Catch dream in my Cheeks^o^จับฝันใส่กระพุ้งแก้ม Return to the beach BY NALINNOVEL
Group Blog
 
All blogs
 
รังไรลวงรัก รังที่ 13



รังไรลวงรัก
รังที่ 13

รังที่ 13

รังไรหัวใจเต้นตึกตักขณะที่เหยียบคันเร่งรถเร็วอย่างไม่รู้ตัวในขณะที่ใกล้จะถึงสถานที่นัดหมาย พอถึงเวลาเธอกลับไม่กล้าก้าวเท้าออกจากรถ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เธอได้แต่นั่งนิ่งเงียบเพราะคิดว่าปวินท์คงจะเห็นเธอแล้วและกำลังโทรศัพท์ตามให้เธอลงไปพบหน้าเขา

เธอกดโทรศัพท์รับทั้งที่ไม่ได้ดูหน้าจอ

“ยายแม่มดถึงบ้านหรือยัง” เขาแสร้งถามขณะที่จอดรถอยู่อีกมุมหนึ่งของร้านอาหาร

“เอ่อ คือ” เธออ้ำอึ้งก่อนจะตอบออกไป

“อืม ถึงแล้ว” รังไรตอบสั้น ๆ

“ดีแล้ว จะได้ไม่ต้องเป็นห่วง พรุ่งนี้ช่วยแวะไปดูร้านให้หน่อยนะ เพราะว่าผมมีประชุมงาน คงไม่มีเวลาเข้าไป” จุลส่งเสียงกลับมาด้วยความกังวลใจ ว่าสาเหตุอะไรที่เธอถึงโกหกเขา

“โทรศัพท์มาแค่สั่งงานหรือไงคะเจ้านาย ว่าแต่เงินเดือนให้ฉันเท่าไหร่ คุ้มค่าเหนื่อยหรือเปล่า เรายังไม่ได้ตกลงกันเรื่องนี้เลยนะ” รังไรหัวเราะออกไป

“คุ้มแน่ ว่าแต่คุณมีตัวเลขในใจหรือเปล่า บอกมาแล้วกันจะจัดให้” เขาแสร้งหัวเราะ แต่สายตาก็ชะเง้อมองเธอที่ยังนั่งอยู่ในรถ

“อืม ไว้บอกคราวหน้าแล้วกันนะ แค่นี้ก่อนนะมีสายเข้า” เธอตัดสายทิ้ง

จุลเห็นรังไรนั่งพูดคุยกับใครบางคนทางโทรศัพท์แล้วเธอก็ก้าวเท้าลงจากรถ ตอนนี้เขาเลยรีบขยับตัวตามไปด้วย แต่ไม่ทันก้าวขาตามไปในร้านก็เจอคนรู้จักซะก่อน

“จุล” เสียงเรียกของชายคนหนึ่งทำให้เขาต้องหยุดชะงัก

“อ้าว ไอ้เจื้อย ไม่ได้เจอกันนานเลย”

“เออ มีนัดกับลูกค้า นายมาทำอะไรที่นี่” เจื้อยลูกเจ้าของโรงแรมห้าดาวระดับประเทศที่เคยเรียนร่วมกันตั้งแต่สมัยมัธยมต้นจนจบมหาวิทยาลัย จริง ๆ เขาไม่ได้ชื่อเจื้อย เขาชื่อ เจษบดินทร์ แต่ด้วยความที่เขาเป็นคนพูดมากเพื่อน ๆ เลยเรียกเขาว่าเจื้อย

“เป็นไงมาไง งานบริหารโรงแรมนี่มันสนุกไหม” จุลแซวเพื่อน

“เฮ้ยไปคุยต่อในร้านดีกว่านะ เผื่อจะแนะนำให้รู้จักกับลูกค้าด้วย เผลอ ๆ ก็จีบทำแฟนเลยเป็นไง” ปากเสีย ๆ ของเจื้อยยังคงทำงานได้ดีเหมือนเดิม จนจุลต้องแกล้งเขกกระโหลกเพื่อนสักที
เขาเดินตามเจื้อยไปนั่งตรงมุมหนึ่งของร้านอาหาร โต๊ะอาหารนี้ถูกจับจองไว้เรียบร้อย จุลลงนั่งข้าง ๆ เขาช่างเป็นมุมที่เหมาะเจาะมากทีเดียว เธอเห็นแล้วว่ารังไรนั่งหันหลังให้เขา และคนที่รังไรนัดหมายไว้

