิ้งเชื้อไว้สำหรับหนังชุดใหม่ไว้เรียบร้อย ส่วนเราจะได้ดูกันในเร็วๆ นี้หรือไม่ก็ต้องโปรดติดตามกันต่อไป เพราะอิตาลุง ผกก.แกก็อายุปูนนี้แล้ว คงจะอยู่ซาดิสม์คู่โลกไปได้อีกไม่นาน แต่อย่างน้อยแกก็ยังทิ้งตัวละคร Coffin Joe ให้อยู่คู่วงการหนังคัลต์สยองขวัญต่อไปละเนอะ


โปสเตอร์สองภาคแรก
  • + โหดกันเต็มเหนี่ยวชนิดถูกใจคอหนังคัลต์สุดสยองระดับฮาร์ดคอร์แน่ เพราะหลายอย่างของหนังนั้นเล่นกันจริงไม่ต้องพึ่งเอฟเฟกต์เลย
  • - คนที่ไม่เคยดูสองภาคที่แล้วอาจมีงงๆ กันบ้างล่ะ และหากท่านไม่ชอบหนังแนวนี้ล่ะก็จะพบว่าช่างเป็นประสบการณ์ที่เลวร้ายยิ่งนัก




*รีวิวหนังจากบราซิลเรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจภายในบล็อก*





 

Create Date : 03 สิงหาคม 2554    
Last Update : 3 สิงหาคม 2554 12:36:40 น.
Counter : 2114 Pageviews.  

We Are What We Are (2010): ครอบครัวเปิบสยอง


เม็กซิโก

We Are What We Are (2010) :
หลังจากการเสียชีวิตไปแบบกระทันหันของผู้พ่อ สมาชิกครอบครัวที่เหลืออีก 4 คน ซึ่งรักษาพิธีกรรมการ 'เปิบมนุษย์' มาช้านาน ถึงกับไปต่อไม่ถูก แต่แล้วพวกเขาก็ตัดสินใจเลือกผู้นำครอบครัวคนใหม่ขึ้นมาและตั้งต้นออกล่าชาวบ้านมาเปิบสยองกันต่อไปตามวิถีทางของครอบครัว ซึ่งใครจะเจอแจ็คพอตจากครอบครัวนี้บ้างนั้นก็ต้องติดตามกันต่อไปล่ะเน้อ


อย่ามองด้วยสายตาอย่างงั้นสิคร้าบ
ถึงหนังเม็กซิกันเรื่องนี้จะว่าด้วยเรื่องของครอบครัวมนุษย์กินคน แต่ก็ไม่ได้เหมือนหนังแนวนี้ส่วนใหญ่ที่เน้นขายฉากแหว่ะฉากโหด หรือทำให้เห็นว่าคนพวกนี้เป็นพวกวิปริตที่ชื่นชอบและสนุกสนานกับการเปิบมนุษย์แต่อย่างใด เพราะหนังนั้นมาในคราบหนังดราม่าครอบครัวสุดจริงจัง ไม่เน้นขายแหว่ะ (แต่ก็ยังมีฉากชวนสยองให้เห็นอยู่) และแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าไม่มีใครในครอบครัวที่ชอบทำอย่างนี้แต่ก็จำเป็นต้องรักษาวิถีทางของครอบครัวเอาไว้


น้องคนรูปซ้ายเล่นดีแถมสวยได้อีก
ช่วงแรกๆ ของหนังอาจจะดูเรื่อยๆ ธรรมดาๆ เป็นหนังดราม่าครอบครัวทั่วๆ ไปอยู่บ้าง แต่พอถึงช่วงกลางเรื่องไปเรื่องราวก็ค่อยๆ ขมวดปม เข้มข้นขึ้นมาเยอะ หนังใช้นักแสดงหลักๆ แค่ 4 คนซึ่งล้วนแต่ทำหน้าที่ได้ดีแบบที่ดูเผินๆ ก็เหมือนกับชาวบ้านระดับรากหญ้าทั่วๆ ไป แต่พอดูดีๆ แล้วจะเห็นถึงความอำมหิตสุดซาดิสม์ของคนเหล่านี้ โดยเฉพาะคุณน้อง Paulina Gaitan ที่มีแววตาที่ชวนสยองมิใช่น้อย


