Catch dream in my Cheeks^o^จับฝันใส่กระพุ้งแก้ม Return to the beach BY NALINNOVEL
Group Blog
 
All blogs
 

เก้าอี้ไม้กับสวนลำดวน(รักนี้มีเพียงใจ) - บทที่ 6 ความวุ่นวายที่ไม่ทันตั้งตัว

บทที่ 6 ความวุ่นวายที่ไม่ทันตั้งตัว



แล้วไม่นานช่วงปิดเทอมต้นก็มาถึงรินสาวน้อยที่มีความมั่นใจเต็มเปี่ยม ทะเลาะกับน้าของเธออย่างรุนแรง สิ่งที่เธอคิดได้สำหรับเด็กสาวอายุย่าง 17 ปี คือการหนีออกจากบ้าน เธอหนีมาพักกับภุม ภุมไม่ได้ปฏิเสธการเข้ามาอยู่ของเธอ เพราะพ่อแม่ของภุมก็เห็นว่าเป็นเรื่องส่วนตัวเพียงแต่ให้ระวังตัวกลัวว่าน้าของรินจะมาเอาเรื่องกับบ้านของพวกเขาได้

รินไม่ได้ออกไปไหน เลยไม่มีใครแถวนั้นรู้ว่ารินอยู่กับภุมที่บ้านหลังนี้และอยู่ห้องเดียวกันกับภุม ภุมรู้สึกอึดอัดใจเขาไม่สามารถนัดเจอกับไม้หวายได้เพราะรินอยู่เป็นเงาของเขาตลอดเวลาและรินก็กำลังมีปัญหา ภุมสงสารรินจึงได้สละเวลาทั้งหมดของเขาให้กับริน เพราะกลัวรินจะคิดอะไรไปในทางที่ไม่ดี

“ภุม... เบื่อหรือเปล่าที่รินมาอยู่ที่นี่” เสียงอ้อนของรินทำให้ภุมหวั่นไหวเสมอ
เขาส่ายหน้า

“อยู่ให้สบายแล้วกัน” ภุมส่งน้ำเสียงแข็งกระด้างออกไป

เขาชักสีหน้าตึง เดินออกมาจากห้องนอน

รินวิ่งเข้ามากอดข้างหลังของภุมไว้ เพื่อฉุดรั้งไม่ให้เขาไป “อย่าไปเลยนะ อยู่กับรินก่อนเถอะนะ เวลาภุมไม่อยู่ รินเหงามากนะ”

“เราอยู่ด้วยกันตลอดเวลาไม่ได้หรอกนะ ปล่อยให้ภุมมีพื้นที่ของตัวเองบ้างเถอะ” ภุมดึงมือรินออก

แต่ตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกว่าขาชาไปหมด ใบหน้าร้อนผ่าว มือไม้สั่น เพราะสัมผัสที่จู่โจมแนบชิดแบบที่เขาไม่เคยรู้จักมาก่อนจากริน อ้อมแขนเล็กนี้ต่างจากการกอดกับแม่โดยสิ้นเชิง

“ไม่ อยู่กับรินนะ รินไม่มีใคร ภุมรังเกียจรินเหรอ” รินทำหน้าตะบึงงอนเล็กน้อย ชวนให้หลงใหล

“เปล่า แต่มันไม่เหมาะ” ภุมพูดเสียงเรียบ

“ไม่เหมาะยังไง ก็เราเป็นแฟนกันนี่นา” รินขึ้นเสียงด้วยความโกรธ

“เป็นแฟนเหรอ…” ภุมพูดเสียงเบา ๆ กับตัวเอง

“เป็นแฟน เป็นแฟน เข้าใจไหมภุม” รินเดินสะบัดไปนั่งบนเตียง

ความสั่นไหวภายในกายชายหนุ่มเริ่มเคลื่อนไหว เขาหันมองตามเด็กสาวคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนเตียงของเขาทีท่ากำลังเสนอบางอย่างให้กับเขา สิ่งที่หนุ่มแรกรุ่นอย่างเขาอยากลิ้มรสไปตามวัย การควบคุมสติอารมณ์ตอนนั้น ขาดการควบคุมอย่างรัดกุม เด็กหญิงสวมเสื้อกล้ามเนื้อบางเบาสีขาวเปิดเผยไหล่อันอวบอิ่ม ผิวขาวนวล กางเกงผ้ายืดสีเทาขาสั้นจู๋ ยิ่งเพิ่มความเย้ายวนบังเกิดขึ้นทันที

รินเดินเข้ามาหาภุมอีกครั้ง เธอใช้ปากของเธอสัมผัสบางเบาที่ปากของภุม ใช้นิ้วมือจับใบหน้าของเขาด้วยความแผ่วเบาไล่เรื่อยมาจนถึงหน้าอกของเด็กหนุ่ม และไล่เรียงริมฝีปากบางเบาสัมผัสที่หน้าอกของเขา ภุมไม่รู้ว่าสิ่งเหล่านี้รินรับรู้ว่าต้องกระทำแบบนี้มาจากไหน

ชายหนุ่มกำมือตัวเองไว้แน่น การถูกจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัว การเล้าโลม ความเย็นเฉียบจากเครื่องปรับอากาศ และสัมผัสอันเล่าร้อนบังเกิดขึ้น ตามแรงปรารถนา

........

ค่ำนั้น ภุมนั่งกุมขมับอยู่ที่ข้างเตียง เขาเสียใจกับสิ่งที่เขาทำไป เขานึกถึงภาพไม้หวาย เขาเองเป็นฝ่ายสลัดเธอทิ้งไปโดยที่เธอไม่รู้ตัว รู้สึกถึงความผิดพลาดอย่างร้ายแรง ความวุ่นวายที่กำลังเกิดขึ้น เพียงเพราะอารมณ์ชั่ววูบของเขา ความบริสุทธิ์ที่เขาตั้งใจเกี่ยวเก็บมันไว้ให้กับหญิงอันเป็นที่รัก มันหลุดลอยไปจากเขาแล้ว เขาได้แต่เอามือตบหน้าของตัวเองจนมันรู้สึกชา ซึ่งต่างกับรินสาวน้อยผู้ดูน่าสงสารแต่ซ่อนอะไรไว้ภายในใจมากมาย เธอไม่รู้สึกสะทกสะท้านกับสิ่งที่เกิดขึ้น เธอยังนอนหลับสบายใต้ผ้าห่มนอนผืนหนาอย่างสบายใจ

‘มันเกิดอะไรขึ้นกับฉัน’ ภุมพูดวนไปวนมาจนทำให้รินขยับตัวขึ้นด้วยความงัวเงีย

“ภุม ตื่นทำไมแต่เช้า” เสียงแหบแห้งของรินทำให้ภุมรู้สึกจี๊ดที่ระบบประสาทของเขา

ร่ายกายของเขาตอนนี้มันรู้สึกเหนื่อยล้า หัวใจห่อเหี่ยว เขายังนั่งอยู่จุดเดิมตั้งแต่เมื่อวานจนถึงรุ่งเช้านี้

“ลุกไป เลย กลับบ้านเธอไปได้แล้ว” ภุมดึงมือเชิงฉุดรินขึ้นมาจากเตียง ทำให้รินตกใจมากและรู้สึกเสียหน้ากับการกระทำของภุม ซึ่งเธอไม่เคยเห็นมาก่อน

“เป็นอะไร ทำไมไล่รินไปล่ะ ทำอะไรแล้วไม่รับผิดชอบ” หลังจากสิ้นเสียงของรินที่ดังขึ้น ภุมเงียบเสียงลง คำว่า ‘รับผิดชอบ’ กระแทกเข้ามายังโสดประสาทของเขา เขารู้สึกกระอักกระอ่วนไม่รู้จะพูดอย่างไรต่อไป และไม่รู้ว่าทางออกอยู่ตรงไหน เขาได้แต่เดินไปเก็บเสื้อผ้าของรินใส่กระเป๋าด้วยความรีบร้อน และโมโห ทำให้รินไม่สามารถขัดขวางแรงของภุมได้เลย รินได้แต่ยืนมองดูชายคนที่เธอรัก กำลังโกรธเดินฉุนเฉียวเหมือนหมาป่ากำลังติดกับดัก

“หยุดเลยภุม” เธอกระชากกระเป๋าเสื้อผ้าของเธอออกจากมือเขา

“รินไปเองก็ได้ ไม่ต้องมาไล่กันหรอก ผู้ชายไม่มีความรับผิดชอบเหมือนพ่อ เหมือนพ่อที่ทิ้งรินไป และแม่ก็ยังมาถูกผู้ชายที่ไหนไม่รู้มาพรากแม่ไปจากริน ใจร้ายผู้ชายใจร้ายที่สุดเลย”

รินนั่งร้องไห้ไปพลางเก็บเสื้อผ้าที่เกลื่อนกลาดเต็มห้อง

ภุมเดินถอนหายใจออกมาและเดินเข้ามาใกล้เธอ ยกมือลูบศีรษะของรินเบา ๆ

“ขอโทษนะริน”

ภุมลุกขึ้นออกห่างจากริน เว้นระยะพอที่รินจะได้ยินเสียงที่อ่อนล้าของเขา

“เก็บของกลับไปก่อนนะ เพราะผมไม่อยากพบใครตอนนี้ คุณกลับไปเถอะ แต่ผมรับรองว่าคงไม่มีเรื่องอะไรเลวร้ายกับคุณแน่นอน… ผมขอร้อง” ภุมเอามือบิดลูกบิดประตูเบา ๆ ก้าวออกไปจากห้องนอน

รินได้แต่นั่งร้องไห้ พลางหยิบเสื้อผ้าน้อยชิ้นของเธอใส่กระเป๋าเป้ แต่เธอพยายามเก็บอาการเศร้าของเธอไว้ เธอเดินไปที่กระจกและยิ้มให้กับตัวเธอเอง และพูดกับตัวเองเบา ๆ

‘ฉันไม่ยอมแพ้หรอก ภุม’ เธอยิ้มเหยาะ ผสมกับสายตาแห่งความโกรธแค้น



“HEY! Honey Pooh Where are you going? I am setting for a table . Do you have breakfast?” แม่ของภุมร้องทักไปจัดอาหารบนโต๊ะตอนเช้าไป แม่จะเรียกภุมว่า ฮันนี่พู ส่วนภูมิ แม่มักจะเรียก ภู-มี่ เสมอ

“I am keep alone Bye mom” ภุมเดินผ่านโต๊ะอาหารโดยไม่ได้หันกลับไปมองแม่ของเขา


เขาเดินออกจากบ้าน เงยหน้าสูดลมหายใจลึก ๆ เพื่อรับอากาศที่สดชื่นในเช้าตรู่ของวันเสาร์ที่อากาศค่อนข้างเย็นเนื่องจากตอนกลางคืนฝนตก หยาดน้ำค้างที่พร่างพรมบนใบไม้ดอกไม้ของหน้าบ้านแต่ละหลังทำให้หัวใจภุมชุ่มฉ่ำขึ้นมากและคลายความเครียดลง

เขาเดินก้าวเท้าลงบนพื้นถนนที่เปียกชื้นบางแห่งก็มีน้ำนองบนพื้นถนน บางแห่งก็แห้งสนิท จนไม่รู้ว่าระยะทางที่เดินทางถึงคือ ณ ที่แห่งไหนจนกระทั่งเขาเห็นเก้าอี้ไม้สีน้ำตาลตัวเดิม

‘ที่ ที่ดี ของเรา’ เขาพูดเบา ๆ กับหัวใจตนเองด้วยความเหงา

‘ไม้หวาย พี่ผิดไปแล้ว พี่ขอโทษ ต่อไปนี้พี่คงไม่มีหน้าพบกับหวายอีกแล้ว’
เขาก้มหน้ากุมขมับบ่งบอกสีหน้าของความเครียดและความสับสนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จนกระทั่งแสงแดดรำไรส่องผ่านกิ่งไม้จนแยงตาของเขา เขาจึงรู้ว่าคงจะสายแล้ว

เขาเดินกลับบ้าน และสิ่งที่เขาพบคือความว่างเปล่า เขารู้สึกโล่งใจ เพราะความว่างเปล่าที่เขาเห็นคือข้าวของเครื่องใช้ของรินถูกขนย้ายออกไปแล้ว แม้กระทั่งตัวของรินเอง เธอเองก็คงเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่เขารู้ดีว่า รินคงไม่คิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เธอเสียหายเท่าไหร่ เพราะรินต้องการให้เหตุการณ์เป็นแบบนี้ตั้งแต่แรกแล้ว

ภูมิเดินเข้ามานั่งรับประทานอาหาร ต้องชักสีหน้าแปลกใจและจ้องมองหน้าที่ห่อเหี่ยวของน้องชายตนเอง แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา หรือซักถามให้มากเรื่องตามนิสัยของผู้ชาย ภูมิคิดว่าน่าจะให้อารมณ์ของภุมสงบลงมากกว่านี้แล้วค่อยซักไซ้ไล่เรียงกันต่อไป

“ทานข้าวเยอะ ๆ นะลูกจะได้โตไว ๆ” แม่มักจะอารมณ์ดีเสมอ

“ภุมกินเยอะ ๆ ซิ เดี๋ยวจะต้องไปเรียนพิเศษไม่ใช่เหรอ สายแล้วนะ” ภูมิพูดไปตักข้าวใส่ปากไป

“ครับ” ภุมรีบตักกับข้าวไว้เต็มจานตัวเอง แต่อาการเหม่อลอยของเขาทำให้เขาลืมตักข้าวและกับข้าวเข้าปากเขาด้วยทำให้พ่อและแม่ของเขาผิดสังเกต พ่อภุมหน้าตาละม้ายคล้ายกับภุม แต่ดูขรึมน่าเกรงขาม ด้วยความเป็นไทย-จีนของเขาจึงมักมีระเบียบและไม่ว่าจะทำอะไร พ่อของภุมมักจะกำหนดแผนการณ์ไว้ล่วงหน้าเสมอ และค่อนข้างจุกจิกมากกว่าผู้เป็นแม่

“ว่าไง เรา เป็นอะไรไป นั่งเหม่อลอยอย่างกับคนอกหัก อย่างนั้นแหละ” พ่อพูดเสียงขรึม

“เปล่าครับ เดี๋ยวจะไปอาบน้ำแล้วก็ไปเรียนเลยนะครับ” ภุมรีบทานข้าวแล้วก็ขอตัวลุกจากโต๊ะอาหารก่อน