“พี่ปวินท์” เขาพร่ำชื่อนั้นออกมา

“ใคร” เจื้อยถามเสียงใส

“เจ้านายคนใหม่” จุลตอบสั้น ๆ แต่สายตาเขาไม่ได้มองไปยังชายหนุ่มภูมิฐานที่กล่าวถึง แต่กลับมองคู่สนทนาที่มองไม่เห็นหน้าเธอคนนั้นมากกว่า

“นี่นายทำงานแล้วเหรอ วันนั้นคุยกันบอกว่าอาชีพเล่นกับแมวของยายกุลไม่ใช่เหรอ” เจื้อยหัวเราะ

“เออมันฉุกละหุกไม่คิดเหมือนกันว่าจะได้งานเร็วขนาดนี้ พี่ปวินท์เขาเป็นทายาทที่ดูแลบริษัทโฆษณายักษ์ใหญ่แล้วก็บริหารอาคาร นายน่าจะรู้จักนะ”

“อืมขอคิดดูก่อน น่าจะเป็นคู่แข่งกันกลาย ๆ นะ” เจื้อยขมวดคิ้วคิด

“พอแล้วไม่ต้องคิด แล้วลูกค้ามากี่โมง”

“โน้นไงมาแล้ว” เจื้อยลุกขึ้นยืนเพื่อรอต้อนรับลูกค้าของเขา สาวสวยในชุดแซ็กสีครีมตัดดำเรียบร้อยกำลังเดินตรงมาที่โต๊ะ แล้วเธอก็แวะทักทายปวินท์

“ทำไมโลกแคบขนาดนี้ นี่ลูกค้านายยังทักทายเจ้านายเราเลย” จุลส่ายหน้าไปมา

“นั่นซิ” เจื้อยหันมายิ้ม ไม่นานนักสาวสวยคนนั้นก็ชี้มาที่สองหนุ่มที่นั่งรออยู่ก่อนแล้ว จุลหลบหน้าไปทางไหนคงไม่ทันแล้ว เขาได้แต่ยิ้มเก้อออกไป แต่คนที่หน้าถอดสีน่าจะเป็นรังไรซะมากกว่า ตอนนี้เธอได้แต่เฉมองไปทางอื่นเพื่อเลี่ยงความรู้สึกทางสายตา จุลและเจื้อยเดินเข้าไปสมทบกับคนทั้งสาม

“อ้าวจุลมาได้ยังไง” ปวินท์กล่าวทักเขาก่อน

“แวะมาหาเพื่อนครับ นี่เจษบดินทร์เพื่อนสมัยเรียนครับ” เขาแนะนำเจื้อยให้ลูกจัก

“สวัสดีครับ นี่พี่ปวินท์รู้จักกับคุณชมด้วยหรือครับ” เจื้อยทักทายอย่างสนิทและหันไปยิ้มให้กับลูกค้า

“ชมเป็นลูกพี่ลูกน้องกับพี่วินท์ค่ะ” ทั้งปวินท์ ชมดาวและ เจื้อยพูดคุยกันอย่างสนิทสนม รังไรปั้นหน้าไม่ถูกเพราะตอนนี้จุลไม่ได้หันความสนใจไปที่กลุ่มสนทนานั้น แต่กลับมองเธออย่างไม่ละสายตา แววตาของเขามีคำถามมากมายเธอเดาออก

“แล้วสาวน้อยตาคมคนนี้เป็นใครครับ” เจื้อยหันไปทักเธอ เล่นเอารังไรพูดไม่ออก เพราะตอนนี้เธอยังไม่รู้เลยว่าสถานะของเธอคืออะไร จุลทำท่าเหมือนจะพูดแต่เขาก็นิ่งเงียบ

