Group Blog
 
All blogs
 
From Up on Poppy Hill (2011): ฮักนะ โยโกฮาม่า


From Up on Poppy Hill (2011) :
คราวก่อนป๋า ฮายาโอะ มิยาซากิ ดันลูกชายสุดที่เลิฟ โกโร่ ให้เปิดซิงกำกับอนิเมชั่นเรื่องยาวให้ทางสตูดิโอจิบลิใน Tales from Earthsea (2006) แต่ทว่าตัวหนังดันออกมาสนุกน้อยเกินไปหน่อย หนังเลยไม่ประสบความสำเร็จสักเท่าไหร่เมื่อเทียบกับผลงานที่ผ่านๆ มาของทางสตูดิโอ (แต่ก็ยังทำเงินไปได้บานอยู่ดี)

อนิเมชั่นถวิลหาอดีตจากสตูดิโอจิบลิ
มาคราวนี้ ผกก.โกโร่ มิยาซากิ ขอกลับมาแก้มืออีกครั้ง โดยการนำเอาหนังสือการ์ตูนชื่อเดียวกันที่ตีพิมพ์ในปี ค.ศ.1980 มาทำ อันว่าด้วยเรื่องราวความรักของวัยรุ่นคู่หนึ่งที่เรียนโรงเรียนมัธยมแห่งเดียวกันในเมืองโยโกฮาม่า สมัยปี ค.ศ.1963 ขณะญี่ปุ่นกำลังจะได้เป็นเจ้าภาพโอลิมปิกเป็นครั้งแรกในปีถัดไป ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของญี่ปุ่นยุคใหม่หลังจากบอบช้ำจากสงครามโลกครั้งที่สองมาหลายปี

ญี่ปุ่นมุงกำลังฮือฮา
แฟนขาประจำของสตูดิโอจิบลิคงได้ยิ้มแก้มปริ เพราะหนังยังมากับลายเส้นอันเป็นเอกลักษณ์ที่แสนคุ้นเคยกันดี ที่แม้จะใช้ลายเส้นที่เรียบง่ายแต่ใส่ใจในรายละเอียดซึ่งเป็นเสน่ห์ประจำผลงานของสตูดิโอนี้เขาล่ะ ส่วนเนื้อเรื่องนั่นเล่าต้องบอกว่าค่อนข้างจะเรียบๆ แถมออกจะน้ำเน่านิดๆ และเรื่องราวบ้านๆ ของคนธรรมดาๆ ที่ไม่ได้มีอะไรที่มันเหนือจิตนาการชวนให้ตื่นตาตื่นใจแบบนี้จัดว่าหนังอยู่ในหมวดหมู่เดียวกับผลงานของจิบลิอย่าง Only Yesterday (1991) และ Whisper of the Heart (1995) ก็คงได้

พระเอกเรามาดเท่ใช่เล่น
ส่วนจุดที่โดดเด่นที่สุดในหนังคืออารมณ์ 'ถวิลหาอดีต' ที่สามารถพาผู้ชมย้อนยุคไปดูญี่ปุ่นยุค '60 ทั้งรูปแบบความเป็นอยู่ ข้าวของเครื่องใช้ วิวทิวทัศน์ สภาพสังคมสมัยโน้นได้อย่างน่าชื่นชม รวมทั้งประเด็นการมุ่งเน้นย้ำเตือนไม่ให้เราละทิ้งหรือทำลายสิ่งที่ดีงามที่มีมาแต่อดีต แล้วกระโจนไปสู่ความเจิดจรัสแห่งอนาคตหรือรับความเจริญต่างๆ เข้ามาจนลืมรากเหง้าของชาติตนไป

