เรียนรู้อดีต เพื่อสอนปัจจุบัน ให้ใช้อนาคตอย่างเหมาะสม
 
 

เป้เดี่ยว...เที่ยวพม่าแบบโก๊ะๆ ตอนที่1

ตอนที่1 โก๊ะตั้งแต่ยังไม่ไป

หลังจากกลับจากจอร์แดน งานใหญ่งานน้อยก็ประดังเข้ามาเต็มไปหมด มารู้ตัวอีกทีก็ปลายปีแล้ว หมดโอกาสใช้วันลาที่อุตส่าห์สะสมอีกตั้งหลายวัน(ฮือๆ) อย่ากระนั้นเลยธันวานี้มีวันหยุดหลายวัน ต้องหาโอกาสลาบ้างไม่งั้นคงอดอีก จะไปไหนนั้นยังไม่รู้เลยขอลาไว้ก่อนก็แล้วกัน

หลายวันผ่านไป มานึกได้อีกทีก็ใกล้วันลาแล้ว ยังหาที่เที่ยวไม่ได้เลย นึกมานึกไปแถวใกล้ๆก็เหลือแต่พม่านี่แหละที่ยังไม่ได้ไป เอาเป็นว่า theme ของทริบนี้ไปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธ์ห้าแห่งในพม่าก็แล้วกัน ว่าแล้วก็เปิดเน็ตหาตั๋วทันที


แผนที่พม่า

มีสายการบินไปพม่าหลายสาย ทั้ง Air Asia, Bangkok air, Myanmar International Airline (MAI) ที่ชื่อเป็นพม่าแต่เจ้าของเป็นไต้หวัน แม้กระทั้ง TG สุดเลิฟ ฯลฯ ที่ถูกสุดคาดว่าคงเป็น Air Asia แต่ถ้าไม่จองช่วงโปรโมชั่น ราคาจะใกล้เคียงการบินไทยผมเลยไม่เอา เช็คราคาของ Bangkok air ถูกมาหน่อย แต่วันเวลาที่จะไปเต็ม งั้นก็ไปการบินไทย จะได้สะสมไมล์เพิ่มด้วย

จากนั้นผมก็ไปหา”โลกเหงา”(LP-lonely planet) มาวางแผนเที่ยวเหงาๆตามประสา ทำให้รู้ว่า หากจะเดินทางไปให้ทั่วพม่าในเวลาจำกัด คงต้องจ่ายแพงโดยอาศัยสายการบินภายในประเทศ ที่มีทั้ง Myanmar air, Yangon air, Air Bagan ฯลฯ เพราะถนนหนทางไม่สู้ดี รถเมล์ก็สุดจะเก่า ส่วนรถไฟก็ใช้มาตั้งแต่หลังสงครามโลกแถมดีเลย์สุดๆ

ลองเสิร์ชหาสายการบินภายในประเทศจากกูเกิลดู สุดท้ายจึงเลือก Air Bagan เพราะเป็นสายการบินเดียวมีตัวแทน สนง.อยู่ในไทย แถวๆสีลม ผมติดต่อหาตั๋วจากย่างกุ้งไปพุกาม (Bagan) และตั๋วกลับจากมัณฑะเลย์(Mandalay)ไปย่างกุ้งได้เท่านั้น ส่วนเส้นทางจากพุกามไปมัณฑะเลย์ และสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆยังหาตั๋วไม่ได้ (ไว้ค่อยคิดก็แล้วกัน...ผมคิด)

วันรุ่งขึ้นผมไปทำวีซ่าที่สถานทูตพม่า ซึ่งอยู่แถวสาธร ใกล้ๆโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน สามารถเดินทางโดยBTS ไปลงสถานีสุรศักดิ์ได้ ในการขอวีซ่า เราจะต้องกรอกเอกสารสองแบบพร้อมรูปถ่าย 2 นิ้วและเงิน 810 บาท โดยแบบฟอร์มเอกสารที่ว่าหาโหลดจากเน็ตได้ สองวันต่อมาผมก็ไปรับวีซ่าพร้อมกับตั๋วเครื่องบิน Air Bagan อ้อวีซ่ามีอายุสี่สัปดาห์นับจากวันที่ทำเรื่องขอ ดังนั้นคำนวณเวลาในการขอวีซ่าดีๆนะครับ หากขอเร็วไป อาจมีเหลือเวลาอยู่ในพม่าน้อยกว่าที่เราต้องการ

เมื่อถึงวันเดินทาง Airbus A300 เที่ยวบิน TG305ก็นำผมไปลงสนามบินนานาชาติย่างกุ้ง (Rangon) โดยใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงดี ในเวลาค่ำ เวลาที่พม่าช้ากว่าไทยราว 30 นาที เข้าแถวรอตรวจที่ตม.ไม่นานนัก ก็ออกมานอกสนามบินได้ อากาศที่ย่างกุ้งตอนสองทุ่มไม่ได้ต่างจากที่กทม.เท่าใดนัก ทราบมาว่า หลังพายุนากีสถล่มเมื่อปีก่อน ต้นไม้บริเวณปากอ่าวกว่า 60% ถูกพายุโค่นล้มหมด จึงทำให้ย่างกุ้งซึ่งอยู่ไม่ห่างจากสถานที่ประสบภัยพิบัติ มีอากาศร้อนมากขึ้น


ท่าอากาศยานนานาชาติย่างกุ้ง


ทิวทัศน์กรุงย่างกุ้งยามค่ำ

ทางโรงแรม Ocean Pearl Inn ที่ผมจองผ่านเน็ตไว้ มีบริการรับลูกค้าจากสนามบินมาโรงแรม ทำให้ผมทุ่นค่าแท็กซี่ได้ 7 USD รถใช้เวลาราว 40 นาทีก็มาถึง โรงแรมอยู่บริเวณดาวทาวน์ รถราที่นี่ไม่มากนักประกอบกับเป็นเวลากลางคืนด้วย ส่วนใหญ่แล้วเป็นรถเก่าอายุเกินกว่า 20ปี รถส่วนมากเป็นพวงมาลัยขวาแบบบ้านเรา แต่วิ่งชิดขวาแบบอเมริกา ทำให้รู้สึกแปลกๆ งงๆ พิกล แทบจะไม่ได้ยินเสียงแตรรถเลย เพราะท่านผู้นำออกกฎห้ามบีบแตรที่ย่างกุ้ง ฝ่าฝืนปรับ 50USD!! (รายได้ผู้จบปริญญาเอก ประมาณเดือนละ 150 USD หรือ 5000บาท!! แล้วใครจะจ่ายค่าปรับไหวครับท่าน --“) อ้อที่พม่าเขาใช้เงินจั๊ต อัตราแลกเปลี่ยนตลาดมืด 1 USD ประมาณ 920-940 จั๊ต หรือคิดเป็นเงินไทยง่ายๆ 1000 จั๊ต ราว 35 บาท แต่หากแลก ที่exchange ของรัฐ 1 USD คงได้ไม่เกิน 300 จั๊ต ตลาดมืดที่ว่าหาไม่ยาก เดินไปตามถนนก็มีคนมาคอยถาม หรือจะแลกตามเคาเตอร์โรงแรมก็ได้ ดังนั้นผมจึงค่อยๆทยอยแลกครั้งละ 20-30 USD เผื่อจะได้เรทดีๆ


Ocean Pearl Inn

เมื่อมาถึงก็เลือกห้องที่ถูกใจ มีทีวี(ดูช่องเจ็ดบ้านเราได้ด้วย) มีตู้เย็น และน้ำอุ่น ราคาคืนละ 15 USDเอง จากนั้นก็โบกแท็กซี่ไปชมเจดีย์ชเวดากองยามค่ำ ปกติแล้วชเวดากองจะปิดสามทุ่มครึ่ง ผมมาถึงก็สามทุ่มแล้ว จึงชมความงามแต่ภายนอก (เอาไว้ค่อยมาชมเต็มๆในวันพรุ่งนี้ก็แล้วกัน...ผมคิด)

ที่ติดกันกับเจดีย์ชเวดากองทางใต้ มีเจดีย์อีกแห่งหนึ่ง ชื่อว่าเจดีย์มหาวิสยา (Maha Wizaya Paya ) หรือชื่อเล่นเรียกว่า “เจดีย์เนวิน” เพราะนายพลเนวิน(พม่านะ) มีส่วนในการสร้างเจดีย์นี้ (แต่เจดีย์นี้สร้างด้วยเงินบริจาคจากประชาชนนะ -*-) เดิมมีทางเชื่อมต่อเดินถึงกันระหว่างเจดีย์สองแห่งได้ แต่ปัจจุบันเส้นทางนั้นถูกปิด จึงไม่สามารถเดินไปได้ ต้องอาศัยเดินจากภายนอก ผมเดินชมจนถึงเวลาปิด จึงเรียกแท็กซี่กลับโรงแรม พรุ่งนี้ผมจะไปโก๊ะไหนบ้างติดตามตอนต่อไปนะครับ


เจดีย์ชเวดากอง


อีกมุมทางด้านหน้า


ด้านข้างทางเข้า


สวยไหมครับ


สิงห์หน้าทางเข้า(ตัวใหญ่มากๆ)


เจดีย์มหาวิสยา ที่อยู่ตรงข้าม




 

Create Date : 17 ธันวาคม 2552   
Last Update : 18 ธันวาคม 2552 7:43:11 น.   
Counter : 2654 Pageviews.  