“รังไรเป็นน้องสาวของเพื่อน พี่กำลังทาบทามให้มาทำงานที่บริษัทอยู่น่ะ” ปวินท์ช่วยแก้สถานการณ์ผ่านไปได้ แน่นอนมีคุณชมอยู่ทั้งคน เขาคงไม่กล้าบอกใครต่อใครว่า บางทีรังไร อาจจะเป็นคนรักของเขาก็เป็นได้

“งั้นชมว่าเรานั่งรวมโต๊ะกันเลยไหมคะ” ชมดาวกล่าวขึ้นมาก่อน

รังไรลงนั่งที่เก้าอี้ โดยมีจุลนั่งเคียงข้างเธอ วงสนทนานั้นพูดคุยกันแต่เรื่องงาน ยกเว้นเธอกับจุลที่ไม่ได้แสดงความคิดเห็นอะไรออกไปมากนั้น รังไรรู้สึกว่าบางทีโชคชะตาไม่เคยเข้าข้างเธอเลยสักนิด วันนี้เธอมีเรื่องบางอย่างที่ตัดสินใจมากแล้วเป็นดิบดีรวมรวมความกล้ามาพอสมควรที่จะพูดบอกให้กับปวินท์ได้รับรู้ เหมือนเมื่อครั้งสมัยเธอเป็นเด็กสาว พอเหลือบมองหน้าชายที่นั่งเคียงข้างเธอ ตอนนี้สีหน้าเขาบอกบุญไม่รับเลยทีเดียว

อาหารมื้อค่ำจบลงด้วยความกระอักกะอ่วนทางความรู้สึกระหว่างจุลกับรังไร ก็เมื่อกี้เธอเพิ่งจะโกหกเขาอยู่ในปลายสาย ความรู้สึกผิดทางใจวิ่งพล่านไปทุกอณู

ทุกคนแยกย้ายกันไปขึ้นรถของตัวเองยกเว้นแต่จุลที่ยังคุยงานกับปวินท์นอกรอบอีก โดยมีเธอยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่

“จุลขอบใจมากนะ พรุ่งนี้พี่คงจะเข้าประชุมกับพวกนายด้วย” ปวินท์หันไปยิ้มแย้มกับเขา

“รังไรขอโทษทีนะ พี่เลยไม่ได้คุยธุระกับเราเลย” ปวินท์หันมาโยกศีรษะเธอเบา ๆ ตอนนี้จุลถึงกับทำตาโตขึ้นมากับทีท่าของหนุ่มสาวที่เขาเห็นตรงหน้า

“งั้นผมขอตัวกลับก่อนละกันครับ” จุลเดินฉับ ๆ ออกไป ดูอาการออกเลยว่าเขารีบร้อนและขับรถออกไปอย่างรวดเร็ว

“ไปรังไร พี่พาไปคุยธุระที่อื่นดีกว่า” เขาจูงมือเธอ

“ไม่เป็นไรค่ะ คุยกันตรงนี้ก็ได้” เธอดึงมือเธอออกจากมือแสนนุ่มนวลของเขา

“งั้นไปนั่งคุยที่รถของรังไรดีกว่า” เขาเดินตามเธอไปอย่างว่าง่าย

รังไรเอื้อมมือไปเปิดเครื่องปรับอากาศในรถ เธอถอนใจสักพัก ไม่นานนักก็มีมือนุ่ม ๆ ของปวินท์ยื่นมาดึงมือเธอไปกุมไว้

“ได้คำตอบแล้วใช่ไหมรังไร”

เธอพยักหน้า “ค่ะ”

“พี่ปวินท์คะ” เธอหันมองหน้าเขา เธอไม่สามารถล่วงรู้ได้ว่าแววตาที่เธอส่งผ่านไป ปวินท์จะรับความรู้สึกนี้ได้บ้างหรือไม่ แต่สิ่งที่เธอรับรู้คือแววตาของเขาในตอนนี้มีความรู้สึกแสนอบอุ่นซ่อนอยู่พร้อมกับรอยยิ้มบนริมฝีปากและดวงหน้าที่ได้รูป

“ถ้าเป็นไปได้ขอโอกาสที่ดีให้กับรังไรอีกสักครั้งได้ไหมคะ รังไรอยากจะ....”