หน้าตาแต่ละคนจิตมาก
ภาพลักษณ์ของประเทศเม็กซิโกที่เราเห็นในหนังส่วนใหญ่ (ทั้งจากฮอลลีวู้ดหรือหนังเม็กซิกันเอง) นั้นล้วนแต่ออกมาแลดูไม่น่าอยู่และไม่ปลอดภัยเอาซะเลย (เอาแค่เห็นการที่ชาวเม็กซิกันส่วนใหญ่ต้องทำกรงขนาดใหญ่ไว้จอดรถเพราะกลัวจะโดนลักรถไปก็มึนแล้ว) ซึ่งไม่ว่ามันจะเป็นความจริงมากน้อยแค่ไหน ก็ทำให้รู้สึกว่าบ้านเราน่ะน่าอยู่กว่าเยอะ อย่างน้อยก็ไม่ถึงขนาดต้องทำกรงไว้ขังรถล่ะเนอะ เหอๆ
  • + เป็นหนังดราม่าสยองขวัญจากเม็กซิโก ที่ทำได้ดี สยองใช้ได้เลย แถมยังสะท้อนสังคมได้อีกแน่ะ
  • - ช่วงแรกของหนังมันเรียบๆ ไปบ้างจนอาจทำให้หลายคนหมดความสนใจหนังไปก่อนก็ได้




*รีวิวหนังแนว'คนกินคน'เรื่องอื่นๆ ภายในบล็อก*




 

Create Date : 08 มิถุนายน 2554    
Last Update : 12 มีนาคม 2555 6:00:24 น.
Counter : 2815 Pageviews.  

The Elite Squad 2 (2010): ตำรวจหักตำหนวด


บราซิล

The Elite Squad 2 (2010) :
เป็นเพราะภาคแรกที่ออกมาเมื่อปี 2007 นั้นทั้งมันส์อย่างมีคุณภาพและฮิตซะปานนั้น (อ่านรีวิวได้โดย'คลิกที่นี่') จึงไม่แปลกถ้าจะมีภาคต่อตามออกมาสำหรับหนังแอ็คชั่นดราม่าอาชญากรรมจากบราซิลเรื่องนี้ ซึ่งภาคสองนี้ก็ยังประสบความสำเร็จแบบสุดๆ ทั้งด้านคำวิจารณ์และรายได้ ที่ถึงขนาดสามารถครองตำแหน่งหนังทำเงินสูงสุดตลอดกาลของบราซิลเสียด้วยสิ แจ่มไปเลยจ้า


ภาคนี้โจรยังเกลื่อนเมืองอยู่เช่นเดิม
หนังดำเนินเรื่องราวทิ้งห่างจากภาคแรก 13 ปี เมื่อ พ.ต.ท.Roberto พระเอกจากภาคแรกต้องถูกโยกไปทำงานใส่สูทนั่งโต๊ะเนื่องจากเจอะปัญหาด้านการเมืองเล่นงาน เพราะทีม BOPE (หน่วยพิเศษของตำรวจเมือง ริโอ เดอ จาเนโร) ของเขาถูกกล่าวหาว่าใช้กำลังรุนแรงเกินเหตุ ซึ่งขณะนั้นเมือง ริโอฯ ก็ยังเต็มไปด้วยปัญหาอาชญากรรมอยู่เช่นเดิม แถมจะหนักข้อกว่าเก่าเมื่อตำหนวดเลวบางกลุ่มได้รวมหัวกับนักการเมืองชั่วบางคนตั้งตนเป็นมาเฟีย ในขณะเดียวกัน Roberto ก็ต้องเผชิญกับปัญหาครอบครัว เมื่อลูกชายวัยรุ่นของเขา ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยปลื้มกับคุณพ่อคนนี้สักเท่าไหร่อีกด้วย


หน่วย BOPE กำลังตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติหน้าที่
ผกก.José Padilha เจ้าเก่ายังคงพาทีมสร้างชุดเดิมกลับมาชนิดครบเซ็ท โดยหนังภาคนี้จะขอลดฉากแอ็คชั่นลง(แต่ก็ยังแรงได้อยู่) แล้วหันไปเสนอเรื่องราวนอกหน่วย BOPE บ้าง ทั้งยังได้เพิ่มเรื่องราวปัญหาชีวิตครอบครัวของพระเอกมากขึ้นด้วย ทว่าก็ยังออกมาเป็นหนังภาคต่อที่เข้มข้นได้ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าภาคแรกเลย (แถมออกจะเหนือกว่าด้วยซ้ำในด้านเนื้อหา) และที่จะขาดไม่ได้เลยคือการตีแผ่ปัญหาอาชญากรรมในเมือง ริโอฯ ซึ่งคราวนี้หนังขอนำเสนอศัตรูรายใหม่บ้าง ซึ่งนั่นก็คือเหล่าตำหนวดและนักการเมืองชั่วๆ นั่นเอง


