เรียนรู้อดีต เพื่อสอนปัจจุบัน ให้ใช้อนาคตอย่างเหมาะสม
 
 

เป้เดี่ยว...เที่ยวจอร์แดน6

ตอน...แช่Dead Sea ตรงรี่เข้า Amman

เกือบหกโมงเช้าวันรุ่งขึ้นผมลุกขึ้นมาเพื่อชมธรรมชาติก่อนตะวันขึ้น เมื่อออกสำรวจรอบเต็นท์ก็พบรอยเท้าสัตว์คล้ายเท้าแมวแต่ใหญ่กว่า ไม่แน่ใจว่าจิ้งจอกหรือไม่เพราะไม่เห็นตัว อากาศยามเช้าทิวทัศน์งดงาม แต่ลมแรงและหนาวเย็นมากหลังจากถ่ายรูปได้สักพักผมก็หนีมาซุกตัวใต้ผ้าห่มคลายหนาว จนนัตตี้มาตามว่าอาหารเช้าพร้อมแล้วผมจึงเปลี่ยนเสื้อผ้าและออกไปหม่ำมื้อเช้า ซึ่งเป็นขนมปังทาแยมพร้อมชาร้อนเช่นเคย เพื่อนฝรั่งทานเสร็จก่อนหน้าพวกเราและกลับไปเก็บของที่เต็นท์แล้ว หวานใจกับนัตตี้เห็นขนมปังเหลือจึงชวนกันนำขนมปังที่เหลือทาแยมเก็บไว้เป็นมื้อต่อไปด้วย เหลือไว้ก็เสียดาย เอาไปด้วยดีกว่า...พวกเธอว่า

หลังจากเก็บข้าวของเรียบร้อย ก็ร่ำลาพร้อมแลกเปลี่ยนเมล์กับเพื่อนชาวยุโรป เนื่องจากพวกเขาจะไปขี่อูฐต่อ ส่วนพวกเราก็ขึ้น 4WD เพื่อเดินทางกลับ เมื่อมาถึง rest house ผู้จัดการรีบสอบถามว่า เราจะไปที่ไหนต่อจะให้เขาติดต่อรถให้ไหม ผมจึงบอกว่าไป Dead Sea คิดเท่าไหร่ ผู้จัดการร่างใหญ่ว่า 100JD ผมจึงปฏิเสธและบอกว่า เคยคุยกับคนขับคนที่มาส่งเรา หากตามให้เขามารับ เขาคิดแค่ 90 JD ผมบอกแล้วสอบถามว่าพอจะทราบเบอร์คนขับนั้นไหม ผู้จัดการจึงหยิบมือถือมาโทรสักพักแล้วว่า หากเรารออีกนิดเดี๋ยวจะมีแท็กซี่ที่มาส่งนักท่องเที่ยวชุดใหม่ ถ้าไปกับเขาเขาคิด 80JD เอาไหมแต่ถ้าจะไปกับแท็กซี่เดิม เขาก็จะโทรให้ แน่นอนไม่ต้องบอกทุกคนคงทราบว่าผมไปกับคันใด (เริ่มรู้แทคติกในการขึ้นแท็กซี่แล้ว)

15 นาทีต่อมา แท็กซี่คันดังว่าก็นำลูกทัวร์ชุดใหม่มาส่ง หลังจากนั้นก็นำพวกเราเดินทางมุ่งเหนือเพื่อไป Dead Sea กัน โชเฟอร์คนนี้เป็นชายวัยกลางคน ขับรถสุภาพกว่าลุงโชเฟอร์ที่นำเราจากสนามบินไป Petra มาก เราคุยสัพเพเหระกันเล็กน้อยผมก็เผลอหลับไป มารู้ตัวอีกทีโชเฟอร์ก็สะกิดว่าใกล้ถึงแล้วหลังจาก เล่นน้ำที่ Dead Sea เราจะไปไหนต่อ ผมบอกว่าไปAmman เขาจึงถามว่าจะไปอย่างไร เพราะไม่มีรถจาก Dead Sea เข้า Amman โดยตรง ไปกับเขาไหม เขาคิด 40 JD ผมต่อเหลือ 30JD ได้ไหมแต่ช่วยรอจนอาทิตย์ตกดินด้วย เขาตัดสินใจพักใหญ่ก็ตอบตกลง เราจึงโชคดีมีรถนั่งไป Amman แถมโชเฟอร์คอยรอตามที่เราต้องการด้วย

ในที่สุดเราก็มาถึง Dead Sea โชเฟอร์พาเราไปยัง Amman Beach หาดสาธารณะที่ต้องเสียค่าเข้า ค่าเข้ารวมค่าอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าและสระว่ายน้ำจืดหากอยากว่าย คนละ 12 JD ซึ่งแพงกว่าที่เคยเช็คราคาถึงสามเท่า (ใน lonely บอกว่า คนละ 4JD) หนังสือเก่าแล้วราคาอาจขึ้นได้...ผมคิด มารู้ทีหลังว่ามี Public Beach อีกที่อยู่ติดกันซึ่งราคาถูกกว่า เพียงคนละ 7JD โธ่...ไม่น่าเลยพี่โชเฟอร์


คำแนะนำที่หน้าหาด Dead Sea


ทิวทัศน์ที่ชายหาด


โคลนซึ่งเชื่อว่าช่วยบำรุงผิวเป็นอย่างดี สนนราคาทาตัวด้านละ 4 JD

พวกเราแยกย้ายกันเปลี่ยนเสื้อผ้า เพื่อลงไปแช่ Dead Sea กัน Dead Sea เป็นจุดที่ต่ำที่สุดของผิวโลก ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ 400 เมตร มีความเค็มมากที่สุดจนสิ่งมีชีวิตไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ เนื่องจากความหนาแน่นของน้ำใน Dead Sea มากกว่าความหนาแน่นของร่างกาย ดังนั้นเราจึงสามารถลอยตัวอยู่บนผิวน้ำได้อย่างสบายโดยไม่ต้องว่าย สิ่งที่ต้องระวังคือ อย่าให้น้ำเข้าปากและตา เพราะคุณจะรู้สึกแสบเป็นอันมาก ผมเผลอเอามือลูบหน้าทีเดียว แสบตามากจนลืมตาไม่ขึ้น ต้องรีบขึ้นมาล้างหน้าด้วยน้ำจืดอย่างโดยด่วน


แค่นอนเฉยๆ ก็ลอยได้


เลียนแบบแม่ชีลอยน้ำ

เราเล่นน้ำกันไม่นานเพราะอากาศเย็น จากนั้นก็ขึ้นมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อรอเวลาอาทิตย์ตกดิน อากาศยามเย็นสดชื่น หลังจากถ่ายรูปจนจุใจแล้ว หวานใจและนัตตี้ก็ชวนกันไปช้อบปิ้งผลิตภัณฑ์จาก Dead Sea จำพวกโคลนและโลชั่นบำรุงผิวกันคนละหลายๆชิ้น เนื่องจากซื้อหนึ่งแถมหนึ่งและราคาก็ไม่ได้แพงนัก ส่วนผมได้แต่ถือตะกร้าเดินตามเช่นเคย (ซื้อเยอะอย่างนี้ แล้วจะมีกระเป๋าใส่กลับไหมนี่...ผมคิด)


ขึ้นมาแป๊บเดียวผลึกเกลือเต็มตัวเลยครับ


อาทิตย์อัสดงที่ Dead Sea

จากนั้นเราใช้เวลาราวหนึ่งชั่วโมงเข้าสู่กรุง Amman นครหลวง และไปยังย่าน Downtown เพื่อเข้าพักใน Mansour Hostel โรงแรมที่เราจะพักในช่วงอีกสามวันข้างหน้านี้ Amman ยามค่ำการจราจรหนาแน่นเหมือนทุกประเทศ แต่ดีหน่อยที่ ไม่บีบแตรกันมากเหมือนในหลายๆประเทศแถบนี้ เมื่อใกล้ถึงที่หมายพี่โชเฟอร์สอบถามเช่นเคยว่าพรุ่งนี้เราจะไปที่ใด พอผมบอกว่าจะไปทางเหนือเขาก็รีบบอกทันทีว่า สนใจไปกับเขาไหมราคาพิเศษเหมือนเคย ผมต่อลองราคาได้ถูกใจพร้อมกับรู้สึกชอบที่เขาขับรถนุ่ม เลยตอบตกลง (ตอนแรกเราตั้งใจจะนั่งรถประจำทางไป แต่เกรงว่าไปสามเมืองเวลาอาจไม่ทัน เพราะต้องนั่งรถหลายต่อและช่วงฤดูหนาวฟ้ามืดเร็วเกรงสถานที่ท่องเที่ยวจะปิดเสียก่อนถึง) พี่โชเฟอร์คุยโทรศัพท์มือถือสักพักพร้อมกับนำรถมาจอดหน้าโรงแรม ผู้ที่รอเราอยู่ด้านหน้าโรงแรมก็คือน้องชายของโชเฟอร์ผู้นี้ เขาแจ้งว่าพรุ่งนี้ เขาจะเป็นคนพาเราไปเที่ยวทางเหนือแทน (ที่แท้พี่โชเฟอร์เป็นนายหน้าให้น้องนี่เอง) เรานัดหมายเวลาเจอกันก่อนเข้าไปในโรงแรม

