พวกเราจึงตัดสินใจไปโดยแท็กซี่ (คิดแล้วอยากเช่ารถตั้งแต่วันแรกจัง...ผมคิด) เจ้าหน้าที่ผู้ใจดีจึงช่วยเรียกแท็กซี่พร้อมช่วยต่อราคาให้ จากนั้นเราก็มุ่งหน้าลงใต้เดินทางไป Wadi Rum ต่อไป
นั่งในแท็กซี่ราวหนึ่งชั่วโมงพวกเราก็มาถึง Wadi Rum Wadi แปลว่าหุบเขา ซึ่งพบคำนี้ในหลายๆสถานที่ท่องเที่ยวดังผมที่เคยบอกไว้ในบทความก่อนๆ ส่วน Rum น่าจะเป็นชื่อหุบเขาแห่งนี้ Wadi Rum เป็นหมู่บ้านเบดูอินที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้ อยู่กลางทะเลทรายทางตอนใต้ของประเทศ มีทัศนีย์ภาพทางธรรมชาติที่สวยงามน่าตื่นตาตื่นใจหลายแห่ง
Wadi Rum เคยเป็นศูนย์บัญชาการของ Prince Feisal bin Hussein ที่ทำงานร่วมกับ TE Lawrence หรือ Lawrence of Arabia ชาวอังกฤษ ในการปลดแอกชาวอาหรับจากการปกครองของอาณาจักร Ottoman (หรือตุรกีในอดีต) ในสมัยสงครามโลกครั้งที่1 จึงมีสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งเกี่ยวข้องกับท่านผู้นี้ แล้วผมจะค่อยๆเล่าเรื่องราวเมื่อถึงสถานที่ดังกล่าว (หมายเหตุ รายละเอียดลองหาชมจากภาพยนตร์ฮอลลิวูดที่ชื่อ The Lawrence of Arabia เรื่องนี้สนุกดีครับ)
สถานที่ถัดไปคือ Lawrence’s house ลักษณะเป็นบล็อกหินที่เรียงอยู่ข้างผา เป็นที่พักของ Lawrence สมัยใช้บริเวณนี้เป็นศูนย์บัญชาการต่อต้าน Ottoman ปัจจุบันเหลือเพียงซากหิน
Lawrence's house
ถัดไปเป็นสัญลักษณ์อีกแห่งหนึ่งของ Wadi Rum คือ the rock bridge ซึ่งเป็นสะพานหินธรรมชาติขนาดใหญ่ สูงจากพื้นดินกว่า 80 เมตร ต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการปีนขึ้นไปถ่ายภาพ (หากไม่ปีนขึ้นไป เหมือนมาไม่ถึง Wadi Rum) งานนี้หวานใจถนัด ปีนแป๊ปเดียวขึ้นไปถึงสะพาน โพสท่าให้ผมถ่ายรูป ส่วนสาวๆที่เหลือเกือบถอดใจไม่ปีน เพราะหินค่อนข้างชันและลื่น แต่เมื่อได้แรงเชียร์หนักเข้าสุดท้ายทุกคน ก็สามารถขึ้นไปยืนแอ็คท่าถ่ายรูปกลางสะพานได้อย่างภาคภูมิ
นัตตี้เทียบขนาดกับสะพานหิน
สถานที่ต่อไปคือ Red sand dunes เป็นเนินทะเลทรายสีชมพูแดง ซึ่งสวยงามและโรแมนติกเหมาะกับคู่รักและผู้ที่ชื่นชอบความหวานแหววมาก มองไปทางไหนเห็นแต่ทรายและหุบเขาสีชมพู
หลังจากถ่ายรูปจนจุใจและพักหายเหนื่อยแล้ว เราก็ค่อยๆเดินลงตามทางเดินพลางชมวิวทิวทัศน์ Petra จากมุมสูงในเวลาเย็น จากนั้นก็ค่อยๆเดินย้อนกลับออกมาด้านนอกของ Petra อย่างช้าๆไม่รีบร้อน
เราเข้ามาในโรงแรม Petra Gate แล้วจึงทราบว่า ที่นี่ก็รับแลกเงินด้วย แหมถ้ารู้ก่อน ให้ลุงแกรอสักนิดก็ไม่ต้องจ่าย ค่ารถแพง...ผมคิดด้วยความงก ผมแจ้งชื่อพร้อมกับยื่นเอกสารการจองที่พักผ่านเว็บให้ผจก.โรงแรมดู แกรับเอกสารแล้วทำหน้างงเล็กน้อย พอหวานใจบอกไปว่า เราเป็นกลุ่มคนไทยที่เคยจองห้องไว้แต่ต้องยกเลิกเพราะปัญหาที่สนามบินเมื่อเดือนธันวา แกก็จำได้ทันที พร้อมกับกล่าวยินดีต้อนรับด้วยความยิ้มแย้ม และพาเราไปเลือกดูห้องพัก ตามความพอใจ เขาบอกว่าช่วงนี้ไม่ใช่ high season และมีลูกค้าแจ้งยกเลิกหลายคน (คงเพราะเศรษฐกิจไม่ดี...ผมคิด) จึงยังมีห้องว่างหลายห้องอยู่ เราจึงมีสิทธิเลือกห้องได้