เป้เดี่ยว...เที่ยวจอร์แดน10 (จบ)

ตอน...เดินเล่นรอบ Amman ก่อนทะยานกลับไทย

เช้าวันรุ่งขึ้น วันนี้พวกเราตื่นกันสาย เพราะสถานที่ท่องเที่ยวของวันนี้คือนครหลวงกรุง Amman เมืองที่พวกเราอาศัยหลับนอนมาหลายคืนนี่เอง หลังจากทำธุระส่วนตัวกันแล้ว พวกเราก็จัดกระเป๋าเตรียมตัวเช็คเอ้าท์ และฝากกระเป๋าไว้ที่ล็อบบี้เพราะวันนี้เป็นวันสุดท้ายของการท่องเที่ยวเช่นกัน

เราหม่ำมื้อเช้าซึ่งเป็นขนมปังทาแยมกับไข่ต้ม และชาชงฝีมือ Kenta เช่นเคย พอทราบว่า Kenta ก็เตรียมตัวกลับไปศึกษาต่อที่ซีเรียในอีกสองวันเช่นกัน เราจึงอวยพรให้หนุ่มอาทิตย์อุทัยประสบความสำเร็จในการศึกษาและการงานในอนาคต มาเมืองไทยเมื่อไหร่ เมล์บอกกันบ้างนะ นัตตี้พูดพลางขอเมล์ติดต่อกับ Kenta ผมได้ทีจึงแซวว่า แล้วไม่ขอเมล์ future husband บ้างรึ จึงโดนค้อนวงใหญ่จากนัตตี้กระแทกเต็มสองตา

การท่องเที่ยววันนี้ประหยัดมากเพราะใช้กำลังสองเท้า ข้อดีของการพักที่โรงแรมแห่งนี้คือ อยู่กลางใจเมือง ไม่ห่างจากที่กินที่ช้อบ และที่ท่องเที่ยว พวกเราจึงสามารถเดินเที่ยวได้โดยไม่ต้องใช้รถ ต้องยกความดีให้นัตตี้ผู้รับผิดชอบหาที่พักในAmman แห่งนี้

กรุง Amman เป็นเมืองเก่าแก่มีประวัติศาสตร์สืบเนื่องมาตั้งแต่ยุคบรอนซ์ เดิมเรียกว่า Ammon ซึ่งหมายถึง city of water (สงสัยคงชุ่มชื้นกว่าบริเวณอื่นมั๊ง...ผมคิด) เป็นเมืองหลวงของชาว Ammonites ซึ่งในไบเบิ้ลบันทึกว่าเคยถูกกษัตริย์เดวิดแห่งอิราเอลโจมตีเมื่อ1200BC

ในสมัยนาบาเทียน, โรมัน และไบเซนไทน์เมืองนี้ถูกเรียกว่า Philadephia เมื่อราชวงศ์อิสลาม Sassanians แห่งเปอร์เซีย มีอำนาจเหนือดินแดนแถบนี้ เมืองนี้จึงถูกเปลี่ยนชื่อมาเป็น Amman ตามชื่อเดิมแต่ออกเสียงสำเนียงอิสลามและใช้ชื่อนี้จนถึงปัจจุบัน

เนื่องจากเป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน จึงมีสถานที่ท่องเที่ยวในยุคสมัยต่างๆมากมาย สถานที่ท่องเที่ยวกลุ่มแรกของวันนี้อยู่ติดกันและมีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกัน แห่งแรกคือ Roman Forum เป็นจัตุรัสที่มีเสา columns ตั้งเรียงรายในพื้นที่ 50×100 เมตร


Roman Forum

สถานที่ท่องเที่ยวแห่งที่สองคือ Roman Theatre เป็นโรงละครขนาดใหญ่ 6,000 ที่นั่งตั้งถัดจาก Roman Forum สร้างขึ้นในสมัย 2AD ที่ด้านล่างของโรงละครมีห้องจัดแสดงเป็นพิพิธภัณฑ์สองแห่งคือ Folklore museum ซึ่งแสดงประเพณีวัฒนธรรมตั้งแต่ยุคเบดูอิน และ Museum of Popular traditions ซึ่งแสดงเครื่องแต่งกายและเครื่องประดับของชนเผ่าต่างๆ ในดินแดนแถบนี้แต่โบราณ


Roman Theatre


ด้านล่างซึ่งจัดแสดงเป็นพิพิธภัณฑ์


ตัวอย่างรูปปั้นที่แสดงวิถีชีวิตชาวจอร์แดน


โมเซอิค ที่แสดงในพิพิธภัณฑ์

สถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งซึ่งอยู่เยื้องจากRoman Theatre คือ Odeon เป็นโรงละครขนาดเล็กที่จุผู้ชม 500 ที่นั่งสร้างสมัยเดียวกันกับRoman Theatre คาดว่าน่าจะใช้เป็นสถานที่ให้เหล่า AF หรือ the Stars ยุคนั้นฝึกร้องเพลงเรียกแฟนคลับก่อนไปเปิดการแสดงใหญ่ที่ Theatre หลังได้แชมป์กระมัง


Odeon

ถัดจากชม Odeon แล้ว ผมถามเจ้าหน้าที่ที่ยืนด้านหน้าว่า the Citadel สถานที่ท่องเที่ยวแห่งต่อไปอยู่ไหน เพราะดูแผนที่แล้วไม่น่าจะไกลจากจุดที่ผมยืนอยู่เท่าใดนัก เขาชี้ให้ดูบนเนินเขาซึ่งสูงราวสองสามร้อยเมตรด้านหน้าและบอกว่า ขึ้นแท็กซี่ไปสิบนาทีก็ถึง ผมมองตาม กล่าวขอบคุณและบอกว่าคงจะเดินไปเองได้ เจ้าหน้าที่ยิ้มแล้วบอกว่าตามใจ ผมจึงชักชวนสองสาวเดินขึ้นเนินสูง มุ่งหน้าสู่ the Citadel ต่อไป

เนินที่ว่ายิ่งเดินยิ่งสูงและยิ่งชัน เนื่องจากเราเดินลัดเลาะขึ้นไปตามระยะขจัด แม้อากาศยามสายจะยังค่อนข้างเย็น แต่ก็ทำให้เหงื่อออกซึมเต็มหลัง ผมต้องหาเรื่องถ่ายรูปชมวิว เพื่อพักเหนื่อยเป็นระยะๆ


Theatre เมื่อมองจากมุมสูง

ในที่สุดพวกเราก็ถึง the Citadel สถานที่นี้เป็นกลุ่มโบราณสถาน ที่ประกอบด้วยโบราณสถานยุคต่างๆ ตั้งแต่สมัย Ammon, โรมัน, ไบเซนไทน์ จนถึงยุคอิสลาม ตั้งอยู่บนเนินสูงเหนือกรุง Amman ซึ่งสูงกว่า 850 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล โบราณสถานแห่งแรกจากทางด้านใต้ที่พวกเราเดินขึ้นมาถึงก็คือ Temple of Hercules สร้างขึ้นสมัยจักรพรรดิ Marcus Aurelius เมื่อ 161-180AD อุทิศแด่ฮีโร่ผู้ทรงพลัง ปัจจุบันโบราณสถานแห่งนี้รู้จักกันในนาม the Great Temple of Amman


Temple of Hercules

หลังจากชื่นชมความใหญ่โตอลังการของ Temple แห่งนี้แล้ว เราก็มุ่งหน้าเดินเข้าไปยังอาคารถัดไป อาคารที่ว่าคือ National Archaeological Museum เป็นพิพิธภัณฑ์ ที่ตั้งอยู่ด้านตะวันตกเฉียงเหนือของ Temple of Hercules จัดแสดงโบราณวัตถุตั้งแต่ยุคหิน สืบเนื่องมายังยุคโรมันและอิสลาม ไฮไลท์ที่ไม่ควรพลาดได้แก่ กะโหลกศีรษะยุคบรอนซ์ ที่แสดงการเจาะกะโหลกรักษาโรคในสมองในลักษณะเดียวกับการรักษาโรคของประสาทศัลยแพทย์ในยุคปัจจุบัน


ด้านหน้าพิพิธภัณฑ์


ห้ามไกด์โม้ในพิพิธภัณฑ์


กะโหลกยุคบรอนซ์ ซึ่งเคยได้รับการรักษาโดยการเจาะกะโหลกสามครั้ง(เห็นรอยแผลสมานที่กะโหลกสองครั้ง ครั้งที่สามคงรักษาไม่สำเร็จผู้ป่วยรายนี้จึงเสียชีวิต)


ตุ๊กตายุคบรอนซ์


รูปสลักโรมัน


กล่องเงินแกะสลักรูป...!!