“ภูมิดูน้องบ้างนะ เป็นอะไรไปหรือเปล่า แล้วเรื่องเด็กรินนั่นนะ กลับไปแล้วเหรอ พ่อไม่ชอบเลยนะ ดูแล้วไม่งามแล้วภุมก็ยังมีอนาคตอีกไกลจะมาจมปลัก สร้างภาระให้กับตัวเองตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ พ่อว่าท่าจะไม่ดี ปรามน้องหน่อยแล้วกันนะ เดี๋ยวไปพูดว่าตรง ๆ จะเตลิดไปกันใหญ่” พ่อพูดเสร็จก็ลุกไปดูเจ้าสุนัขสองตัวที่บ้านหลังนี้เลี้ยงไว้

“ครับพ่อ”



บรรยากาศหน้าโรงเรียนสอนกวดวิชามีเด็กหนุ่มสาวส่งเสียงดังกันไม่ขาดเสียง บ้างก็คุยกันเรื่องเรียน เรื่องสอบ บ้างก็คุยกันเรื่องการแต่งเนื้อแต่งตัว สำหรับภุม ได้แต่เก็บงำความทุกข์ไว้ภายในใจ เขาเดินไปนั่งที่ขอบกระถางต้นไม้สำหรับนั่งเล่นบริเวณใกล้ทางเข้าห้องเรียน ภายใต้หน้าตาที่เคร่งขรึมของเขา และรอยยิ้มน้อย ๆ ที่ต้องฝืนยิ้มทุกครั้งที่มีคนเข้ามาทักทาย เขาเก็บซ่อนเรื่องราวที่เหมือนฝันร้ายของเขาไว้มากมาย พาลให้วันนี้เขารู้สึกไม่อยากเรียนหนังสือ

แต่ภุมรู้ดีว่าสิ่งที่ทำเป็นความผิดของเขาเช่นกัน สำหรับวันนี้เขาบอกตัวเองว่า เขาไม่พร้อมกับอะไรหลาย ๆ อย่าง เขานั่งคิดถึงเมี่อครั้งที่เขามีรู้สึกดี ที่ทะเล ที่นั่นเป็นครั้งแรกที่เขาและไม้หวายได้คุยกัน ได้จับมือกันเป็นครั้งที่สอง และ ได้นั่งมองทะเลด้วยกันสองคน เขาอยากไปหาไม้หวาย แต่รู้ตัวดีว่าเขาเลวเกินกว่าจะกลับไปให้เธอเห็นหน้าได้อีก จากรอยยิ้มที่เปื้อนอยู่ภายในใจ ต้องเก็บหลบไว้ในหลืบหัวใจของเขาเหมือนเดิม



“พี่ปิ่นคะ หวายออกไปรอหน้าห้องน้ำนะคะ”

ไม้หวายกับปิ่นมาเดินเล่นที่ห้างสรรพสินค้ากันสองคนเพื่อหาดูหนังสือเกี่ยวกับการจัดดอกไม้เล่มใหม่ สำหรับชมรมดอกไม้สด

“เรียบร้อยแล้วจ้า รอนานไหมน้องสาว ไปดูหนังสือกันดีกว่านะ เสร็จแล้วก็ไปกินอะไรกันนิดหน่อยแล้วก็กลับบ้าน OK ไหมจ๊ะ” ปิ่นพูดไปเดินโอบไหล่ของไม้หวายไปพลาง

“ก็คงต้อง OK กระมังคะ เพราะพี่ปิ่นเตรียมโปรแกรมสำหรับช่วงเวลาบ่ายเรียบร้อยแล้วนี่คะ” พูดเสร็จไม้หวายก็หัวเราะเสียงใสออกมา

สองสาวเดินมองดูสินค้าที่ถูกตกแต่งไว้สวยงามตามร้านต่าง ๆ จนเพลิน สักพักก็เดินมาถึงร้านหนังสือขนาดกลางแห่งหนึ่งซึ่งมีร้านกาแฟน่ารัก ๆ ไว้เพื่อให้บริการหนอนหนังสือ และ ร้านนี้ก็ยังจัดที่นั่งน่ารักสำหรับให้ลูกค้านั่งอ่านหนังสือได้ฟรีอีกด้วย สำหรับช่วงปิดเทอมที่เป็นวันธรรมดาไม่ค่อยมีผู้คนพลุกพล่านมากนัก สองสาวจึงเดินเลือกหาหนังสือได้ตามสบายไม่ต้องเบียดเสียดกันเหมือนวันหยุด

“ไม้หวาย พี่เจอเพื่อน เดี่ยวแวะไปคุยก่อนนะ หวายเดินเข้าไปเลือกดูหนังสือในร้านก่อนนะ เดี๋ยวพี่ตามเข้าไป” ปิ่นพูดเสร็จก็ผละจากไม้หวายมาชั่วขณะหนึ่ง

ไม้หวายเดินดูหนังสือไปเรื่อย ๆ ตามหมวดหมู่ที่จัดไว้แยกตามประเภทหนังสือ ร้านหนังสือที่นี่มีข้อพิเศษของการตกแต่งนอกจากแยกตามประเภทหนังสือแล้ว ในแต่ละหมวดหมู่ยังเรียงให้ไล่โทนสีของสันปกด้วยเพื่อให้หนังสือดูน่าอ่านยิ่งขึ้น

‘อืม วันนี้แอร์เย็นจังเลยนะ สงสัยคนจะน้อยกว่าทุกวัน เอ๊ะ กลิ่นโคโลญจ์อ่อน ๆ แบบผู้ชาย กลิ่นนี้คุ้นจมูกจังเลย เคยได้กลิ่นที่ไหนนะ’

ไม้หวายทำท่าสูดกลิ่นแล้วก็นึกตลกตัวเองที่ทำท่าแบบนั้นออกมา

‘เฮ้อ คงจะเพ้อฝันตามเคยอีกแล้วเรา คงไม่ใช่อย่างที่เราคิดหรอก’

ขณะที่ไม้หวายกำลังเอื้อมมือหยิบหนังสือเล่มหนึ่งอยู่เธอเหลือบไปเห็นใครบางคน คลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นคนที่เธอรู้จัก เธอได้แต่ภาวนาว่าคงไม่ใช่ ภุม เพราะเธอไม่พร้อมจะเจอเขาตอนนี้ แต่อีกใจเธอก็คิดว่าคงไม่ใช่หรอกเพราะว่าผู้ชายคนนี้ใส่หมวกแก้ปและไรผมก็ยาวมากจนถึงท้ายทอย เธอไม่คุ้นเคยทรงผมแบบนี้ของชายในหัวใจของเธอ

ชายคนนั้นกำลังหันมาทางเธอ ทำให้เธอรู้แน่ชัดว่าเป็นภุม เธอแทบตั้งตัวไม่ทันเลยรีบลงไปนั่งหลบและทำท่าทางก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือเพื่อไม่ให้เขาเห็น

ในขณะเดียวกันปิ่นกำลังเดินเข้ามาในร้านกำลังมองหาไม้หวายอยู่ แต่มองจนทั่วร้านก็ไม่พบเพื่อนรุ่นน้อง จนกระทั่งได้ยินเสียงภุมร้องเรียกเธอ ภุมมีน้ำเสียงที่กระวีกระวาดและดีใจมากที่ได้พบกับปิ่น

“ปิ่น ๆ มากับใคร มากับพีทหรือว่า…อืมไม่มีอะไรหรอก” ภุมพูดเสร็จแล้วก็นิ่งเงียบไป เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะคิดถึงไม้หวายอีกต่อไปแล้ว เขาจึงรีบเปลี่ยนคำถามทันทีก่อนที่ปิ่นจะตอบ

“อืม พีทล่ะมาด้วยหรือเปล่า “

“เปล่าหรอกวันนี้มากับเพื่อนน่ะ อยากเจอเพื่อนของเราหรือเปล่าล่ะ” ปิ่นแกล้งเย้าภุม

“ไม่เป็นไร เรามีธุระน่ะ ไปก่อนนะ” ภุมทำท่าจะหันหลังกลับ

“แต่เพื่อนปิ่นเป็นรุ่นน้องที่ชมรมนะ ไม่อยากเจอหรือไง เอาอย่างนี้แล้วกันนะฝากบอกเพื่อนรุ่นน้องของปิ่นด้วยนะว่าปิ่นมีธุระด่วนมาก ปิ่นไปก่อนนะ” ปิ่นพูดเสร็จก็โบกมือลาและวิ่งหนีไปจนภุมไม่ทันได้เอ่ยคำปฏิเสธหรือตอบรับคำบอกกล่าวนั้นเลย

ภุมตกใจกับสถานการณ์ที่รับไว้โดยไม่ทันตั้งตัว แต่ก็อดอมยิ้มไม่ได้ แล้วความรู้สึกในส่วนลึกหัวใจของเขาก็เกิดขึ้น เพื่อนรุ่นน้องคนนั้นหวังว่าคงจะไม่ใช่ไม้หวายหรอกนะ เขารู้ตัวว่าเขาไม่พร้อมที่จะพบไม้หวายในตอนนี้ แต่ในเมื่อตกอยู่ในฐานะที่เหมือนรับปากรับคำแล้วก็ต้องทำตามที่ปิ่นสั่งโดยดี

ภุมเดินมองหาสาวน้อยในหัวใจของเขาในทุกซอกและทุกมุมของร้านหนังสือ หัวใจของเขาเต้นรัวเร็วขึ้น และตื่นเต้นที่จะได้พบเธอ จนถึงมุมชั้นหนังสือสำหรับงานฝีมือ เขาเห็นภาพสาวน้อยกำลังนั่งจุมปุกกับพื้นก้มหน้าอยู่กับหนังสือเหมือนกับจะหลบหนีใคร

ภุมยืนยิ้มกว้าง หัวใจของเขาเย็นฉ่ำเหมือนกับต้นไม้ที่ได้รับน้ำจากฟากฟ้าสาดกระเซ็นรดที่หัวใจของเขาให้ชุ่มฉ่ำ และก็อดขำไม่ได้กับทีท่าของสาวน้อยที่คอยก้มหน้าบ้างเงยหน้าบ้างเหมือนแอบมองใครบางคนอยู่ เขาเดินเข้าไปใกล้เอื้อมมือไปดึงหนังสือที่อยู่ในมือของไม้หวายจากทางด้านหลัง และนั่งลงข้าง ๆ เธอ เขาจับมือเธอไว้แน่นเท่าที่แรงของความคิดถึงของเขามี ไม้หวายตกใจ และเธอรีบปล่อยมือของเธอและวิ่งออกมาจาก ณ ที่ตรงนั้น ด้วยใบหน้าแดงกล่ำ

ภุมเดินตามเธอออกมาที่หน้าร้านหนังสือ และดึงข้อมือของเธอไว้

“มาซื้อหนังสือไม่ใช่เหรอ ยังไม่ได้หนังสือสักเล่มเลย จะกลับแล้วเหรอคะ” ภุมยิ้มแย้มอย่างที่เขาเคยยิ้มให้ไม้หวายเวลาอยู่กันสองคน

“พี่ปิ่นหายไปไหนนะ” ไม้หวายมองซ้ายมองขวาเข้าไปในร้านหนังสือ

“ถ้ามองหาปิ่น ตอนนี้ปิ่นกลับบ้านไปแล้ว แถมยังฝากให้พี่ทำธุระเรื่องหนังสือกับไม้หวายแทน” ภุมพูดเสร็จก็จูงมือไม้หวายเข้าไปเลือกซื้อหนังสือ
เธอได้แต่ทำหน้างง ไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไรดี เหมือนทุกอย่างถูกจัดฉากไว้เรียบร้อย

ตลอดเวลาที่เดินเลือกหนังสือ เขาเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ในช่วงที่ไม่ได้เจอให้เธอฟัง จนไม้หวายได้แต่เป็นผู้ฟังที่ดี ภุมบอกเล่าสิ่งต่าง ๆ ที่เขากำลังทำอย่างมีความสุข ยกเว้นเรื่องของรินที่เขายังคงซุกไว้ในหัวใจของเขา

“นี่หวาย พี่เรียนพิเศษเสร็จก็ตรงมาที่นี่เลย ยังไม่ได้ทานอะไรเลย หวายไปทานข้าวเป็นเพื่อนพี่ก่อนกลับบ้านนะ” ภุมส่งแววตาอ้อนเหมือนกับเป็นเด็กชายคนหนึ่ง

“ค่ะ” เธอตอบสั้น ๆ ไม่คิดว่าเรื่องทุกอย่างจะลงตัวมากกว่าที่เธอเคยคิดไว้
ระหว่างที่ทานข้าวกลางวัน ภุมก็ยังคงมองหน้าไม้หวายอย่างไม่ละสายตา และพูดคุยตลอด จนไม้หวายต้องเอ่ยปากถึงความผิดปรกติของภุมในวันนี้

“วันนี้ พี่ภุมเป็นอะไร พูดไม่หยุดเลย ยิ้มก็บ่อย ต่างจากทุกครั้งเลยนะคะ มีความสุขมากหรือคะ” ไม้หวายอมยิ้มน้อย ๆ เหมือนทุกครั้ง และ ก็หัวเราะออกมา

“ดีไหมล่ะ ที่เห็นพี่มีความสุข ไม้หวายอยากเห็นพี่ยิ้มมาก ๆ ไม่ใช่เหรอคะ” ไม้หวายได้แต่ฟังและนั่งมองรอยยิ้มของภุม

“อิ่มแล้วล่ะหวาย เดี๋ยวไปร้านCD กับพี่หน่อยนะ” ไม้หวายก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไรและเดินเคียงข้างไปกับภุมอย่างโดยดี

ไม้หวายเหลือบมองเวลาภุมเดินเคียงข้าง นี่เป็นครั้งที่สองแล้วซินะสำหรับการได้มาเที่ยวกันสองคน ถึงแม้ว่าครั้งนี้จะโดยบังเอิญหรือปิ่นตั้งใจให้เกิดก็ตาม ไม้หวายก็ได้รับความสุขอย่างล้นปรี่แล้ว อีกหนึ่งความฝันที่จะได้เดินเคียงข้างใครสักคน

“เลือกได้หรือยังคะพี่ภุม” เธอเดินเข้ามายืนข้าง ๆ เขาที่กำลังทำท่าซ่อนแผ่นซีดีไว้

“หวายเห็นแล้วไม่ต้องซ่อนค่ะ”

เขาทำหน้าเขิน ๆ และยื่นซีดีมาให้เธอดู

“แล้วทำไมซื้อเหมือนกันสองแผ่นล่ะ เพื่อนฝากซื้อเหรอ” ไม้หวายทำน่าสงสัย แต่ก็ได้รับแค่รอยยิ้มของภุมเป็นคำตอบ

“ไปเถอะเดี๋ยวพี่ไปส่งนะ” ภุมยิ้มกุมมือเธอไว้ระหว่างที่เดินทางกลับบ้าน รวมถึงเวลาที่นั่งรถกลับบ้านด้วยกัน

ทั้งสองคุยกันตลอดเวลาทำให้ช่วงเวลาที่ขาดหายไปของเขาและเธอถูกเติมเต็ม จนกระทั่งถึงหน้าปากซอยบ้านของภุม

“พี่ภุมคะ ป้ายหน้าก็จะถึงบ้านพี่แล้วนะคะ พี่ลงเถอะค่ะไม่ต้องไปส่งหวายหรอก เดี๋ยวหวายนั่งรถเข้าบ้านเองได้ เพราะถ้าพี่ภุมเข้าไปส่งต้องเดินไปขึ้นรถลำบากนะคะ” ไม้หวายคะยั้นคะยอเพราะไม่อยากให้ภุมรู้จักบ้านของตน

“ก็ได้จ๊ะ” ถึงตอนนี้เขาถึงยอมปล่อยมือไม้หวายออก

ภุมยื่น CD เพลงที่ซื้อมาเหมือนกันสองแผ่นให้ไม้หวายหนึ่งแผ่น

“เป็นเพลงสากล มีเพลงที่พี่ชอบมากอยู่ในนี้ ลองหัดแปลเนื้อเพลงดูนะจะได้เข้าใจความหมายของมัน เพลงสุดท้ายของแผ่นนะ พี่ไปหล่ะ แล้วเจอกันวันประชุมผู้ปกครองนะ” ภุมหันมายิ้มเอามือลูบผมของไม้หวายเบา ๆ ก่อนลุกจากที่นั่ง

“คิดถึงนะหวาย” ภุมเดินลงจากรถไป ในขณะที่หัวใจของสาวน้อยเต้นรัวกับคำพูดสั้น ๆ แต่มีความหมายที่มากมาย




 

Create Date : 30 พฤศจิกายน 2553    
Last Update : 30 พฤศจิกายน 2553 14:14:25 น.
Counter : 342 Pageviews.  