ไม่ทันที่เธอจะพูดจบเขาดึงเธอไปกอดไว้

“ขอบคุณนะรังไร” ประโยคนี้อีกแล้วเหมือนเมื่อครั้งก่อน ไม่มีคำตอบใด ๆ จากปวินทร์ ความเงียบปล่อยระยะเวลาแห่งความอบอุ่นเข้าแทนที่ รังไรยิ้มทั้งน้ำตาออกมา อ้อมกอดแสนอบอุ่นนี้ที่เธอรอคอยมาตลอด


จุลตีมือลงบนพวงมาลัยอยู่หลังครั้ง เขาฟุบหน้าลง

“ยายแม่มดคิดอะไร ทำอะไรอยู่ รับสายซิ รับสาย” เขากดโทรศัพท์หาเธออยู่หลายรอบจนหัวเสีย

พอทิ้งระยะเวลาสักครู่

“ไงคุณจุลจะบ้าหรือไงโทรศัพท์เข้าเครื่องฉันหลายสิบรอบเป็นอะไรมากหรือเปล่า” เธอส่งเสียงใสกลับมา

“ก็...” เขาไม่รู้จะตอบกลับเธอไปยังไง ก็ตอนนี้ในใจเขาพะวงเกี่ยวกับเรื่องของเธอจนกลายเป็นความโกรธและน้อยใจในเวลาเดียวกัน

“กลับถึงบ้านหรือยัง”

“กำลังขับรถอยู่แล้วคุณล่ะ”

“ก็กำลังขับรถอยู่เหมือนกัน” จุลตอบห้วน ๆ กลับไป

“คุณจุลทุกอย่างที่ฉันทำลงไป ฉันไม่รู้ว่ามันถูกหรือผิด ฉันเหมือนคนกำลังหลงทางเลยทีเดียว จะทำยังไงดีล่ะ ปวดหัวมาก ๆ เลย” รังไรส่งเสียงเหนื่อยล้ากลับไป

“เจอกันไหมตอนนี้”

“ตอนนี้เหรอ” เธอตกใจเล็กน้อย

“ใช่ จริง ๆ เรื่องของแม่มดก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับคนแปลกหน้าอย่างผมนักหรอก แต่ไม่รู้ทำไมถ้าคืนนนี้ไม่ได้คุยกับคุณผมคงจะนอนไม่หลับ” จุลหัวเราะออกมาได้

“นี่ พรุ่งนี้เจอกันไม่ได้หรือไง”

“พรุ่งนี้ผมประชุมยาว อาทิตย์นี้จะไปดูสถานที่แล้ว วานคุณแวะไปดูร้านให้ลันนาแทนผมหน่อยแล้วกัน น่าจะสักสองสามวันนี้ประมาณนี้ ฝากด้วยนะ”

“ก็เป็นหน้าที่ของลูกน้องอยู่แล้วไม่ต้องห่วง งั้นเจอกันภายในครึ่งชั่วโมงนะ” เธอยิ้มน้อย ๆ

“อืม” เขาตีรถกลับตรงทางเลี้ยวแยกถัดไป

พอไปถึงเขาเห็นเธอจอดรถรออยู่ริมแม่น้ำเรียบร้อยแล้ว

ปี๊น เขาบีบแตรเรียกเธอ

รังไรเดินยิ้มแปร้เดินตรงมาหาเขาที่รถ

“คืนนี้ท้องฟ้าเป็นสีแดงเชียว เหมือนฝนใกล้จะตกแล้วนะ” รังไรยืนพิงข้างประตูรถของเขา แต่เขาแค่เปิดประตูรถและเบี่ยงตัวห้อยขาออกมานอกรถ