จากนั้นเราเดินออกไปด้านหลังของพิพิธภัณฑ์ มุ่งสู่ทิศเหนือเพื่อชมซากปรักหักพังของโบราณสถาน Byzentine Basilicaซึ่งพังทลายจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่เมื่อ AD6-7 คงเหลือแต่ฐานราก บางส่วนของอาคารยังเห็นพื้นโมเซอิคที่เป็นที่นิยมในยุคนั้น แล้วพวกเราก็เดินเลยไปยังอาคารรูปทรงโดมขนาดใหญ่ คือ Audience hall ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มอาคาร Umayyad Palace อันเป็นที่พักและที่ว่าราชการของเจ้านายสมัยราชวงศ์ Umayyard สร้างขึ้นราว AD720 ทับสิ่งก่อสร้างเดิมยุคไบเซนไทน์ เมื่อมองไปด้านเหนือจะเห็นธงชาติจอร์แดนขนาดใหญ่โบกสบัดแต่ไกล ชาวจอร์แดนเขาอวดกันว่าธงนี้เป็นธงที่สูงที่สุดในโลก จะว่าไปเรื่องที่สุดในโลกนี้ สู้พี่ไทยเราไม่ได้ เพราะเรามีอะไรที่เป็นที่สุดในโลกเยอะกว่าเขามาก ได้แก่ครกที่ใหญ่ที่สุด ขนมไหว้พระจันทร์ที่ใหญ่ที่สุด ขนมหม้อแกงที่ใหญ่ที่สุด ฯลฯ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีคนเขียน blog ท่องเที่ยวที่หน้าตาดีที่สุดในโลก ใครหรือ...ก็คนเขียนบทความที่ท่านกำลังอ่านอยู่นี่ไง หุหุ (คลื่นไส้...คิดได้ไงนี่!!)


Temple ที่หลงเหลือจากบางส่วนของ Bascilica


Audience hall หนึ่งในComplex ส่วนว่าราชการและที่พักสมัยราชวงศ์ Umayards


ธงที่ว่าสูงที่สุดในโลก

ชม the Citadel เสร็จเป็นเวลาบ่ายเศษ ท้องไส้ชักรบกวน พวกเราจึงมุ่งหน้าเดินลงเนินเข้าสู่ตลาดในดาวทาวน์เพื่อแวะหาอะไรใส่ท้อง มองอยู่หลายร้าน ในที่สุดก็เลือกได้ร้านขายเบอร์เกอร์หนึ่งร้าน พวกเราสั่งชิ้นใหญ่คนละหนึ่งและน้ำส้มคั้นสดคนละแก้ว เพื่อดับเสียงโอดครวญของกระเพาะที่ต่างร่ำร้องกันยกใหญ่


ตลาดสด

หลังเติมพลังเรียบร้อย เราก็มุ่งหน้าไปอีกด้านของเมืองเพื่อไปชมมัสยิดขนาดใหญ่ซึ่งถือเป็นหัวใจของAmman คือ King Hussein Mosque มิสยิดแห่งนี้ ผู้ที่มิใช่มุสลิมสามารถเข้าชมสถาปัตยกรรมภายในได้ แต่ก็ต้องผิดหวังเพราะว่าวันที่ไป มีพี่น้องมุสลิมจำนวนมากกำลังทำพิธีทางศาสนาอยู่ ไม่สะดวกเข้าชม และผมเองก็ไม่กล้าถ่ายรูปเพราะเกรงจะรบกวนจึงไม่มีรูปมาฝาก ได้แต่ยืนชื่นชมแรงศรัทธาของชาวจอร์แดนเหล่านี้ (หากทุกศาสนิกชนต่างยึดมั่นในหลักธรรม และไม่คิดเบียดเบียนกัน โลกคงมีแต่ความสุขนะ...ผมคิด)

เมื่อไม่ได้เข้าไปชมสถาปัตยกรรมในมัสยิด เราก็เดินหน้าชมสถานที่ท่องเที่ยวแห่งต่อไป คือ Nymphaeum เป็นสวนน้ำขนาดใหญ่สมัยโรมัน ประกอบด้วย น้ำพุขนาดใหญ่ และสระว่ายน้ำขนาด 600 ตารางเมตร (ที่ปัจจุบันน้ำแห้งหมดแล้ว) ตั้งอยู่กลางตลาดไม่ห่างจากมัสยิด King Hussein แต่ก็น่าเสียดายอีกเช่นกันที่เมื่อไปถึง เห็นเครื่องจักรและคนงานกำลังบูรณะโบราณสถานแห่งนี้อยู่ เราจึงรีบเข้าไปถ่ายรูปเป็นที่ระลึกก่อนจะรีบปลีกตัวออกมาเพราะสายตาแปลกๆของคนงานที่มองมาว่า เข้ามารบกวนการทำงานของชั้นทำไม


Nymphaeum


ส่วนที่เป็นน้ำพุ

บ่ายแก่แดดเริ่มร้อนจัด เราจึงตัดสินใจกลับมาพักที่ล็อบบี้ที่โรงแรม ให้นัตตี้ถูกผู้จัดการแซวเล่นแก้ร้อน พวกเราพบนักท่องเที่ยวหลายคน บางคนก็เพิ่งมา บางคนกำลังจะกลับ พวกเราต่างแลกเปลี่ยนข้อมูลการท่องเที่ยวในจอร์แดนกันอย่างสนุกสนาน จวบจนเย็นย่ำ พวกเราจึงออกไปหามื้อค่ำกระแทกท้องมื้อสุดท้ายในจอร์แดนกัน จากนั้นสองสาวก็เดินดูสินค้าตามร้านต่างๆในย่านดาวทาวน์ จะซื้อสินค้าของฝากที่นี่โปรดดูดีๆ เพราะหลายๆชิ้น Made in China และเท่าที่คุยกับพ่อค้าหลายๆคน ก็นำสินค้าจากบ้านเรามาขายที่นี่ ดังนั้นถ้าเลือกไม่ดีไปเจอสินค้าที่เอามาจากประตูน้ำแพล็ตตินั่ม จะหาว่าผมไม่เตือนไม่ได้นะครับ


เสื้อผ้าเอาใจสามี


งานฝีมือโรยทรายที่ขายแถว Petra และ Jerash คงมีที่มาจากคุณลุงคนนี้บ้าง

เราช้อบกันจุใจ เหลือเงิน JDเท่าไหร่พยายามใช้กันให้หมด จากนั้นก็ต้องกลับมาแพ็คกระเป๋ากันใหม่ และรอเวลาแท็กซี่มารับไปส่งสนามบินในช่วงค่ำ

เรามาถึงสนามบินนานาชาติ Queen Alia เกือบสามทุ่ม แต่ยังเข้าไปอาคารด้านในไม่ได้เพราะเครื่องบินออกราวเที่ยงคืนสี่สิบห้า ต้องนั่งรอที่อาคารด้านนอก พวกเราจึงฆ่าเวลาด้วยการเล่นเกมซ่อนตาดำ(หลับ)กันสองชั่วโมง จนห้าทุ่มกว่า เจ้าหน้าที่ที่สนามบินอนุญาตให้ผ่านเข้าสู่อาคารชั้นในได้ ผมจึงปลุกสองสาวเข้าไปรับตั๋วที่เคาเตอร์สายการบิน RJA ก่อนจะไปต่อแถวตรวจตม. ข้อมูลที่น้องแอร์คนไทยบอกเมื่อวันเดินทางมาถึงจอร์แดนวันแรกว่า ต้องเสียภาษีสนามบินขาออกคนละ 10JD อาจไม่ทันสมัย เพราะปรากฏว้าเราไม่ต้องเสีย จึงเหลือเงินคนละ 10JD จะแลกคืนก็ไม่ได้ ถ้าจะซื้อของที่ duty free อย่างมากคงได้ขนมถุงเล็กๆ ผมจึงพลาญด้วยการไปนั่งจิบกาแฟที่ สตาร์บัก(ขอค่าโฆษณาด้วยครับ) จนได้เวลาเรียกขึ้นเครื่อง คณะเราก็มุ่งหน้าทะยานฟ้ากลับเมืองไทยอันเป็นที่รักยิ่งอย่างมีความสุข

ซาลาม อัลเลกุมชาวจอร์แดนที่น่ารัก หวังว่าคงได้พบกันใหม่ สวัสดีครับ




 

Create Date : 06 มีนาคม 2552   
Last Update : 6 มีนาคม 2552 11:41:12 น.   
Counter : 2666 Pageviews.  