เก้าอี้ไม้กับสวนลำดวน(รักนี้มีเพียงใจ) - บทที่ 5 ความจริง คือ ความจริง

บทที่ 5 ความจริงคือความจริง

ภุมเดินเล่นกับไม้หวายจากหน้าโรงเรียนไปจนถึงหน้าหมู่บ้านของเขา ต้นไม้ใหญ่ยังคงยืนยงลำต้นแข็งแรง แผ่กิ่งก้านใบเป็นซุ้มหลังคากรองแสงแดดไม่ให้ร้อนจัดจนเกินไปอยู่ด้านบน เก้าอี้ไม้สีน้ำตาลยังคงงามสง่าอยู่ตรงที่เดิม ทั้งสองคนลงนั่งอย่างผ่อนคลาย

“วันนี้เหนื่อยไหมหวาย” ภุมยิ้มน้อย ๆ

“ชอบจังเลยที่พี่ภุมถามแบบนี้” ไม้หวายรู้สึกสดชื่นเมื่อได้ยินคำพูดแสนห่วงใยที่ส่งมาพร้อมแววตาที่หวานซึ้ง

“พี่ภุม มีอะไรจะคุยหรือเปล่า ถึงชวนมาที่นี่” ไม้หวายหลบสายตาของภุมที่กำลังจ้องมองเธอ

“พี่มีเรื่องอยากถาม” ภุมมองหน้าของไม้หวายอีกครั้ง

“หวายเป็นอะไร ถึงโกรธพี่เมื่อตอนกลางวัน”

แล้วคำถามนี้เองที่รู้สึกว่าเวลาทุกอย่างหยุดลงอีกครั้งหนึ่ง ไม้หวายไม่อยากให้เวลานี้มาถึงเลย แต่สุดท้ายแล้วความลับคงไม่มีในโลก ต้องยอมรับความจริง

“ไม่มีอะไรนี่คะ เย็นแล้ว หวายกลับก่อนแล้วกันนะ” ไม้หวายลุกจากเก้าอี้ตัวเดิม หันมาโบกมือแล้วเดินจากภุมไป

ไม้หวายเก็บซ่อนความรู้สึกไว้ภายในใจ ยกเว้นแววตาที่มันกำลังเอ่อล้นออกมาโดยไม่รู้ตัว วันนี้เธอเลือกที่จะเดินไปเรื่อย ๆ จนมาถึงหน้าโรงเรียนอีกครั้ง และได้พบกับปิ่นเข้าพอดี

“พี่ปิ่น ทำไมยังไม่กลับอีกล่ะ” ไม้หวายต้องหยุดอารมณ์ของตัวเองไว้ชั่วขณะ

“รอพีท ไม่เห็นมาซะที โทรไปที่บ้าน พี่สาวพีทบอกว่าพีทออกมาแล้ว” ปิ่นทำหน้าเศร้าเล็กน้อย

“พี่ควรจะเป็นฝ่ายถามหวายมากกว่านะ ว่าทำไมยังไม่กลับบ้านอีก” ปิ่นมองแววตาของไม้หวายออก

“กำลังกลับน่ะแต่เปลี่ยนใจ นั่งรอเป็นเพื่อนพี่ปิ่นดีกว่า” ไม้หวายเดินตามปิ่นเข้าไปในโรงเรียนอีกครั้ง

ทั้งสองคนพากันเดินเข้าไปที่โรงอาหาร ภายในโรงเรียน สีหน้าสาวน้อยวิตกกังวลไม่ต่างกัน บรรยากาศรอบข้างเงียบสงบ ถึงจะมีคนแปลกหน้าเดินทางเข้ามาร่วมงานภายในโรงเรียนไม่ขาดสาย

“พี่ปิ่นคะ” ไม้หวายเงียบสักพัก เธอนั่งก้มหน้ามองที่รองเท้าตัวเอง

“ถ้าเราคบกับใครในช่วงวัยเรียน มันจะยืนยาวไหม” ไม้หวายมีสีหน้าสับสนและเศร้าในเวลาเดียวกัน เมื่อยิงคำถามออกไปให้เพื่อนรุ่นพี่ได้ฟัง

“คงไม่หรอกมั้ง” ปิ่นนิ่งสักพัก

“แต่...มันก็อาจมีก็ได้นะสำหรับความรักที่ยืนยาวและมั่นคง เพราะว่าขนาดพี่สาวของพีทเองเขาก็คบกับแฟนตั้งแต่อยู่ ม.ปลายยังได้แต่งงานมีลูกน่ารัก ๆ ด้วยกันเลย” ปิ่นตอบด้วยสีหน้าแช่มชื่น

“พี่ก็เป็นเช่นนั้นใช่ไหมล่ะ” ไม้หวายยิ้มน้อย ๆ

“อยากให้เป็นน่ะซิ แต่ไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะเป็นได้ยังไง อนาคตเป็นสิ่งไม่แน่นอนอยู่แล้วนี่นะ” ปิ่นเริ่มมีสีหน้าที่ดีขึ้น

“หวายพี่ถามอะไรหน่อยซิ... หวายกับภุม...เป็นแฟนกันหรือเปล่า” ปิ่นมีน้ำเสียงที่แสดงอาการห่วงใย

ไม้หวายก้มหน้าและกำลังคิดพิจารณาถึงเหตุผลที่จะตอบ เธอเริ่มสับสน แต่ความจริงไม่สามารถซุกซ่อนไว้ใต้ใบไม้หรือเก็บใส่กล่องใบย่อมได้ ไม้หวายจึงตอบด้วยเสียงที่ราบรื่นและยิ้มเพื่อซ่อนสีหน้าที่แท้จริงไว้

“เราคบแบบพี่น้องกัน พี่ภุมอยากมีน้องสาวก็เลยมาสนิทกับหวายค่ะ”

“แบบนั้นเหรอ แล้วหวายล่ะ พี่ว่าหวายคงไม่รู้สึกอย่างนั้น” ปิ่นพูดต่อ

“แต่เท่าที่พี่คุยกับภุม เขาคิดกับหวายมากกว่าน้องสาวนะ”

ไม้หวายหน้าแดงเรื่อขึ้นมา

“คงไม่อย่างงั้นมั้ง เพราะพี่ภุมพูดตลอดเวลาว่าเราเป็นพี่น้องกัน” ไม้หวายดูซึมเล็กน้อย

“ไม่เป็นไรหรอกหวาย พี่รู้นะว่าหวายชอบภุม บางทีเขาอาจจะเขินหรือว่าไม่กล้าบอกตรง ๆ เพราะกลัวว่าหวายจะไม่ตอบรักเขาก็ได้นะ” ปิ่นปลอบโยนเบา ๆ

“คงไม่เป็นแบบนั้นหรอกค่ะ พี่ภุมจะชอบหวายแบบไหนก็ได้ หวายคงไม่กล้าเรียกร้องอะไร แต่ ทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้ ๆ พี่ภุม หวายรู้สึกดี เพราะพี่ภุมเขาก็ห่วงใยและเอาใจใส่หวายเหมือนกัน” เสียงของไม้หวายและแววตาดูเหงา เหมือนกับเธอกำลังยืนอยู่คนเดียวกลางลมหนาว

“อุ้ย ฝนตกแล้ว” ปิ่นร้องทัก

เป็นโอกาสเหมาะที่จะไม่อยากให้ไม้หวายต้องรู้สึกเศร้ามากไปกว่านี้ ปิ่นเลยเฉไปคุยเรื่องอื่นแทน

“หวายไม่ได้เอาร่มมาด้วยนะ หลบที่นี่สักพักรอฝนหยุดก่อนดีกว่า” ไม้หวาย
ยิ้มแช่มชื่นขึ้นต้อนรับสายฝน เธอยิ้มแก้มใสและพยายามลืมเรื่องที่กวนใจเธอเมื่อครู่

สายฝนสัญลักษณ์ที่ทำให้รู้ว่าการเตรียมตัวสอบเทอมต้นได้เริ่มแล้ว และหลังจากปิดเทอม ระยะเวลาสั้น ๆ อีกเพียงไม่กี่เดือน ผู้ชายที่ชื่อภุมก็คงต้องจางหายจากเธอไป แต่เธอยังคงต้องอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ทุกอย่างคงเหลือแค่เพียงความทรงจำ

“เอ้าพีทมาพอดีแล้ว” พีทวิ่งกระหืดกระหอบพร้อมกับถือร่มมาด้วยในมือ

“เอ้าหวาย ติดฝนกลับบ้านไม่ได้ล่ะซิ” พีทร้องทักอารมณ์ดีและมีรอยยิ้มตลอดเวลา

ไม้หวายคิดในใจเล่น ๆ ถ้าภุมเป็นคนยิ้มแย้มแบบนี้คงจะน่ารักมากขึ้นกว่านี้ เพราะน้อยครั้งมากที่จะเห็นรอยยิ้มของภุมสักครั้ง

“ทำไมมาช้าจังเลยล่ะ” ปิ่นแสร้งงอนใส่พีท

“ก็ติดฝนนี่ ปิ่นน่าจะชมพีทมากกว่ามางอนใส่นะ เพราะว่าพีทรอบคอบพกร่มมาเผื่อปิ่นด้วย อย่างนี้ต้องให้รางวัลนะ” พีทยื่นร่มอีกคันให้แฟนสาว

“จ้ะ” ปิ่นหันมายิ้มและบีบแก้มพีทเบา ๆ

“ให้ไม้หวายดีกว่านะ หวายไม่มีร่ม” ปิ่นยิ้นเขิน ๆ ที่เห็นไม้หวายกำลังมองเธอกับพีทหยอกล้อกัน

“ขอบคุณค่ะพี่” ไม้หวายรับร่มไปด้วยความปิติสำหรับน้ำใจของคนทั้งสอง แล้วก็ขอตัวกลับเพราะไม่อยากเป็นก้างชิ้นโตสำหรับรุ่นพี่ทั้งสองคน


ความเย็น ความสดชื่น และความเหงา นี่คงจะเป็นสัญญาณที่เริ่มฤดูฝนอย่างจริงจังแล้วซินะ บางวันฝนก็ตกบางวันก็ไม่ตก แต่สำหรับวันนี้ น้ำเย็น ๆ ของสายฝนที่กระเซ็นละอองมาเปียกตัวของไม้หวายทำไมช่างหนาวเยือกเย็นเสียกระไร หนาวเข้าไปจนลึกสุดหัวใจ และโดดเดี่ยว ไม้หวายอยากจะวอนฟ้าให้หยุดร้องไห้ซะเดี๋ยวนี้ เพราะตอนนี้น้ำฝนของไม้หวายกำลังจะไหลตามออกมาแล้ว

ไม้หวายขึ้นนั่งบนรถมินิบัสสีขาวด้วยความรู้สึกที่ล้นไปด้วยความว้าเหว่ เธอเฝ้าแต่คิดว่าทำไมภุมชายหนุ่มที่เธอหลงปลื้มถึงคิดกับเธอเพียงแค่น้องสาวทั้งที่หลายอย่างที่เขาแสดงออกมา รอยยิ้ม สัมผัสมือ ประกายตาในทุกครั้งที่ใกล้กัน มักทำให้ไม้หวายรู้สึกไหวหวั่น และอบอุ่น ประโยคสั้น ๆ ที่ภุมมักถามเสมอว่า ‘เหนื่อยไหม’ ทุกอย่างคือความรู้สึกของพี่ชายมอบให้น้องสาวเท่านั้น หรือว่าเป็นความรักของหนุ่มสาวที่มอบให้แก่กันและกัน

สำหรับไม้หวายความเป็นผู้หญิงบางครั้งก็ยิ่งทำให้อึดอัดกับคำว่ากรอบประเพณี และ อะไรอีกหลายอย่าง ที่กิริยาบางอย่างผู้หญิงไม่ควรจะทำหรือแสดงออกไป แม้แต่คำพูดหรือความคิด ในใจแล้ววันนี้เธออยากจะเอ่ยปากความรู้สึกออกไป แต่ก็ไม่กล้า

ฝนยังคงพรำไม่ขาดสายจนกระทั่งถึงค่ำคืนนี้ของการรับประทานอาหาร ไม้หวายดูพูดน้อยกว่าทุกวัน จนคนในบ้านเริ่มสงสัย ไม้ร่ำน้องคนสุดท้องพูดเชิงหยอกล้อว่าไม้หวายทำท่าอย่างกับคนอกหัก ยิ่งทำให้ไม้หวายรู้สึกไม่พอใจ จนเธอต้องปลีกตัวขึ้นไปบนห้องนอน ไม้หอมน้องสาวคนรองรู้สึกห่วงใยกับความรู้สึกของพี่สาว ความรู้สึกของผู้หญิงที่เข้าใจกันง่ายโดยไม่ต้องอธิบายใด ๆ เธอปลอบพี่สาวของตนเองอยู่ข้าง ๆ ว่า