จีบสาวต้องกล้าลงทุน
และที่น่าชื่นชมอีกอย่างคือการได้เห็นว่าคนญี่ปุ่นเนี่ยเวลาจะทำอะไรก็จริงจังดีแท้ อย่างเช่นบรรดาเด็กนักเรียนในชมรมต่างๆ ที่ทุ่มเทให้กับสิ่งที่เขาสนใจอย่างเต็มที่ ซึ่งแม้ว่านี่จะเป็นเพียงการ์ตูน แต่เชื่อว่าในความเป็นจริงแล้วก็คงต้องยอมรับว่าพวกเขาเป็นเช่นนั้นจริงๆ ในแบบที่เป็นละขั้วกับเยาวชนหรือผู้ใหญ่ในบ้านเรายิ่งนัก (แม้แต่ตัวข้าพเจ้าเองก็ตาม)

พระเอกแสดงวีรกรรมจนสาวกรี๊ด
ตัวหนังออกมาประสบความสำเร็จในบ้านเกิดอย่างงดงามจนได้ครองตำแหน่งหนังที่ทำเงินสูงสุดในญี่ปุ่นแห่งปีที่แล้ว และยังได้ครองรางวัลภาพยนตร์อนิเมชั่นยอดเยี่ยมของออสก้าร์ญี่ปุ่นอีกด้วย ซึ่งเราไม่แปลกใจเลยเพราะนี่เป็นหนังอนิเมชั่นโดยคนญี่ปุ่น และเพื่อคนญี่ปุ่นจริงๆ (แต่คนชาติอื่นก็ดูได้) ที่ทั้งผู้ใหญ่ คนสูงอายุ ทั้งลูกเด็กเล็กแดงต่างก็สามารถดื่มด่ำกับเสน่ห์ของอนิเมชั่นเรื่องนี้ได้ ต้องให้มันได้อย่างนี้สิคร้าบสตูดิโอจิบลิ :)

  • + สตูดิโอจิบลิไม่เคยทำให้ผิดหวัง เรื่องนี้ออกแนวถวิลหาอดีตแนวๆ Always - Sunset on Third Street (2005) ถ้าใครชอบหนังสไตล์นี้ล่ะคงจะไม่ผิดหวังกันแน่
  • - เนื้อเรื่องออกธรรมดาๆ เน่านิดๆ ดูแล้วก็ดีแต่ยังไม่ประทับจิตนัก



*ช่วงเพลงในหนัง*
คิว ซากาโมโต้ กับเพลงอมตะของเขาในอนิเมชั่นเรื่องนี้
ในหนังเราจะได้ยินเพลง "Ue o Muite Arukō" (I will walk looking up) กันอยู่หลายครั้ง ซึ่งเพลงๆ นี้หรือที่รู้จักกันในนามเพลง 'Sukiyaki' เป็นเพลงสุดฮิตของนักร้อง/นักแสดงหนุ่ม คิว ซากาโมโต้ ที่นอกจากจะดังในญี่ปุ่นแล้วยังไปขึ้นอันดับหนึ่งบน Billboard Chart ของอเมริกาในปี ค.ศ.1963 ได้เสียด้วย จนนับเป็นเพลงภาษาญี่ปุ่นเพลงแรกและเพลงเดียวที่สามารถทำได้เช่นนี้ ทั้งยังขายแผ่นเสียงได้กว่า 13 ล้านแผ่นทั่วโลก เรียกได้ว่าเป็นเพลงที่คนส่วนใหญ่น่าจะเคยผ่านหูมาบ้างล่ะ (ถ้าได้ฟังคงร้องอ๋อ) เมื่อมาอยู่ในหนังเรื่องนี้เลยสามารถสร้างอารมณ์ถวิลหาให้คนดูได้หวนระลึกถึงความหลังได้เป็นอย่างดี






*รีวิวหนังเรื่องอื่นๆ ของสตูดิโอจิบลิ ภายในบล็อก*



Create Date : 29 มิถุนายน 2555
Last Update : 29 มิถุนายน 2555 21:38:06 น. 0 comments
Counter : 2142 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Nanatakara
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 43 คน [?]




  • Friends' blogs
    [Add Nanatakara's blog to your web]
    Links
     

     Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.