เป้เดี่ยว...เที่ยวจอร์แดน9

ตอน...งามบรรเจิด Desert castles

เช้าวันรุ่งขึ้นเราลงมาทานอาหารที่ล็อบบี้ ผมเจอผู้จัดการตามเคย คราวนี้เขาเอาใจเป็นพิเศษโดยให้ Kenta หากาแฟอาหรับมาให้ผมลองชิม นัตตี้แกล้งเมินไม่คุยด้วยอีก ผู้จัดการจึงบอกว่า ไม่ทันไร my future wifeกลับกลายเป็น ex wife เสียแล้ว นัตตี้ฟังแล้วหัวเราะทนเก๊กต่อไม่ไหว จึงยอมพูดคุยเล่นหัวด้วยใหม่

ผมสอบถามสถานการณ์ที่ชายแดนว่ามีปัญหาอันใดหรือไม่ เพราะเมื่อวานเราไม่สามารถเดินทางไป Pella ได้ แกบอกว่าก็ไม่มีอะไรนี่ เปิดช่อง Al Jazeera ภาคภาษาอังกฤษ ก็ไม่เห็นข่าวคราวอันใด เห็นแต่ข่าว 7 ตุลา ของเมืองไทย แต่ภาพดูน่ากลัวเกินความเป็นจริง ผมจึงรีบบอกกับนักท่องเที่ยวคนอื่นๆที่นั่งหม่ำมื้อเช้าด้วยกันว่า เหตุการณ์ไม่ได้รุนแรงมากเหมือนในข่าว และปัจจุบันทุกอย่างสิ้นสุดแล้ว ประเทศไทยกลับมาน่าเที่ยวเช่นเดิม (ช่วยประชาสัมพันธ์ประเทศไทยไปในตัว) ผู้จัดการได้ทีรีบช่วยพูดเพื่อเอาหน้าบ้างว่า เมืองไทยน่าเที่ยว คนไทยใจดี จนนัตตี้หมั่นไส้ จึงถามไปว่า เคยมาเมืองไทยหรือ แกยักไหล่แล้วบอกว่าไม่เคยไปหรอก แต่ทุกคนที่เคยไปเมืองไทยต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ประเทศไทยน่าเที่ยว คนไทยใจดี จึงน่าจะเชื่อถือได้

เมื่อถึงเวลาเรารีบลงมารอโชเฟอร์ตามนัดหมาย โชเฟอร์มาตรงเวลาเป๊ะ เมื่อเห็นหน้าเราก็ยิ้มรับและพาไปขึ้นรถที่จอดไว้ พวกเราเดินทางออกจาก Amman มุ่งไปทางทิศตะวันออก ตามเส้นทางหลวงที่ตัดผ่านทะเลทรายไปอิรัก และซาอุฯ เป้าหมายวันนี้ คณะเราตั้งเป้าจะไปพิชิตป้อมปราสาทกลางทะเลทราย หรือ Desert castles กัน

เส้นทางมุ่งหน้าไปยังทิศตะวันออกของประเทศที่ตัดผ่านทะเลทรายนี้ เดิมเป็นเส้นทางของนักแสวงบุญและพ่อค้าที่จะเดินทางไปMecca และ Baghdad จึงมีป้อมปราสาทเป็นสิบแห่ง ตั้งเรียงรายเป็นระยะๆเพื่อใช้เป็นที่พัก ที่อาบน้ำ และเป็นที่ตั้งของกองทหารเพื่อรักษาความปลอดภัยตลอดเส้นทาง ปัจจุบันเส้นทางนี้เป็นเส้นทางยุทธศาสตร์สายที่10 ที่มุ่งสู่อิรักและเป็นทางผ่านท่อส่งน้ำมัน Trans- Arabia ดังนั้นสองข้างทางนอกจากทะเลทรายแล้ว ก็จะเห็นโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เป็นระยะๆ และรถที่วิ่งในเส้นทางนี้ส่วนใหญ่จึงเป็นรถบรรทุก 18 ล้อ

ราวสี่สิบนาที หรือ 65 km จาก Amman เราก็มาถึงปราสาทแห่งแรกของวันนี้ คือปราสาท Qasr Karaneh เป็นป้อมปราสาทขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่โดดเด่นข้างทางหลวง มีจารึกที่ประตูว่าสร้างขึ้นราว AD710จากโครงสร้างเดิมของป้อมสมัยโรมัน หรือยุคไบเซนไทน์ สถาปัตยกรรมภายในส่วนใหญ่เป็นแบบราชวงศ์ Umayyard ราชวงศ์แรกของอิสลาม และเข้าใจว่าน่าจะมีการต่อเติมเสริมสร้างในยุคถัดๆมา เพราะมีบางส่วนเป็นสถาปัตยกรรมของราชวงศ์ Sasanian ราชวงศ์อิสลามในยุคต่อมา


Qasr Karaneh

ภายในประกอบด้วยห้องขนาดต่างๆหรือที่เรียกว่าbaytsถึง 61 ห้อง พวกเราเป็นคณะแรกของวันนี้ จึงเข้าไปเดินเล่นได้อย่างสบายไม่มีใครรบกวน แต่สักพักก็เริ่มมีคณะทัวร์ฝรั่งกลุ่มใหญ่ตามเข้ามา เราจึงรีบเดินทางหลบความวุ่นวายของลูกทัวร์รุ่นลุงป้าไปยังปราสาทต่อไป


ภายในป้อม เห็นbayts หรือห้องต่างๆ


บันไดทางขึ้นชั้นบนปราสาท


หนึ่งในห้องโถง หรือ bayt ขนาดใหญ่


รูปแบบสถาปัตยกรรม แบบ Umayyard

ปราสาทถัดไปอยู่ห่างจากปราสาทแรกประมาณ 20 km เป็นปราสาทขนาดเล็ก ที่ชื่อว่า Qusayr Amra (Qusayr = little castle) อย่าเห็นว่าเป็นแค่ปราสาทขนาดเล็กๆ ไม่น่าสนใจ เพราะถึงจะเล็ก แต่ก็เล็กเซียวหงส์ เพราะปราสาทนี้เป็นหนึ่งใน UNESCO world heritage list เลยทีเดียว


Qusayr Amra

ค่าเข้าชม 2JD (แถมชมปราสาทอื่นๆได้อีกสองแห่ง) สร้างในสมัย Umayyard เช่นกัน ความสำคัญของปราสาทนี้ คือเป็นแหล่ง Entertainment complex ในยุคนั้น คงคล้ายๆ พระรามเก้าคาเฟ่ บ้านเรา กระมัง (ไม่แน่ใจ เพราะไม่เคยเข้าครับ) เพราะประกอบไปด้วย audience hall; bath complex ที่ประกอบด้วยห้องน้ำเย็น น้ำอุ่น และน้ำร้อน (แต่ไม่แน่ใจว่าจะให้บริการอาบด้วยนวดด้วยรึเปล่า...อุอุ ^^); และอาคารเก็บกักน้ำ ภายในประดับประดาด้วยภาพ fresco เป็นรูปลวดลายต่างๆที่ผนัง และพื้นห้องประดับประดาด้วยโมเซอิค

ลองคิดดู เมื่อพันกว่าปีก่อน หลังจากเดินทางเหน็ดเหนื่อยรอนแรมกลางทะเลทรายมาหลายวัน แล้วได้มาพักอาบน้ำแร่แช่น้ำอุ่น ฟังดนตรี จิบเครื่องดื่มรสเยี่ยม ชิมอาหารรสยอด ความสุขเช่นนี้ยากจะหาอะไรมาเปรียบปาน เห็นด้วยไหมครับ