Mansour Hostel เป็นโรงแรมสองดาวในอาคารตึกสี่ชั้นย่าน Downtown เราเลือกพักที่นี่เพราะ เช็คจากเน็ตว่า ผู้จัดการที่นี่ขี้เล่นอารมณ์ดี ที่พักราคาไม่แพงแถมอยู่ใกล้สถานที่ท่องเที่ยวและย่านการค้าของ Amman จึงทุ่นค่าเดินทางได้บ้าง (คิดๆแล้ว trip นี้ ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่หมดไปกับค่าเดินทาง ว่าแล้วก็กลับมาคิดว่า ถ้าเช่ารถคงถูกกว่านี้...เฮ้อ)

พอเข้าไปแจ้งว่าจะพัก ทันทีที่พบผู้จัดการอารมณ์ดีวัยห้าสิบปี ก็ถูกยิงมุขแรกทันทีว่า เนื่องจากเราเมล์มาจองโดยไม่ผ่านเว็บตัวแทน จะลดราคาให้พิเศษ 50% (ว้าว...ดีจัง ผมคิด) จากราคาเดิมหนึ่งล้านเหลือเพียงห้าแสน JD (ฮ้วย!...) อ่ะ...ล้อเล่ง (ตึ่งโป๊ะ...เสียงกลองรับมุข) แล้วแกทำหน้าเข้มก่อนพูดว่า พักห้องสามคนคิดราคาให้ 20 JD ต่อวันรวมมื้อเช้าตกลงไหม หารแล้วสามร้อยสี่สิบบาทต่อวัน ผมจึงรีบบอกตกลง แกจึงพาไปดูห้องพัก ซึ่งก็สะอาดใช้ได้ กว้างขวางกว่าที่ Petra Gate มีห้องน้ำในตัวพร้อมน้ำอุ่น หน้าห้องพักเรามีตู้เย็นพร้อมติดป้ายว่าน้ำดื่มแจกฟรีด้วย (เออดีนะ) แต่พอเปิดตู้ดูปรากฏว่าเป็นตู้เปล่าหามีน้ำไม่ (คงเป็นมุขตาลุงผู้จัดการอีก)

เก็บข้าวของแล้วเราก็ลงมาที่ล็อบบี้เพื่อสอบถามสถานที่แลกเงิน เนื่องจากเงินที่แลกมาเริ่มร่อยหรอลงแล้ว ผู้จัดการขี้เล่นบอกว่า แถวนี้มีร้านแลกเงินเยอะแยะมองหาดูตามถนนด้านหน้าโรงแรมได้ และผมขอให้ช่วยแนะนำร้านอาหารรสอร่อยที่อยู่ไม่ไกล แกแนะนำให้สองร้านพร้อมเขียนแผนที่ให้ เราเลือกได้หนึ่งร้านแล้วจึงเดินไป แถวนี้มีที่รับแลกเงินเยอะจริงดังผู้จัดการว่า จากโรงแรมเดินไปร้านอาหารระยะทางไม่น่าเกินหนึ่งกิโล นับได้สิบร้านจากหกธนาคาร แถวนี้ร้านรวงมากมายคล้ายเยาวราชบ้านเรา มีของที่ระลึกวางขายหลายสิบร้าน (งานนี้นัตตี้และหวานใจ ได้ช้อปกันเพลินแน่...ผมคิด)

ร้านอาหารที่พวกเราจะหม่ำในวันนี้ ชื่อร้าน Cairo Restaurant เป็นร้านใหญ่ ลูกค้าเต็มร้านพนักงานเสิร์ฟ อารมณ์ดีเหมือนตาลุงผู้จัดการ (คงอยู่ตลกคณะเดียวกัน...ผมคิด) อาหารอร่อยรสชาติใช้ได้ เพราะได้น้ำพริกนรกช่วยเสริมเช่นเคย ขอเตือนอีกครั้งกับอาหารแถบตะวันออกกลางว่า แต่ละอย่างจานใหญ่มาก จะสั่งอะไรแค่ไหนโปรดพิจารณาขนาดกระเพาะของคุณให้ดีนะครับ


ทิวทัศน์หน้าร้าน (ถ่ายวันรุ่งขึ้น)


บริกรที่ร้าน Cairo ที่น่าจะอยู่คณะเดียวกันกับ ตาผจก. Maison


มื้อนี้พุงกางอีกแล้ว

หลังจากทานจนอิ่มแปล้ เดินช้อปต่อไม่ไหว พวกเราจึงกลับมาสลบไสลที่โรงแรม ออมแรงไว้ลุยต่อในวันพรุ่ง ยามรุ่งจะเป็นเยี่ยงไร โปรดอดใจไว้ตอนหน้านะครับ


เตียงที่เผลอนอน (ยับเล็กน้อย)ก่อนจะตัดใจลุกมาถ่ายโชว์สภาพในห้อง


และสุขา(ก่อนใช้บริการ หุหุ)




 

Create Date : 22 กุมภาพันธ์ 2552   
Last Update : 23 กุมภาพันธ์ 2552 10:32:51 น.   
Counter : 1166 Pageviews.  


เป้เดี่ยว...เที่ยวจอร์แดน5

ตอน...ลองใช้ชีวิต เบดูอินสักวัน

เช้าวันรุ่งขึ้น พวกเราเก็บของเตรียมตัวเช็คเอาท์ จากนั้นจึงสอบถามหารถเมล์ที่จะไปยัง Wadi Rum ที่หมายต่อไป สาวชาวฟิลิปปินส์ เจ้าหน้าที่โรงแรม แจ้งว่าตอนนี้ไม่มี มินิบัสไป Wadi Rum หรอก เนื่องจากเป็นช่วง low season (อ้าว...ไหงงั้นล่ะ เพราะเท่าที่เคยเช็คมา มีรถออกจากที่นี่ ไปยัง Wadi Rum ทุกหนึ่งชั่วโมง สงสัยคนจะน้อยไม่คุ้มจึงหยุดให้บริการกระมัง...ผมคิด)

เราจึงสอบถามว่า ถ้าอย่างนั้นจะมีวิธีการเดินทางไปได้อย่างไร เจ้าหน้าที่คนดีรีบโทรสอบถามมารดาเธอ ซึ่งทำงานเป็น Host แถวนั้นให้ได้ความว่า มีสองวิธี วิธีแรกไปรอรถเมล์สาย Amman-Aqaba (สายใต้) ซึ่งมาผ่านด้านหน้าของ Wadi Musa แล้วแวะลงกลางทาง แต่ต้องหาทางเข้าหมู่บ้านเอง เพราะไม่มีรถประจำทางเข้า Wadi Rum โดยตรง อาจต้องเดินระยะทางหลายกิโลเมตร หรืออีกวิธีคือไปโดยแท็กซี่ ผมจึงสอบถามว่าราคาต่างกันมากไหม คุณแม่เจ้าหน้าที่ว่า ไปรถเมล์ คนละ 5 JD และหากมีรถแท็กซี่ผ่านแถวทางเข้าหมู่บ้าน ซึ่งไม่แน่ว่าจะมีไหม ราคาราว 2-3 JD ต่อคน ส่วนแท็กซี่น่าจะราว 10JD ต่อคน

พวกเราจึงตัดสินใจไปโดยแท็กซี่ (คิดแล้วอยากเช่ารถตั้งแต่วันแรกจัง...ผมคิด) เจ้าหน้าที่ผู้ใจดีจึงช่วยเรียกแท็กซี่พร้อมช่วยต่อราคาให้ จากนั้นเราก็มุ่งหน้าลงใต้เดินทางไป Wadi Rum ต่อไป

นั่งในแท็กซี่ราวหนึ่งชั่วโมงพวกเราก็มาถึง Wadi Rum Wadi แปลว่าหุบเขา ซึ่งพบคำนี้ในหลายๆสถานที่ท่องเที่ยวดังผมที่เคยบอกไว้ในบทความก่อนๆ ส่วน Rum น่าจะเป็นชื่อหุบเขาแห่งนี้ Wadi Rum เป็นหมู่บ้านเบดูอินที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้ อยู่กลางทะเลทรายทางตอนใต้ของประเทศ มีทัศนีย์ภาพทางธรรมชาติที่สวยงามน่าตื่นตาตื่นใจหลายแห่ง

เนื่องจาก เป็นพื้นที่อนุรักษ์ครอบคลุมอาณาเขต 720 ตารางกิโลเมตรกลางทะเลทราย มีการดูแลเป็นพิเศษจึงต้องเก็บค่าเข้า 2JD ต่อคน เขาอ้างว่าเพื่อใช้สำหรับดูแลรักษาความสะอาด (ก็งั้นๆแหละ...ผมว่า) และดูแลด้านความปลอดภัย (เห็นในเน็ตว่ามีจะตำรวจใส่ชุดเบดูอินขี่อูฐคอยตรวจตราเป็นระยะๆ ผมจึงพยายามมองหา แต่ไม่ยักเห็นเลยสักคน)