“อย่าคิดมากนะหวาย ถ้ามีอะไรก็บอกเราได้ เราเป็นพี่น้องกันนะ” ไม้หอมมองดูพี่สาวตัวเองที่นอนหันหลังให้บนเตียง และได้ยินเสียงสะอื้นเบา ๆ ตลอดคืนนั้น

ไม้หวายไม่ได้เล่าอะไรจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม
สิ่งที่ไม้หอมทำได้คือเพียงนอนกอดพี่สาวไว้เท่านั้นเอง



คืนนั้น ภุมนั่งอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือในห้องนอนของเขา กำลังบอกเล่าความรู้สึกที่มีลงในสมุดไดอารี่ของเขา เขานั่งนึกถึงภาพของไม้หวาย ที่จู่ ๆ ก็ลุกหนีเขาไป เขารู้ดีว่าสาเหตุที่ทำให้ไม้หวายรู้สึกเสียใจคือเรื่องอะไร แต่... ภุมเพียงต้องการคำพูดจากปากของไม้หวายเท่านั้นเอง ว่าเธอรู้สึกยังไงบ้าง ตลอดเวลาไม้หวายมีแต่รอยยิ้มและความนิ่งเงียบไม่เคยแสดงทีท่าว่าชอบหรือไม่ชอบให้เขาได้เข้า ไม้หวายไม้เคยแสดงออกให้เขาได้รับรู้ความรู้สึกของเธอเลย เขาคิดว่าเธออาจจะไม่สนใจเขาเลยก็เป็นได้ทำให้ภุมรู้สึกทดท้อที่จะบอกเล่าถึงความรู้สึกของเขาให้เธอได้ฟัง ภุมเริ่มบันทึกตัวอักษรของความรู้สึกในใจลงในไดอารี่ต่อ

“ผมเข้าใจดีว่าไม้หวายเสียใจกับความห่างเหินของผม ช่วงนี้ผมเองไม่มีเวลาใส่ใจเธอเลยครับ เพราะว่าผมกำลังยุ่งเรื่องเรียนอยู่รวมถึงการสอบเพื่อเตรียมตัวเข้ามหาวิทยาลัย ถึงแม้ว่าผมเองไม่ได้ตั้งจุดมุ่งหมายของการสอบเข้ามหาวิทยาลัยของรัฐบาลแต่ผมก็ต้องทำตามขั้นตอนทุกอย่างเพื่อวัดพื้นฐานความรู้ของตัวเอง ผมเพียงคิดว่าพอมีพื้นฐานภาษาอังกฤษอยู่บ้างจากความเป็นลูกครึ่งในตัวผม ผมพูดคุยภาษาอังกฤษกับแม่ของผมอยู่บ่อยครั้ง

ส่วนเรื่องเรียนพิเศษตอนนี้ผมได้น้องผู้หญิงคนใหม่ที่อยู่ห่างจากบ้านของผมเพียงไม่กี่หลัง เป็นคนแนะนำสถานที่แห่งหนึ่งที่เธอเรียนอยู่ให้กับผม เธอน่ารัก และมั่นใจในตัวเอง ไม่เก็บซ่อนความรู้สึกเหมือนกับไม้หวายซึ่งบางครั้งผมเดาใจเธอไม่ออก แต่ผมก็ชอบไม้หวายมากนะเธอคนแรกในหัวใจของผม เธอต่างกันโดยสิ้นเชิงกับน้องริน

ถ้าถามว่าผมชอบผู้หญิงแบบไหนตอนนี้ผมก็สับสนเหมือนกัน แต่ทุกครั้งที่ผมพูดคุยกับไม้หวายผมรู้สึกถึงความผ่อนคลาย และเธอรับฟังผมได้ทุกเรื่อง แต่สำหรับน้องริน เวลาผมอยู่ใกล้ ๆ เธอ ผมรู้สึกเลือดความหนุ่มในตัวผมแตกพล่าน ด้วยความช่างพูดของเธอ เธอพูดเร็วบางครั้งผมจับความไม่ทัน เธอคิดยังไงก็พูดออกมาอย่างนั้น

ผมรู้จักกับเธอเพราะเธอขี่จักรยานผ่านบ้านผมและเธอยิ้มให้ผมและเข้ามาพูดคุยกับผม ทำให้ผมรู้ว่าเธออายุรุ่นราวคราวเดียวกับไม้หวาย แต่รินน่าสงสาร เธออยู่กับน้าลำพังสองคนเพราะพ่อแม่แยกทางกัน เธอเล่าความเป็นไปของเธอให้ผมฟัง และช่วยเหลือผมในหลายเรื่อง

สองเดือนที่ผ่านมาผมเลยไม่มีเวลาพูดคุยกับไม้หวาย เพราะตอนเช้าผมก็ไปส่งรินขึ้นรถและตอนเย็นผมก็รีบกลับไปรอรินที่บ้านของผม จนความสนิทของเรามากขึ้นและรินก็บอกว่าเธอชอบผมมาก ขอคบผมแบบแฟน ตอนนั้นผมตกใจมาก จนตั้งตัวไม่ถูก

สิ่งแรกที่ผมนึกถึง คือไม้หวายผมอยากเก็บความรู้สึกดี ๆ ของผมที่เรียกว่า แฟน ไว้ให้ไม้หวายคนเดียวเท่านั้น แต่เธอไม่ย่นย่อความพยายามเธอบอกผมว่ายังไม่รักไม่เป็นไรจะพยายามให้ได้ และทุกเสาร์-อาทิตย์ เธอมาหาผมที่บ้าน วันนี้ไม่มีใครอยู่บ้าน ผมอยู่ตามลำพังกับเธอสองคน เธอใช้ริมฝีปากของเธอสัมผัสเบา ๆ ที่ริมฝีปากของผม เธอทำให้ผมช็อคอีกแล้วครับ แต่ผมไม่ได้ขัดขืนอะไรปล่อยทุกอย่างให้ผ่านไป

ผมรู้สึกทำผิดกับไม้หวายมาก ผมเลยไม่กล้าสู้น่าเธอจนเช้าวันนั้นที่ผมเจอไม้หวาย ผมมองแววตาของไม้หวายรู้ว่าเธอกำลังโดดเดี่ยวอย่างแน่นอน จนวันนี้ผมก็รู้ว่าแย่มากที่ทำไมผมไม่บอกเธอว่าผมรักเธอ ผมอยากเป็นแฟนของเธอแต่มันพูดไม่ออกเลยครับ

ผมได้แต่พูดประโยคเดิมว่าเธอคือน้องสาว ผมว่าไม้หวายก็คงรู้สึกผิดหวังกับผมแน่นอน จะให้ผมทำยังไงดีล่ะ น้องรินที่เกาะติดผมไม่เว้นแต่ละวัน และไม้หวายผู้เก็บงำความรู้สึกตลอดเวลา ผมคิดไม่ออกจริง ๆ อ้อเกือบลืมไปวันนี้เป็นวันแรกที่ผมได้จับมือของไม้หวายนิ้วของเธอเรียวเล็กและสวยจังเลย แต่ผมรู้สึกว่ามือของเธอเย็นมาก เธอคงประหม่าที่ผมจับมือเธอเอาไว้ ผมดีใจจังเลยครับ สำหรับวันนี้”


ช่วงเวลาผ่านเลยมาจนถึงวันสอบเทอมต้น ภุมให้เวลาที่เหลืออยู่สองอาทิตย์ก่อนสอบกับไม้หวายติวหนังสือให้เธอ ให้ความรู้สึกดี ๆ กับไม้หวาย ทุกวันที่อยู่ในโรงเรียนเช้า กลางวัน และเย็น ภุมและไม้หวายไม่เคยห่างกันเลย จนไม้หวายเริ่มทำใจได้กับความรู้สึกที่เรียกว่าพี่ชายและน้องสาว

การสอบผ่านไปด้วยดี ไม้หวายกับภุมนัดมาดูผลสอบด้วยกัน และก็เป็นครั้งแรกที่ไม้หวายกับภุมได้ไปเที่ยวด้วยกัน ภุมกับไม้หวายนั่งรถไปที่จังหวัดใกล้เคียงกับกรุงเทพมหานคร ทั้งสองคนเดินทางไปทะเลทางตะวันออกที่ไม่ไกลมากนัก เป็นช่วงเวลาที่ได้ใกล้ชิดกันมากที่สุด

“หวายขอบคุณพี่ภุมนะ ที่ติวหนังสือให้ และยังพามานั่งมองทะเลด้วยกันอีก หวายมีความสุขมาก” เธอนั่งอิงไหล่แสนอบอุ่นของเขา

“พี่ดีใจที่หวายมีความสุข ทุกสิ่งที่พี่ทำให้หวาย มันคือ...” เขานิ่งเงียบ
เธอหันมานั่งตัวตรงและมองไปที่เรียวปากสวยที่กำลังเม้มไปมา

“เพราะอะไรคะ” เธอถามต่อ

“คือว่า”

“ก็เราเป็นพี่น้องกันไงคะพี่ภุม แค่นี้ก็ตอบไม่ได้” เธอหัวเราะเสียงใส

ภุมรู้ว่ารอยยิ้มสดใสของเธอตอนนี้ กับดวงตาที่ซ่อนความเจ็บปวดไว้ มันขัดแย้งกันมากมายเหลือเกิน เขาได้แต่กล่าวขอโทษเบา ๆ ในใจ ที่เผลอนอกใจไม้หวายให้กับใครคนหนึ่งอยู่ ขอให้ช่วงเวลาแห่งความสุขนี้ยังคงเป็นที่จดจำอยู่ในหัวใจของไม้หวายตลอดไว้ เขาภาวนาแบบนั้น เพราะนับจากนี้ไป ถ้าเรื่องของริน ถูกเปิดเผย ไม้หวายจะเจ็บปวดมากกว่านี้หรือเปล่า เขาไม่อยากทำร้ายจิตใจดวงน้อยของสาวน้อยตากลมคนนี้เลย




 

Create Date : 17 พฤศจิกายน 2553    
Last Update : 17 พฤศจิกายน 2553 13:10:51 น.
Counter : 361 Pageviews.  

เก้าอี้ไม้กับสวนลำดวน(รักนี้มีเพียงใจ) - บทที่ 4 กำลังจะเริ่มต้น


บทที่ 4 กำลังจะเริ่มต้น

เวลาผ่านไปเกือบจะหมดเทอมแรกแล้ว ความสัมพันธ์ของภุมกับไม้หวายไม่ได้มีอะไรคืบหน้าเหมือนอย่างที่คนสนิทกันควรจะเป็น หรือเป็นเพราะใกล้สอบ ทั้งสองคนจึงไม่ค่อยได้พบหน้ากันเหมือน ตอนต้นเทอม

วันนี้ภุมตั้งใจมาดักรอไม้หวาย เขาไม่รู้สาเหตุว่าทำไมไม้หวายถึงพยายามหลบหน้าเขาเพราะบางครั้งภุมเห็นว่าไม้หวายเดินอยู่ไกล ๆ ไม่ยอมเข้ามาหาเขาที่สวนลำดวนตามที่นัดกันไว้ แต่สำหรับเช้าวันนี้จวนใกล้จะเข้าแถวช่วงเช้าแล้ว ยังไม่เห็นไม้หวายมาโรงเรียน หรือเป็นเพราะเขาเองอาจจะทำตัวห่างเหินไป เขาได้แต่คิดคำนึงหาเหตุผลอยู่ภายในใจคนเดียวเงียบ ๆ จนกระทั่งเห็นไม้หวายวิ่งกระหืดกระหอบมา คราวนี้เธอคงไม่เห็นว่าเขายืนอยู่เบื้องหน้าของเธอ

“ไม้หวาย” ภุมตะโกนเรียกไม้หวาย ด้วยเสียงและสีหน้าที่มีความวิตกกังวลเจืออยู่บนดวงหน้า

“หวาย หวาย” ภุมเรียกเธอหลายครั้ง แต่เธอวิ่งผ่านเลยเขาไปเหมือนไม่สนใจมองตามต้นเสียงนั้น

“หวาย หยุดก่อน รอพี่ก่อน” ภุมเรียกเธอด้วยเสียงที่ดังขึ้นและวิ่งตามเธอไป

ไม้หวาย หยุดตามเสียงเรียก แต่ไม่หันกลับมามองตามเสียงนั้น ซึ่งท่าทางผิดแผกกว่าทุกครั้งที่เธอเป็น

“หวาย เป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมช่วงนี้มาสายบ่อยจัง ไม่ค่อยเจอกันในตอนเช้าเลย” ภุมพูดเสียงเรียบเหมือนซ่อนความผิดอะไรบางอย่างอยู่ภายในใจ

เธอหันมามองหน้าเขาและหันกลับไป


“เปล่า ขอตัวก่อนนะ จะเอาของไปเก็บ ใกล้จะเข้าแถวแล้ว” ไม้หวายตอบคำถามเสร็จก็รีบเดินจากภุมไปโดยไม่หันกลับมามอง

ภุมสังเกตเห็นสาวน้อยมีนัยน์ตาเศร้ากว่าทุกวันที่เธอเป็น เดินอย่างรีบร้อนเหมือนกับว่ากำลังจะหลีกหนีอะไรบางอย่างจาก ณ ที่แห่งนั้น


“นี่เราจะหนีอะไร” ไม้หวายพูดเบา ๆ ด้วยความเศร้าใจ

ไม้หวายตัดสินใจหันหลังกลับไปเพื่อที่จะทำให้ตัวเองเป็นปกติกับภุมชายที่แสนดีของเธอเหมือนเช่นก่อนเก่า แต่แล้วก็ไม่พบเขาตามที่เธอหวังไว้

จนถึงเวลาเย็น วันนี้ก็มีคนมาเช่าสถานที่จัดงานเลี้ยงมงคลสมรส ภุมคิดว่าคงจะได้พบไม้หวายที่นั่น พอเลิกเรียนภุมรีบเดินปรี่ไปที่หอประชุมทันที เห็นนักเรียนชมรมดอกไม้กำลังง่วนอยู่กับการจัดซุ้มดอกไม้ แต่ก็ไม่เห็นวี่แววของไม้หวายเลย

“ภุม มาทำอะไรจ๊ะ” เสียงของปิ่นทักทายมาแต่ไกล

“เปล่า มาเดินเล่นน่ะ” ภุมยิ้มแก้เขิน พร้อมกับกวาดสายตาไปรอบบริเวณ

“มองหาอะไร เหรอ มาแอบจีบสาวแถวนี้หรือไง คนไหนล่ะ” ปิ่นเพื่อนสาวใช้น้ำเสียงเชิงหยอกล้อ