บ่อน้ำและระหัดสูบน้ำบาดาล


ภาพ fresco ที่ผนังด้านใน


พื้นอาคารประดับโมเซอิค


UNESCO การันตีความงาม

ปราสาททะเลทรายแห่งถัดไปคือ Qasr al-Azraq จะว่าไป ปราสาทนี้จะจัดว่าเป็นปราสาททะเลทรายหาได้ไม่ เพราะตั้งอยู่ในเมือง Azraq อันเป็นพื้นที่ชุ่มชื้นหรือโอเอซิสที่อยู่กึ่งกลางระหว่างกรุง Amman นครหลวงกับชายแดน จอร์แดน-อิรัก เป็นปราสาทหินขนาดใหญ่กินพื้นที่กว้างขวางกว่า ปราสาทสองแห่งแรกมาก คาดกันว่าถูกสร้างในสมัยโรมัน และถูกบูรณะหลายครั้งในสมัยไบเซนไทน์ และราชวงศ์ต่างๆของอิสลาม ที่นี่เก็บค่าเข้าชม แต่หากท่านมีบัตรชมจากปราสาทแห่งอื่นแล้วก็สามารถเข้าชมได้โดยไม่ต้องชำระเพิ่มเติมแต่ประการใด (เพียงแต่ต้องเก็บหางตั๋วไว้แสดง)


ป้าย ณ ประตูด้านใต้ บ่งบอกว่าปราสาทนี้ Lawrence เคยใช้


Qasr al-Asraq

ปราสาทแห่งนี้มีอาคารประกอบหลายส่วนจัดทำเป็นมัสยิด ห้องอาหาร ห้องประชุม ห้องพัก และคุก เหตุที่ปราสาทแห่งนี้มีชื่อเสียงโด่งดัง เพราะ TE Lawrence เคยใช้ปราสาทนี้เป็นฐานทัพทำศึกชนะ Ottoman ในช่วง 1917-18

ต่อมาในปี 1927 เกิดแผ่นดินไหว ปราสาทส่วนใหญ่ทรุดตัวลง ดังนั้นในปัจจุบันจึงเห็นโครงสร้างของปราสาทแห่งนี้เป็นอาคารชั้นเดียวเสียส่วนใหญ่

โถงภายใน ใช้เป็นห้องทำครัว (โปรดสังเกต เขม่าไฟ)


บันไดภายนอกอาคารที่ใช้เป็นมัสยิด

ปัจจุบันบางส่วนของปราสาทจัดเป็นพิพิธภัณฑ์แสดงโบราณวัตถุของราชวงศ์อิสลาม และหินสลักรูปสัตว์ต่างๆ แม้ว่าภายนอกปราสาทจะมีอุณหภูมิสูง แต่เมื่อเข้าสู่ภายในปราสาท อุณหภูมิกลับเย็นลงได้อย่างน่าประหลาด คงเป็นอานุภาพของหินที่ใช้ก่อสร้าง


ส่วนที่จัดสร้างเป็นพิพิธภัณฑ์ ถูกประดับด้วยหลอดไฟสีให้ดูเตะตา

ถัดจาก al-Azraq เราเดินทางย้อนกลับเข้าสู่ทะเลทรายไปทางตะวันตกเฉียงเหนือของเมือง Asraq เพื่อเข้าชมปราสาทแห่งต่อไป ปราสาทที่ว่ามีชื่อว่า Hammam al-Sarah เป็นปราสาทเล็กๆตั้งอยู่นอกเมือง Hammam แปลว่า bathhouse ลองเดาดูไหมครับว่า ปราสาทนี้ใช้ทำอะไร ถถถถูกต้องแล้วคร้าบ...ปราสาทแห่งนี้ก็เป็น คาเฟ่(แบบไทยๆ)อีกแห่งหนึ่งให้บรรดาเหล่านักเดินทางและเหล่าพ่อค้าคาราวานใช้อาบน้ำชะรำร่างกาย รวมทั้งพักผ่อนหย่อนใจ กลางทะเลทรายอีกแห่งหนึ่งคล้าย Amra แต่เจ้าของจะเป็นเสี่ยหรือป๋าคนเดียวกันหรือไม่ มิอาจทราบได้

ภายในประกอบด้วย audience-hall, bath complex และ hydraulic structures เหมือนๆ Amra เพียงแต่มีส่วนบุบสลายพังทลายไปกับกาลเวลามากกว่า และกำลังอยู่ในช่วงบูรณปฏิสังขรณ์ จึงมีเพียงคณะเราคณะเดียวที่เข้าชมปราสาทแห่งนี้เช่นเคย ปราสาทแห่งนี้ชมฟรีครับ


Hammam al-Sarah


ส่วน bathhouse ที่อยู่ระหว่างการบูรณะ


ฐาน ที่กำลังรอใส่โดม

ปราสาทแห่งสุดท้ายของทัวร์วันนี้ เป็นปราสาทขนาดใหญ่ที่สุด อยู่ห่างจาก Hammam al-Sarah ราว 2 กิโลเมตร ปราสาทที่ว่าคือ Qasr al-Hallabat เป็นปราสาทขนาดใหญ่และเก่าแก่มาก สร้างขึ้นในสมัยโรมันและได้รับการต่อเติมในสมัยราชวงศ์ Umayyard ภายในประกอบด้วยอาคารที่ประดับด้วย ภาพ fresco และ โมเซอิค นอกจากนี้ยังจารึกอักษรโบราณบนผนังอาคารที่สร้างจากหินอีกด้วยปัจจุบันอยู่ในระหว่างการบูรณะ ซึ่งคาดว่าใกล้แล้วเสร็จในเวลาอีกไม่นานนัก


Qasr al-Hallabat บนเนิน ถ่ายให้เห็นเครนที่ใช้ยกหินที่บูรณะแล้วใส่คืนที่เดิม


อาคารประกอบที่บูรณะเสร็จแล้ว


หน้าต่างแบบ Umayyard

ปราสาทแห่งนี้ผมเข้าชมฟรี แถมมีมัคคุเทศก์ ซึ่งเป็นช่างซ่อมชาวจอร์แดนผู้ใจดี ช่วยนำชมพื้นที่ต่างๆในปราสาท ด้วยภาษามือแบบใบ้คำ เพราะแกพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ส่วนพวกเราก็ไม่เข้าใจภาษาอารบิค แต่ยังพอสื่อสารกันได้ด้วยหัวใจเป็นมิตร จึงขอขอบคุณอีกครั้ง ณ ที่นี้


arch ยุคโรมัน


โมเซอิค บนพื้นอาคาร


ภาพโมเซอิค จากมุมสูง


จารึกโบราณบนหิน นำมาประดับบนกำแพงใหม่นอกปราสาท

หลังจากชมสุดยอดไฮไลท์ปราสาททะเลทรายทั้งห้าแห่งครบถ้วนก็เป็นเวลาบ่ายแก่ เราทั้งเหนื่อยและเพลียจึงรีบกลับมาซุกตัวในรถหลบไอแดดเพื่อเดินทางกลับ Amman กัน




 

Create Date : 03 มีนาคม 2552   
Last Update : 3 มีนาคม 2552 11:43:58 น.   
Counter : 1406 Pageviews.  


เป้เดี่ยว...เที่ยวจอร์แดน8

ตอน...Jerash มหานครโรมัน

เมืองโบราณแห่งสุดท้ายที่มิอาจพลาดได้ คือ Jerash เป็นเมืองที่มีประวัติเก่าแก่ย้อนสมัยไปถึงสมัย อเล็กซานเดอร์มหาราช ต่อมาเมื่อนายพล Pompey แห่งโรมันมีชัยเหนือเมืองนี้เมื่อ 64BC เมือง Jerash หรือ Gerasa นามในอดีตก็ถูกปกครองในฐานะส่วนหนึ่งของ Roman province of Syria เมื่อการค้าขายทางเหนือมีความสำคัญมากขึ้นแทนที่แถบ Petra เดิม Jerash มีประชากรมาอาศัยมากขึ้นๆ จึงได้รับการพัฒนาและมีการก่อสร้างอาคารทรงโรมันต่างๆขึ้นอย่างมากมาย สืบเนื่องมาถึงยุคไบเซนไทน์

ในสมัยราชวงศ์อิสลาม Sasanians (แห่งเปอร์เซีย) เข้าปกครองดินแดนแถบนี้ เกิดแผ่นดินไหวใหญ่เมื่อ AD747 สิ่งก่อสร้างต่างๆในเมืองนี้จึงถูกทำลาย ปัจจุบันเหลือเพียงหนึ่งในสี่ของอดีต (ขนาดเหลือโบราณสถานแค่หนึ่งในสี่ ยังใหญ่โตกว้างขวางสุดสายตา ใช้เวลาเดินเที่ยวเป็นวันๆ จึงจะครบเลยครับ)