“อยากจะร้องไห้บ้างหรือเปล่าล่ะ” จุลถามกลับไปและเอื้อมไปจับมือเธอ

“แหมลามปามนะ” เธอหัวเราะแหะ ๆ และยกมือขึ้นปาดน้ำตา

“ผมพูดจริง ๆ ไม่รู้เป็นไงเหมือนกัน รู้แต่ว่าคืนนี้อยากปลอบใจใครสักคน” เขาพูดจบก็ลุกขึ้นยืนและทำท่าบิดขี้เกียจสักพัก พอหันมามองสาวน้อยข้าง ๆ เธอยังยืนปาดน้ำตาไม่หยุด

เขาเอามือตบไหล่ขวาตัวเอง “มา มา เอียงศีรษะมาเอาให้สบายเลย พอดีไหล่ว่าง”

“ตาบ้า” เธอว่าเขา แต่ก็ทำตามที่เขาบอก

“รู้สึกหนัก ๆ ศีรษะเฉย ๆ ไม่ได้อยากพักพิงอะไรนานนักหรอก” เธอหัวเราะเขิน ๆ ออกมา

“ยังฟอร์มจัด”

“บางทีผมก็เคยสงสัยนะความรักมีอยู่จริงไหม แล้วเราต้องทำตัวยังไงให้สมหวังในความรัก บอกไม่ถูกเหมือนกัน การแสดงออก การเงียบไว้ไม่พูดอะไรออกมา บางครั้งคนเราก็ทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน หลาย ๆ ครั้งคนเรามักจะได้ยินว่าความรักเป็นเรื่องของคนสองคน แต่ความจริงไม่ใช่เลยสักนิด ถ้าเป็นเรื่องแค่คนสองคนทุกอย่างคงลงเอยด้วยดีและรวดเร็ว” เขายืนล้วงกระเป๋ากางเกงสองข้าง

ลมโชยพัดมาแรงขึ้นเหมือนกำลังจะพัดปลิวทุกอย่างไป ไม่นานฝนก็พรำสายลงมา

“ขึ้นรถผมก่อนแล้วกัน”

เธอรีบสาวเท้าวิ่งมาอีกฝั่งของประตูและนั่งถอนใจออกมา ผมเธอเปียกเล็กน้อย เขายื่นผ้าเช็ดหน้าให้กับเธอ

“ขอบคุณนะ แปลกจังเวลาเดือดร้อนใจทีไร มีคุณอยู่เคียงข้างทุกครั้งเลย” น้ำเสียงเธออู้อี้คล้ายดั่งคนเป็นไข้หวัด

“ยังไงผมก็เป็นคนแปลกหน้าสำหรับเธอเสมอ ไม่ต้องเกรงใจหรอก นึกว่าผมเป็นคนอื่นที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไปแล้วกันนะ” เขาหันมายิ้ม

รังไรหันมองหน้าเขา และนั่งเชยคางมองสายฝนที่พรำสายหนักขึ้น แถมด้วยฟ้าร้องครืน ๆ แทรกเป็นจังหวะตลอดเวลา

“หนาวหรือเปล่ารังไร” เขาพูดจาห่วงใยเธอ

“หนาวกายไม่เท่าไหร่ แต่หนาวใจนี่ซิ” รังไรพูดไปพร้อมหัวเราะเขินไปด้วย

“มุขน้ำเน่าสุด ๆ อย่าไปพูดให้ใครฟังเชียว” จุลหัวเราะออกมาได้ แม้ว่ารังไรไม่ได้พร้อมที่จะเล่าอะไรให้เขาฟัง แต่ก็พอจะสัมผัสได้ว่าตอนนี้เธอก็เริ่มผ่อนคลายมากขึ้น เพราะสังเกตจากแววตาที่ส่งมาในตอนนี้ มันดูหวานเยิ้มผิดปกติจนเขาเหมือนจะหลงใหลแววตาคู่นี้ซะแล้ว


“รังไรเตรียมของครบหรือยัง” แม่ของเธอหันมาถามเธอด้วยความห่วงใย มือไม้ช่วยจัดแจงข้าวของฝากให้ลูกชายที่ไร่ชาไว้มากมาย