ภุมไม่ตอบ แต่กลับเดินไปเดินมา ชะเง้อสายทีขวาที

“ได้ข่าวมาว่า ภุมกำลังปิ๊งปั๊งกับน้อง ๆ ในชมรมของเราเหรอ” ปิ่นซักต่อ

“เปล่านี่ ใครพูดล่ะ” ภุมตอบแบบไม่เต็มเสียง

“ก็คนใกล้ตัวเราน่ะแหล่ะ ถ้าถามหาน้องอะไรน้า ชื่อว่าอะไรน้า จำไม่ค่อยได้เลย ภุมจำได้ไหมบอกทีซิ” ปิ่นแสร้งทำเป็นไม่รู้

ภุมยิ้มกว้างขึ้น พร้อมใบหน้าและหูที่เริ่มเปลี่ยนเป็นแดงเจือ ๆ เมื่อโดนไล่เรียงตรงจุด

“เปล่านี่ ไม่เห็นรู้เรื่องเลย ใครเหรอ”

“เอ้า ถ้าไม่รู้ ก็ไปทำงานก่อนล่ะนะ” ปิ่นพูดเสร็จแอบหัวเราะเบาๆ แล้วก็ปล่อยให้ภุมยืนอยู่ตามลำพัง เพราะถ้าถามอะไรมากกว่านี้ ภุมอาจเปลี่ยนเป็นอารมณ์เสียใส่ได้ เพราะสังเกตจากสีหน้าของภุมตอนนี้ดูกังวลใจอย่างบอกไม่ถูก


ภุมมีสีหน้าสลดกว่าเดิมจนกระทั่งเขาเห็นพีทเพื่อนสนิทของเขากำลังเดินเข้ามาทางหอประชุมพอดี เขาจึงตะโกนเรียกและคิดได้ว่า ต้องให้พีทเป็นคนไขข้อข้องใจให้ แล้วก็ได้คำตอบจากพีทในครู่ต่อมาว่า ไม้หวายกลับไปแล้ว ขอลาอาจารย์กลับบ้านเมื่อตอนพักเที่ยง เพราะว่าไม่สบาย ทำให้ภุมรู้สึกวิตกกังวลและไม่สบายใจขึ้นเป็นอย่างมาก

เมื่อพีทเห็นสีหน้าของเพื่อนที่เป็นทุกข์ร้อนขนาดนั้น พีทจึงขันอาสาที่จะช่วยเหลือเรื่องนี้เอง และในเย็นวันนั้นเอง ปิ่น พีท และภุมไปนั่งคุยกันที่ร้านไอศกรีมใกล้กับบริเวณโรงเรียน ทำให้ปิ่นเริ่มเข้าใจว่าภุมชอบไม้หวายจริง ๆ เพราะเธอเองแอบเห็นสองคนนี้เดินกลับบ้านด้วยกัน และเคยเห็นไม้หวายชอบแอบมองภุมหรือพยายามซักถามเรื่องเกี่ยวกับภุมอยู่บ่อย ๆ แต่เธอคิดว่าคงแค่อยากรู้จักเพื่อนของแฟนหนุ่มตามปกติเท่านั้น

การพูดคุยทำให้ภุมเริ่มสบายใจขึ้นว่าไม้หวายแค่เป็นไข้หวัดธรรมดาเท่านั้น แต่เท่าที่ภุมสังเกตไม้หวายดูซึมเศร้าและดูเหงากว่าทุกครั้งที่พบกัน บ้านไม้หวายไม่มีโทรศัพท์ ทำให้ภุมติดต่อไม่ได้ยิ่งทำให้ภุมดูกระวนกระวาย จนปิ่นต้องบอกว่าวันอาทิตย์ให้มาที่โรงเรียนเพราะว่ามีงานเลี้ยงอีก ไม้หวายต้องมาอยู่แล้วจะได้เจอกัน ภุมจึงรู้สึกดีขึ้นและเฝ้ารอให้ทุกวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว



บ่ายวันอาทิตย์ นักเรียนชมรมดอกไม้กำลังจัดแจงอยู่กับซุ้มดอกไม้หน้าประตู บนเวที รวมถึงมุมต่าง ๆ ของหอประชุม วันนี้ไม้หวายไม่ได้สวมชุดนักเรียน เธอจึงแต่งกายเรียบง่ายและน่ารัก

“หวายหายดีแล้วเหรอ” ปิ่นเข้ามานั่งข้าง ๆ และเอามือกอดไหล่ไม้หวายเฉกเช่นน้องสาวคนสนิท

“หายดีแล้วค่ะ พี่ปิ่น มีอะไร แล้วยิ้มอะไรคะ” ไม้หวายยังหยิบดอกกุหลาบขึ้นมาตัดหนามทีละดอก

“พี่ถามอะไรหน่อยนะ ไม่มีใครรู้หรอก” ปิ่นจ้องหน้าไม้หวายเหมือนต้องการคำตอบ

“ถามอะไรคะ” ไม้หวายเริ่มหลบสายตาของปิ่น

“ก็... ถามจริง ๆ นะ ชอบภุมหรือเปล่า” ปิ่นเงียบเพื่อรอคำตอบและอมยิ้มเป็นการแสดงให้ไม้หวายสบายใจ

“ก็…” ไม้หวายเริ่มรู้สึกว่าใบหน้าร้อนผ่าว จนหนามของดอกกุหลาบตำนิ้ว

“ไม้หวายเป็นอะไรหรือเปล่า ไหนดูซิ” ปิ่นรีบใช้นิ้วกดเลือดที่เริ่มไหลออกมากขึ้น ทั้งที่น่าจะเป็นเรื่องปกติธรรมดาของหนามกุหลาบที่คอยสร้างแผลเล็ก ๆ ให้ แต่วันนี้ไม้หวายกลับหน้าซีดเผือดกว่าทุกครั้ง หรือว่าอาการไข้เธอยังไม่หายดี

ประจวบเหมาะที่ภุมกำลังเดินเข้าไปในหอประชุมพอดี ปิ่นเรียกให้ภุมเข้ามาช่วยกดเลือดแทนและเธอก็รีบไปจัดแจงหาเครื่องปฐมพยาบาล ไม้หวายได้แต่มองสีหน้าและแววตาของภุมชายหนุ่มซึ่งเธอรักและรักมาตลอดเวลา นี่นับเป็นครั้งแรกที่ไม้หวายได้ใกล้ชิดกับภุมมากขนาดนี้ และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ไม้หวายได้สัมผัสกับมืออันอบอุ่นของภุม ที่เธอฝันไว้ว่าสักวันเธอคงได้เดินจูงมือเคียงข้างเขาไป

พอไม้หวายเรียกสติได้เธอรีบดึงมือออกจากภุมแล้ววิ่งหนีไปจากหอประชุม ภุมและปิ่นเรียกเธอเท่าไหร่ เธอก็ไม่หันมา

“หวายเป็นอะไรน่ะภุม” ปิ่นหน้าเผือดลงเล็กน้อย

“ไม่รู้เหมือนกัน เราไม่รู้ว่าหวายเป็นอะไร บางทีหวายอาจจะโกรธเราก็ได้นะ

เราสองคนไม่ได้คุยกันเกือบสองเดือนแล้ว” ภุมพูดเสร็จก็เดินคอตกออกมา

“ภุม ภุม” ปิ่นวิ่งตามมาติด ๆ

“ ปิ่นว่าภุมไปคุยกับหวายดีกว่านะ ถ้าไม่ได้เรื่องยังไงบอกเรานะ” ปิ่นตบบ่าเพื่อนเบา ๆ


ในยามบ่ายแก่บรรยากาศเงียบเหงาตอนนี้ มีเพียงสายลม กลิ่นหอมของลำดวนส่งกลิ่นหอมเจือจาง ไม้หวายนั่งน้ำตาซึมอยู่ที่โต๊ะหินอ่อนสีขาว ดวงหน้าซีดเผือด ดวงตาเศร้า เหงา กับหัวใจที่เหม่อลอย เธอนั่งก้มหน้ามองนิ้วน้อย ๆ ของเธอที่ตอนนี้มันแดงช้ำจากรอยหนามกุหลาบ

“หวาย” ภุมเดินเข้ามานั่งลงใกล้ ๆ ไม้หวายที่กำลังเบือนหน้าหนี

“พี่คิดไว้แล้ว ว่าหวายต้องมาอยู่ที่นี่” ภุมเอื้อมมือไปจับมือของไม้หวายเพื่อดูนิ้วมือน้อย ๆ ที่ถูกหนามของดอกไม้แห่งความรักทิ่มแทง

“เป็นยังไงบ้าง พูดกับพี่สักคำซิ” ภุมบีบมือเธอแน่นขึ้นกว่าเดิม

เธอเม้มปากแต่ไม่พูดอะไรออกมา มีเพียงแก้มที่เริ่มแดงฉานขึ้นเล็กน้อย

“หวาย พี่ขอโทษ นี่พี่ไม่ได้คุยกับหวายเกือบสองเดือนแล้วใช่ไหม” ภุมยังคงพูดต่อไปเรื่อย ๆ

“พี่มีเหตุผล” ภุมเสียงแผ่วเบาลงกว่าเดิม และละมือของเขาออกจากมือไม้หวาย เขาได้แต่ก้มหน้าและกุมมือของตัวเองไว้บนโต๊ะม้าหินอ่อนสีขาวเช่นกัน

ไร้ซึ่งเสียงของหนุ่มสาวที่นั่งเคียงกัน มีเพียงแต่แววตาที่ซึมเศร้า และสายลมที่แผ่วเบา จนกระทั่งเวลาผ่านเลยไปสักชั่วนาทีไม้หวายจึงเป็นฝ่ายเริ่มก่อน

“พี่ภุมคะ หวายขอตัวนะ เพราะว่าหวายต้องไปช่วยชมรมจัดดอกไม้เดี๋ยวจะเสร็จไม่ทันงานเย็นนี้” ไม้หวายลุกขึ้นและกำลังจะเดินจากเขาไปภุมรีบเอื้อมมือไปคว้าข้อมือน้อย ๆ ของเธอไว้เพื่อรั้งไม่ให้เธอไปพร้อมสีหน้าวิงวอนไม่อยากให้เธอต้องจากไป

“หวายอย่าเพิ่งไปครับ พี่อยากคุยด้วย” ภุมน้ำเสียงเครือ

“ไม่มีอะไรนี่คะ หวายหายดีแล้ว แต่ตอนนี้ต้องไปทำงานก่อน” ไม้หวายเสียงเครือเช่นกัน

“งั้น พี่จะรอนะ เดี๋ยวพี่ไปช่วยทำงานด้วย เราจะได้กลับบ้านด้วยกัน” ภุมพูดเสร็จก็จูงมือไม้หวายเดินไปที่หอประชุม

ไม้หวายได้แต่ก้มหน้ามองดูมือสองมือที่เกาะกุมอยู่ มือของภุมใหญ่กว่าเธอ หนาและอบอุ่น ส่วนมือของเธอ เล็กนิ้วเรียวถูกกุมไว้ด้วยมือของผู้ชายคนหนึ่ง ผู้ชายที่เธอรอคอยเสมอ ความฝันของไม้หวายกำลังคืบหน้า เธอลอบมองแววตาและสีหน้าของภุม ทุกอย่างบนดวงหน้าของเขามันเจือไปด้วยความสุขเมื่อได้กุมมือกันไว้ จากจุดเดิมที่คิดว่าห่างไกล กำลังเข้าใกล้ทีละนิด ทีละนิด

ไม้หวายรู้สึกว่าความรู้สึกที่สูญเสียไปในช่วงระยะเวลาหนึ่งของการห่างเหินและจากคนที่ภุมเป็นเพียงชายคนหนึ่งที่เธอไม่รู้จักและแอบมองเขามาตลอดตอนนี้กำลังเดินเคียงข้างกายกันอย่างกับความฝัน ทุกอย่างกำลังเปลี่ยนเป็นความรู้สึกที่ดีขึ้น บางทีเวลาที่ผ่านไปความห่างไกลที่กำลังเขยิบออกไป ตอนนี้กำลังหวนกลับเข้ามาอีกครั้งและคงจะมีก้าวต่อไปอย่างมั่นคงแน่นอน ไม้หวายอมยิ้มอยู่ในใจลึก ๆ ว่าเท่านี้ก็คงพอแล้ว

พอไปถึงหอประชุมไม้หวายรีบสะบัดมือภุมออกเพราะกลัวว่าใครจะมาเห็นเข้า คงจะดูไม่เหมาะนัก ภุมได้แต่อมยิ้ม เขารู้สึกมีความสุขมาก แค่ได้เดินจูงมือไม้หวายเท่านี้เขารู้แล้วว่าหวายคงหายโกรธเขาแล้ว ปิ่นได้แต่เดินมากระเซ้าเป็นระยะกับท่าทางที่ดูอิ่มเอมเป็นพิเศษ

“อย่าแซวได้ไหมปิ่น” ภุมเบือนหน้าไปทางอื่น

“ก็ได้ แต่ต้องช่วยกันทำงานนะ”

ปิ่นหอบกุหลาบหลายช่อมาให้ภุมรับอาสาตัดหนามแทน แถมยังแช่งให้ภุมโดนหนามตำมือเยอะ ๆ ด้วย เล่นเอาทุกคนรอลุ้นกันใหญ่ว่าเมื่อไหร่ที่ภุมร้องโอ้ย นั่นแสดงว่ากำลังโดนดีเข้าแล้ว

ไม้หวายได้แต่แอบอมยิ้มไปกับท่าทางไม่ถนัดของเขา แต่ก็ดูน่ารักในสายตาของเธอ

รอยยิ้มที่ระคนอยู่บนหน้าของภุมทำให้ไม้หวายหัวใจพองโตขึ้นมาอีกครั้ง และลืมเรื่องที่เธอเองซ่อนความรู้สึกไว้ภายในใจชั่วคราว เพื่อเก็บเกี่ยวเวลาที่ดีขณะนี้ให้นานที่สุด

“ภุม ถามหน่อยซิ” ปิ่นเรียบเคียงถามภุมด้วยความอยากรู้

“ทำไมถามอะไรเหรอ” ภุมทำหน้างง

“ก็ถามว่า ชอบน้องหวายแบบจีบกันอยู่เหรอ” ภุมเงียบไปชั่วขณะหลังจากฟังคำถามสั้น ๆ แต่ตอบยากเหลือเกิน

“เปล่าหรอก เราแค่อยากมีน้องสาวเท่านั้น”