มา Jesah มองผิวเผินคล้ายกำลังเดินเล่นในอิตาลี หรือ กรีซ เพราะสถาปัตยกรรมส่วนใหญ่คล้ายคลึงกัน เพียงแต่มีสิ่งก่อสร้างที่หักพังมากกว่าจากแผ่นดินไหวเมื่อหลายร้อยปีก่อน ขณะผมเที่ยวชม สังเกตเห็นโบราณสถานหลายๆแห่งอยู่ในช่วงบูรณะซ่อมแซม คาดว่าในอนาคตอันใกล้คงสวยงามไม่แพ้โรม หรือเอเธนส์เลย โดยเฉพาะในช่วงเทศกาล Jerash festival ที่ผู้เข้าร่วมงานจะแต่งกายในชุดโรมันโบราณทำการเฉลิมฉลองต่อเนื่องกัน 17 วันในช่วงกลางเดือนกรกฎาคม ถึงกลางเดือนสิงหาคมของทุกปี ยิ่งจะทำให้คุณคิดว่าเข้าไปสู่ยุคโรมันเลยทีเดียว

เมื่อไปถึงสถานที่แรกสร้างความตื่นตาตื่นใจประตูทางเข้าด้านทิศใต้อันใหญ่โตมโหฬาร ซึ่งตอนแรกเราเข้าใจว่าน่าจะเป็น Hadrian’s Arch ประตูทางเข้าหลักด้านใต้ ที่สร้างโดยจักรพรรดิ Hadrian แต่ปรากฏว่าเป็นของทำใหม่ เพราะ Hadrian’s Arch ของจริงซึ่งอยู่ถัดเข้าไปข้างในอีกหลายร้อยเมตร


ประตูทางเข้า


เยื้องทางเข้าเห็นด้านหลังสนามแข่งม้าโรมันอยู่ไม่ไกล


Hadrian's arch ของจริง

สถานที่ถัดมาคือ สนามแข่งม้ายุคโรมัน ซึ่งเคยใช้สถานที่ถ่ายทำฉากแข่งม้าสุดคลาสสิกในภาพยนตร์เรื่อง Ben-Hur มาแล้ว


ด้านในสนามแข่งม้า


(สลัด)ซีซาร์ บนอัฒจรรย์สนามแข่งม้า

ส่วนที่อยู่ถัดจาก สนามม้าคือ Hippodrome เป็นอาคารขนาดใหญ่ที่ใช้เป็นที่ชมการแข่งม้า และกีฬาอื่นๆที่จัดในสนามม้า (เช่นมวยปล้ำ) มีความจุถึง 15,000ที่นั่ง ทำให้จินตนาการได้ถึงจำนวนประชากรที่เคยอาศัยใน Jerash เมื่อกว่าสองพันปีที่แล้วว่ามีมากเท่าใด


Hippodrome

จาก Hippodrome เราเดินเข้ามาพบกับลานรูปไข่ขนาดใหญ่ ขนาด 80×90 ตารางเมตร ล้อมรอบด้วยเสา columns จำนวนมาก สถานที่ที่ว่าคือ Oval Plaza


Oval Plaza จากมุมสูง


หวานใจเริงร่าใน Oval Plaza

หลังจากเพลิดเพลินเจริญใจใน Oval Plaza แล้วพวกเราก็เดินไปตาม Colonnaded street หรือถนนที่สองข้างทางประดับด้วยเสาหินโรมันขนาดใหญ่จนมาพบกับ South Tetrapylon หรือสี่แยกทิศใต้นั่นเอง มีความงดงามทางสถาปัตยกรรม เพราะที่แยกนี้มีอาคารที่มีฐานทรงสี่เหลี่ยมลูกบาศก์ 4 แห่งตั้งอยู่ที่มุมทั้งสี่ของจุดตัดของแยก ด้านบนคาดว่าประกอบด้วยเสาcolumns และโครงสร้างรูปทรงพีระมิด แต่ปัจจุบันพังทลายเหลือแต่ฐานทั้งสี่ดังกล่าว


หนึ่งในสี่ฐาน Tetrapylon

อาคารถัดมามีชื่อว่า the Cathedral เป็นวัดโรมันที่สร้างแด่เทพแห่งเมรัย Dionysus ต่อมาในสมัยไบเซนไทน์จึงถูกใช้เป็นโบสถ์คริสต์ จาก the Cathedral เดินลึกเข้าไปจะพบโบสถ์คริสต์อีกแห่งหนึ่งคือ โบสถ์ Saint Theodore เป็นโบสถ์เล็กๆที่สร้างในสมัย 496AD


Cathedral

ส่วนอาคารที่ติดกับ Cathedral มีชื่อว่า Nymphaeum เป็นน้ำพุขนาดใหญ่ที่สร้างสมัย 191AD สงสัยคนโรมันจะชอบน้ำพุมาก เพราะไม่ว่าจะเป็นเมืองไหนดินแดนใด ก็ต้องสร้างน้ำพุไว้ทุกเมือง


Nymphaeum น้ำพุยุคโรมันสูงกว่าตึกสามชั้น

อาคารถัดไป คือ Prophylaeum เป็นทางเข้าวิหาร เทพี Artemis เป็นอาคารที่มีเสา columns จำนวนมากเป็นส่วนประกอบ


Prophylaeum

ขณะที่เรากำลังมุ่งหน้าเดินผ่าน Prophylaeum ก็มีตำรวจมาบอกว่า ได้เวลาปิดแล้วขอเชิญกลับได้ โห...เดินเพลินจนลืมเวลาเลยว่า 4 โมงกว่าแล้ว ผมเหลียวมองหา the north gate ประตูด้านเหนือด้วยความเสียดายว่ายังมีอาคารด้านเหนืออีกหลายแห่ง ที่ยังไม่ได้ไป ผมรับคำตำรวจแล้วแอบไปโอ้เอ้ที่วิหารเทพี Artimis ต่อ จากนั้นค่อยเลี้ยวอ้อมย้อนกลับไปประตูทิศใต้เพื่อให้เห็น South theater ที่บรรจุคนได้ 3,000 ที่นั่งและวิหารเทพ Zeus วิหารขนาดใหญ่ที่สร้างสมัยจักรพรรดิ Hadrian เมื่อ100-80BC ที่ประกอบด้วยเสา columns ขนาดใหญ่ที่มีความสูงกว่า 15 เมตร ก่อนจะเดินผ่านประตูไปด้วยความเสียดาย


South theater


วิหารเทพ Zeus

ด้านนอกประตูมีร้านขายของที่ระลึกหลายร้าน สินค้าส่วนใหญ่คล้ายๆที่ขายใน Petra เราแวะดูกันสักพัก ก่อนจะมุ่งหน้ากลับ Amman ระหว่างทางโชเฟอร์ชี้ให้ดูเขื่อนที่เก็บกักน้ำเพื่อนำไปใช้ใน Amman และเมืองใกล้เคียง เมื่อใกล้เข้า Amman โชเฟอร์ถามเช่นเคยว่า พรุ่งนี้เราสนใจไปไหน ผมแจ้งว่าเราจะไป Desert castle เขาจะคิดเท่าไหร่ เมื่อเขาบอกราคา ผมจึงบอกว่าที่โรงแรม เขาติดป้ายมีรถพาไปในราคาที่ถูกกว่า 10JD พอจะลดได้ไหม ถ้าได้ก็จะไปกับโชเฟอร์ แกลังเลเล็กน้อยก่อนโทรศัพท์ไปปรึกษากับใครสักคน(ซึ่งนัตตี้ว่า คงเป็นภรรยา) จากนั้นจึงตอบตกลง พวกเราจึงได้ไปเที่ยว ในวันพรุ่งนี้กับโชเฟอร์คนเดิมที่ไม่เรื่องมากแทนที่จะต้องไปไหว้วาน ตาผู้จัดการโรงแรมผู้มากลีลาให้ช่วยหารถให้ (ซึ่งไม่รู้จะหาได้หรือไม่เหมือนวันนี้)


Jerash ยามใกล้ค่ำ


ทิวทัศน์เขื่อนใกล้ Amman

เมื่อถึงโรงแรม ผู้จัดการตัวดียิ้มรับที่ล็อบบี้ นัตตี้แกล้งทำเมินหน้าไม่สนใจ เพราะหมั่นไส้เรื่องเมื่อเช้า รีบเดินปลีกตัวตามหวานใจขึ้นห้องไป ส่วนผมก็ไม่พูดเล่นหัวเช่นเดิม แวะซื้อน้ำเปล่าก่อนจะขึ้นไปอีกคน ปล่อยให้แกยืนสงสัยว่าทำไมเราไม่เล่นด้วยเช่นเดิม

หลังจากทำธุระส่วนตัวและพักผ่อนเล็กน้อยแล้ว ก็ลงไปหาอาหารค่ำก่อนจะกลับมาพักผ่อนเอาแรง เตรียมตัวเที่ยวกันในวันต่อไป





 

Create Date : 27 กุมภาพันธ์ 2552   
Last Update : 27 กุมภาพันธ์ 2552 10:26:41 น.   
Counter : 1509 Pageviews.  