Wadi Rum เคยเป็นศูนย์บัญชาการของ Prince Feisal bin Hussein ที่ทำงานร่วมกับ TE Lawrence หรือ Lawrence of Arabia ชาวอังกฤษ ในการปลดแอกชาวอาหรับจากการปกครองของอาณาจักร Ottoman (หรือตุรกีในอดีต) ในสมัยสงครามโลกครั้งที่1 จึงมีสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งเกี่ยวข้องกับท่านผู้นี้ แล้วผมจะค่อยๆเล่าเรื่องราวเมื่อถึงสถานที่ดังกล่าว (หมายเหตุ รายละเอียดลองหาชมจากภาพยนตร์ฮอลลิวูดที่ชื่อ The Lawrence of Arabia เรื่องนี้สนุกดีครับ)

เมื่อมาถึง Visitors center มีเจ้าหน้าที่คนหนึ่งของ Sunset camp หนึ่งในหลายแคมป์ ที่มีที่พักแบบเบดูอิน เข้ามาคุยกับผมว่า ทางเจ้าหน้าที่โรงแรม Petra gate ได้โทรมาฝากฝังไว้ (คงได้ค่าคอมฯ) หากสนใจจะพักและไป 4WDทัวร์กับบริษัทเขาก็ให้ตามเขาไป จะคิดราคาพิเศษให้ นัตตี้รีบคว้าคู่มือมาแอบเปิดทันทีว่า Sunset camp อยู่ในพื้นที่ทะเลทรายหรือไม่ เพราะบางแคมป์จะอยู่นอกพื้นที่ ไหนๆอยากลองสัมผัสชีวิต เบดูอินแล้ว ขออยู่กลางทะเลทรายดีกว่า เมื่อทราบว่าแคมป์ดังกล่าวอยู่ในพื้นที่แถมวิวดีด้วย พวกเราจึงตามไปอย่างว่าง่าย

ณ ที่ทำการบริษัทใน rest house ซึ่งเป็นหมู่บ้านเบดูอิน ผู้จัดการร่างใหญ่แนะนำ package ต่างๆของ 4WD trip ซึ่งต่างกันที่จำนวนสถานที่ท่องเที่ยวกลางทะเลทราย แต่ท้ายสุดก็มาพักที่ แคมป์เบดูอินยามเย็น พร้อมทั้งอาหารเย็นและอาหารเช้า ก่อนจะกลับมาส่งที่ rest house แห่งนี้ในเช้าวันรุ่งขึ้น หรือถ้าใครสนใจจะขี่อูฐกลับก็มีบริการพิเศษให้ (แต่ต้องจ่ายเพิ่มอีก 8 JDและใช้เวลาเดินทางราว 3 ชั่วโมง) ในบริษัทมีพวกผมสามคน และนักท่องเที่ยวหนุ่มสาวชาวนอร์เว และฮอลแลนด์อย่างละคู่ รวมเป็นเจ็ดคนจึงสุมหัวรวมกันเลือก package แบบเที่ยวเยอะสุดไปด้วยกัน ซึ่งถ้ารวมกันแล้วจะได้ราคาลดพิเศษ จากเดิมหัวละ 40 JD เหลือ 35JD แต่พวกเขาเลือกที่จะขี่อูฐกลับ ในขณะที่พวกผมไม่อยากเสียเวลาอีกครึ่งวันในไปกับการขี่อูฐ จึงขอกลับกับรถ 4WD (จริงๆไม่อยากจ่ายเพิ่มด้วย...งก)

เมื่อตกลงกันเสร็จ ก่อนออกเดินทางพวกเราก็แวะหาซื้อของกินเล่นและน้ำที่ร้านขายของชำข้างๆบริษัท เพราะทางทัวร์วันนี้ไม่รวมอาหารมื้อกลางวัน จากนั้น Land cruiser สภาพเก่าที่ใช้งานมาอย่างโชกโชน ก็นำเรามุ่งตรงเข้าสู่ทะเลทรายทันที


มุ่งสู่ทะเลทราย

ที่หมายแรกของเราคือ Nabataean Temple เป็นซากวัดโบราณสถาน อายุกว่า 2,000 ปี เดิมบริเวณนี้เป็นที่อยู่ของชาว Nabataneans ซึ่งเป็นทางผ่านของขบวนคาราวานเช่นกัน ก่อนจะอพยพไปสร้างอาณาจักร Petra ที่ผมพาไปชมเมื่อคราวก่อน


Nabataean temple


สองพันกว่าปีเหลือเพียงแค่นี้

จากนั้น 4WD ก็นำเราไปชม Hot spring โดยน้ำผุดที่ว่าอยู่บนยอดเขา ต้องปีนป่ายสูงขึ้นไปกว่า 100 เมตร อากาศร้อนระอุเพราะเป็นเวลาใกล้เที่ยง แถมอยู่กลางทะเลทรายและต้องปีนเขา ทำให้ผมต้องใช้มุขเดิม คือทำเป็นยืนถ่ายรูปชมวิวเบื้องล่าง ปล่อยให้สี่หนุ่มสาวชาวยุโรปที่ไม่กลัวแดดแซงนำขึ้นไป จากนั้นจึงค่อยๆเดินไปถ่ายรูปไปจนถึง เมื่อไปถึงอากาศเย็นชุ่มชื้นคลายความร้อนลงได้บ้าง มองไปเห็นฝรั่งยืนบ่นหน้าบล็อกหินลักษณะคล้ายห้องที่มีหน้าต่าง เมื่อเข้าไปดูจึงเห็นว่ามีน้ำไหลอยู่ภายในและมีการต่อท่อลงไปใช้ใน rest house ด้านล่าง (ให้ลำบากปีนขึ้นมาดูน้ำผุดแค่นี้เองรึ...ผมคิด) สมแล้วที่โดนฝรั่งบ่น เราพักหายเหนื่อยแล้วก็ปีนกลับลงเขาไปด้านล่าง


ต้องปีนเขานี้ขึ้นไป


กลุ่มเพื่อนฝรั่งดูน้ำอยู่ในช่องอิฐ


ช่องอิฐที่มีน้ำ


ภายในมีน้ำแค่นี้เอง

สถานที่ต่อไป คือ Lawrence’s spring เป็นน้ำผุดจากยอดเขาเช่นเดิมที่ Lawrence เคยใช้ มีการต่อท่อนำน้ำลงมาเก็บที่แท็งก์ด้านล่าง เรามีประสบการณ์ปีนเขาไปดูน้ำผุดแล้ว จึงแค่ยืนถ่ายภาพแท็งก์น้ำด้านล่างขี้เกียจปีนเขาขึ้นไป เหลียวมองไปฝรั่งก็เช่นกันไม่เห็นใครคิดจะปีนขึ้นไป หนุ่มโชเฟอร์เบดูอินจึงพาพวกเราไปชมสถานที่ต่อไป


แท็งค์น้ำด้านล่าง


สนใจจะปีนไหม แค่บนนั้นเอง

โชเฟอร์หนุ่มเห็นพวกเราท่าทางอ่อนเพลีย จึงพาแวะดื่มชาแก้กระหายที่แคมป์เบดูอินระหว่างทาง ชาที่นี่หอมเหมือนผสมสมุนไพร จนนัตตี้นักช้อบประจำทีมสนใจอยากได้ พลางฟังดนตรีพื้นเมืองที่มีลักษณะคล้ายกีตาร์จากหนุ่มเบดูอินอีกคนขับกล่อมสร้างความเพลิดเพลินให้


พักดื่มชาประเดี๋ยว

เมื่อพักหายเหนื่อย โชเฟอร์หนุ่มก็พาเราไปชมภาพสลักรูปคนและสัตว์ที่หน้าผา ไม่ทราบว่าสลักขึ้นในยุคใด มองมามองไปคล้ายที่ผาแต้มบ้านเรา แต่สัตว์เป็นอูฐเสียส่วนมาก


ผาแต้มแห่งจอร์แดน

ผมมองดูตามทางผ่าน เห็นเขานำหินมากองเรียงกันเป็นเจดีย์เล็กๆ คล้ายที่ธิเบต จึงลองสอบถามดู ได้ความว่า ที่เรียงไว้ไม่ได้มีความหมายอะไรเป็นพิเศษ เพียงล้อมต้นไม้เพื่อเป็นเครื่องหมายไม่ให้รถขับไปทับเท่านั้นเอง แต่ก็อนุรักษ์ดี


กองหินรายล้อมต้นอ่อน

สถานที่ถัดไปคือ Lawrence’s house ลักษณะเป็นบล็อกหินที่เรียงอยู่ข้างผา เป็นที่พักของ Lawrence สมัยใช้บริเวณนี้เป็นศูนย์บัญชาการต่อต้าน Ottoman ปัจจุบันเหลือเพียงซากหิน