กับคำตอบทำให้ปิ่นถึงกับเงียบอึ้งไป แล้วก็โวยวายออกมา “ไม่ได้นะภุม” ทำให้คนอื่น ๆ ที่อยู่บริเวณรอบคนทั้งสองหันมามองเป็นตาเดียว รวมถึงไม้หวายด้วย

“ไม่มีอะไร” ปิ่นพูดเสร็จก็เดินออกมาจากภุม ด้วยสีหน้าเป็นวิตกกังวลกับคำตอบที่ได้รับ

“เป็นอะไรหรือเปล่าพี่ปิ่น” ไม้หวายสังเกตสีหน้าของปิ่น

“เปล่าหรอก” ปิ่นนั่งนิ่ง ๆ สักพักเพราะไม่รู้จะพูดอะไรออกไปดี ขนาดเธอยังตกใจกับคำตอบของภุม แล้วไม้หวายล่ะ หรือว่าอาการเหงาของไม้หวายช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา เพราะเธอรู้คำตอบที่ชวนรับไม่ได้จากภุมแล้วงั้นหรือไง ไม้หวายคงจะผิดหวังและเสียใจน่าดู เธอได้แต่มองสีหน้าไม้หวายที่ยังดูอิ่มเอมกับความสุขในช่วงบ่ายนี้ และไม่เข้าใจกับทุกสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น

ภุมเดินเข้ามาหาคู่สนทนาทั้งสอง เขาไม่ได้แสดงสีหน้าวิตกกังวลใด ๆ กับคำตอบที่บอกไป แต่ปิ่นกลับแสดงอาการมากกว่าเพราะเธอรู้สึกไม่พอใจกับคำตอบนั้นเลย

“พี่ไม่เดินตรวจงานกับอาจารย์ก่อนนะหวาย หวายกลับก่อนก็ได้” ปิ่นหันมาพูดแล้วก็เชิดหน้าใส่ภุมอย่างอารมณ์เสีย

“กลับบ้านกันนะ เดี๋ยวพี่ไปส่ง” ภุมพูดจายิ้มแย้มกับไม้หวาย

“คือ…” ไม้หวายอ้ำอึ้ง

“หวายกลับกับพี่หรือเปล่าล่ะ” ปิ่นหันมาถามไม้หวาย

“ก็คือ…” ไม้หวายรู้สึกสับสน

“หวายกลับกับเราไม่ต้องห่วง เราส่งขึ้นรถเอง” ภุมรู้สึกถึงการต่อสู้แบบเล็ก ๆ ระหว่างเขาและปิ่น

“ตามใจนะ” ปิ่นพูดเสร็จก็ขอตัวกลับ

ปิ่นเดินตามหลังเพื่อนและน้องร่วมชมรมที่เธอรัก และอยากจะช่วยให้ทั้งสองคนเปิดใจให้กัน เพราะถ้าขืนเป็นแบบนี้ต่อไป สักวันถ้าเกิดเรื่องระหว่างหัวใจที่ผิดทางไปอาจจะทำให้คนใดคนหนึ่งต้องเสียใจได้ เพราะการไม่เปิดใจ ปิ่นได้แต่คิดว่า ในเมื่อคนเรารักกัน และประทับใจซึ่งกันและกัน น่าจะเปิดใจคุยกันเลยทุกอย่างคงลงเอยด้วยดี

เธอถอนหายใจออกมา และเฝ้ามองคนทั้งสองที่เดินเคียงข้างกันด้วยสีหน้าแห่งความสุข ความสุขที่ปิ่นไม่เข้าใจความสัมพันธ์ในรูปแบบนี้




 

Create Date : 09 พฤศจิกายน 2553    
Last Update : 9 พฤศจิกายน 2553 13:56:33 น.
Counter : 296 Pageviews.  

เก้าอี้ไม้กับสวนลำดวน(รักนี้มีเพียงใจ) - บทที่ 3 ที่ ที่ดีของเรา

บทที่ 3 ที่ ที่ดีของเรา

“ไม้หวาย เย็นนี้เข้าชมรมหรือเปล่า” เสียงปิ่นทักขณะที่ไม้หวายเดินเข้ามาถึงประตูหน้าโรงเรียน

“ไปซิคะ ที่โรงเรียนได้รับงานพิเศษให้จัดดอกไม้งานแต่งงานที่หอประชุมไม่ใช่เหรอ พลาดได้ยังไง” ไม้หวายยิ้มรับ

“เอ๊ะ เดี๋ยวนี้ได้ข่าวว่ามีบอดี้การ์ดคุมเป็นหนุ่มหน้าเข้ม ตามกลับบ้านด้วยเหรอทุกวันเหรอจ๊ะ” ปิ่นกระเซ้า

“บ้าเหรอ มีที่ไหนกันล่ะ“ ไม้หวายปฏิเสธเสียงแข็ง

“ไม่บอกก็แล้วไป ไปก่อนนะนัดพีทไว้” ปิ่นยื่นมือไปจับมือของไม้หวายเบา ๆ ก่อนที่จะเดินจากไป


ไม้หวายเดินกลับไปที่ห้องเรียน ช่วงเวลาเช้าเธอต้องเดินผ่านสวนลำดวนก่อนจะเข้าชมรมดอกไม้สด เหมือนกับมีสิ่งหนึ่งที่ตอนนี้เธอต้องปฏิบัติทุกวันคือการชะเง้อมองหาผู้ชายที่กล่าวอ้างว่าเป็นพี่ชาย แต่ไร้วี่แวว เธอยืนมองที่ม้าหินสีขาวนั้นแล้วถอนใจออกมา

“หวาย อย่าเพิ่งไป” พีทเพื่อนสนิทของปิ่นรุ่นพี่ที่ชมรมดอกไม้สด เรียกตามหลังเธอ

“เดี๋ยวหวาย รอก่อนซิ” พีทพูดไปเสียงหอบไปด้วย

“มีอะไรคะพี่พีท พี่ปิ่นบอกว่านัดพี่ไว้ เดินไปทางโน้นค่ะ” ไม้หวายทำหน้างง

“ไม่ใช่ปิ่น หวายนั่นแหละไปนั่งกับพี่ที่ม้าหินนั้นก่อนซิ” เขาชี้มือไปที่สวนลำดวน

ไม้หวายทำหน้างง ๆ

“มีคนอยากคุยกับหวายน่ะ เท่ห์สุด ๆ หล่อมาก เป็นลูกครึ่งอังกฤษเชียวนะ มันชอบหวายมาก” พีทสังเกตทีท่าไม้หวายก่อนจะพูดต่อ “เพื่อนร่วมห้องพี่เองแหละ นั่งรอก่อนนะ กำลังมา คุยกันมันหน่อย”

“ไม่เอาหรอก พี่พีท เดี๋ยวใครมาเห็นเข้าไม่ดีนะ” ไม้หวายปฏิเสธเกรงว่า ภุมอาจจะมาเห็นแล้วเข้าใจผิด

“เถอะน่า”

ไม้หวายปฏิเสธไม่ได้เลยต้องเดินตามพีทมานั่งที่ม้าหินอ่อนสีขาวใต้ต้นลำดวน

“ไหนล่ะ แล้วเพื่อนพี่ชื่ออะไรล่ะ” ไม้หวายกระสับกระส่ายอยากลุกไปจาก ณ ที่แห่งนั้น

“นั่นไงมาแล้ว ไอ้เข้ม เข้มตลอดเลย คุยกับเขาก่อนนะ” พีททักท้วงไว้

ไม้หวายเหลือบไปเห็นถึงรู้ว่าหนุ่มลูกครึ่งไทย-อังกฤษ ที่พีทโพทะนาว่าดี เป็นผู้ชายคนเมื่อวานที่บอกว่าชอบเธอแบบน้องสาว ไม้หวายรู้สึกผิดหวังกับคำตอบและกลัวจะเก็บความรู้สึกที่แท้จริงไม่ได้ จึงรีบลุกหนีไปก่อนที่ภุมจะเดินมาถึงตัวเธอ

“อ้าว ไปไหนล่ะ” พีทตะโกนตามหลังไม้หวาย

“ตะโกนอะไรวะ“ ภุมตบบ่าเพื่อนเบา ๆ ก่อนจะลงนั่งร่วมโต๊ะ

“เปล่าโว้ย แล้วที่นี่มันเป็นที่ของแกเหรอ มาทำไมไปโรงอาหารโน่น กินข้าวกัน นัดปิ่นไว้” พีทชุดกระชากภุมเดินไปทางอื่นจนภุมลุกขึ้นแทบไม่ทัน

“โอ๊ย แกจะบ้าเหรอ ก็ฉันอยาก…” ภุมหยุดเสียงของตนเองพร้อมสีหน้าเจื่อน

“อยากอะไรวะ แกน่ะมาช้า เมื่อกี้นี้นะ ฉันนะช่วยแกเต็มที่เลยว่ะ แกมัวไปเดินเอ้อระเหยที่ไหนวะ ฉันน่ะอยากให้แกมีใครสักคน แกจะได้ไม่เหงา ไม่เงียบจะได้มีเพื่อนร่วมปรับสุขรับทุกข์ เอ๊ยไม่ใช่ ร่วมสุข ปรับทุกข์อะไรประมาณนี้แหละ แต่เธอก็วิ่งหนีไป” พีทพูดจาแบบเสียอารมณ์

“ใครวะ“ ภุมถามด้วยความสงสัย

“ช่างเถอะ เดี๋ยวน้องแกตกใจอีก เอาไว้วันหลังแล้วกัน”

สองชายหนุ่มหยุดสนทนาเรื่องที่คุยค้างไว้ แล้วก็ไม่ได้มีการกลับมาพูดถึงเรื่องเช้าวันนี้อีกเลย


‘ไม่ใช่ที่ของเรา’ ภุมเอนหลังในท่าผ่อนคลายกับเก้าอี้ไม้ยาวสีน้ำตาลที่สวนสาธารณะหน้าหมู่บ้าน

‘มันไม่ใช่ที่ของเราเหรอ’ ภุมได้แต่พูดเบา ๆ กับตนเองขณะที่สายลมพัดแรงกว่าทุกวัน จนทำให้เขารู้สึกแสบตา

‘ทำไมมันไม่ใช่ที่ของเรานะ จริงอยู่เป็นที่ของผู้หญิงก็จริงแต่เมื่อเราอยากนั่งเราก็ไปนั่ง เรามีความรู้สึกดี ๆ กับที่ตรงนั้นเพราะเราได้เจอไม้หวาย ไม้หวายก็บอกว่าที่นั่นสวยที่สุดในโรงเรียน แล้วไม้หวายก็ชอบที่ ๆ เป็นของเรา เรานั่งที่นี่สวนสาธารณะหน้าหมู่บ้านของเรา เธอก็ได้มานั่งที่นี่เมื่อวานนี้เช่นกัน มันก็ต้องเป็นที่ของเราสองคนซิ แต่วันนี้ไม้หวายหายไปไหนก็ไม่รู้ซิ’

‘เฮ้ย ลืมลูกบาสไว้ที่ห้องเรียน เดี๋ยวหายโดนภูมิว่าแน่เลย’

ภุมรีบวิ่งเต็มแรงขาเพราะกลัวว่าประตูโรงเรียนจะปิดเสียก่อน เขาออกแรงเต็มที่จนมาหยุดยืนหอบหน้าโรงเรียน พอมองเข้าไปในรั้วโรงเรียนเห็นผู้คนคึกคักเป็นพิเศษและนั่นหมายถึงว่าหอประชุมของโรงเรียนต้องถูกจับจองจัดงานเลี้ยง ส่วนใหญ่เป็นงานมงคลต่าง ๆ โดยเฉพาะงานฉลองมงคลสมรส ภุมฉุกคิดว่าเขาน่าจะเจอไม้หวายที่นี่

เขารีบวิ่งไปที่ห้องเรียน รีบอุ้มลูกบาสไว้แล้วก็วิ่งไปที่ชมรมดอกไม้สดแต่เห็นว่าชมรมปิดแล้ว ภุมคิดในใจว่าวันนี้คงไม่ได้เจอไม้หวายจริง ๆ เขาจึงตัดสินใจเดินกลับไปสวนลำดวนอีกครั้ง เมื่อไปถึงเขาเหลือบเห็นกระเป๋านักเรียน 3-4 ใบ วางเรียงรายอยู่ และหนึ่งในนั้นแน่นอนย่อมมีของไม้หวายวางเคียงอยู่ด้วย ภุมอดยิ้มไม่ได้ เหมือนกับได้เจอกับไม้หวายอยู่ ณ ที่แห่งนั้น

“อ้าวภุมมายืนทำอะไรจ๊ะ ยังไม่กลับเหรอ” ปิ่นทักภุมจากด้านหลังของเขา

ภุมหันมาแล้วก็ยิ้มที่มุมปาก แต่สายตาไม่ได้มองตรงมาตามเสียงที่ตั้งคำถาม

“อืม ลืมของเลยกลับมา แล้วพีทล่ะกลับหรือยัง” ภุมถามต่อทันควันเพื่อลดอาการประหม่า

“กลับแล้ว เห็นบอกว่าจะไปงานแต่งงานกับที่บ้าน นี่เย็นแล้วเรากลับก่อนนะ” ปิ่นพูดแล้วก็หันไปชวนน้องอีกสองคนที่เดินตามมาด้วย

จู่ ๆ นักเรียนหน้าหมวยรุ่นน้องอีกคนร้องทักขึ้นมา”พี่ปิ่นไม่รอหวายเหรอ”

คำสนทนาของนักเรียนรุ่นน้องกลับทำให้ชายหนุ่มที่กำลังตั้งใจรอฟังคำตอบนอกวงสนทนานั้นถึงกับยิ้มออกแสดงถึงสีหน้าสมปรารถนา

“หวายบอกว่าลืมของไว้ที่หอประชุม เดี๋ยวจะกลับเอง ไปเถอะเย็นแล้ว”
หลังจบบทสนทนาสั้น ๆ ภุมรู้ว่าบทบาทต่อไปที่เขาควรกระทำคืออะไร



“อ้า... เจอแล้ว กระเป๋าใส่อุปกรณ์อยู่นี่เอง” ไม้หวายก้มหยิบกระเป๋าใส่อุปกรณ์ใบย่อมสำหรับตกแต่งดอกไม้

เธอรีบเดินลงบันไดหอประชุม แต่ก็อดชื่นชมผลงานที่ร่วมกับเพื่อน ๆ ในชมรมไม่ได้

ราวบันไดถูกประดับประดา ด้วยดอกไม้สดโทนสีชมพูของดอกกุหลาบและกล้วยไม้สีขาวนวล ตัดกับใบเขียวของหมากผู้หมากเมีย เฟิร์น และอื่น ๆ ซุ้มประตูดอกไม้ที่ถูกจัดขึ้นเพื่อต้อนรับแขกเหรื่อที่มาร่วมงานเป็นเสมือนทางผ่านสู่สวนดอกไม้เป็นผลงานของนักเรียนชมรมดอกไม้สด เธอมองด้วยความภาคภูมิใจ จินตนาการถึงงานเลี้ยงที่กำลังจะเกิดขึ้น