เป้เดี่ยว...เที่ยวจอร์แดน7

ตอน...แอ่วเหนือชมเมืองโบราณ

เช้าวันรุ่งขึ้นเราลงมาหม่ำอาหารเช้า บริเวณ lobby ของโรงแรม ณ ที่นี่เราพบลุงผจก.อารมณ์ดีคนเดิมนั่งจิบชาอยู่ พร้อมพนักงานที่ทำงานลักษณะเสี่ยวเอ้อคือทำหน้าที่ทุกอย่างของโรงแรม เป็นหนุ่มชาวญี่ปุ่นชื่อ Kenta ขณะรอเขาเสิร์ฟมื้อเช้าซึ่งเป็นขนมปังทาแยมทานกับไข่ต้ม ผมลองสอบถามได้ความว่า หลังจากจบมัธยมก็ท่องเที่ยวไปมาหลายประเทศรวมถึงเคยมาประเทศไทย ต่อมาได้ตัดสินใจเรียนภาษาอารบิคที่ซีเรียได้ปีกว่า จนพูดและเขียนภาษาอารบิคได้ เขามาทำงานที่นี่เพื่อเก็บเงินไปเรียนต่อได้ประมาณสองเดือนแล้ว (สุดยอดมาก...ผมคิด)


Mansour Hotel

ตาลุงผจก.เห็นเราให้ความสำคัญกับ Kenta มากไปคงอิจฉาจึงเข้ามาแทะโลมนัตตี้เช่นเคย วันนี้ก้าวหน้าถึงเรียกนัตตี้ว่า “my future wife” ซึ่งนัตตี้ก็นึกสนุกเล่นมุขตามแกไปเรื่อย วันนี้แกถามว่าเราไปที่ไหน เพราะทางโรงแรมเขาก็มีconnection กับ local tour ที่นี่ ผมบอกว่าวันนี้เราจะขึ้นเหนือไป Umm Qais และ Jerash กับเมืองข้างเคียงอีกสอง แกถามว่าเท่าไหร่ พอผมบอกราคาไปว่า 60JD แกก็บอกว่าแพง เอางี้ไหมเขาหารถที่พาไปได้ในราคาถูกกว่า แต่เราจะไปหรือไม่ก็ตามใจ

พวกเราชักติดใจระบบการตัดราคากันเองของที่นี่แล้ว ผมจึงบอกว่า เรานัดคนขับไว้ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว เขาไม่ว่าอะไรหรือ ลุงผจก.บอกว่า ยังไม่จ่ายเงินใช่ไหม ไม่เป็นไร แล้วแกจะคุยกับโชเฟอร์แทนให้ และให้พวกเราไปหลบในห้องสักพัก และติดต่อรถที่มี connection กับทางโรงแรมให้แทน เราจึงขึ้นไปนั่งเล่นในห้องพักฆ่าเวลาเกือบหนึ่งชั่วโมง พวกเราจึงลงไปหาลุงผจก.ตามที่นัด

เมื่อลงไป lobby อีกครั้ง จึงถามลุงผจก.ว่าตามรถให้รึยัง แกทำหน้างงๆแล้วพูดว่า รถอะไรหรือ ผมจึงย้อนความที่คุยกันเมื่อเช้า แกก็บอกว่านึกว่าเราจะไปกับโชเฟอร์ที่นัดจึงไม่ได้ติดต่อให้ และเพิ่งให้คนรถไปส่งลูกค้าอีกคนเมื่อกี้นี้เอง (อ้าวลุง...ไหงทำอย่างนี้ล่ะ แล้วจะทำไง ผมคิด) นัตตี้หงุดหงิดเล็กน้อยและบ่นว่า สงสัยแกคุยกับทางบริษัททัวร์ราคาไม่โอเค แกจึงทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้

ผมจึงรีบลงไปด้านหน้าของโรงแรมเผื่อว่าโชเฟอร์ที่นัดเดิมยังอยู่ ปรากฏว่าก็ยังอยู่แต่แสดงอาการหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด (แน่ล่ะยืนรอหนึ่งชั่วโมง อากาศก็หนาว เป็นใครก็โกรธ) ผมรีบแก้ปัญหาเฉพาะหน้าโดยบอกไปว่า เราหนาวเลยรอที่ lobby คิดว่าเมื่อโชเฟอร์มาจะขึ้นมาหา นี่เห็นว่าผิดเวลาจึงลองลงมาดู (ต้องโกหกเพื่อเอาตัวรอด เสียใจจัง) โชเฟอร์ทำหน้างงเล็กน้อย และบอกว่างั้นรึ สงสัยคงเข้าใจผิดกัน ขอโทษด้วย (เราเป็นฝ่ายผิด แต่กลายเป็นโชเฟอร์ต้องขอโทษ เสียใจอีกแล้วที่วันนี้ศีลไม่บริสุทธิ์ อโหสินะพี่โชเฟอร์) หลังจากนั้นผมขอเวลาหนึ่งนาทีไปตามเพื่อนๆ จากนั้นก็รีบวิ่งขึ้นมาเรียกหวานใจและนัตตี้ให้ลงไปข้างล่าง โดยไม่สนใจตาลุงผจก.คนนั้นอีกเลย

ผมขึ้นรถแล้วบอกหวานใจกับนัตตี้เรื่องเสียใจที่ต้องโกหกโชเฟอร์ เธอทั้งสองเข้าใจ แถมให้กำลังใจว่าเพื่อความอยู่รอดของtrip ที่ทำไปไม่เป็นไรหรอก ช่วงการเดินทางเช้านั้นพวกเราพยายามชวนคุยเอาใจโชเฟอร์ ไม่ให้แกคิดถึงเรื่องต้องทนหนาวรอนาน

พวกเราเดินทางออกนอกเมืองมุ่งหน้าขึ้นเหนือ ทิวทัศน์เห็นสีเขียวของต้นไม้มากขึ้น เห็นความอุดมสมบูรณ์มากกว่าทิวทัศน์ทางใต้มาก(แต่ยังแล้งกว่าไทย) มีแปลงปลูกพืชล้มลุกและยืนต้นเป็นระยะๆ ตลอดเส้นทาง พื้นที่ตอนเหนือของประเทศอยู่ในเขตเสี้ยววงเดือนเห็นความอุดมสมบูรณ์แถบตะวันออกกลางมาแต่โบราณ อันประกอบด้วยพื้นที่บางส่วนของจอร์แดน ซีเรีย อีรัก และซาอุฯ


ทิวทัศน์ทางเหนือ ที่เริ่มมีสีเขียวให้เห็น

เมืองแรกที่เราผ่านคือ Irbid เป็นเมืองใหญ่อันดับสองของประเทศรองจาก Amman เมืองนี้เป็นศูนย์กลางการศึกษาและการคมนาคมทางตอนเหนือของประเทศ มีสถานีรถประจำทางขนาดใหญ่ ที่สามารถต่อรถไปเที่ยวเมืองต่างๆทางตอนเหนือของประเทศได้ แต่เดิมพวกเราตั้งใจจะมาขึ้นรถประจำทางจาก Amman มาต่อรถไปเที่ยวอีกสี่เมืองวันนี้ แต่มาพิจารณาดูแล้วเกรงว่าหนึ่งวันจะเที่ยวได้ไม่ครบ เพราะหมดเวลาไปกับการเดินทางมากไปแม้ว่าจะประหยัดเงินได้ แต่หากใครมีเวลาอยากสัมผัสบรรยากาศชาวจอร์แดนแท้ๆ ลองหาที่พักที่ Irbid และจับรถเมล์เที่ยวทางเหนือวันละเมืองคงได้สนุกไปอีกแบบนะครับ