Lawrence's house

ถัดไปเป็นสัญลักษณ์อีกแห่งหนึ่งของ Wadi Rum คือ the rock bridge ซึ่งเป็นสะพานหินธรรมชาติขนาดใหญ่ สูงจากพื้นดินกว่า 80 เมตร ต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการปีนขึ้นไปถ่ายภาพ (หากไม่ปีนขึ้นไป เหมือนมาไม่ถึง Wadi Rum) งานนี้หวานใจถนัด ปีนแป๊ปเดียวขึ้นไปถึงสะพาน โพสท่าให้ผมถ่ายรูป ส่วนสาวๆที่เหลือเกือบถอดใจไม่ปีน เพราะหินค่อนข้างชันและลื่น แต่เมื่อได้แรงเชียร์หนักเข้าสุดท้ายทุกคน ก็สามารถขึ้นไปยืนแอ็คท่าถ่ายรูปกลางสะพานได้อย่างภาคภูมิ


นัตตี้เทียบขนาดกับสะพานหิน

สถานที่ต่อไปคือ Red sand dunes เป็นเนินทะเลทรายสีชมพูแดง ซึ่งสวยงามและโรแมนติกเหมาะกับคู่รักและผู้ที่ชื่นชอบความหวานแหววมาก มองไปทางไหนเห็นแต่ทรายและหุบเขาสีชมพู


Red sand dunes


หวานใจแอบเดินไปถ่ายมิวสิกเสียไกล


หวานไหมครับ

สถานที่สุดท้ายก่อนไป Sunset camp คือ หินขนาดใหญ่รูปช้าง ที่ผมไม่ว่าจะมองยังไงก็เหมือนหมูมากกว่า งานนี้ผมเล่นมุขกับเพื่อนฝรั่งว่า คนไทยเชื่อกันว่าหากลอดท้องช้างจะโชคดี ดังนั้นทุกคนรวมทั้งนัตตี้และหวานใจต่างพร้อมใจกันลอดใต้หินนี้เพื่อถ่ายรูปกันยกใหญ่ เพื่อหวังจะโชคดี


ลอดท้องช้าง (เหมือนหมูมากกว่า) แล้วจะโชคดี

ท้ายสุดเราก็มาถึง Sunset camp กัน อากาศเริ่มเย็นเพราะได้เวลาอาทิตย์อัสดง ที่ทะเลทรายนี่อาทิตย์ตกเร็วมาก 5 โมงกว่าก็ตกแล้ว ผมหันไปหาขาตั้งกล้องประเดี๋ยวเดียว อาทิตย์ก็ลับฟ้าเสียแล้ว ถ่ายภาพไม่ทันน่าเสียดายมาก


Sunset camp


ตะวันลับฟ้าเสียแล้ว

หลังจากนั้นพวกเราจึงจับคู่ถ่ายภาพเล่นฆ่าเวลาจนฟ้ามืดแล้วจึงมาเม้าต์เล่นพร้อมทั้งจิบชาแก้หนาวในเต็นท์เบดูอิน เพราะหลังตะวันลับฟ้าอุณหภูมิลดต่ำเร็วมาก ราว 19.30 น. พ่อครัวชาวซูดานก็เชื้อเชิญพวกเราไปทานอาหารพื้นเมืองที่เป็นข้าวและกับสามอย่างลักษณะแบบบุฟเฟต์ มื้อนี้อร่อยมากเพราะได้น้ำพริกนรกและซ๊อสสุขุมรสเผ็ดที่ผมเตรียมมาด้วย เพื่อนฝรั่งหลายคนสนใจ แต่เมื่อชิมได้หน่อยก็หน้าแดงเพราะความเผ็ดกันเป็นแถว หลังจากทานอิ่มกันแล้ว ก็แยกย้ายกันกลับไปพักผ่อนเต็นต์ใครเต็นต์มัน ฝันดีกันทุกคน


ภายในเต็นท์ โปรดสังเกตผ้านวมที่หนาและเยอะมาก


มื้อค่ำหน้ากองไฟ


บุฟเฟต์เบดูอิน กินกับน้ำพริกนรก อร่อยจนต้องเบิ้ล




 

Create Date : 20 กุมภาพันธ์ 2552   
Last Update : 20 กุมภาพันธ์ 2552 19:54:16 น.   
Counter : 2163 Pageviews.  


เป้เดี่ยว...เที่ยวจอร์แดน4

ตอน...นครศิลาสีชมพู

เมื่อพวกเรามาถึง visitors center ผมก็ตรงเข้าไปซื้อตั๋วเข้าPetra ทันที ตั๋วมีสามราคาขึ้นกับระยะเวลาการเข้าชม คือ 21JD สำหรับหนึ่งวัน 26JD สำหรับสองวัน และ 31JD สำหรับผู้ต้องการชมตั้งแต่สามวันขึ้นไป (อะไรจะซาบซึ้งขนาดนั้น) สำหรับผมวันเดียวก็เกินพอ เพราะตั้งใจใช้เวลาทั้งวันของวันนี้ใน Petra อยู่แล้ว


Visitors center

เมื่อแจกตั๋วให้เพื่อนๆเรียบร้อยเราก็มุ่งหน้าตรงเข้า Petra กัน ข้างทางมีม้า และรถม้าบริการนักท่องเที่ยวด้วย แต่ผมเคยอ่านในเว็บว่า คนขับขับหวาดเสียวไม่นุ่มนวล ประกอบกับทางเข้ายาวเพียงสองกิโลเมตร เดินสบายอยู่แล้วจึงไม่คิดจะนั่ง แต่เท่าที่สังเกตรถม้าที่ขับผ่านไปเป็นระยะๆ คนขับเขาก็ขับใช้ได้นะ ค่อยๆให้ม้าวิ่งเยาะๆชมวิวไปเรื่อยๆ ดังนั้นใครอยากลองนั่งเปรียบเทียบกับรถม้าลำปางบ้านเราก็ตามอัธยาศัยครับ


ทิวทัศน์ทางเดินเข้าสู่ Petra

เดินเข้ามานิด ก็จะเห็นศูนย์ดูแลม้าภายใต้การอุปถัมภ์ของ Princess Alia (อดีตราชินีในกษัตริย์ฮุสเซน) คล้ายๆรพ.ช้างบ้านเรา อากาศยามสายเย็นสบายแม้ว่าแดดจะแรง แต่ไม่รู้สึกถึงความร้อนที่เกิดขึ้นเลย ทิวทัศน์มองไปคล้ายด้านหน้าของหุบเขากษัตริย์ในอียิปต์เหมือนกัน เห็น Tomb ขนาดเล็กๆ ที่เคยใช้เป็นที่เก็บศพชาว Nabataeneans เป็นระยะๆ


ศูนย์ดูแลม้า


Tomb ด้านหน้าทางเข้า

ชาว Nabataeneans เจ้าของ Petra ให้ความสำคัญกับชีวิตหลังความตายคล้ายๆกับชาวอียิปต์โบราณ จึงพยายามสลักหน้าผาใช้เป็นที่ฝังศพอย่างสวยงาม และหากเป็นครอบครัวเดียวกัน ก็จะเจาะผนังให้เชื่อมถึงกัน (จะได้ไปมาหาสู่กันได้มั๊ง) และหากเป็นราชวงศ์ Tomb ก็จะยิ่งได้รับการสลักเสลางดงามยิ่งขึ้น ส่วนบ้านเรือนที่ใช้ในโลกปัจจุบันว่ากันว่าสร้างกันง่ายๆ คล้ายชาวเบดูอิน ซึ่งปัจจุบันไม่หลงเหลือให้เห็นแล้ว ดังนั้นคาดเดาได้เลยว่าสถานที่เข้าชม Petra ส่วนใหญ่คงหนีไม่พ้นชม Tomb ต่างๆแน่


Tomb เล็กๆเห็นอยู่ไกลๆ

ในที่สุดเราก็มาถึงทางเข้าของ Petra มีคุณลุงสองคนแต่งชุดนักรบ Nabataeans ยืนต้อนรับหน้าทางเข้า Siqพร้อมชักชวนให้ถ่ายรูปคู่ด้วย (แต่ต้องเสียสตางค์) ผมจึงได้แต่แอบถ่ายแกแทน


ลุงใส่ชุดทหารยาม Nabataeans

ชนเผ่า Nabataeneans เดิมเป็นชนเผ่าเร่ร่อน อพยพมาจากดินแดนแถบตะวันตกของอารเบีย มาตั้งรกรากที่นี่เมื่อกว่า 2200 ปีมาแล้ว เนื่องจากบริเวณนี้เป็นศูนย์กลางการค้าขายแลกเปลี่ยนแบบคาราวานจาก ดามัสคัส อียิปต์และเมืองอื่นๆในแหลม Sinai ทางใต้ กับ อัสซีเรีย เปอร์เซีย และกรีกที่กำลังเติบโตขึ้นทางเหนือ การที่หัวหน้าเผ่านำผู้คนมาสร้างบ้านแปงเมือง สร้างเป็นอาณาจักร ณ ที่นี้เพื่อควบคุมการค้าขาย จึงเป็นความคิดที่ชาญฉลาดมาก