มีเจ้าบ่าวสวมสูทสีขาวสูงสง่า ควงคู่กับ เจ้าสาวที่แย้มยิ้มในชุดลูกไม้และผ้าชีฟองสีขาวพราวราวกับเจ้าหญิงในเทพนิยาย บทเพลงแสนหวานที่เปิดคลอเบา ๆ และแสงเทียนเจือกลิ่นหอมจาง ๆ ที่ถูกวางเปล่งแสงอันอบอุ่นบนโต๊ะรับประทานอาหารทุกโต๊ะ

‘คงเป็นงานที่วิเศษสุด’ ไม้หวายแอบพูดเบา ๆ ยืนยิ้มกริ่มคนเดียวจนไม่รู้ว่ามีชายหนุ่มกำลังมองอิริยาบทของเธออยู่ตลอดเวลา

“ไม่กลับบ้านเหรอน้องหวาย” ภุมตะโกนขึ้นมาจากเชิงบันได ทำให้ผู้ถูกทักสะดุ้งโหยง

“อุ้ย พี่ภุม” ไม้หวายมีสีหน้าตกใจและดีใจในขณะเดียวกัน

“กลับกันเถอะ เดี๋ยวพี่ไปส่ง” ภุมยืนรอยิ้มอยู่ด้านล่าง

“หวายต้องกลับไปหยิบกระเป๋าที่สวนลำดวนก่อน” ไม้หวายวิ่งเหยาะ ๆ ลงมาตามขั้นบันได

ภุมยื่นกระเป๋านักเรียนของเธอที่ซ่อนไว้ด้านหลังให้ดูว่าตนเองนำมาแล้ว แล้วก็เอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าใส่อุปกรณ์มาถือไว้อีก ทำให้ไม้หวายรู้สึกสับสนกับการกระทำที่ภุมมีต่อไม้หวาย ไม้หวายอาสาถือลูกบาสให้กับภุมแทน เธอรู้สึกวางตัวไม่ถูกเมื่ออยู่ใกล้ชิดภุมในยามพระอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้า

“หวายนี่จะห้าโมงเย็นแล้ว หวายรีบกลับบ้านหรือเปล่า พี่มีเรื่องอยากถาม” ภุมทำสีหน้าเคร่งขรึมตามเคย

“มีอะไรหรือคะ” เธอพูดแล้วก็มองหน้าเขาพร้อมหัวเราะออกมา

“อืม เลิกทำหน้าเก๊ก ได้แล้วนะ เดี๋ยวก็แก่เร็วหรอก ตามหลัก หลักอะไรก็แล้วแต่ เขาบอกว่าถ้าทำหน้าเคร่งขรึมทำให้ใบหน้าของเรามีรอยเหี่ยวย่นเยอะ ถ้าเราหัวเราะ ๆ มาก กล้ามเนื้อทำงานหลายมัดทำให้เราสดชื่นแล้วก็แก่ช้าด้วยนะ” ไม้หวายพูดไป เอามือจับแก้มของตัวเองไปพร้อมกัน แล้วก็ยิ้มปากระเรื่อสีชมพูจางตลอดเวลา ทำให้ภุมอดมองและยิ้มไปด้วยไม่ได้

“โอ้ยลูกบาสล่วงเลย” เธอรีบวิ่งไปตามจับลูกกลมสีส้มไว้

“มัวแต่ทำหน้าทะเล้นอยู่นั่นแหละ ถ้าลูกบาสพี่หายพี่โดนพี่ชายยำเละแน่”
เขาหัวเราะออกมาได้

“ยิ้มไว้นะ” เธอย้ำคำอีก

“เหนื่อยไหมหวาย” ภุมอมยิ้มก่อนจะป้อนคำถาม เพื่อตัดบท

ไม้หวายหยุดชะงัก กับคำถามสั้น ๆ ที่ทำให้ความรู้สึกในหัวใจเต้นรัวและใบหน้าร้อนผ่าวผิดปกติและเหมือนกันว่าอุณหภูมิในร่างกายขึ้น ๆ ลง ๆ

“เรื่องอะไรล่ะ” ไม้หวายแสร้งเฉไฉ

“ก็จัดดอกไม้ไง เหนื่อยไหม” ภุมเดินห่างจากไม้หวายนิดหน่อย

“ไม่หรอก มีความสุขมาก จนอยากเปิดกิจการร่วมกับพ่อเลย พ่อของหวายสานพวกไม้ไผ่ ไม้หวายต่าง ๆ เป็นกระเช้าใส่ดอกไม้ ตะกร้อเก็บผลไม้ หมวก กระเป๋าและอื่น ๆ มากมายเลยนะ หวายเคยอยากให้พ่อขายดอกไม้ด้วยเราจะได้นำสิ่งของเหล่านี้มาจัดรวมกับดอกไม้มันคงจะสวยดีนะ“ ไม้หวายพูดด้วยความภูมิใจ ปนยิ้มระเรื่อเช่นเคย

“ดีจังนะ ถึงว่าทำไมชื่อไม้หวาย” ภุมเริ่มพูดประโยคที่ยาวขึ้น

“น้องสาวของหวายชื่อไม้หอมน้องชายชื่อไม้ร่ำ ชื่อของทุกคนมีความหมายถึงของที่มีกลิ่นหอมยกเว้นหวาย เหนียว แข็งแรง ตลกดีไหม” ไม้หวายหันมามองดวงหน้าของภุมที่อิ่มเอมกว่าทุกครั้ง และมีแววตาที่ดูเป็นมิตรมากขึ้น

“เราเดินกันจนเพลินเลยนะ หวายนั่งก่อน เดี๋ยวพี่มา”

ทั้งสองคนเดินคุยกันจากหน้าโรงเรียนจนถึงหน้าหมู่บ้านของภุมที่เก้าไม้ยาวสีน้ำตาลตัวเดิม ภุมวางสัมภาระต่าง ๆ ลงที่ข้างเก้าอี้ ไม้หวายนั่งลงและโยนลูกบาสเล่นนั่งรอเขา ภุมวิ่งไปสักพักและกลับมาพร้อมกับสตอร์เบอรี่ปั่นสองแก้ว เขายื่นให้เธอและสำหรับเขาเองอีกแก้ว

“ขอบคุณค่ะพี่ภุม มีพี่ชายดีอย่างนี้นี่เอง” ไม้หวายพูดเปรยไปแต่แววตาปนความเศร้า ภุมได้ยินประโยคนี้ถึงกับมีสีหน้าที่เปลี่ยนไป อย่างมีวิตกกังวล

“พี่บอกว่า มีเรื่องจะถาม ว่าไงคะ” ไม้หวายดูดน้ำสีชมพูเข้าปากด้วยความกระหาย

“ไม่เชิงถามแต่อยากขอความคิดเห็นว่า…” ภุมนิ่งเงียบดูดน้ำอย่างเงียบ ๆ ก่อนที่จะพูดต่อไป สายตาเหม่อไกลจากจุดตรงที่นั่งอยู่

“พี่อยากให้ที่ ที่ ดี สำหรับเราสองคน คือ... หมายถึง ที่ ๆ ทุกครั้งเราจะได้พบกันถ้าเรามีปัญหาเราจะไปนั่งรอกันที่นั่น มีอยู่สองที่ ที่สวนลำดวน โต๊ะหินอ่อนสีขาว และที่นี่...ได้ไหม” ภุมก้มหน้าสีหน้าหดหู่ ดวงตาเศร้า

ไม้หวาย เอามือจับหลอดใสคนน้ำแข็งที่ปั่นละเอียดกับน้ำชมพูอ่อนจาง ที่เริ่มละลาย

“วันนี้พูดยาวจังเลยนะ” ไม้หวายยิ้มน้อย ๆ

“ทำไมพี่ถึงคิดว่าต้องเป็นสองที่นี้คะ” ไม้หวายย้อนถามแทนที่จะแสดงความคิดเห็น เพราะเธออยากรู้ความรู้สึกที่แท้จริงของภุมชายหนุ่มที่นั่งเคียงข้างขณะนี้

“สวนลำดวนเป็นที่ ที่ทำให้พี่เจอหวาย และที่นี่หวายเป็นคนพาพี่มานั่งเล่น ทั้งที่มันอยู่หน้าหมู่บ้านของพี่เอง” ภุมก้มหน้า มองน้ำในแก้วชมพูจาง
ไม้หวายไม่พูดอะไร นอกจากยิ้มแล้วก็หัวเราะกลับเป็นคำตอบแทน ไม้หวายนั่งเอนตัวพิงกับไหล่ของภุม แล้วก็ยิ้มกริ่ม ไม่มีเสียงใดเกิดขึ้น แล้วเธอก็ขอตัวลากลับบ้าน ขึ้นรถมินิบัสสีขาวเช่นเดิม

พอเธอขึ้นรถ เธอหันมาโบกมือให้ชายหนุ่มหน้าเข้มที่ยืนมองเธอไกล ๆ ภุมยิ้มกว้างกว่าทุกครั้ง ถึงแม้สิ่งที่เขาถามไปจะไม่มีคำตอบ แต่เขารู้ว่า ไม้หวายต้องตอบแบบที่เขาต้องการให้ตอบ

“ได้ค่ะ พี่ภุม เพราะมันเป็นที่ ที่ ดีของเรา”




 

Create Date : 26 ตุลาคม 2553    
Last Update : 2 พฤศจิกายน 2553 12:14:43 น.
Counter : 374 Pageviews.  

เก้าอี้ไม้กับสวนลำดวน(รักนี้มีเพียงใจ) - บทที่ 2 เรียกว่าอะไร

บทที่ 2 เรียกว่าอะไร

“อืม เช้าอีกแล้ว วันนี้รีบตื่นดีกว่า” ภุมรีบจัดแจงตัวเองแต่ไม่เหมือนทุกวันเพราะว่าเขาตั้งใจจะเดินทางไปโรงเรียนและก็รีบไปนั่งรอใครบางคนที่ม้าหินใต้ต้นดอกลำดวน

“เงียบเหมือนทุกวันเลยแฮะ ทำไมผู้หญิงถึงชอบมาโรงเรียนแต่เช้าก็ไม่รู้” ภุมบ่นอุบกับตัวเอง แต่สายตาก็คอยชะเง้อมองหาสาวน้อยที่รอคอย

กร็อบ แกร็บ เสียงของใบไม้แห้งดังขึ้นเหมือนมีฝีเท้าของใครคนหนึ่งกำลังเดินมาทางภุม เขารีบหันกลับไปมองแต่แล้วก็ต้องผิดหวังเพราะเสียงที่เขาได้ยินเป็นพนักการภารโรงที่กำลังกวาดใบไม้อยู่ ภุมคิดทึกทักในใจว่าคงจะผิดหวังสำหรับวันนี้ ในขณะที่เขากำลังเปลี่ยนใจลุกจากม้าหินอ่อนสีขาวนั้นเขาแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง ภาพที่เห็นผู้หญิงในชุดนักเรียนม.ปลายกำลังวิ่งตรงดิ่งมาที่เขา ไม้หวายนั่นเอง เป็นสิ่งที่เขารำพึงในใจตามแรงปรารถนา

“นึกว่าไม่ทันซะแล้ว” ไม้หวายพูดกับตัวเองเบา ๆ เธอหายใจเร็วเป็นระยะ ดวงหน้าเธอเผยให้เห็นเลือดฝาดจากการเหนื่อยหอบแก้มของเธอแดงระเรื่อปนกับเหงื่อซึมเล็กน้อยตามไรผม

“น้องครับ” เสียงแผ่วเบาจากลำคอที่พยายามกลั่นเสียงออกมาตามหัวใจเรียกร้องของภุม

สิ่งที่ภุมได้รับคือรอยยิ้มน้อย ๆ ของไม้หวายที่ใครเห็นต้องรู้ว่าเธอขวยเขินขนาดไหน

“มาแล้วเหรอครับ” ภุมเสียงมีน้ำเสียงมั่นใจขึ้นนิดหน่อยจากคำทักทายประโยคแรก

“ค่ะ... มาเช้าเหมือนกันเลย” ไม้หวายตอบด้วยอาการของคนที่ประหม่า

“คือว่า…พี่ … พี่ … เออ... ไม่มีอะไรครับ ไปก่อนนะครับ” พูดจบ ภุมก็เดินจาก ณ ที่ตรงนั้น

ใบหน้าของชายหนุ่มไม่ต่างอะไรกับหญิงสาวเลย เหมือนมีสารสีแดงปนชมพูใส่เข็มฉีดยาของคุณหมอแล้วฉีดเข้าไปทั่วหน้า หลังจากที่ชายหนุ่มเดินจากเธอไปแล้ว

เธอก็ได้แต่ยืนยิ้มและมีความสุขอยู่ในหัวใจ “แค่นี้ก็พอแล้วหล่ะ”


เช้าวันนี้ไม้หวายเรียนหนังสืออย่างมีความสุขกว่าทุกวันจะเป็นเพราะอากาศเย็นสบายหรือว่า เหตุการณ์เมื่อเช้านี้ก็ตาม แต่มีสิ่งหนึ่งที่เธอคิดไว้ในใจคือการได้รู้จักกับรุ่นพี่คนนี้ หรือได้พูดคุยกันอีกสักครั้ง และวันนั้นทั้งวันไม้หวายก็ไม่ได้เจอรุ่นพี่ของเธออีกเลย จนกระทั่งเวลาบ่ายแก่ ๆ หลังเลิกเรียน ขณะที่เธอกำลังเก็บกระเป๋าเรียนเตรียมกลับบ้าน เธอเหลือบเห็นคนในฝันของเธอมานั่งรอหน้าห้อง จนทำให้สาว ๆ ในห้องเรียนแอบคุยซุบซิบกันใหญ่ และพูดคุยกันว่ารุ่นพี่คนนี้มานั่งทำอะไร หรือว่ามารอใคร ทุกคนคิดกันไปต่าง ๆ นานา แม้ไม้หวายเองก็แอบคิดไม่ได้ ถ้ามานั่งรอตัวเธอเองก็คงดี แต่ถ้ามารอคนอื่น ก็ไม่เป็นไร ถึงจะแอบเสียใจ ก็ตาม