ระหว่างทางเราพบขบวนรถยนต์สามสี่คันขับฉวัดเฉวียนบีบแตรสนั่นหวั่นไหว แถมมีหนุ่มๆสาวๆยื่นตัวออกมาทางหน้าต่างโบกผ้าชูมือร้องรำทำเพลงกันสนุกสนาน(หนุ่มหนึ่งคัน สาวอีกหนึ่งคัน) ถามพี่โชเฟอร์ได้ความว่า เป็นขบวนแต่งงาน ถัดไปอีกหน่อย เห็นคนออกมาร้องรำทำเพลงที่ถนนรอบๆรถบรรทุกขณะติดไฟแดง มองไปก็เห็นบ่าวสาวนั่งอยู่ในรถ เราจึงโบกมือทักทายขณะขับผ่านไปด้วยความยินดี (วันนี้คงเป็นวันดี เพราะแค่เมืองเดียวก็เห็นงานแต่งงานถึงสองคู่ ผมคิด)


รถที่บรรทุกบ่าวสาวซึ่งติดไฟแดงอยู่

เรามุ่งเหนือขึ้นไปจนสุดใกล้พรมแดนซีเรีย เข้าสู่เมืองท่องเที่ยวแห่งแรกของวันนี้คือ Umm Qais

Umm Qais หรือสมัยโบราณเรียกว่า Gadara เป็นเมืองโบราณที่มีประวัติเก่าแก่มาตั้งแต่ สมัยปโตเรมีราว 198BC c ต่อมา Gadara อยู่ภายใต้การปกครองของโรมัน โดยเป็นส่วนหนึ่งของ Roman province of Syria

ภายหลังการล่มสลายของอาณาจักร Nabataean ในสมัย AD106 จากการถือกำเนิดของเส้นทางสายไหม เส้นทางการค้าที่มาแทนเส้นทางคาราวานเดิมที่ผ่านทาง Petra เมือง Gadara จึงเจริญรุ่งเรืองขึ้นในฐานะที่อยู่ในเส้นทางผ่าน ภาย หลังอิสลามได้ครอบครองดินแดนแถบนี้ โดยเฉพาะในสมัย Ottoman มีการปรับปรุงก่อสร้างอาคารใหม่ทดแทนอาคารแบบโรมันเดิม ดังนั้นเราจะพบสถาปัตยกรรมในยุคต่างๆ ทั้งกรีก โรมัน และอิสลาม โดยเฉพาะในยุคออตโตมัน ในเมืองโบราณแห่งนี้

ค่าเข้าชม คนละ 1JD หากต้องการไกด์เขาคิด 5JD แต่ผมค้นข้อมูลมาพอสมควรแล้วจึง ไม่เอา อากาศเย็นครึ้มเมฆมากผิดกับทางใต้ ภาพที่ได้อาจไม่ค่อยสวยนัก

สถานที่แรกที่เราเข้าชมคือ โรงละครสมัยโรมัน ที่นี่มีความจุ 3,000 ที่นั่ง สภาพยังค่อนข้างดีกว่าที่ Petra สามารถเข้าไปเดินเล่นได้


ทางเข้าเมืองโบราณ Umm Qais โปรดสังเกตสถานที่ท่องเที่ยวทุกแห่งของจอร์แดน จะดูแลความสะอาดเป็นอย่างดี


โรงละครยุคโรมัน

สถานที่ต่อมาพวกเรามุ่งหน้าเข้าไปชม museum ซึ่งแสดงโบราณวัตถุสถาปัตยกรรมของกรีก และโรมันหลายชิ้น ไฮไลท์ของที่นี่คือรูปปั้นเทพธิดาประจำเมืองซึ่งศีรษะไม่มีเสียแล้ว และภาพโมเสอิคตามความนิยมในยุคไบเซนไทน์


รูปปั้นเทพธิดาประจำเมือง และภาพโมเซอิค สัญลักษณ์ของเมืองนี้

ถัดจาก museum ผมเดินไปตามถนนหลักของเมืองที่มีชื่อว่า decumanus maximus เป็นถนนปูด้วยหินสีดำที่เชื่อม Umm Qais (Gadara) กับเมืองชายฝั่งเมดิเตอร์เรเนียนอื่นๆ ตั้งแต่สมัยยุคโรมัน ปัจจุบันเหลือระยะทางให้เห็นประมาณ 3 กิโลเมตร ซึ่งประกอบด้วยอาคารโบราณทรงโรมันหลายแห่ง สุดทางจะมีอาคารที่ประดิษฐานรูปปั้นเทพซูส แต่ผมเห็นว่าระยะทางไกลใช้เวลาเดินทางมากจึงขี้เกียจไป เห็นสุสานคริสต์เรียงรายตามเนินเขามากมาย ผมไม่ได้ถ่ายภาพไว้เพราะกลัวจะติดภาพชัตเตอร์แปลกๆให้สยองเล่น


ถนน decumanus maximus


อาคารทรงโรมัน

จาก Umm Qais เรามุ่งไปทางทิศตะวันตกตั้งใจจะไป Pella เมืองโบราณ 7,000 ปี ที่ถูกอ้างในประวัติศาสตร์อียิปต์และกรีกโบราณ เมืองที่อยู่ติดชายแดนอิสราเอลทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ แต่ไปได้หน่อยเดียวปรากฏว่ามีทหารตั้งด่านกักไม่ให้รถผ่านไป Pella ได้ โชเฟอร์สอบถามก็ไม่ได้คำตอบอะไร สั่งให้หันรถกลับอย่างเดียว ไม่รู้มีปัญหาอะไรที่ชายแดนหรือไม่ เพราะตอนนั้นอิสราเอลกับปาเลสไตน์กำลังยิงกันอยู่ แต่ฉนวนกาซาก็อยู่ทางใต้นี่ Pella อยู่ทางเหนือไม่น่าจะมีอะไร เมื่อกลับมาโรงแรมเช็คข่าวจาก Al Jazeera TV ก็ไม่เห็นว่ากระไร แต่ยังไงเราก็อดไป Pella จนได้ (เสียใจจัง)

เมื่อไป Pella ไม่ได้ เราก็มุ่งหน้าลงใต้ไป Ajlun กันต่อ Ajlun อยู่ไม่ไกลจาก Amman นักท่องเที่ยวนิยมทัวร์ไปพร้อมๆกับ Jerash เพราะอยู่ในเส้นทางเดียวกันและไม่ไกลกันนัก ไฮไลท์ที่สำคัญของ Ajlun คือป้อมปราสาท Qala’at ar-Rabad ป้อมของอิสลามที่สร้างสมัยสงครามครูเสส หรือราว AD 1184-88 บนยอดเขาของเมืองเพื่อคอยสกัดทัพคริสเตียนมิให้มารุกราน เช่นเดียวกับที่ทางคริสเตียนสร้างป้อม Karak และ Shobak ไว้สกัดทัพอิสลาม ที่ผมเคยพาไปชมในตอนที่2 มาแล้ว (กลับไปย้อนดูได้นะครับ) แม่ทัพอิสลามผู้สร้างป้อมปราสาทนี้ ชื่อ ‘Izz ad-Din Usama bin Munqidh (อ่านชื่อแล้วดูคุ้นๆไหม)


ภาพถ่ายจากในรถเห็นปราสาทอยู่บนยอดเขา


ป้อมปราสาทซึ่งใหญ่โตไม่แพ้ที่ Karak


อีกมุมด้านหน้าปราสาท

ภายในประกอบด้วยโถงขนาดใหญ่หลายห้อง บางส่วนจัดแสดงเป็น พิพิธภัณฑ์สิ่งของเครื่องใช้ยุคโบราณ สมัยโรมันสืบเนื่องมาถึงราชวงศ์ต่างๆของอิสลาม


หนึ่งในหลายๆห้องโถง


ช่องกำแพง ที่สามารถสังเกตการณ์ และโจมตีข้าศึกภายนอกได้


โต๊ะบัญชาการของแม่ทัพ โปรดสังเกตแผนที่บนโต๊ะ

หลังจากออกจากปราสาท เราก็มุ่งหน้าลงใต้ย้อนเส้นทางเมื่อเช้าเพื่อมุ่งหน้าชมเมืองโบราณถัดไป ส่วนจะเป็นเมืองใด งดงามขนาดไหน ไว้ชมกันตอนหน้านะครับ




 

Create Date : 24 กุมภาพันธ์ 2552   
Last Update : 24 กุมภาพันธ์ 2552 21:57:47 น.   
Counter : 2151 Pageviews.  


1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  

adept
 
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




แม้สายน้ำมิอาจไหลย้อนกลับ แต่เราสามารถแลหลัง เหลียวดูมันได้
[Add adept's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com