นอกจากความงดงามตามธรรมชาติแล้วแล้ว Petra ยังเป็นพื้นที่ที่เป็นจุดยุทธศาสตร์อันดีเยี่ยม กล่าวคือพื้นที่เป็นหุบเขาที่ถูกโอบล้อมด้วยผาสูง มีทางเข้าออกเพียงทางเดียวที่เรียกว่า Siq เป็นโตรกแคบ ที่มีระยะทางยาวประมาณสองกิโลเมตร จึงยากต่อการบุก แต่ง่ายต่อการตั้งรับ เพียงวางกำลังทหารหลักร้อยใน Siq ก็สามารถยันกองทัพนับแสนได้อย่างสบายๆ (ลองนึกถึงภาพยนตร์เรื่อง 300 ดูนะครับ)


ความใหญ่โตของ Siq

ชาว Nabataeneans มีความรู้ด้านระบบชลประทานเป็นอย่างดี เพราะที่ด้านหน้าของทางเข้า Siq ได้ทำเขื่อนกั้นน้ำรวมทั้งคูน้ำเพื่อเก็บกักและระบายน้ำป้องกันน้ำท่วมอีกด้วย และตลอดทางเดินในช่องทางของ Siq จะพบทางระบายน้ำเพื่อนำน้ำจากภายนอกเข้าไปใช้ใน Petra ถือได้ว่าเป็นระบบประปาแบบแรกๆของโลกก็ว่าได้ (เก่ากว่าของโรมันชัวร์)


ระบบประปาใน Siq

ตลอดเส้นทาง Siq อากาศเย็นสบาย มีภาพแกะสลักเทพเจ้าและภาพอื่นๆของชาว Nabataeneans สลับกับหินที่สลักเสลาโดยธรรมชาติให้ชมเป็นระยะๆ

เมื่อสิ้นสุดเส้นทางของ Siq ภาพแรกที่สร้างความตะลึงงันให้กับผมและคณะก็คือ the Treasury หรือคลังสมบัติ เพราะนักโบราณคดีเชื่อว่าน่าจะเป็นที่เก็บสมบัติของพระราชาจึงได้ชื่อนี้ ส่วนอีกความเห็นเชื่อว่าน่าจะใช้เป็นวัดมากกว่า สร้างราว 100 ปีก่อนคริสตกาล เป็นสถาปัตยกรรมสลักลงไปในหน้าผาสีชมพูกุหลาบ สูงกว่า 43 เมตร


เกือบถึงแล้ว


ถึงแล้ว the Treasury


ภายใน the Treasury

เราถ่ายภาพทั้งด้านนอกและด้านในจนหนำใจ จากนั้นก็เดินตามทางไปยังอาคารถัดไปที่มีความใหญ่โตไม่แพ้กัน แต่อาจจะงดงามน้อยกว่า เป็น Tomb ที่มีไว้เก็บเครื่องมือและอุปกรณ์การเกษตร ถัดจากนั้นเราก็เดินตามถนนที่เรียกว่า Street of Faceds ซึ่งมีร้านขายของที่ระลึกและเครื่องดื่มโดยชาวเบดูอินหลายร้าน

อาคารถัดมาคือ โรงละคร หรือ the Theater สร้างโดยชาวโรมันในภายหลัง มีอำนาจเข้าปกครอง Petra และดินแดนแถบนี้โดยรอบ มีความจุประมาณ 4,000 ที่นั่ง


the Theater

ใกล้เที่ยงอากาศเริ่มร้อนมากขึ้นๆ จนเหงื่อท่วมหลัง ทุกคนจึงทยอยถอดแจ็คเก็ตที่ใส่กันหนาวตั้งแต่เมื่อเช้าทีละคน สถานที่ต่อมาที่เราเข้าชมคือ Urn Tomb โดยต้องปีนลัดเลาะขึ้นไปตามสันเขาที่ค่อนข้างสูงชัน Urn Tomb เป็น Royal Tomb ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด สูงสามชั้นโดยชั้นบนสุด มีห้องขนาดใหญ่ เชื่อว่าเป็นที่เก็บพระศพพระราชามีขนาดถึง 17*18.9 ตารางเมตร ส่วนห้องอื่นๆก็เป็นที่เก็บพระศพพระราชาและเชื้อพระวงศ์องค์อื่นๆ ปัจจุบันไม่มีศพเหล่านี้เหลืออยู่แล้ว


Urn tomb


ภายในห้องโถง

ที่น่าประหลาดใจก็คือ เราปีนขึ้นมาถึงห้องโถงชั้นสามซึ่งสูงกว่าพื้นกว่ายี่สิบเมตร กับพบร้านขายของที่ระลึกที่ลานด้านหน้าห้องโถงแห่งนี้ พ่อค้าชาวเบดูอินคนนี้เขามีความพยายามสูงเหลือเกินที่อุตส่าห์ปีนขึ้นมาขายถึงบนนี้ จะมีลูกค้าบ้างไหม...ผมคิด เราแวะดูสินค้าสักพักเพื่อให้หายเหนื่อย จากนั้นก็เข้าไปชมความงามของหินที่สลับสีเลื่อมพรายตามธรรมชาติภายในห้องโถง เมื่อเห็นว่าไม่มีนักท่องเที่ยวคนอื่นๆปีนขึ้นมา ประกอบกับกระเพาะอาหารเริ่มครวญครางประสานเสียง เพราะเป็นเวลาเที่ยงกว่าแล้วและบริเวณนี้ก็แดดร่มลมพัดเย็นสบาย เราจึงตัดสินใจนั่งพักพร้อมกับควักเบอร์เกอร์ชิ้นใหญ่ที่ซื้อเตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อเช้า มาโซ้ยกันที่ลานด้านหน้า Tomb พลางชมทิวทัศน์จากมุมสูงอย่างเอร็ดอร่อยทั้งทางปากและทางตาพร้อมกันไป จากนั้นสองสาวก็โฉบเข้าไปดูสินค้าที่ระลึกของพ่อค้าเบดูอินดังกล่าวพร้อมกับต่อราคาและเลือกซื้อกันอย่างสนุก ตั้งร้านบนนี้คงจะขายได้จริง อย่างน้อยก็มีสองสาวชาวไทยนี่แหละที่เป็นลูกค้า...ผมยืนดูพลางอมยิ้มในใจ

เราเดินลงมาจาก Tomb กลับมายังถนนอีกครั้งเปลี่ยนใจไม่อยากปีนขึ้นไปดู Tomb อื่นๆแล้ว จึงเดินตามถนนเรื่อยไป จนถึงสถานที่ต่อไปคือ Colonnaded street เป็นถนนที่ประกอบด้วยเสาโรมันเรียงรายอยู่ข้างทาง เดิมเป็นตลาดมีอาคารเรียงรายอยู่ ปัจจุบันเหลือเพียงแผงขายของของชาวเบดูอิน เหนือถนนนี้ขึ้นไปเป็นวิหารโรมัน ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการบูรณะ


Colonnaded street

สถานที่แห่งสุดท้ายที่มิอาจพลาดได้หากมาชม Petra เพราะเป็น the 2nd most famed attraction คือ the Monastery เป็นวัดที่สร้างโดย Nabataeneans และมีการต่อเติมเพื่อใช้เป็นโบสถ์ในสมัย ไบเซนไทน์ ซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขาสูง การเดินทางขึ้นไปชม the Monastery มีสองวิธีคือ หนึ่งเดินขึ้นบันไดหินสลักลัดเลาะตามขอบผากว่า 800 ขั้น ซึ่งใช้เวลาประมาณ45 นาทีจนถึงหนึ่งชั่วโมง ตามสมรรถนะของร่างกาย หรือสองคือขึ้นลาไป ซึ่งใช้เวลาน้อยกว่าไม่น่าเกินสามสิบนาทีก็ถึง

ผมเห็นคุณลุงชาวยุโรปวัยราว70 ถือไม้เท้าเดินขึ้นบันไดไป ก็เกิดมานะชายเดินตามขึ้นไปมั่ง แต่ดีแล้วที่ตัดสินใจเช่นนั้นเพราะเห็นหนุ่มสาวญี่ปุ่นสามคนขี่ลาแซงผมและคณะขึ้นไปได้หน่อย ก็ได้ยินเสียงเสียงกรี๊ดกร๊าดดังขึ้น พอเหลียวไปปรากฏว่าเจ้าลาเกิดดื้อไม่ยอมเดินไปตามทาง แต่กลับเดินออกนอกเส้นทางเข้าไปเล็มหญ้าใกล้หน้าผา เจ้าของลาต้องมาดึงกระชากให้กลับ แต่เจ้าลาน้อยก็ยังดื้อด้านอยู่พักใหญ่กว่าจะยอมกลับเข้าเส้นทาง ผมมองดูแล้วหวาดเสียวแทน เพราะเกรงว่าหากเจ้าลาเกิดรำคาญสะบัดผู้โดยสารลงจากหลัง ชาวญี่ปุ่นกลุ่มนั้น อาจได้ไปนอนเล่นในเหวด้านล่างซึ่งมีความลึกเป็นร้อยเมตรได้ง่ายๆ