โปรดอย่าถามเลยว่าระดับริชชี่อย่างผมจะพักคืนละเท่าไหร่...โอเค ไม่ต้องขมวดคิ้ว บอกก็ได้ครับ คิดราคาหารต่อคนรวมอาหารเช้าแล้ว 420 บาทถ้วน ถ้าช่วง high season คงไม่ได้ราคานี้ ห้องสะอาด เตียงนุ่ม มีห้องน้ำในตัวพร้อมน้ำอุ่น แค่นี้ผมพอใจแล้ว แต่หากท่านใดอยากได้ที่อำนวยความสะดวกมากกว่านี้ จะพักสี่ดาวหรือห้าดาวก็ตามอัธยาศัยครับ เมื่อได้ห้องตามต้องการ เราก็แยกย้ายกันทำธุระส่วนตัวกัน
แม้ว่าWadi Musa จะเป็นเมืองเล็กๆ ซึ่งตั้งขึ้นใหม่ ไม่ห่างจาก Petra นครโบราณ แต่ก็มีโรงแรมเป็นสิบแห่ง ตั้งแต่ห้าดาวคืนละเป็นหมื่นจนถึงดาวเดียวคืนละหลักร้อย ซึ่งส่วนใหญ่แล้วสามารถจองผ่านเว็บตัวแทนได้
Wadi แปลว่า หุบเขา หากติดตามตอนต่อๆไปจะพบคำๆนี้นำหน้าสถานที่อื่นๆอีก ส่วน Musa มาจากชื่อของโมเสส ดังนั้น Wadi Musa จึงน่าจะแปลได้ว่า หุบเขาโมเสส เพราะท่านโมเสสได้นำชาวยิวอพยพออกจากอียิปต์ ผ่านมาหุบเขาแห่งนี้
ทิวทัศน์ Wadi Musa ยามเย็น
เมื่อทุกคนทำธุระส่วนตัวกันเสร็จแล้ว เราก็ลงมาที่เคาน์เตอร์โรงแรมชั้นล่าง เพื่อแจ้งผจก.ให้ช่วยจองตั๋ว Petra by night ให้หน่อย เพราะนอกจากการเที่ยวชมนคร Petra ในเวลากลางวันแล้ว ในคืนวันจันทร์ พุธ และพฤหัสฯ ก็มีการแสดงคล้าย light & sound ด้วย และคืนที่ผมไปก็เป็นคืนวันจันทร์ ผมจึงไม่พลาดโอกาสอยู่แล้ว
หลังจากที่กระเพาะเราเต็มไปด้วยอาหารแล้ว ก็ได้เวลาไปชม Petra by night เสียที คืนนี้มีคนเข้าชมราวสี่สิบคนได้ คงเพราะไม่ใช่ high season กระมัง หลังจากเจ้าหน้าที่ตรวจตั๋วเข้าชม ซึ่งราคาคนละ 12 JD (ราว600 บาท)จากนั้นก็นำพวกเราเดินผ่านประตูเข้าไป (ตื่นเต้นจังจะได้เห็น Petra แล้ว...ผมคิด)
สถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญในมาดาบาได้แก่ St George Church ซึ่งที่พื้นของโบสถ์ประดับด้วยโมเสสเป็นแผนที่สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทางคริสต์ศาสนาในแถบตะวันออกกลาง
ออกจาก Madaba เรามุ่งหน้าไปทางตะวันตกเฉียงเหนือของมาดาบาราว 9 กิโลเมตร เพื่อเดินทางไป Mt Nebo
สถานที่นี้ เป็นที่ที่โมเสสเฝ้ามองดินแดนแห่งพันธะสัญญา ก่อนเสียชีวิต หลังจากพาชาวยิวอพยพเดินทางจากอียิปต์และหลงไปมาอยู่หลายสิบปี และต่อมาศพของท่านได้ถูกฝังที่เขาแห่งนี้ เขาแห่งนี้จึงเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของทั้งชาวยิวและชาวคริสต์ และเมื่อปีAD 2,000 Pope John Paul ΙΙ ก็เคยมาเยี่ยมชมเขาแห่งนี้
สัญลักษณ์บนยอด Mt Nebo
จากยอดเขามองเห็น Dead Sea ไกลๆ และแสดงทิศทางเมืองสำคัญทางศาสนาคริสต์
จุดที่ระลึกถึงโมเสส
ค่าเข้าชมเขาMt Nebo คนละ 1 JD มองจากยอดเขาจะมองเห็นเดดซี และถ้ามองฝั่งเลยไปในฝั่งตรงข้าม ก็จะเห็นดินแดนแห่งพันธะสัญญา คืออิสราเอลในปัจจุบัน