ตำรวจบราซิลเขาหน้าตาเป็นแบบนี้
สำหรับเรื่องที่หนังภาคแรกถูกหาว่าโปรการใช้ความรุนแรงต่อปัญหาอาชญากรรมมากเกินไปหรือเปล่านั้น ในภาคนี้ก็แก้ลำได้สำเร็จโดยการนำจุดนี้เข้ามาเป็นจุดขัดแย้งหลักในหนังด้วย หนังเสนอภาพของเมือง ริโอฯ ที่เต็มไปด้วยอาชญากรรมสุดจะอันตรายจนไม่น่าอยู่เอาซะเลย(ของจริงจะขนาดนี้หรือเปล่าหว่า?) เห็นเรื่องราวของตำหนวดและนักการเมืองชั่วแบบนี้แล้วก็นึกถึงบ้านเราจัง เพราะมันช่างคล้ายคลึงกันเด๊ะ แต่คงจะไม่หนักเท่าในหนังหรอกมั้ง (เอ...หรือจะพอๆ กันแฮะ อิอิ) ยังไงซะคนดีๆ ก็ยังมีอยู่เยอะ ซึ่งก็หวังว่าในโลกแห่งความเป็นจริงแล้ว ความดีจะเอาชนะความชั่วได้ในท้ายที่สุดอย่างในหนังบ้างเน้อ ^^


คราวนี้พระเอกเราหันมาใส่สูทผูกไท้ด์บ้าง
  • จุดเด่น: เป็นหนังดราม่าอาชญากรรมภาคต่อจากบราซิลที่คุณภาพแจ่มแจ๋วไม่แพ้ภาคแรกเลย หนังตีแผ่ปัญหาอาชญากรรมได้อย่างถึงกึ๋นและเป็นหนังทำเงินสูงสุดตลอดการของบ้านเขาด้วยนะ ขอบอก
  • จุดด้อย: แอ็คชั่นน้อยลงกว่าภาคแรก ดูเอาบู๊คงไม่ได้ดังใจเท่าไหร่นัก






 

Create Date : 07 กุมภาพันธ์ 2554    
Last Update : 7 กุมภาพันธ์ 2554 7:39:58 น.
Counter : 4844 Pageviews.  

The Secret in Their Eyes (2009): ความทรงจำรักไม่มีวันลืม



อาร์เจนติน่า


The Secret in Their Eyes (2009) :
นี่คือหนังอาร์เจนติน่าที่ติดโผหนึ่งในห้าเรื่องที่ได้เข้าชิงออสก้าร์สาขาหนังต่างประเทศยอดเยี่ยมปีนี้ ซึ่งตัวหนังนั้นก็ครองตำแหน่งหนังทำเงินสูงสุดของปีในอาร์เจนติน่าซะด้วย โดยรั้งอันดับหนึ่งอยู่นานกว่าสามเดือนก่อนจะโดนสารคดีคอนเสิร์ต Michael Jackson's This Is It ของป้าแจ็คโก้สอยร่วงไปในที่สุด ได้ทั้งเงินทั้งกล่องแบบนี้ก็ไม่เสียแรงที่ ผกก. Juan José Campanella เขาอุตส่าห์ไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากการกำกับหนังทีวีในอเมริกาอยู่นานนับสิบปี(อันที่จริงก็ไปๆ มาๆ กับบ้านเกิดแหล่ะนะ อิอิ)


คู่พระนางของเรื่อง
หนังพาย้อนไปในปี 1974 เมื่อ Benjamín Espósito (Ricardo Darín) เจ้าหน้าที่รัฐต้องเข้าไปสืบสวนคดีฆ่าข่มขืนสุดทารุณคดีหนึ่ง และในขณะเดียวกัน Irene Menéndez-Hastings (Soledad Villamil) นักกฎหมายสาวไฟแรงก็เพิ่งจะเข้ามารับช่วงเป็นหัวหน้าหน่วยงานของเขาพอดี แล้วดูเหมือนทั้งคู่ก็น่าจะมีใจต่อกันอยู่ แต่เขาก็พยายามหยุดเรื่องนี้ไว้แค่ในฐานะเจ้านาย-ลูกน้องอยู่เสมอ ด้วยสำนึกว่าตนคงเหมือนน้องหมาวัดที่กำลังเห่าเครื่องบินแอร์ฟอร์ซวันซะมากกว่า เพราะทั้งคู่ต่างกันทั้งด้าน วัย ฐานะ การศึกษา ส่วนตัวคนร้ายนั้นเล่าก็ยังคงเดินลอยนวลอยู่ได้โดยที่พวกเขาทำอะไรไม่ได้ หนำซ้ำยังเป็นเหตุให้ทั้งคู่ต้องพลัดพรากจากกันกว่า 25 ปีเลยทีเดียว