“หวาย กลับเถอะ” เพื่อนร่วมห้องเรียกเบา ๆ แต่ก็ทำให้ไม้หวายรู้สึกเหมือนเสียงดังมากเธอถึงกลับสะดุ้งโหยง

“กลับก่อนเถอะ เดี๋ยวสักพักหวายค่อยกลับจ้ะ”

ไม้หวายเดินกลับมานั่งที่โต๊ะเรียนของตัวเอง จนเพื่อนในห้องทยอยออกมากันจวนจะหมดห้องเรียนแล้ว เธอพยายามมองออกไปนอกห้อง ก็ไม่เห็นรุ่นพี่คนนั้นอีก เธอคิดว่ารุ่นพี่คงจะไปกับใครคนอื่น หรือ เพื่อน ๆ ข้างห้องแล้ว สีหน้าของไม้หวายสลดเศร้าเล็กน้อย แต่ก็ปลอบใจตัวเองเบา ๆ ว่า ‘ไม่เป็นไร’ แล้วก็ลุกเดินออกจากห้องเรียนเพื่อกลับบ้าน

ไม้หวายเดินมาตามทางเดินเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงทางแยกที่ต้องผ่านสวนนั่งเล่นใต้ต้นลำดวน เธอหยุดยืนสักพักเพราะรู้สึกเหมือนกับหัวใจหล่นหายไป อย่างไม่รู้ตัว บรรยากาศหลังเลิกเรียนแสนเงียบทุกอย่างรอบตัวชวนให้อารมณ์เหงาวิ่งล้อมตัวเธอ

เธอเดินต่อไปอีก ตอนนั้นเธอรู้สึกเหมือนไอร้อนของใครบางคนละผิวอยู่ด้านหลัง พร้อมกับกลิ่นโคโลญจ์ของผู้ชายจาง ๆ ทำให้ไม้หวายรู้สึกเหมือนกับว่ามีคนเดินเข้ามาประชิดตัวเธอมากยิ่งขึ้น

“เอ๊ะ” ไม้หวายหันหลังไปมองและรู้สึกตกใจ ต้นเหตุแห่งความรู้สึกนั้น คือ คนที่ทำให้เธอเศร้าใจเมื่อไม่นานมานี้เอง

ภุมเดินเข้ามาเดินเคียงข้างเธอจนเหมือนกับคนทั้งสองเดินกลับบ้านด้วยกัน ภุมไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไรกับไม้หวายเลย จนทำให้ไม้หวายรู้สึกถึงอาการที่บอกความรู้สึกไม่ถูก เธอก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป ทั้งสองได้แต่เดินมองหน้ากันบ้างเป็นระยะ ๆ ไม่มีเสียงสนทนากัน จนกระทั่งถึงหน้าโรงเรียน

ภุมเดินข้ามถนนไปฝั่งตรงข้าม และเฝ้ารอดูจนไม้หวายขึ้นรถมินิบัสสีขาวกลับ เขาถึงขึ้นรถมินิบัสสีแดงกลับ และเหตุการณ์นี้ก็กลายเป็นกิจวัตรประจำวันจนเวลาผ่านไป 1 เดือน บางวันภุมก็เดินตามหลัง บางวันเขาก็เดินห่างออกไปเพียงแต่เมียงมอง ภุมปฏิบัติตนเช่นนี้กับไม้หวายเช่นเดิมทุกวัน จนกระทั่งเย็นวันหนึ่ง

“พี่คะ คือว่า” เธอเอ่ยเรียกเขาขณะที่กำลังเดินตามหลังเขาอยู่ไม่ห่าง
เขาหันมาตามเสียงเรียกนั้นและทำหน้าแปลกใจ

“หนูมีเรื่องจะถาม” ไม้หวายเริ่มต้นถามสิ่งที่สงสัย

“ครับ” ภุมเบือนหน้าหนีไม้หวาย

“หนูสงสัยว่า ทำไมพี่ถึงเดินมาส่งหวายทุกวันตอนเลิกเรียน แล้วก็...” เธอรู้สึกหน้าเสียเล็กน้อย เมื่อเขาทำทีท่าไม่ได้ใส่เธอขณะที่เธอถามเขาออกไป

“ไม่เป็นไรค่ะบางทีหวายอาจจะคิดไปเองก็ได้ ไม่ต้องตอบข้อสงสัยที่หวายถามออกไปก็ได้” ไม้หวายรู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวกว่าทุกครั้ง แล้วก็นิ่งเงียบไป

ภุมหันมามองหน้าเธอ “คือว่า…คือ…” ภุมนิ่งเงียบ

“เออคือว่า พี่... พี่...ชอบน้อง ไปก่อนนะ แล้วพรุ่งนี้เจอกัน” ภุมพูดจบเขากำลังวิ่งจากไป แต่ก็ต้องหยุดชะงักเพราะรู้สึกว่าแขนของเขามีมืออันอบอุ่นดึงรั้งเขาไว้

“อย่าเพิ่งไปค่ะ พี่ แล้วพี่ชื่ออะไร คือว่าหมายถึง เราคุยกันให้รู้เรื่องอย่าหนีหวายไปอีกเลยนะ ขอร้อง” น้ำตาเริ่มเคลือบแววตาของสาวน้อยด้วยใบหน้าแดงกล่ำ

แววตาของภุมที่มองมาแสนหวานซึ้งผสมความเขินอาย เขาหลบตาไม้หวาย แล้วก็ยิ้มเขิน เขาหาสาเหตุไม่เจอว่าเขาเองกำลังทำอะไรหรือคิดอะไรอยู่ ภุมยื่นมือของเขาจับมือของไม้หวายเอาไว้ยิ่งทำให้ไม้หวายรู้สึกเขินอายมากยิ่งขึ้น

เขาเริ่มมั่นใจในความรู้สึกตัวเองมากขึ้น

“เดินไปด้วยกันหรือว่าจะหาที่นั่งคุยดีครับ” ภุมมองหน้าไม้หวายแบบที่ไม่มีคำว่าเขินอาย แต่เต็มไปด้วยความมั่นใจ

“อืม… ไปตรงถนนที่มีต้นไม้ขึ้นสองข้างทางเหมือนบ้านต้นไม้ไหมคะ อยู่บริเวณไม่ไกลจากโรงเรียนแถว ๆ หน้าหมู่บ้านใกล้ ๆ นี่แหละค่ะ หวายว่ามันสงบเงียบดี และก็สวยมากค่ะ” ไม้หวายพูดไปใบหน้าเปื้อนยิ้มไปทุกขณะ

ภุมยืนมองสาวน้อยคนหนึ่งซึ่งพูดมากขึ้นกว่าทุกครั้ง เขาได้เก็บทุกเส้นเสียงของเธอ และรอยยิ้มกับอารมณ์อ่อนหวานละไมของเธอในทุกขณะที่เธอเปร่งเสียงใส เสียงที่เปี่ยมปนด้วยความสุขจนมองเห็นชัดบนรอยยิ้มและดวงหน้าของเธอได้อย่างชัดเจน และเขาก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าถนนต้นไม้ที่เธอบอกเขาว่าสวยงามก็คือสวนสาธารณะหน้าหมู่บ้านของเขาเอง

“ไปเถอะพี่รู้จัก” ภุมยิ้มน้อย ๆ แบบที่เขาชอบยิ้มเวลาเขินอาย



“สวยไหมคะพี่” สาวน้อยเอ่ยปาก แล้วก็เดินไปนั่งตรงม้านั่งยาวสีน้ำตาลใต้ต้นไม้ใหญ่ที่มีใบเรียวเล็กหลาย ๆ ใบ เรียงกันบนก้านใบเป็นริ้วเหมือนขนนกสีเขียวเหลืองปนกัน

ภุมยิ้มที่มุมปากแล้วเดินมานั่งลงข้าง ๆ ไม้หวาย “ต้องสวยซิ เดินเข้าไปก็เป็นบ้านพี่นั่นไง”

สายตาที่จ้องมองไม้หวายบวกกับคำตอบที่ได้รับทำให้ไม้หวายรู้สึกวางตัวไม่ถูก ได้แต่ยิ้มแล้วก็หัวเราะออกมา

“หัวเราะทำไมเหรอ ไม่เห็นมีอะไรตลกเลย” ภุมทำหน้างง แต่แววตาก็ไม่ละจากใบหน้าของเด็กน้อยที่นั่งข้างกาย

“ก็ อายนี่ หวายชอบที่นี่มากนะ แต่มันกลายเป็นหน้าหมู่บ้านของพี่เฉยเลย พี่คงเห็นจนเบื่อแล้วมั้งคะ” ไม้หวายถามต่อ

“ไม่หรอกครับ บ้านพี่อยู่ที่นี่ก็ต้องชอบเหมือนที่ไม้หวายชอบเช่นกัน เคยคิดอยากมานั่งเล่นตรงนี้เหมือนกัน แต่ว่าไม่มีจุดประสงค์อะไร แล้วก็ไม่รู้ว่าจะมานั่งทำไมตรงนี้” ภุมทำหน้าตาเคร่งขรึมขณะที่ตอบคำถาม

“ไม่เห็นต้องมีจุดประสงค์เลย ก็ทำตามที่ใจเราต้องการซิคะ ที่นี่สวยและร่มเย็นทำให้มีสมาธิ” ไม้หวายเสียงกังวาลใส

“สวยจริงด้วย” เขาพูดไปพร้อมกับส่งสายตาไปที่เธอ

“ไหนบอกว่าเราต้องคุยกันไง” ภุมรีบเปลี่ยนเรื่องทันที เพราะรู้สึกว่ายิ่งมองไม้หวายมากเท่าไหร่เขาก็รู้สึกประหม่าและเขินมากเท่านั้น

“ได้ค่ะ” เธอหันมายิ้มบาง ๆ

“คือ... หวายอยากรู้ว่าพี่ชื่ออะไร เท่านั่นเอง แล้วทำไมถึงต้องมาคอยเดินกลับบ้านด้วยทุกวัน” ไม้หวายมองแววตาของภุมแต่ก็ต้องหลบบ้างเป็นระยะ ในขณะที่ภุมไม่เคยละสายตาจากเธอเลย

“ชื่อภุม ภุมรินทร์ ศศิธารา” ภุมตอบกลับ

“หวายชื่อ ไม้หวาย หฤทัย จิตรมานะ” ไม้หวายเอามือลูบผมขณะที่ตอบคำถาม

“เราสองคนรู้จักกันแล้วนะ” ภุมพูดด้วยน้ำเสียงสดใส

ใบไม้เริ่มล่วงหล่นตามกระแสลมที่กำลังพัดโชยอ่อน ๆ

“แล้วพี่ยังไม่ตอบเลยว่า ทำไม..” ไม่ทันสิ้นเสียงของไม้หวาย

ภุมยื่นมือมาหยิบใบไม้ที่ปลิวมาติดที่ศีรษะของไม้หวาย ก่อนที่จะตอบคำถามด้วยแววตาเปี่ยมไปด้วยความสุข

“ชอบ แบบ น้องสาว”

“ชอบ แบบ น้องสาว” ไม้หวายย้ำประโยคเดิม

“ชอบแบบน้อง ก็ไม่ต้องดูแลแบบนี้ก็ได้นี่ ดีจังนะหวายไม่มีพี่ชาย อยากมีเหมือนกัน หวายมีน้องสาว 1 คนและน้องชาย 1 คน ชื่อไม้หอมและไม้ร่ำ” หญิงสาวจำนรรจาทั้งที่ในหัวใจรู้สึกผิดหวังกับคำตอบที่ได้รับในวันี้

“พี่ภุมไม่มีน้องเลยพี่มีแต่พี่ชาย ชื่อภูมิ เอาเป็นว่าเราเป็นพี่น้องกันนะ กลับบ้านเถอะเดี๋ยวพี่ส่งขึ้นรถ หวายขึ้นหน้าหมู่บ้านพี่ได้เลย“ ภุมลุกจากเก้าอี้ยืนบิดขี้เกียจไปมา

“ค่ะ แล้วหวายจะได้มานั่งเล่นที่นี่อีกไหม แล้วแฟนพี่ไม่ว่าเหรอ” ไม้หวายพูดด้วยสีหน้าที่แฝงความรู้สึกเศร้า

“มาได้ซิ แต่เรื่องแฟนตอนนี้ยังไม่มีหรอกหัวใจยังว่างเปล่าอยู่” ภุมยื่นมือหยิบกระเป๋าหนังสือของไม้หวายมาถือไว้

“ไม่เป็นไรหรอก หวายถือเองได้” ไม้หวายยื้อกระเป๋าไว้แต่ก็ต้องยอมละให้กับความตั้งใจของภุม

แล้วภุมก็เดินไปส่งไม้หวายขึ้นรถกลับบ้าน ภุมครุ่นคิดถึงคำตอบที่ตอบออกไปว่าถูกหรือไม่ถูกต้อง

ไม้หวายรู้สึกผิดหวังกับคำตอบที่ได้รับ แต่ต้องซ่อนความรู้สึกไว้และปลอบใจตัวเองเบา ๆ เช่นเคย “ไม่เป็นไร แค่นี้ก็พอแล้ว”




 

Create Date : 16 ตุลาคม 2553    
Last Update : 2 พฤศจิกายน 2553 12:15:04 น.
Counter : 323 Pageviews.  

1  2  3  

nalinnovel
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




นลินโนเวล เป็นบล็อกที่รวบรวมผลงานเขียนทั้งเรื่องสั้น นวนิยาย โดยมีนามปากกาว่า
นลิน คือ รักหวาน - Sweet
ฟุ้งรัก คือ รักสดใส - Pastel
จุล คือ เรื่องสั้นและบทความ - A love aleart -Aom
อยากให้เพื่อน ๆ ทุกคนที่ได้เข้ามาอ่านผลงานของนลินแล้วรู้สึกว่ากำลังทำสปาอยู่เลยค่ะ เลยแยกผลงานไว้ให้เข้าใจและเลือกประเภทที่จะทำให้ทุกคนRelax ได้ตามอัธยาศัย
และสักวันหนึ่งหวังว่าเพื่อน ๆ คงจะได้พบกับผลงานของนลินตามแผงหนังสือนะคะ ฝากทุกคนเป็นกำลังใจให้นลินด้วยนะ ขอบคุณค่ะ

ตัวอักษรทุกตัวของบล็อกนลินโนเวล สงวนลิขสิทธิ์ตามพรบ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ห้ามมิให้ผู้ใดละเมิดโดยนำข้อความทั้งหมด หรือส่วนหนึ่ง ส่วนใดใน Blogไปเผยแพร่ โดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าของBlogเป็นลายลักษณ์อักษร หากฝ่าฝืนจะถูกดำเนินคดี ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้สูงสุด!!
Friends' blogs
[Add nalinnovel's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.