ทางขึ้นเมื่อมองลงไป

ผมและคณะเดินขึ้นอย่างไม่รีบร้อนใช้เวลาราวหนึ่งชั่วโมง เมื่อเหนื่อยเริ่มหอบก็ทำฟอร์มหยุดเรียกหวานใจให้ยืนโพสท่าถ่ายรูปเป็นระยะๆ ปล่อยให้ฝรั่งหนุ่มสาวบ้าพลังเดินกึ่งวิ่งแซงขึ้นไปนั่งหอบที่หน้า Monastery หลายคน (สมน้ำหน้าบ้าพลังดีนัก...หุหุ)


the Monastery งามคุ้มกับการปีนขึ้นมาชมไหมครับ

หลังจากถ่ายรูปจนจุใจและพักหายเหนื่อยแล้ว เราก็ค่อยๆเดินลงตามทางเดินพลางชมวิวทิวทัศน์ Petra จากมุมสูงในเวลาเย็น จากนั้นก็ค่อยๆเดินย้อนกลับออกมาด้านนอกของ Petra อย่างช้าๆไม่รีบร้อน

เราออกจากเพตราราว 16.30 น. สิ่งแรกที่สองสาวทำคือเดินเข้าไปดูสินค้าที่ระลึกที่ร้านค้าฝั่งตรงข้าม Visitors center งานนี้ได้เห็นความสามารถพิเศษของนัตตี้ ที่โชว์การออดอ้อนต่อราคาจากพ่อค้า จนได้ของราคาถูกทั้งแจกทั้งแถมมาหลายชิ้น สงสัยหน้าหมวยแบบนัตตี้จะพิมพ์นิยมของหนุ่มจอร์แดเนียน เพราะในการช้อบปิ้งวันต่อๆมา หล่อนมักจะได้สินค้าในราคาที่ถูกกว่าคนอื่นๆเสมอ

จากนั้นก็เรียกแท็กซี่กลับโรงแรม เพราะร่างกายหมดสภาพเดินกลับเองไม่ไหวแล้ว ขอพักให้หายเหนื่อยก่อนแล้วค่อยออกไปหามื้อค่ำแถวโรงแรมหม่ำ ก่อนเข้านอนหลับปุ๋ยแต่หัวค่ำด้วยความอ่อนเพลีย การเดินทางวันต่อไปจะเป็นเช่นไร โปรดติดตามตอนต่อไปนะครับ



ยามเย็นหลังจากออกมาจาก Petra




 

Create Date : 18 กุมภาพันธ์ 2552   
Last Update : 18 กุมภาพันธ์ 2552 16:15:24 น.   
Counter : 1239 Pageviews.  


เป้เดี่ยว...เที่ยวจอร์แดน3

ตอน...Petra by night

ลุงโชเฟอร์พาพวกผมนั่ง “โรลเลอร์โคสเตอร์” อีกชั่วโมงกว่า ก็มาถึง Wadi Musa ซึ่งเป็นที่ตั้งของ นคร Petra ราวเกือบ 5 โมงเย็น ผมร้องขอให้แกหาที่รับแลกเงินเพราะพวกเราแลกเงินจากสนามบินเพียงคนละนิดหน่อยเท่านั้น (เพราะแพงกว่าข้างนอกและยังคิดค่าแลกอีกด้วย) แกรีบบอกว่า “ไม่เป็นไร ผมรับเงินดอลลาร์” แต่พอผมถามค่ารถเป็นราคาเงินดอลลาร์ แกบอกว่า 150 US ซึ่งคิดแล้วแพงกว่าจ่ายเป็น JD หลายร้อยบาท ผมจึงยืนยันจะขอแลกเงิน แกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ แล้วบอกว่า ที่เมืองนี้แกไม่รู้จักและเย็นป่านนี้ธนาคารน่าจะปิดหมดแล้ว เพราะงกไม่อยากเสียส่วนต่างตอนแลกเงินที่สนามบินมาก เลยต้องจ่ายค่ารถแพง...ผมก็ได้แต่ทำใจ พลางบอกที่อยู่ของโรงแรมที่จะพักให้ลุงโชเฟอร์ทราบ

สองสามนาทีต่อมา ลุงโชเฟอร์ก็มาส่งเราที่หน้า “Petra Gate Hostel” โรงแรมที่พวกผมจะพักในคืนนี้ แกรับเงิน 150 US อย่างยิ้มกริ่ม แถมยังร้องขอทิปอีกต่างหาก ผมจึงบอกว่า หากคิดตามค่าเงินแล้ว 100 JD เท่ากับ 143 US เท่านั้น แต่พวกเราให้ 150 US ก็ถือว่าเป็นทิปแล้ว แกก็ยังยืนยันจะขอทิปอีก ผมเราเพื่อนๆจึงไม่สนใจ เอาสัมภาระลงรถมุ่งหน้าเข้าโรงแรม ปล่อยให้แกยืนเท้าเอวบ่นเบาๆไป ความจริงแล้วตามที่ทราบมา เราไม่จำเป็นต้องทิปพิเศษเพิ่มเติมแต่อย่างใดในจอร์แดนแห่งนี้ นอกจากเราจะอยากจะให้เอง ซึ่งวันต่อๆมากับแท็กซี่คนอื่นๆก็เป็นเช่นนั้น

เราเข้ามาในโรงแรม Petra Gate แล้วจึงทราบว่า ที่นี่ก็รับแลกเงินด้วย แหมถ้ารู้ก่อน ให้ลุงแกรอสักนิดก็ไม่ต้องจ่าย ค่ารถแพง...ผมคิดด้วยความงก ผมแจ้งชื่อพร้อมกับยื่นเอกสารการจองที่พักผ่านเว็บให้ผจก.โรงแรมดู แกรับเอกสารแล้วทำหน้างงเล็กน้อย พอหวานใจบอกไปว่า เราเป็นกลุ่มคนไทยที่เคยจองห้องไว้แต่ต้องยกเลิกเพราะปัญหาที่สนามบินเมื่อเดือนธันวา แกก็จำได้ทันที พร้อมกับกล่าวยินดีต้อนรับด้วยความยิ้มแย้ม และพาเราไปเลือกดูห้องพัก ตามความพอใจ เขาบอกว่าช่วงนี้ไม่ใช่ high season และมีลูกค้าแจ้งยกเลิกหลายคน (คงเพราะเศรษฐกิจไม่ดี...ผมคิด) จึงยังมีห้องว่างหลายห้องอยู่ เราจึงมีสิทธิเลือกห้องได้

โปรดอย่าถามเลยว่าระดับริชชี่อย่างผมจะพักคืนละเท่าไหร่...โอเค ไม่ต้องขมวดคิ้ว บอกก็ได้ครับ คิดราคาหารต่อคนรวมอาหารเช้าแล้ว 420 บาทถ้วน ถ้าช่วง high season คงไม่ได้ราคานี้ ห้องสะอาด เตียงนุ่ม มีห้องน้ำในตัวพร้อมน้ำอุ่น แค่นี้ผมพอใจแล้ว แต่หากท่านใดอยากได้ที่อำนวยความสะดวกมากกว่านี้ จะพักสี่ดาวหรือห้าดาวก็ตามอัธยาศัยครับ เมื่อได้ห้องตามต้องการ เราก็แยกย้ายกันทำธุระส่วนตัวกัน

แม้ว่าWadi Musa จะเป็นเมืองเล็กๆ ซึ่งตั้งขึ้นใหม่ ไม่ห่างจาก Petra นครโบราณ แต่ก็มีโรงแรมเป็นสิบแห่ง ตั้งแต่ห้าดาวคืนละเป็นหมื่นจนถึงดาวเดียวคืนละหลักร้อย ซึ่งส่วนใหญ่แล้วสามารถจองผ่านเว็บตัวแทนได้

Wadi แปลว่า หุบเขา หากติดตามตอนต่อๆไปจะพบคำๆนี้นำหน้าสถานที่อื่นๆอีก ส่วน Musa มาจากชื่อของโมเสส ดังนั้น Wadi Musa จึงน่าจะแปลได้ว่า หุบเขาโมเสส เพราะท่านโมเสสได้นำชาวยิวอพยพออกจากอียิปต์ ผ่านมาหุบเขาแห่งนี้


ทิวทัศน์ Wadi Musa ยามเย็น

เมื่อทุกคนทำธุระส่วนตัวกันเสร็จแล้ว เราก็ลงมาที่เคาน์เตอร์โรงแรมชั้นล่าง เพื่อแจ้งผจก.ให้ช่วยจองตั๋ว Petra by night ให้หน่อย เพราะนอกจากการเที่ยวชมนคร Petra ในเวลากลางวันแล้ว ในคืนวันจันทร์ พุธ และพฤหัสฯ ก็มีการแสดงคล้าย light & sound ด้วย และคืนที่ผมไปก็เป็นคืนวันจันทร์ ผมจึงไม่พลาดโอกาสอยู่แล้ว

เนื่องจากการแสดงเริ่มเวลา 20.30 น. พวกเราจึงมาหาอะไรรองท้องกัน เนื่องจากทั้งวันยังไม่ได้ทานอาหารมื้อหลักกันเลย หวานใจหาร้านอาหารตามที่แนะนำในหนังสือ lonely planet ปรากฏว่ามองไปทางไหน ก็เห็นร้านที่แนะนำทั้งนั้นเลย คงเพราะเป็นเมืองเล็ก ทั้งเมืองมีร้านอาหารไม่น่าเกินยี่สิบร้าน คนเขียนหนังสือเลยแนะนำเสียทุกร้านในเมืองเลย --“