“น่าจะเรียบร้อยแล้วนะคะแม่” รังไรหันมายิ้มอย่างมีความสุข ตลอดเจ็ดวันที่ผ่านมาสำหรับการดูแลร้านของลันนาทุกอย่างผ่านไปเป็นอย่างดี ก่อนส่งมอบร้านให้ลันนาจุลเจียดเวลามาตรวจความเรียบร้อยอยู่สองวัน ช่วงเวลาเย็นหลังตรวจร้านเป็นช่วงเวลาที่ทำให้เธอรู้สึกมีกำลังใจขึ้นมากมายกับเพื่อนใหม่คนนี้ พร้อมด้วยลันนาสาวรุ่นพี่ที่แม้นัยน์ตาเธอจะแสดงความเหงาออกมาตลอดเวลา แต่รอยยิ้มของเธอไม่เคยเหงาใจเลย โดยเฉพาะกับจุลดูเขาจะมีความสุขทุกครั้งที่ได้ใกล้ชิดกับลันนา จนบางครั้งรังไรยังรู้สึกแอบอิจฉาอยู่บ่อยครั้งในความใส่ใจของเขาที่มีให้เธอ

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นพร้อมกับเสียงรถยนต์มาจอดรอท่าอยู่หน้าบ้าน

“ใครกันมาแต่เช้าเชียว” แม่ชะเง้อคอมอง พ่อเลยลุกเดินไปเปิดประตูต้อนรับ

“สวัสดีครับ” เขายกมือไหว้นอบน้อม

“มาหาใคร”

“ผมจุลครับ ผมเป็นเพื่อนกับรังไร วันนี้เธอจะเดินทางผมเลยแวะมารับไปส่งสนามบินครับ” จุลพูดจานอบน้อม

“อ้าวนัดกันไว้เหรอ” พ่อทักเก้อ ๆ

“ครับ” เขายิ้ม

“เชิญ ๆ เข้าบ้าน รังไรไม่บอกสักคำว่าจุลจะไปส่ง แล้วมาแต่เช้ากินข้าวมาหรือยังล่ะ” ความสนิทสนมของพ่อทำให้เขาตั้งรับแทบไม่ทัน

“รังไร เพื่อนมาถึงแล้วจัดของเสร็จหรือยังแม่ลูก” พ่อตะโกนเข้าบ้านก่อนที่ตัวจะถึง

เธอกระเดียดของออกมาจากครัวพร้อมกับทำตาโตเมื่อเห็นชายแปลกหน้ามาเสนอหน้าอย่างที่เธอไม่ทันตั้งตัว

“สวัสดีครับ” จุลยกมือไหว้แม่ของเธอ

“คุณจุลมาได้ยังไง”

“ใครกันลูก” แม่รับไหว้แต่ก็ทำหน้าสงสัย เพราะปกติรังไรไม่เคยพาใครมาบ้านสักคน คนที่สมัยเด็กเข้านอกออกในบ้านนี้เห็นจะมีแต่ปวินท์เท่านั้น

“ผมมารับรังไรไปส่งสนามบินครับ” เขายิ้มแย้มแจ่มใส

รังไรรีบวางของและกึ่งลากกึ่งจูงเขาออกไปที่สนามหน้าบ้าน

“นี่จะบ้าหรือไงใครบอกให้มารับ” เธอยืนกอดอกและส่งเสียงกระซิบกระซาบ

“ก็อยากมา ไม่เห็นมีป้ายบอกตรงไหนเลยว่าห้ามผมมาหาคุณที่บ้านน่ะ” เขายังยิ้มเยาะ

“คุณนี่มันจริง ๆ เลย ถ้าอยากไปส่งก็ได้ แต่ไปถึงสนามบินอย่ามาทำเป็นซึมเศร้าคิดถึงใครบางคนแล้วกัน” เธอเดินฉับ ๆ เข้าบ้านโดยไม่รีรอ

เขาเดินตามเข้าบ้านอย่างว่าง่ายและนั่งรับประทานอาหารร่วมกับเธอ


เสียงประชาสัมพันธ์ประกาศสายการบินขึ้นรถและอื่น ๆ อึกทึกผสมกับผู้คนที่เดินขวักไขว่ เขาหิ้วสัมภาระไปส่งที่ส่วนตรวจสอบช่างน้ำหนักจากนั้นยังพอมีเวลาสนทนากันนิดหน่อยก่อนที่เธอจะบินล่วงหน้าไปก่อน