ขึ้นลิฟต์อยู่ดีๆ ก็มีคนชักปืนขึ้นมาโชว์แบบนี้เป็นใครก็ต้องหนาวล่ะ
ในปี 1999 แม้เวลาจะผ่านมาเนิ่นนาน แต่ Benjamín ก็ไม่เคยลืม Irene และคดีๆ นั้นได้เลย เขาได้กลับมาพบเธออีกครั้งพร้อมได้นำเอาต้นฉบับนิยายที่เขาได้เขียนขึ้นโดยอิงเนื้อเรื่องจากคดีฆ่าข่มขืนนั้นมาให้เธออ่าน ซึ่งการกลับมาพบกันครั้งนี้อาจเป็นเหตุให้ถ่านไฟเก่าคุขึ้นมาอีกครั้งก็เป็นได้ รวมทั้งยังทำให้เขาตัดสินใจสะสางเรื่องคดีที่ยังค้างคาใจมานานกว่า 25 ปีอีกด้วย ส่วนเรื่องราวจะลงเอยยังไงก็โปรดติดตามกันตามอัธยาศัยเลยจ้า


พระเอกเราช่างจัดพื้นที่ใช้สอยบนโต๊ะทำงานได้คุ้มจริงๆ
หนังดราม่าสืบสวนเรื่องนี้ทำออกมาได้ละเมียดดีจัง เพราะจริงๆ แล้วนี่เป็นหนังรักต่างหาก แต่ก็เป็นรักแบบผู้ใหญ่ๆ ที่ไม่ได้หวือหวา ซู่ซ่านะ ส่วนใหญ่พระนางของเราก็ได้แต่สื่อความรู้สึกต่อกันทางสายตา(ตามชื่อเรื่อง) แต่บทจะจี๊ดก็ยังจี๊ดได้เรื่องอยู่ ทางด้านเรื่องการสืบสวนก็ไปแบบเรื่อยๆ ไม่ตื่นเต้นตูมตาม แต่ก็ไม่หย่อนความน่าติดตามเช่นกัน เท่านั้นยังไม่พอ คุณ ผกก.ยังขอโชว์ความเทพ โดยการถ่ายทำฉากไล่ล่าในสนามฟุตบอลแบบลองเทคยาว 6 นาที โดยทราบมาว่ากว่าจะออกมาอย่างที่เห็น ผู้สร้างต้องวางแผนสำหรับฉากนี้ฉากเดียวกว่า 2 ปี โดยถ่ายทำเพียงแค่ 3 วัน ซึ่งผลที่ออกมาก็ต้องบอกว่ายอดเยี่ยมจริงๆ (นับถือๆ) และที่ลืมไม่ได้คือดนตรีประกอบโดยฝีมือของ Federico Jusid และ Emilio Kauderer ที่เพราะพริ้งเสริมสร้างอารมณ์ให้กับหนังได้มากๆ จะว่าไปแล้ว ไปๆ มาๆ เผลอๆ หนังเรื่องนี้อาจจะเป็นตาอยู่คว้ารางวัลออสก้าร์มาครองก็เป็นได้ ใครจะไปรู้เนอะ(นอกจากพระเจ้า) วันจันทร์นี้ได้รู้กันจ้า

ปล.อัพเดตล่าสุด ในที่สุดหนังก็เป็นตาอยู่คว้าออสก้าร์หนังต่างประเทศยอดเยี่ยมปีนี้ไปครองได้จริงๆ ยินดีด้วยจ้า ^^
  • น่าดูเพราะ: เป็นหนังดราม่าสืบสวนซึ่งอันที่จริงเป็นหนังรักที่น่าประทับใจ และโดดเด่นมากพอที่ดูแล้วจะลืมไม่ลงไปอีก 25 ปีเลยเชียว(คอนเซปต์เดียวกับหนังไง อิอิ)
  • ไม่น่าดูเพราะ: เรื่องราวความรักของผู้ใหญ่(แก่) และหนังที่ไปเรื่อยๆ แบบหนังทีวีเช่นนี้ คงไม่ดึงดูดใจให้ดูสักเท่าไหร่หรอกมั้ง






 

Create Date : 06 มีนาคม 2553    
Last Update : 22 เมษายน 2553 11:17:58 น.
Counter : 4620 Pageviews.  

1  2  3  

Nanatakara
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 43 คน [?]




  • Friends' blogs
    [Add Nanatakara's blog to your web]
    Links
     

     Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.