เราเล็งกันอยู่หลายร้านในที่สุดก็ตัดสินใจเข้าไปหนึ่งร้าน เลือกอาหารพื้นเมือง พร้อมซุปแก้หนาวคนละถ้วย จากนั้นก็ส่งอาหารลงสู่ทะเลกรดในกระเพาะอาหารของพวกเราอย่างรวดเร็ว ขอแนะนำอีกอย่างว่า ปริมาณอาหารที่จอร์แดน แต่ละจานใหญ่โตมาก ดังนั้นพิจารณาให้ดีเวลาสั่งนะครับ


มื้อใหญ่ของพวกเรา

หลังจากที่กระเพาะเราเต็มไปด้วยอาหารแล้ว ก็ได้เวลาไปชม Petra by night เสียที คืนนี้มีคนเข้าชมราวสี่สิบคนได้ คงเพราะไม่ใช่ high season กระมัง หลังจากเจ้าหน้าที่ตรวจตั๋วเข้าชม ซึ่งราคาคนละ 12 JD (ราว600 บาท)จากนั้นก็นำพวกเราเดินผ่านประตูเข้าไป (ตื่นเต้นจังจะได้เห็น Petra แล้ว...ผมคิด)

ผมเดินตามแสงเทียนที่วางเป็นระยะข้างทางเดิน พร้อมกับกระชับเสื้อแจ็คเก็ตด้วยความหนาว คืนนั้นอากาศเย็น น่าจะต่ำกว่า 10 เซลเซียส แถมลมยังแรงมากอีกต่างหาก ผมถือโอกาสเดินกุมมือหวานใจคลายหนาวเป็นระยะๆ พลางเหม่อมองกลุ่มดาวต่างๆ ท่ามกลางความมืดที่ไร้เมฆ และแสงจันทร์ เห็นคู่หนุ่มสาวฝรั่งที่เดินนำหน้ากระซิบกระซาบชี้ดูกลุ่มดาวต่างๆ ผมเห็นนัตตี้เดินห่างไป เลยแหย่หวานใจว่า เห็นดาวบ้างไหม เธอแหงนหน้ามองฟ้า แล้วถามว่าดาวอะไรหรือ ผมได้ทีจึงจับคางเธอหันมาสบตา แล้วบอกว่า “ดาวประดับใจอยู่ตรงหน้า...เห็นไหม” เพี๊ยะ!...อุย?? ผมโดนตีที่มืออย่างแรง อากาศเย็นๆอย่างนี้ แสบๆคันๆชะมัด จากนั้นก็ได้แต่เดินจ๋อยตามหวานใจไปเงียบๆ



ทางเดินที่นำเราไปสู่ Petra ขนาบด้วยแสงเทียน


เทียนจริงๆ ไม่ได้โม้

ครึ่งชั่วโมงต่อมา เราก็มาถึง the Treasury อาคารแรกของนคร Petra อันเลื่องชื่อ ซึ่งจุดเทียนนับร้อยเล่มที่ลานด้านหน้าเอาไว้ (งามจัง ขนาดมีแค่แสงเทียนส่องเห็นลางๆ ยังงามขนาดนี้ ตอนกลางวันไม่รู้จะงามขนาดไหน...ผมคิด) จากนั้นพวกเราก็มานั่งที่เสื่อที่ทางจนท.จัดเตรียมไว้ เพื่อชมการแสดง ชุดแรกเป็นคุณลุงเบดูอิน มาเล่าเรื่องราวพร้อมทั้งเอื้อนลำนำภาษาท้องถิ่นพลางสีซอให้คนฟังไปด้วย จากนั้นชุดที่สองก็เป็นคุณลุงอีกคนหนึ่งมาเป่าขลุ่ยเพลงระบำพื้นเมือง พร้อมทั้งเดินไปมารอบๆตัวพวกเรา จากนั้นก็มีจนท.เดินแจกชาร้อนหอมๆ แก้หนาวให้พวกเราชิมกัน


ลานเทียนมองเห็น the treasury ลางๆ

สักพักเริ่มมีเสียงเม้าจากนัตตี้คุยกับหวานใจที่นั่งอยู่ข้างๆ ได้ยินแว่วๆว่า “เพลงไม่เห็นเพราะเลย น่าจะติดไฟ หรือส่องไฟไปที่ theTreasuryด้วย คงสวยกว่านี้นะ บรา...บรา...บรา” พอเสียงเริ่มดังมากขึ้นฝรั่งที่นั่งข้างผม จึงหันมาจุ๊ปากดุผมให้เงียบหน่อย (อ้าวซวยเลย...เค้าไม่ได้เป็นคนส่งเสียงนะ ทำไมโดนเอ็ด) ผมเลยได้แต่สะกิดนัตตี้กับหวานใจให้เบาเสียงหน่อย


อีกครั้งกับลานเทียน ฝุ่นเยอะไปนิดจึงมองเห็นวงขาวๆในภาพ หาใช่องค์จุตคามตามมาด้วยไม่

ราวครึ่งชั่วโมงการแสดงสองชุดก็จบลง ลุงเบดูอินประกาศว่า ถ้าใครจะกลับก็ได้ แต่หากใครจะนั่งชมต่อ หรืออยากจะเต้นรำก็ตามสะดวก แต่ไม่อนุญาตให้เดินลึกเข้าไปด้านในของเพตรา จากนั้นก็ถอยไปยืนที่บู๊ตขายของจำพวกซีดีเพลงพื้นเมือง จบแล้วหรือแค่นี้เองหรือ ค่าชมตั้งคนละ 12 JD ผมและเพื่อนๆหันมามองหน้ากัน จากนั้นก็พร้อมใจกันเดินกลับ ระหว่างเดินทางกลับโรงแรม เราสันนิษฐานกันว่า คงเพราะช่วงนี้คนน้อย เขาเลยไม่ได้ติดไฟที่อาคาร ความงามเลยลดลงเพราะเท่าที่เคยเห็นจากเว็บ งามกว่านี้มาก ดังนั้นหากใครไปในช่วง low season ถ้าอยากไปชม ก็เผื่อใจไว้หน่อยนะครับ

เช้าวันรุ่งขึ้น อากาศหนาวเย็นเช่นเคย ผมนอนซุกใต้ผ้าห่มอยู่นานกว่าจะตัดใจลุกขึ้นมาแปรงฟันล้างหน้าได้ จากนั้นพวกเราก็มาพร้อมหน้ากันที่ห้องอาหารของโรงแรมเพื่อทานมื้อเช้าซึ่งเป็น ไข่ทอดทานกับขนมปังทาเนยและแยม แถมด้วยกาแฟรสเข้ม จากนั้นก็มารอผจก.ผู้ใจดีไปส่งที่ด้านหน้า Petra เช่นเคย ความจริงแล้ว จากโรงแรมเราสามารถเดินไป Petra เองได้ เพราะระยะทางไม่น่าจะเกินสองกิโล แต่ยังไงวันนี้เราต้องเดินทั้งวันอยู่แล้ว แถมทางโรงแรมมีบริการให้ จะเดินทำไมให้เหนื่อยว่าไหมครับ ก่อนออกเดินทางพวกผมหาซื้อแฮมเบอร์เกอร์ เพื่อเตรียมเป็นอาหารกลางวันด้วยเพราะใน Petra แพงครับ Petra จะงดงามสมคำร่ำลือหรือไม่ อดทนรอตอนต่อไปนะครับ


ขนมปังมื้อเช้า


ทานกับไข่ครับ




 

Create Date : 16 กุมภาพันธ์ 2552   
Last Update : 16 กุมภาพันธ์ 2552 22:24:26 น.   
Counter : 1307 Pageviews.  


เป้เดี่ยว...เที่ยวจอร์แดน2

ตอน...ย่ำแดนคริสต์บนแผ่นดินอาหรับ

ผมและเพื่อนๆขึ้นรถลุงแท็กซี่ขาวที่รูปร่างทั้งภายนอกและภายในเหมือนเซฟิโรแต่ยี่ห้อซัมซุง? ออกเดินทางจากสนามบินมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก ที่หมายแรกคือเมือง Madaba

Madaba อยู่ห่างจาก Amman นครหลวงไปทางใต้ 32 กิโลเมตร เป็นศูนย์กลางของศาสนาคริสต์ในจอร์แดน เพราะมีประชากรหนึ่งในสามของเมืองนี้เป็นคริสเตียน (กว่า95% ของประชากรจอร์แดนทั้งหมดเป็นชาวมุสลิม)

Madaba เป็นเมืองเก่าที่มีประวัติยาวนานกว่าสี่พันปี ถูกกล่าวถึงในเอ็กโซดัส ในไบเบิลว่าเป็นเมืองของหนึ่งในสิบสองเผ่าของชาวยิว ต่อมาถูกปกครองโดยโรมันเมื่อ AD 106