“นี่รังไรไปถึงแล้วโทรศัพท์มาหาผมด้วยนะ”

“จำเป็นด้วยเหรอที่ฉันต้องติดต่อกลับ” เธอยวนเขา

“ก็ในฐานะลูกน้อง ถ้ามีงานอะไรผมจะติดต่อกลับไปอีก ผมเสียดายฝีมือของคุณนะ ถ้าคุณจะไปอยู่ไร่ชาเพียงเพื่ออยากจะทำงานแค่ออกแบบผลิตภัณฑ์ในชุมชนเล็ก ๆ บนยอดดอยแบบนั้น” จุลยิ้ม

“สักระยะหนึ่งพอพักฟื้นหัวใจน่ะ ไปดีกว่าไม่งั้นจะตกเครื่อง”

“นี่รังไร ถ้าคุณเข้าไปด้านในคุณคงไม่ร้องไห้อีกใช่ไหม” จุลถามด้วยความห่วงใย ถึงความทรงจำเก่า ๆ ที่เขาและเธอก็รู้สึกไม่ต่างกันกับความเศร้าหมองที่ฝังใจกับสนามบิน

“จะพยายาม คุณด้วยแล้วกันนะจุล อย่าเศร้านะ แล้วพบกันที่ไร่นะคะ” เธอหันมาโบกมืออำลาเขา ทำไมตอนนี้หัวใจมันเต้นแปลก ๆ มันเนือย ๆ ขาแข้งไม่อยากจะขยับ ใบหน้าไม่ได้อยากหันมองไปทางอื่น นอกจากอยากจะหยุดยืนที่ตรงหน้าของนายจุลชายแปลกหน้าคนนี้เท่านั้น หรือว่า แม่มดอย่างเธอจะเริ่มหลงใหลได้ปลื้มกับความน่ารักของชายหนุ่มแปลกหน้าคนนี้ซะแล้ว



Create Date : 16 มิถุนายน 2555
Last Update : 16 มิถุนายน 2555 1:41:09 น. 2 comments
Counter : 1148 Pageviews.

 
รับทำ seo สวัสดีตอนสายๆวันเสาร์ครับ รับทำ seo


โดย: nooblue88 วันที่: 16 มิถุนายน 2555 เวลา:11:49:26 น.  

 
ค่ะ ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยม


โดย: นลิน IP: 124.121.250.76 วันที่: 17 มิถุนายน 2555 เวลา:10:20:04 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

nalinnovel
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




นลินโนเวล เป็นบล็อกที่รวบรวมผลงานเขียนทั้งเรื่องสั้น นวนิยาย โดยมีนามปากกาว่า
นลิน คือ รักหวาน - Sweet
ฟุ้งรัก คือ รักสดใส - Pastel
จุล คือ เรื่องสั้นและบทความ - A love aleart -Aom
อยากให้เพื่อน ๆ ทุกคนที่ได้เข้ามาอ่านผลงานของนลินแล้วรู้สึกว่ากำลังทำสปาอยู่เลยค่ะ เลยแยกผลงานไว้ให้เข้าใจและเลือกประเภทที่จะทำให้ทุกคนRelax ได้ตามอัธยาศัย
และสักวันหนึ่งหวังว่าเพื่อน ๆ คงจะได้พบกับผลงานของนลินตามแผงหนังสือนะคะ ฝากทุกคนเป็นกำลังใจให้นลินด้วยนะ ขอบคุณค่ะ

ตัวอักษรทุกตัวของบล็อกนลินโนเวล สงวนลิขสิทธิ์ตามพรบ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ห้ามมิให้ผู้ใดละเมิดโดยนำข้อความทั้งหมด หรือส่วนหนึ่ง ส่วนใดใน Blogไปเผยแพร่ โดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าของBlogเป็นลายลักษณ์อักษร หากฝ่าฝืนจะถูกดำเนินคดี ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้สูงสุด!!
Friends' blogs
[Add nalinnovel's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.