ในสมัยไบเซนไทน์มีการสร้างโบสถ์คริสต์จำนวนมาก และได้รับการประดับตกแต่งด้วยศิลปะโมเซอิค ต่อมาเมืองถูกทิ้งร้างหลังเกิดแผ่นดินไหวใหญ่ในปี AD 747ประมาณ 1,100 ปี ปลายศตวรรษที่19 เกิดความขัดแย้งระหว่างชาวคริสต์และมุสลิมที่ Karak ทางใต้ ชาวคริสต์ 2000 คนจึงอพยพมาตั้งบ้านเรือนใน Madaba ใหม่

สถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญในมาดาบาได้แก่ St George Church ซึ่งที่พื้นของโบสถ์ประดับด้วยโมเสสเป็นแผนที่สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทางคริสต์ศาสนาในแถบตะวันออกกลาง


ป้ายหน้าโบสถ์


ตัวโบสถ์

ผมและคณะมาถึงก่อนเวลาเปิดเล็กน้อย จึงแวะหาแซนด์วิชใส่ท้องพร้อมกับน้ำส้มคั้นสดไปพลางๆก่อน เมื่อได้เวลาเราก็ซื้อตั๋วเข้าชมภายในโบสถ์ ในราคา 1 JD (50บาท) และเพลิดเพลินกับภาพวาดภายในและแผนที่สถานที่ศักดิ์ที่พื้นโบสถ์ด้วยความสงบ เพราะในระหว่างนั้นมีคริสต์ศาสนิกชนเข้ามาสวด-ขอพร เป็นระยะๆ


พื้นโบสถ์ที่มีภาพโมเสอิค แผนที่สถานที่ศักสิทธิ์แถบตะวันออกกลาง


ภาพวาดให้เห็นชัดๆ


ภายในโบสถ์

ออกจาก Madaba เรามุ่งหน้าไปทางตะวันตกเฉียงเหนือของมาดาบาราว 9 กิโลเมตร เพื่อเดินทางไป Mt Nebo

สถานที่นี้ เป็นที่ที่โมเสสเฝ้ามองดินแดนแห่งพันธะสัญญา ก่อนเสียชีวิต หลังจากพาชาวยิวอพยพเดินทางจากอียิปต์และหลงไปมาอยู่หลายสิบปี และต่อมาศพของท่านได้ถูกฝังที่เขาแห่งนี้ เขาแห่งนี้จึงเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของทั้งชาวยิวและชาวคริสต์ และเมื่อปีAD 2,000 Pope John Paul ΙΙ ก็เคยมาเยี่ยมชมเขาแห่งนี้


สัญลักษณ์บนยอด Mt Nebo


จากยอดเขามองเห็น Dead Sea ไกลๆ และแสดงทิศทางเมืองสำคัญทางศาสนาคริสต์


จุดที่ระลึกถึงโมเสส

ค่าเข้าชมเขาMt Nebo คนละ 1 JD มองจากยอดเขาจะมองเห็นเดดซี และถ้ามองฝั่งเลยไปในฝั่งตรงข้าม ก็จะเห็นดินแดนแห่งพันธะสัญญา คืออิสราเอลในปัจจุบัน

จากเขาเนโบ พวกเรามุ่งหน้าลงใต้เลียบเดดซี เพื่อเดินทางไปเพตรา เพตราอยู่ห่างจากกรุงอัมมานเกือบสามร้อยกิโลเมตร เส้นทางหลักไปเพตราสามารถไปได้สองเส้นทางคือ King’s highway และ Desert highway ซึ่งDesert highway
ถนนจะกว้างกว่า และการจราจรจะหนาแน่นน้อยกว่า King’s highway แต่พวกเราเลือกที่จะชมทิวทัศน์ ลุงคนขับจึงพาเราเดินทางลงใต้ทาง Dead Sea highway ซึ่งถนนจะแคบและลัดเลาะคดโค้งไปตามหน้าผา ให้ความรู้สึกเหมือนขับรถไปแม่ฮ่องสอน แต่ทิวทัศน์มีแต่ทะเลทรายกับแคนยอนแทน


เส้นทางที่พวกผมจะเดินทางไป

แรกๆรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับความงามของทิวทัศน์ แต่ต่อมาผมก็เริ่มเมารถจากเปลวแดดที่ค่อยๆทวีความร้อนมากขึ้นๆ (รถไม่เปิดแอร์) และการขับขี่ของลุงโชเฟอร์ซึ่งไม่รู้ว่าแกจะโชว์ความป๋าในการขับรถ หรือสมรรถนะรถซัมซุงของแก เพราะลุงท่านเล่นเข้าโค้งหักศอกด้วยความเร็ว 100 km/hr!! แถมแต่ละโค้งของถนนสายนี้ ไม่ใช่แค่โค้งรูปอักษร S แต่เป็น W แถมบางที่ เป็น WW และยังขึ้นๆลงๆ ไปตามสันเขา แต่ลุงแกไม่มีทีท่าจะลดความเร็วลงมาต่ำกว่า 80 เลย!! ผมจะสวดคาถาชินบัญชร เพื่อให้คุณพระรักษาก็จนใจเพราะมิได้พกหนังสือมา จึงได้แต่ภาวนาว่า ขอลูกรอดไปจนถึงเพตราให้ได้ทีเถอะ...สาธุ

ผมซึ่งนั่งหน้าทั้งมึนและตื่นเต้นเหลียวหลังไป เห็นหวานใจกับนัตตี้สองสาว เอาเสื้อกันหนาวปิดหน้าหลับหน้าตาเฉย โถ...แม่คุณไม่รู้ร้อนหนาวอะไรเลย...ผมคิด


เห็นถนนตามสันเขาไหมครับ

หัวใจวิ่งเล่นระหว่างทรวงอกกับตาตุ่มอยู่ชั่วโมงกว่า ลุงโชเฟอร์ก็นำเรามาสถานที่ท่องเที่ยวแห่งต่อไป สถานที่นี้คือ Karak Castle จากแผนที่ประเทศจอร์แดน ถ้าเราลากเส้นตามขอบชายแดนด้านตะวันตกติดประเทศอิสราเอล จากเหนือจรดใต้ จะพบคารัคอยู่กึ่งกลางของประเทศตามแนว King’s highway

Karak castle เป็นป้อมสำคัญของเหล่านักรบครูเสส ที่ใช้ทำศึกกับซาลาดีน ป้อมมีขนาดใหญ่มากจนจัดเป็นปราสาทขนาดใหญ่ได้เลย สูงถึงเจ็ดชั้น ตั้งอยู่จุดสูงสุดของเมือง มองเห็นทิวทัศน์ได้โดยรอบ ภายในประกอบด้วยห้องต่างๆ เป็นทั้งโบสถ์ ที่พัก ห้องอาหาร ห้องครัว รวมทั้งมีจัดตั้งพื้นที่ถาวรเป็นตลาดสำหรับค้าขายอยู่ภายในป้อม สามารถบรรจุชุมชนขนาดใหญ่อยู่ในป้อมนั้นได้เลย


Karak castle


อีกมุมหนึ่งของปราสาท


โถงภายใน


จากมุมภายในที่ ที่สามารถโจมตีข้าศึกภายนอกได้

เสร็จจากเยี่ยมชม Karak castle ภารกิจต่อไปของพวกเราคือเดินทางฝ่าเปลวแดดยามบ่ายไป Shobak castle ต่อ

Shobakเป็นภาษาท้องถิ่นมีความหมายว่าภูเขาศักดิ์สิทธิ์ สร้างโดยกษัตริย์ครูเสสพระนาม Baldwin Ι เมื่อ AD 1189 ต่อมา เมื่อดินแดนแห่งนี้ถูกปกครองโดยราชวงศ์อิสลามมัมลุก(Mamluks) ในศตวรรษที่14 ก็มีการก่อสร้างต่อเติมป้อมขึ้นอีกหลายส่วน ปัจจุบันสิ่งก่อสร้างส่วนใหญ่เสื่อมสลายไปกับการเวลา ยังรอการบูรณะอีกมาก ทั้งยังตั้งอยู่โดดเดี่ยวนอกแหล่งชุมชน ดังนั้นความสวยงามจึงสู้ที่ Karak ไม่ได้แต่ความใหญ่โตพอๆกัน หากเวลามีน้อยจะผ่านเลยไปก็ได้ สถานที่นี้ไม่เก็บค่าเข้าชม ดังนั้นหากมีเวลาผมขอแนะนำให้ไป เพราะเจ้าหน้าที่ที่ดูแลสถานที่เป็นกันเองมากกว่า


Shobak castle


สิ่งปรักหักพังภายใน


กระสุนปืนครั้งสงครามครูเสส

ออกจาก Shobak ราวบ่ายสามโมง คุณลุงโชเฟอร์พาเราเดินทางผ่าน King’s highway มุ่งหน้าไปที่หมายคือ Petra ด้วยความเร็วสูงโชว์สมรรถนะเช่นเคย พวกเราจะรอดจนถึง Petra หรือไม่โปรดติดตามตอนต่อไป




 

Create Date : 13 กุมภาพันธ์ 2552   
Last Update : 13 กุมภาพันธ์ 2552 22:22:44 น.   
Counter : 1689 Pageviews.  


1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  

adept
 
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




แม้สายน้ำมิอาจไหลย้อนกลับ แต่เราสามารถแลหลัง เหลียวดูมันได้
[Add adept's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com